ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ......Dirt...... [BIGBANG x 2NE1]

    ลำดับตอนที่ #8 : Be numb

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ค. 57


     

     

    “ทีนี้เล่าให้พี่ฟังได้แล้วใช่มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”

     

    เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นชัดเจน ตอนนี้พี่ยองเบอยู่ในห้องของฉัน เขานั่งอยู่บนโซฟาตัวตรงข้าม ดวงตาเรียวเล็กจ้องมาอย่างคาดหวังในคำตอบ ฉันได้แต่อ้ำอึ้ง ในที่สุดก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างหมดทางเลี่ยง

     

    ฉันค่อยๆเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ฉันรู้สึกตัวในโรงพยาบาล เล่าเรื่องจดหมาย ข้อความ และสิ่งของที่ฉันได้รับจากคังแดซอง ผู้ซึ่งแทนตัวเองว่า Rabbit คนที่ไล่ตามฉันเมื่อสองคืนก่อน รวมไปถึงสาเหตุที่ทำให้ฉันความจำเสื่อม คดีที่ฉันโดนทำร้ายในโรงเรียนซานึนซึ่งยังปิดไม่ได้ และเรื่องราวของเด็กผู้หญิงที่ชื่อฮเยมี.. พี่ยองเบซักไซ้ฉันจนหมดเปลือก ใบหน้านั้นตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆจนใครก็รู้สึกได้

     

    “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่แจ้งตำรวจ ต้องรอให้มันมาฆ่าเราก่อนรึไง”

     

    “คือว่าริน..

     

    คำตอบที่คิดไว้ถูกกลืนหายลงคอเมื่อเจอกับสายตาตำหนิราวกับผู้ปกครองสั่งสอนเด็กดื้อ ฉันก้มหน้างุด ยังคงผวาอยู่กับเหตุการณ์เมื่อชั่วโมงที่แล้ว แถมต้องเจอกับการลงโทษผ่านสายตาคู่นั้นอีก

    ไม่เห็นจะต้องดุกันเลย..

     

    “ริน?”

     

    “รินขอโทษค่ะ”

     

    ฉันได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆจากคนตรงหน้า ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรในเวลานี้

    คงจะเหนื่อยใจมากเลยสินะ

     

    “แล้วมีเรื่องอะไรที่พี่ยังไม่รู้อีกมั้ย”

     

    ฉันส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีแล้วค่ะ”

     

    “งั้นพรุ่งนี้ก็ตื่นแต่เช้า เราจะไปแจ้งความกัน”

     

    “แต่พรุ่งนี้รินเข้างานแปดโมง..

     

    “เดี๋ยวพี่จัดการเอง ถ้าพี่จองอารู้เรื่องนี้คงยอมให้เธอลางานแน่”

     

    “อย่าบอกพี่จองอานะ!

     

    ฉันสวนขึ้นมาเดี๋ยวนั้น มันคือคำสั่งแกมขอร้องที่ฉันกำลังอ้อนวอนต่อผู้ชายตรงหน้า ใจสั่นระรัวด้วยความกังวลอย่างหนัก

     

    ไม่ได้.. จะให้ใครรู้อีกไม่ได้..

     

    “ฉันขอล่ะ.. อย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้.. นะคะ.. ให้ฉันกับตำรวจจัดการกันเองเงียบๆ ฉันดูแลตัวเองได้ .. พี่อย่าบอกใครเลยนะ”

     

    “ทำไมคิดแบบนั้นล่ะริน”

     

    “คนอื่นคงไม่สบายใจแน่ๆถ้ารู้ว่าฉันกำลังถูกตามฆ่า เรื่องนี้มันเป็นปัญหาของฉันแค่คนเดียว ฉันไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเป็นห่วงและเดือดร้อนไปด้วย ใครจะไปรู้ว่าคังแดซองจะทำอะไรบ้าง อย่าให้คนรอบข้างฉันเข้ามาเกี่ยวเลยนะคะ”

     

    เขาเงียบไป ภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งนั้นฉันเดาไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัด ฉันยังรอการตอบรับจากคนๆนี้ และในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น

     

    “ถึงจะไม่เข้าใจ แต่พี่จะทำตามที่เธอขอก็แล้วกัน .. พี่สัญญาว่าจะไม่บอกใคร”

     

    “จริงหรอคะ?”

     

    คำพูดของเขาทำให้ฉันยิ้มออก แล้วประโยคถัดมาก็ยิ่งทำให้ฉันใจสั่นเนื่องด้วยความหมายของมัน

     

    “แต่เธอต้องให้พี่ดูแลเธอนะ แชริน..พี่ขอปกป้องเธอจากคนสารเลวนั่นได้มั้ย”

     

    “อะ..เอ่อ..

     

    เป็นอีกครั้งที่แชรินคนนี้ไม่กล้าสู้หน้ายองเบโอปป้า ไม่ใช่เพราะทำผิด แต่เพราะด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ฉันรู้สึกร้อนที่แก้มทั้งๆที่อุณหภูมิห้องหยุดอยู่ที่ยี่สิบห้าองศา

     

    “ค่ะ”

     

    ตอบรับแบบไม่เต็มเสียงนัก เพราะเขาพูดแบบนี้เลยชักเขินเสียแล้วสิ ทำไมฉันเป็นคนเขินง่ายได้ขนาดนี้นะ

     

    “งั้นต้องสัญญากับพี่ก่อนว่าถ้ามีเรื่องไม่ดีหรือเกิดอะไรขึ้น เธอต้องบอกพี่ ห้ามเก็บไว้คนเดียวเด็ดขาด จะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่แค่ไหน ถ้ามันเกี่ยวกับชีวิตของเธอยังไงก็ต้องบอก เข้าใจที่พูดใช่มั้ย”

     

    น้ำเสียงของเขาเด็ดขาด ใบหน้าของเขาจริงจัง แต่สายตาคู่นั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย อดใจเต้นไปกับท่าทางของเขาไม่ได้ ความอบอุ่นของเขาเผื่อแผ่ออกมามากพอให้ฉันได้รับรู้และซึมมันอย่างช้าๆ

    ที่เขาดุฉัน ว่าฉัน แถมยังทำท่าทางเหนื่อยใจ นั่นเพราะว่าเขาเป็นห่วงฉันรึเปล่า

    ..ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ย

     

    “เข้าใจแล้วค่ะ โอปป้า”

     

    ริมฝีปากนั้นยิ้มจางๆอย่างพอใจในคำตอบ ดีใจที่เห็นเขายิ้มสักที ก่อนที่เขาจะมุ่งความสนใจไปยังสิ่งของเพียงอย่างเดียวที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า

     

    “แล้วกล่องนี่ล่ะ จะทำยังไงกับมัน”

     

    กล่องพัสดุห่อด้วยกระดาษสีขาวเกลี้ยงๆ ที่ฉันได้รับมาจากพนักงานตรงล้อบบี้ เพียงแค่เห็นชื่อผู้ส่ง ฉันก็แทบอยากจะเบือนหน้าหนีไปอีกทางซะเดี๋ยวนั้น

     

    อยากรู้มั้ยว่าแผลนี่เกิดจากอะไร.. ของที่ฉันส่งไป ลองเปิดดูสิ แล้วเธอจะรู้เอง

     

    คำพูดของผู้ชายคนนั้นราวกับดังอยู่ข้างหู ฉันค่อยๆหยิบกล่องนั้นขึ้นมาวางบนตัก มองมันและชั่งใจอยู่พักหนึ่ง พัสดุชิ้นนี้ค่อนข้างหนัก ทำให้ฉันสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่

     

    “ฉันจะเปิด .. ฉันอยากรู้ว่ามันคืออะไร”

     

    แล้วฉันก็แกะกระดาษที่ห่อออกด้วยมือที่สั่นน้อยๆของตัวเอง ข้างในอัดแน่นไปด้วยกระดาษสีขาวชนิดเดียวกับที่ใช้ห่อกล่อง มันขยำเป็นก้อนๆเพื่อป้องกันการกระแทกของสิ่งของข้างใน ฉันค่อยๆหยิบสิ่งนั้นออกมา ผิวสัมผัสเย็นๆของมันทำให้ฉันสะดุ้ง

     

    ประแจ..

     

    ประแจเหล็กขนาดใหญ่ ความหนาเกือบเท่าท่อนแขนมนุษย์ มันหนักจนฉันถือมือเดียวเกือบไม่ไหว ที่หัวประแจข้างหนึ่งซึ่งโค้งลงคล้ายตะขอมีเศษสีน้ำตาลเกรอะกรังเปื้อนลงมาถึงกลางด้ามจับฉันแตะลงไปที่รอยเปื้อนนั่น ค่อยๆเอาเข้ามาใกล้จมูกเพื่อดมกลิ่น

     

    และฉันก็ได้รู้ว่ามันคือเลือดที่แห้งแล้ว..

     

    เหมือนถูกตีซ้ำ เมื่อขมับทั้งสองข้างบีบตัวเข้าหากัน ฉันปล่อยให้ประแจนั่นตกลงไปที่พื้น หลับตาแน่น สองมือกุมศีรษะที่ปวดราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆอย่างทรมาน

    อยู่ๆก็เหมือนกับว่าห้องนี้กำลังแคบลงไปเรื่อยๆ แคบลงจนรู้สึกอึดอัด การหายใจติดขัด แสงสว่างที่เคยมีเปลี่ยนเป็นความมืดและเย็นยะเยือกอย่างที่เคยเป็นมาเมื่อครั้งหนึ่ง

    เพียงแต่จำไม่ได้ว่าตอนไหน..

    ภาพเหตุการณ์บางอย่างคล้ายจะผุดขึ้นมาในความทรงจำ แต่มันมืดเหลือเกิน.. มืดจนฉันมองอะไรไม่เห็น ได้ยินเพียงแต่เสียงเหล็กหนักๆกระทบกันถี่รัว เสียงของมันดังแล้วก็หยุด ดังแล้วก็หยุด เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ก่อนที่เสียงฮึมฮัมเป็นทำนองจะดังขึ้นแข่งกับการกระทบกันของเหล็กแร่..

     

    “แชริน”

     

    ฉันสะดุ้งกับสัมผัสของมือหนาที่วางบนไหล่ พี่ยองเบย้ายตัวมานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สีหน้าของเขาตึงเครียด

     

    “เป็นอะไรไป ปวดหัวหรอ”

     

    ประแจเปื้อนเลือดนั้นยังนอนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ฉันพยายามละสายตาจากมัน ยิ่งมองก็ยิ่งกลัว ความทรงจำสีดำนั้นทำให้ฉันขนลุกและไม่อยากจะนึกถึงอีกต่อไป

     

    “มันใช้ประแจนั่นตีฉัน”

     

    ฉันพูด บังคับเสียงไม่ให้สั่นแม้ในใจจะหวาดกลัวมากก็ตามที คำพูดของแดซองและความรู้สึกบางอย่างบอกฉันว่ามันต้องเป็นแบบนั้น และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ..เลือดที่แห้งกรังอยู่บนผิวเหล็กนั่นก็คือเลือดของฉันเอง

    ร่างกายกำลังเล่นตลก อาการปวดจนร้าวกำลังแล่นลงลึกสู่กลางสมอง ฉันข่มตาแน่นมือกุมหัวอย่างหงุดหงิด ไม่ไหวแล้ว.. ให้มันได้แบบนี้สิแชริน

     

    ในขณะที่คิดว่าอีกไม่นานหัวคงจะระเบิด มืออุ่นๆจากคนข้างๆก็เข้ามากุมมือฉันไว้ เขาบีบมันเบาๆ พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ฟังแล้วช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาอย่างประหลาด

     

    “กินยาแล้วพักผ่อนเถอะริน วันนี้เธอเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

     

    “อือ..

     

    รวบรวมเสียงทั้งหมดแล้ว หากแต่ตอบกลับไปได้เพียงเท่านี้จริงๆ พี่ยองเบเก็บประแจนั่นใส่กล่อง ปิดอย่างมิดชิด และหยิบกระเป๋าตัวเองขึ้นมาพาดบ่า

     

    “พี่ไม่กวนแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”

     

    “พรุ่งนี้จะให้ฉันตื่นกี่โมงคะ”

     

    “ตอนแรกว่าจะให้ไปแต่เช้า แต่ดูสภาพเธอแล้ว.. พี่ว่ารอให้หายก่อนค่อยไปดีกว่า”

     

    “แต่รินไม่เป็นไรแล้วนะ นี่ไงหายปวดแล้ว..

     

    โกหก.. ฉันยังปวดหัวอยู่ไม่หายเลย

    ก็แค่ไม่อยากให้เขาเห็นว่าฉันเป็นคนอ่อนแอช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็เท่านั้น

     

    แล้วมือข้างนั้นก็ยื่นเข้ามาขยี้หัวฉันอย่างเคย ฉันมองการกระทำนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่าง ใบหน้าของยองเบโอปป้าเปื้อนรอยยิ้ม

     

     “หน้าซีดขนาดนี้โกหกไม่ขึ้นหรอก .. รีบไปนอนเถอะ ดึกแล้ว แล้วยาแก้ปวดน่ะมีมั้ย”

     

    “ม..มีค่ะ”

     

    “ถ้างั้นก็กินซะ พี่ไปจริงๆแล้วนะ มีอะไรก็เรียกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”

     

    ฉันพยักหน้า มองตามคนที่หันหลังออกไปทางประตู จนกระทั่งห้องทั้งห้องเหลือเพียงฉันกับโฮยาที่เดินเข้ามาเคล้าเคลีย  ก่อนที่มันจะซุกหน้ากลมๆของมันลงบนตักของฉัน

     

    “เมี๊ยว!

     

    โฮยาร้องจ้า เมื่อถูกฉันรวบขึ้นมากอดแล้วล้มตัวนอนลงบนโซฟาทันที เจ้าเหมียวดิ้นคลุกขลักอยู่บนตัวฉันสักพัก แต่เมื่อปรับอิริยาบถให้ถูกต้อง มันกลับนอนนิ่งๆจ้องหน้าฉันด้วยดวงตาใสแป๋วสีอำพัน

     

    “มันเกิดอะไรขึ้นน่ะโฮยา”

     

    ถามแม้จะรู้อยู่เต็มอก ว่าไม่มีวันได้รับคำตอบใดๆจากเจ้าแมวพุงพลุ้ยตัวนี้ นิ้วมือทั้งสิบลูบขนสามสีของมันเบาๆ มองไปที่บานประตูสีน้ำตาลอย่างเหม่อลอย

    บานประตูที่เขาเพิ่งผลักออกไป..

     

    แล้วฉันก็ฉันหลับตาลง ยอมแพ้ต่ออาการปวดศีรษะที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ

     

     

     

     



     

     

     

     

    “ไส้ไข่หรือทูน่าดี”

     

    แซนวิสโฮลวีทสองอันถูกยื่นมาตรงหน้าฉัน เจ้าของคำถามส่งยิ้มแฉ่งมาให้ วันนี้เขาใส่เสื้อยืดลายทางสีขาวสลับดำ สวมหมวกที่ช่วยปิดผมทรงสกินเฮท และที่ขาดไม่ได้คงจะเป็นหูฟังที่เขาเอาพาดคออยู่ตอนนี้

     

    “หายไปไหนมาคะ นึกว่าหนีกลับบ้านไปแล้วซะอีก”

     

    “ไปซื้อของกินมาไง แต่เช้าเรายังไม่ได้กินข้าวเลย นี่ก็จะบ่ายโมงแล้วนะ”

     

    “จริงอ่ะ นี่ฉันลืมเวลาไปเลย”

     

    “ตกลงว่าไข่หรือแฮม”

     

    ฉันมองแซนวิสสองอันสลับกันไปมาอย่างครุ่นคิด “เอาแฮมค่า”

     

    ยองเบโอปป้ายื่นแซนวิสมาให้ ก่อนจะลงมานั่งข้างๆฉัน ตอนนี้เรานั่งอยู่หน้าห้องสอบสวนของสถานีตำรวจ หลังจากที่ฉันให้ปากคำเรื่องคังแดซอง ตำรวจก็เอาข้อมูลทั้งหมดไปผูกกับคดีที่โรงเรียนซานึน ประแจที่ส่งมาเมื่อวานคือหลักฐานชิ้นดีที่จะช่วยให้ตำรวจสรุปได้ว่าคังแดซองคือคนที่ทำร้ายฉันเมื่ออาทิตย์ก่อนหรือไม่ ฉันได้ตรวจเลือดเพื่อเทียบดูกับเลือดที่ติดอยู่บนประแจเพื่อความแน่ใจ โดยผลเลือดที่ว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ในการตรวจ หากผลออกมาตรงกัน แดซองจะกลายเป็นคนร้ายในคดีโรงเรียนซานึนทันที

    แต่ทว่า ปัญหาคือคังแดซองที่ฉันเจอเมื่อคืนนี้กลับไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเล่มใดเลย ไร้ที่อยู่และวี่แววของคนๆนี้ ตำรวจติดต่อไปทุกเขตของทุกจังหวัด แต่คังแดซองที่พบกลับเป็นเพียงคนชื่อซ้ำ ไม่มีใครเข้าข่ายคนร้ายเลยสักคน

    นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงนั่งเฉาอยู่ที่โรงพักมาเกือบครึ่งวันแล้ว

     

    “คุณตำรวจบอกว่าจะเอาแฟ้มอาชญากรมาให้ฉันดูค่ะ เผื่อว่าแดซองจะเคยก่อคดีอะไรไว้”

     

    “ตกลงว่าหาที่อยู่แดซองไม่เจอใช่มั้ย”

     

    “ไม่เจอเลย แต่ก็ยังสรุปไม่ได้นะว่าเขาโกหกชื่อตัวเองหรือเป็นบุคคลไร้ถิ่นฐานกันแน่”

     

    ฉันเผลอถอนหายใจออกมาหลังจากพูดจบ ข้อมูลของผู้ชายคนนี้ไม่เคยปรากฎอยู่ในหน่วยงานใดของรัฐ แม้กระทั่งโรงพยาบาลในละแวกนี้ก็ไม่มีชื่อของเขาในฐานะผู้ป่วย เมื่อชั่วโมงที่แล้วตำรวจได้ขอให้ฉันและพี่ยองเบอธิบายลักษณะรูปร่างหน้าตาของแดซองเพื่อเสก็ตภาพ แต่ด้วยหมวกที่เขาใส่ก็บังไปครึ่งหน้าแล้ว จึงไม่รู้ว่าภาพที่ออกมาจะคล้ายกับตัวจริงมากน้อยแค่ไหน

     

    “ไม่ต้องห่วงไปนะ อีกไม่นานตำรวจก็ต้องเจอตัวมัน เชื่อพี่สิ”

     

    คำพูดของเขากำลังปลอบประโลมใจฉันอีกครา กี่ครั้งแล้วที่พี่ยองเบทำราวกับรู้ว่าแชรินคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ใช่แค่รู้.. แต่หากเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยว่าเขาแทรกตัวเข้ามาในสมองของฉันหรือไงกัน

    ฉันก้มมองแซนวิสชิ้นโตในมือ แล้วยิ้มบางๆไปยังคนที่เอามันมาให้

     

    “ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์เป็นธุระให้วันนี้”

     

    “พูดอย่างกับเป็นคนอื่นคนไกลไปได้นะเรา”

     

    “ก็รินเกรงใจนี่คะ นี่มันเป็นเรื่องของรินคนเดียวแท้ๆ..

     

    “เมื่อไหร่จะเลิกคิดว่ามันเป็นปัญหาของเธอคนเดียวซะที บอกแล้วใช่มั้ยว่าเธอเป็นน้องสาวของพี่ พี่ชายต้องต้องดูแลน้องสาวสิจริงมั้ย”

     

    ยอมรับเลยว่าฉันชอบสีหน้าและน้ำเสียงของเขาเวลาพูดอะไรแบบนี้ อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันยิ้มได้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด

     

    “แซนวิสน่ะซื้อมาให้กินไม่ใช่ถือเล่น รีบๆกินซะ ไม่กินอะไรเลยเดี๋ยวก็เป็นลมหรอก ตัวหนักแบบนี้พี่แบกไม่ไหวแล้วนะ”

     

    “โอปป้าว่ารินหรอ!

     

    ฉันตวาดแหว ถลึงตาใส่คนข้างๆที่หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง เขาดูจะชอบใจในรีแอคชั่นแบบทันควันของฉันมาเหลือเกิน

     

    “ขำอะไรคะ” ฉันถาม สองข้างแก้มแดงเถือก

     

    “หน้าเธอตอนโกรธนี่ตลกจริงๆ ฮ่าๆๆ”

     

    “ก็ใครล่ะทำให้ฉันโกรธ นี่พี่คะ ที่ว่าฉันอ้วนนี่ยังไม่เคลียร์เลยนะ”

     

    “ไม่ได้ว่าอ้วนสักหน่อย แค่ตัวหนัก”

     

    “โอปป้าอ่ะ!

     

    ฉันหน้ามุ่ย ไม่เห็นว่าจะน่าขำตรงไหน ท่าทางพี่ยองเบจะประสาทไปแล้ว

     

    พอสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ก็ได้แต่คิดสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงไม่เถียงต่อ ทำไมฉันถึงยอมให้เขาล้อ ..และทำไมฉันถึงต้องรู้สึกเขินจนใจเต้นแบบนี้ด้วยนะ

     

    ไม่นานนักเจ้าพนักงานก็ให้ฉันเข้าไปในห้องสอบสวนอีกครั้ง ฉันมองกองแฟ้มเป็นตั้งที่วางอยู่บนโต๊ะ มันคือแฟ้มอาชญากรในรอบสิบปีที่ผ่านมา มีทั้งที่พ้นคดีแล้วและกำลังอยู่ในขณะการจับกุม สิ่งที่ฉันต้องทำคือไล่เปิดดูทีละหน้าเพื่อค้นหาผู้ชายเมื่อคืนวานนี้ที่อ้างตัวเองว่าเป็นคังแดซอง ฉันไม่เกี่ยงที่จะทำ แต่จนแล้วจนรอด แฟ้มกี่เล่มต่อกี่เล่มถูกเปิดจนเปื่อย พี่ยองเบมาช่วยฉันอีกแรง แต่ความหวังที่จะได้เจอใบหน้าของชายคนนั้นอยู่ในสักหน้าของกระดาษดูเหมือนจะริบหรี่ลงไปทุกที

    ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ภาพตรงหน้าเริ่มเบลอ แรงที่มีค่อยๆสวนทางกับกองแฟ้มที่เพิ่มพูนมากขึ้น คุณตำรวจให้ฉันกับพี่ยองเบใช้ห้องนี้ได้นานเท่าที่ต้องการ หรือจนกว่าจะดูแฟ้มพวกนี้จนหมด กว่าจะรู้ตัวเข็มสั้นของนาฬิกาก็ชี้ไปที่เลขหกแล้ว

    แฟ้มสุดท้ายถูกปิดลง คราวนี้ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองหน้าพี่ยองเบที่มีแววตาเห็นใจ ฉันเพียงแต่ยิ้มจืดๆตอบกลับไปอย่างยากเย็น

     

    “วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ ยังไงตำรวจก็บอกแล้วว่าจะช่วยเต็มที่ แบบนี้มันคงไม่กล้าโผล่หน้ามาทำร้ายเธอไปอีกพักใหญ่”

     

    ฉันพยักหน้าเข้าใจ ถึงแม้จะอยากทำให้เรื่องมันจบลงเสียที แต่ฝืนเดินต่อไปก็มีแต่จะล้ม ทั้งยังเกรงใจยองเบโอปป้าที่ต้องมาคลุกอยู่ที่นี่ด้วยกันทั้งวัน อาหารที่ตกถึงท้องก็มีเพียงแซนวิสแค่ชิ้นเดียวเท่านี้น

    เหนื่อยจัง.. ได้แต่ตัดพ้อกับตัวเองแล้วฟุบหน้าลงบนโต๊ะทำงานสีเทา หลับซะตรงนี้เลยดีมั้ยเนี่ย

     

    “อย่าทำหน้าแบบนี้สิ” พี่ยองเบว่า ในสายตาคู่นั้นมีความเอ็นดู “ตอนนี้ข้อมูลแดซองที่เรามียังน้อยเกินไป ให้เวลาอีกสักพัก ตำรวจเกาหลีน่ะเก่งอยู่แล้ว อีกไม่นานเราจะต้องเจอตัวมันแน่ๆ”

     

    “อื้มมม”

     

    “ก็บอกแล้วไงว่าอย่าทำหน้าแบบนี้”

     

    “เปล่าซะหน่อย ฉันก็ทำหน้าปกติดีนี่นา”

     

    เงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะ แล้วรีบแก้ตัวทำท่าทางให้เป็นปกติที่สุด แต่อีกคนกลับไม่เชื่อ

     

    “หน้าเหี่ยวแบบนี้น่ะหรอที่เรียกว่าปกติ”

     

    “หน้าฉันไม่ได้เหี่ยวนะ พี่บ้า”

     

    “เดี๋ยวนี้กล้าว่าพี่หรอห๊ะยัยหมวย”

     

    “ก็พี่ว่าฉันก่อนทำไมล่ะ”

     

    ถกเถียงกันไปมา จนกระทั่งประตูห้องสืบสวนถูกเปิดออก ผู้มาใหม่คือตำรวจนอกเครื่องแบบที่คอยจัดการคดีให้ฉันนั่นเอง เขามองฉันก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังแฟ้มคดีจำนวนมหาศาลที่เพิ่งผ่านตาฉันมา

     

    “ดูหมดแล้วหรอครับ”

     

    “ค่ะ แต่ไม่เจอเลย”

     

    ผู้ฟังพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของชายวังกลางจะนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะ เขาย้ายแฟ้มรายชื่ออาชญากรซึ่งได้แปรสภาพกลายเป็นของเกะกะในเวลานี้ออกไป แล้ววางซองเอกสารสีน้ำตาลที่บรรจุรูปถ่ายประมาณยี่สิบรูปไว้แทนที่

    คุณตำรวจเลือกภาพที่ชัดที่สุดออกมาสี่ใบ และวางเรียงตามตัวเลขวันที่ที่มุมขวาด้านล่าง

     

    แม้จะเป็นภาพที่เกิดในวันเวลาต่างกัน แต่หากเกิดในสถานที่เดียวกัน และที่สำคัญ.. คนในภาพทุกภาพล้วนเป็นคังแดซอง

     

    “คนนี้คือคังแดซองใช่มั้ยครับ”

     

    ฉันพยักหน้าตอบรับ ไม่มีความเห็นใดๆในเรื่องนี้

     

    “ผมได้ภาพมาจากกล้องวงจรปิดที่คอนโดของคุณ ผู้ชายคนนี้มาฝากของที่ตู้จดหมายตั้งแต่วันแรกที่คุณออกจากโรงพยาบาล แล้วเขายังสามารถกะเวลาได้ว่าคุณจะออกหรือกลับเข้าห้องตอนไหน เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะรู้การเคลื่อนไหวของคุณเป็นอย่างดี ผมเลยเอาข้อสันนิฐานนี้มาบวกเข้ากับข้อมูลจากเบอร์โทรศัพท์ที่ส่งข้อความมาหาคุณ..

     

    เขาหยิบกระดาษสีขาวที่มีตราสัญลักษณ์ของระบบเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ ในนั้นมีข้อมูลการใช้งานของเบอร์โทรศัพท์ฉันเอง แต่ที่ถูกเน้นด้วยปากกาไฮไลท์คือประวัติการรับข้อความจากผู้ส่งที่ไม่แสดงหมายเลข

     

    วันที่ : 18 เมษายน 2014   -  เวลา : 17.18 .  หมายเลขต้นทาง : ไม่แสดง

     

    “เราได้ติดต่อขอเบอร์ที่ไม่แสดงนี้กับเครือข่ายแล้ว มันถูกขายคืนให้เครือข่ายตั้งแต่วันที่19 ส่วนจุดที่ผู้ใช้งานส่งข้อความมาถึงคุณนั้นอยู่ที่เขตดองวอน”

     

    “ดองวอน? นั่นมันแถวบ้านฉัน..

     

    “ครับ นอกจากนี้ประวัติการใช้งานอื่นๆของเบอร์นี้มีเพียงการเช็คยอดเงินประมาณสี่ห้าครั้งในวันเวลาที่ต่างกัน ที่สำคัญมันไม่ได้ออกนอกเขตดองวอนเลย จึงเป็นไปได้สูงว่าผู้ส่งอาศัยอยู่ไม่ไกลจากตัวคุณ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ มันก็แปลกตรงที่คนละแวกนั้นพูดเป็นปากเดียวกันว่าไม่เคยเห็นหน้าของคังแดซองเลยสักครั้ง เว้นเสียแต่ว่าเขากับคนส่งข้อความจะเป็นคนละคนกัน”

     

    “คนละคนหรอครับ? หมายความว่ายังมีคนอื่นอีก?” ยองเบโอปป้าถามขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ

     

    “ก็แค่สันนิฐานน่ะครับ ตอนนี้ข้อมูลหลักฐานยังมีน้อยเกินไป คงต้องรอไปอีกสักพัก”

     

    ฉันนั่งฟังเงียบๆ ค่อนข้างกังวลกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ แม้จะพอรู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนั้นอยู่ไม่ไกลจากตัวนัก แต่เมื่อมีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันมาอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกกลัวจนตัวเกร็ง

    จนกระทั่งมืออุ่นๆของคนข้างๆยื่นเข้ามากุมมือฉันไว้ เขาเหลือบมองฉันนิดหน่อย แต่ก็มากพอที่ทำให้ฉันมองเห็นการปลอบโยนจากแววตาคู่นั้น

     

    “แล้วแบบนี้จะทำยังไงต่อไปล่ะครับ” พี่ยองเบถาม และมือข้างนั้นยังคงไม่ปล่อยจากฉัน

     

    “เรากำลังคิดว่ามีบางที่ที่เรายังค้นหาไม่หมด อาจจะเป็นมุมอับอย่างเช่นตึกทิ้งร้าง ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะประสานงานกับตำรวจทุกเขตให้ออกตรวจให้บ่อยขึ้น และจะออกหมายจับเขาในวันพรุ่งนี้”

     

    ประโยคท้ายเหมือนคุณตำรวจจะหันมาพูดกับฉัน ฉันฝืนยิ้มบางๆตอบกลับไป ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

     

    “เอ่อ..คุณตำรวจคะ เคยได้ยินคดีของพโยฮเยมิเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วมั้ยคะ”

     

    “อืม.. คดีที่ครูฆ่านักเรียนนั่นใช่มั้ยครับ”

     

    “ใช่ค่ะ ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากขอรายระเอียดคดีนี้หน่อยได้ไหม”

     

    ชายวัยกลางขมวดคิ้วแปลกใจราวกับว่าที่ฉันพูดไปมันผิดมนุษย์มนา ฉันเข้าใจดีว่าเพราะอะไร ไม่ต้องรอให้เขาถาม ฉันก็อธิบายเหตุผลของความต้องการในครั้งนี้

     

    “หนังสือพิมพ์ที่แดซองส่งมาให้พาดหัวข่าวนี้ค่ะ ฉันก็เลยอยากรู้รายละเอียดที่ให้ข้อมูลมากกว่าในเนื้อข่าว เผื่อว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับตัวฉันบ้าง”

     

    ฉันพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้ต้องผิดหวัง

     

    “ขอโทษด้วยนะครับ แต่คดีนี้ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของเขตเรา และตามปกติเจ้าพนักงานไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกของคดีให้กับคนนอกรู้ได้ ยกเว้นแต่จะมีคำสั่งจากศาล”

     

    “ไม่ได้เลยหรอคะ” ฉันย้ำถาม ภาวนาให้ตำรวจวัยกลางคนนี้เปลี่ยนใจ แต่กลับไม่ได้ผลใดๆ เขาส่ายหน้าช้าๆ พูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดกลายๆ

     

    “เสียใจจริงๆครับ มันเป็นการปกป้องสิทธิของผู้เสียหาย”

     

     

     







     

     

     

    ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่วันที่แจ้งตำรวจ ไร้ความคืบหน้าใดๆในคดี คังแดซองยังคงกลายเป็นบุคคลลอยนวลที่หาประวัติไม่ได้ ไร้ที่อยู่ ไร้วี่แวว .. ราวกับได้หายไปจากโลกใบนี้

    แต่อะไรๆก็ไม่ได้แย่ไปเสียทุกอย่าง ในเมื่อเวลาสิบกว่าวันนี้เองที่ฉันสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ การที่แดซองไม่ปรากฎตัวให้เห็น และไม่มีคนเดินตาม มันทำให้ฉันรู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แถมยังไม่ต้องห่วงว่าจะมีพัสดุหรือข้อความประหลาดๆส่งมาอีกด้วย นั่นเพราะกล้องวงจรปิดที่ถูกเพิ่มเข้ามาตรงทางเดินเข้าคอนโด และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ผลัดเวรกันมาตรวจตราไถ่ถามกันอยู่เป็นประจำ

    รวมไปถึงใครบางคนที่ทำให้ฉันรู้สึก ปลอดภัย และ อุ่นใจ ทุกครั้งที่ได้เจอ

     

    “มาซื้ออะไรยัยหมวย”

     

    เสียงคุ้นเคยทำฉันและการเคลื่อนไหวของล้อรถเข็นหยุดชะงัก เมื่อหันไปพบกับคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง เขายังคงสวมหูฟังเหมือนทุกครั้งที่พบกัน

     

    “มาซุปเปอร์.. คงมาซื้อเครื่องซักผ้ามั้งคะ ฮ่าๆๆ .. โอ๊ย!

     

    ไม่ทันขาดคำก็โดนแครอทตีโป๊กเข้าให้ที่กลางหัว เจ็บซะด้วยสิ .. ฉันกุมหัวป้อยๆน้ำตาเล็ด แต่ผู้กระทำมีท่าทางพอใจกับผลลัพธ์ครั้งนี้

     

    “พี่อ่ะ..

     

    “สมน้ำหน้า อยากตลกดีนัก.. นี่จะทำกับข้าวเองหรอ”

     

    เขาว่าพลางมองเข้าไปในตะกร้ารถเข็นของฉันที่เต็มไปด้วยผักสดหลากหลายชนิด

     

    “ก็ว่าจะทำสลัดค่ะ อยากทานอะไรเบาๆดูบ้าง พักนี้เหมือนจะอ้วนขึ้นอ่ะ”

     

    “ไหนดูซิ” พี่ยองเบหันมามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วพยักหน้าน้ำเสียงจริงจัง “ใช่ๆ อ้วนขึ้นมากด้วย แก้มจะปริอยู่แล้ว ปล่อยไว้นานคงได้กลายเป็นบอลลูน”

     

    “ไม่จริง นี่ฉันอ้วนขนาดนั้นจริงๆหรอคะ TT

     

    คำตอบที่ได้รับกลับเป็นเสียงหัวเราะที่ทำเอาคนฟังอย่างฉันปรับอารมณ์ไม่ทัน กว่าจะรู้ว่าถูกแกล้งเขาก็เดินนำหน้าไปนู่นแล้ว

     

    แกล้งฉันอีกแล้วสินะ!

     

    “โอปป้าอ่ะ! รอรินด้วยเซ่!

     

    ฉันเข็นรถเดินดุ่มๆตามเขาไปอย่างเซ็งอารมณ์ คนบ้า.. ใครจะรู้ว่ายิ่งรู้จักกันนานก็ยิ่งกวนประสาทแบบนี้

    ฉันเจอกับยองเบโอปป้าแทบทุกวัน บ่อยครั้งที่เราเปิดประตูห้องออกมาพร้อมกันในตอนเช้า และบางทีเขาก็ไปนั่งดื่มกาแฟที่ร้านวันละหลายชั่วโมง ฉันเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าจุดประสงค์ของเขามาเพื่อกินกาแฟ นั่งเปื่อย หาอารมณ์สุนทรีย์ไว้แต่งเพลง หรือเพราะเจ้าของร้านกันแน่..

    หลายครั้งที่พี่ยองเบเข้ามาในร้านและเดินตรงไปหาพี่จองอาเป็นคนแรก แทนที่จะเป็นพนักงานที่ประจำอยู่หน้าเคาท์เตอร์อย่างฉันหรือมินจี

    พอเป็นแบบนั้นทีไร ฉันมักจะอารมณ์เสียอย่างไร้เหตุผลทุกที

     

    “ผลเลือดออกมารึยัง”

     

    เสียงของเขาดึงสติฉันให้กลับมาในปัจจุบัน มันเป็นคำถามที่ทำให้ฉันแปลกใจ เพราะตั้งแต่ออกจากสถานีตำรวจในวันนั้น ผู้ชายตรงหน้าฉันก็ไม่เคยเอ่ยปากพูดเรื่องคดีนี้เลย ราวกับรู้ว่าฉันไม่อยากจะนึกถึงมันเท่าไหร่นัก

     

    “ออกมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ สรุปว่าผลตรงกัน”

     

    “อย่างที่คิดไว้เลยสินะ แล้วเรื่องคดีล่ะเป็นไงบ้าง”

     

    “สามวันก่อนตำรวจลงไปดูที่เกิดเหตุมาอีกรอบ แต่ก็ไม่ได้ความอะไรเลยค่ะ เห็นว่าทางผู้อำนวยการไม่พอใจที่เข้าไปยุ่งย่ามในโรงเรียนด้วย จะเข้าไปตรวจอีกทีก็คงยาก”

     

    ฉันหยุดรถเข็น เอี้ยวตัวไปหยิบผักกาดหอมจากตู้แช่ แล้วพูดออกมาตามที่คิด

     

    “แต่ก็ช่างเถอะ ตราบใดที่เขาไม่ออกมาทำร้ายรินอีก จะจับได้หรือไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหา คุณตำรวจก็ช่วยดูแลตลอดอยู่แล้ว”

     

    “อย่าคิดอะไรง่ายๆแบบนั้นสิ จำคำพูดของมันไม่ได้รึไง มันบอกมันจะฆ่าเธอ”

     

    “ก็แค่ จะ ไม่ใช่หรอคะ.. ตอนนี้รินชักจะเบื่อแล้วล่ะ พอมาคิดๆดูแล้วรินไม่ได้แค้นเคืองอะไรเขาเลย ที่แจ้งตำรวจไปก็เพราะความกลัวล้วนๆ แต่ถ้าสมมติว่าเราต่างคนต่างอยู่ และแดซองจะไม่ทำร้ายรินอีก รินก็อยากให้อภัยเขานะ เรื่องมันจะได้จบๆกันไปสักที”

     

    “ทั้งๆที่มันทำให้เธอหัวแตก ทำให้เธอจำอะไรในโลกนี้ไม่ได้เลยน่ะหรอ”

     

    ฉันนิ่งไปกับคำพูดนั้น แผลที่ตอนนี้เอาผ้าก๊อซออกแล้ว แต่ยังคงทิ้งรอยจางๆและมอบความเจ็บปวดให้ฉันอยู่ตลอดเวลาที่ได้มองกระจก ฉันเผลอแตะนิ้วลงที่แผลเบาๆ ส่ายหน้าและยิ้มบางๆ

     

    “ตอนที่โดนตีมันเจ็บแค่ไหน.. รินจำไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”

     

     

    “ก็เพราะรินจำไม่ได้ ถึงไม่อยากเอาเรื่องยังไงล่ะคะ”

     

    พี่ยองเบเงียบไปราวกับใช้ความคิด เขามองฉันด้วยสายตาที่ทำให้ฉันต้องหันไปเลือกผักลงตะกร้า เพราะเห็นแล้วมันรู้สึกบอกไม่ถูก อึดอัดก็ไม่ใช่ สบายใจก็ไม่เชิง

     

    “แต่เธอก็น่าจะรู้ว่าคดีนี้เป็นคดีอาญา”

     

    “ค่ะ รินรู้”

     

    และก็รู้ว่าคดีอาญายอมความไม่ได้..

     

    คล้ายกับว่าความคิดของเราจะเดินสวนทางกัน ฉันไม่อยากให้สิ่งนี้มาเป็นประเด็นในการสนทนา ไม่อยากให้เราต้องทะเลาะและผิดใจ จึงแกล้งหัวเราะเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศในสถานการณ์

     

    “ไม่เห็นจะต้องจริงจังขนาดนี้เลย รินก็แค่พูดเฉยๆ”

     

    “จำไว้นะริน ยังไงคนเลวก็ต้องถูกทำโทษ มันจะต้องชดใช้ความผิดที่มันทำ”

     

    “รู้แล้วค่า อย่าทำหน้าบูดสิ เดี๋ยวก็แก่กันพอดี .. มาๆ มาช่วยรินเลือกผลไม้หน่อย จะกินอะไรดีน้า..

     

    ฉันเปลี่ยนเรื่องโดยการจูงมือพาเขาไปยังแผนกผลไม้ที่อยู่ไม่ไกลกัน ส้มแมนดารินกองสุมอยู่ในชั้นแช่ของสด ดึงความสนใจฉันให้ตรงเข้าไปเลือกดู

    ทันทีที่วางส้มลงในตะกร้ารถ อีกมือหนึ่งก็หยิบออกไปภายในไม่กี่วินาทีต่อมา

     

    ฉันมองพี่ยองเบอย่างไม่เข้าใจในการกระทำ เขาเองก็มองสวนกลับมาด้วยสายตาเรียบนิ่ง

    โกรธ.. โมโห.. ไม่พอใจ.. ไม่ว่าอารมณ์ไหนก็เดาไม่ออกเลย

     

    ฉันหลุบตาต่ำอย่างไม่มีเหตุผล เวลานี้เขาดูน่าเกรงใจ และฉันก็ไม่ชอบตัวเองในเวลานี้เลย

     

    “ไหนว่าจะไดเอท .. ทำไมไม่กินแอปเปิ้ลล่ะ”

     

    เสียงนุ่มๆมาพร้อมกับริมฝีปากที่ยิ้มน้อยๆ เขาหยิบแอปเปิ้ลเขียงผลโตลงในตระกร้าฉันสองผล ในขณะที่ฉันได้แต่อ้ำอึ้งอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี

     

    เขาไม่ได้โกรธใช่มั้ย

    ฉันคิดมากไปเองหรอกหรอ..

     

    “ก..ก็ฉันอยากกินส้มอ่ะ” ฉันทดลองตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกัก แอบมองท่าทีของเขาไปในตัว

     

    ก็ปกติดีนี่นา

     

    “น้ำตาลเยอะ เผลาผลาญไม่หมดก็กลายเป็นไขมันพอดี”

     

    “แค่นิดเดียวเอง” ฉันว่า มือคว้าส้มลงตะกร้าอีกครั้ง

     

    “นิดเดียวก็ไม่ได้ อยากผอมไม่ใช่หรอ ต้องอดทนสิ”

     

    “งื้อ..

     

    ฉันมองตามส้มลูกเดิมที่ย้ายกลับไปอยู่บนชั้นวางอีกครั้ง เมื่อความอยากชนะทุกสิ่ง ปากจึงประกาศลั่นโดยไม่ต้องคิด

     

    “ไม่ลงไม่ลดมันแล้ว! เอามา ฉันจะกิน!

     

    ไม่เพียงแต่ส้ม ฉันยังศิโรราบให้กับมินิคอกเทลหมูรมควันและมาร์เบิ้ลเค้กอีกหนึ่งชิ้นใหญ่ เอาเป็นว่าแผนการไดเอทจึงถูกพับเก็บเข้าลิ้นชักไปโดยเรียบร้อย

    ยัยหมวยอ้วน เลยกลายเป็นฉายาใหม่ที่ยองเบโอปป้าใช้แกล้งฉันมาตลอดทาง

     

    “ยัยหมวยอ้วน”

     

    “พอแล้ว เลิกเรียกฉันแบบนี้ซะที”

     

    “ยัยหมวยอ้วน”

     

    “ฉันโกรธจริงๆด้วยนะ TT

     

    ปากบอกว่าโกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาหัวเราะเสียงดัง ไม่รู้จะขำอะไรกันนักกันหนา จนกระทั่งเท้าทั้งสองที่เดินเคียงกันมาหยุดชะงัก พี่ยองเบพูดราวกับนึกอะไรขึ้นได้

     

    “เออจริงสิ พี่มีอะไรจะให้เธอล่ะ”

     

    เขาเปิดกระเป๋าเป้ตัวเองออกและหยิบของบางสิ่งขึ้นมา มันคือบัตรขนาดเท่ากับนามบัตรสองใบ ใบหนึ่งเป็นพลาสติกแข็งเคลือบ ส่วนอีกใบเป็นกระดาษแข็งเนื้อดีพิมพ์ลายเดียวกับบัตรพลาสติกนั่น

     

    “อะไรคะ”

     

    ฉันรับมาอย่างงงๆ แต่อีกคนไม่ตอบ พี่ยองเบยิ้มราวกับให้ฉันอ่านเอาเอง

     

     

    ‘ SUN RISE THE PANIC

    Tribute to Dong Youngbae

     

    19 JUN 2014

    7 – 10PM at Precious Hall’




     

    ในแวบแรกฉันไม่เข้าใจ แต่เมื่อค่อยๆอ่านทีละบรรทัด ตาก็เบิกโตด้วยความตื่นเต้น

     

    “ค..คอนเสิร์ตหรอ? นี่มันชื่อพี่นี่! พี่จะแสดงคอนเสิร์ตจริงๆหรอคะ?”

     

    “ยัยบ๊อง ดูดีๆสิ พี่เป็นคนแต่งเพลงนะไม่ใช่นักร้อง”

     

    ฉันเอียงคออย่างไม่เข้าใจ แล้วเขาก็ยิ้ม

     

    “เพลงของพี่จะถูกร้องบนเวทีนี้”

     

    เขาชี้ให้ดูตัวอักษรเล็กๆด้านล่างของบัตร มันคือรายชื่อของศิลปินชื่อดังที่ฉันรู้จักทั้งหมด ทั้งคนที่ได้ชื่อว่าเป็นราชินีเพลงบลูส์ หรือศิลปินเดี่ยวที่กำลังโด่งดังเป็นอย่างมากในเวลานี้

    พวกเขาทั้งหมดจะมาร้องเพลงของยองเบโอปป้าในคอนเสิร์ตนี้ .. มันคือการแสดงที่มีเขาเป็นผู้ประพันธ์..

     

    ฉันรู้สึกดีใจแทนอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งได้เห็นแววตามีความสุขของเขาด้วยก็ยิ่งดีใจ เหมือนกับว่า ความฝันของผู้ชายคนนี้ได้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว

     

    “ยินดีด้วยนะคะ พี่สุดยอดเลย! เก่งที่สุดเลย!

     

    เขาขยี้หัวฉันแล้วหัวเราะ “ถ้างั้นเธอต้องมาดูคอนเสิร์ตให้ได้นะ บัตรนี่ยังไม่มีขายที่ไหน พี่เอามาให้เธอคนแรกเลยรู้มั้ย”

     

    คนแรก..

    ด้วยคำนั้น ที่ทำให้ฉันรู้สึกร้อนฉ่าที่ข้างแก้ม ราวกับว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ เป็นคนที่เขานึกถึงก่อนใคร แค่คิดแบบนั้นชีพจรภายในก็เต้นถี่รัวอย่างบ้าคลั่ง

     

    “แล้วเสาร์นี้ว่างใช่มั้ย”

     

    “ก็.. ว่างค่ะ ทำไมหรอ”

     

    “ไปงานแถลงข่าวคอนเสิร์ตกับพี่นะริน”

     

    คำพูดของเขาทำให้ฉันหน้าเหวอ แล้วถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ

    “หา?.. เอ่อ.. รินเข้างานได้ด้วยหรอคะ”

     

    “เข้าได้สิ พี่ให้บัตรเชิญเธอไปแล้วไง”

     

    ฉันพลิกดูบัตรกระดาษแข็งอีกใบ มันคือบัตรเข้าเชิญงานแถลงข่าว ทั้งยังมีรอยหมึกที่ประทับตราเป็นคำว่า แขกกิติมาศักดิ์

     

    “แล้วถ้าไป รินต้องทำอะไรบ้างอ่ะคะ”

     

    “ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็แค่เดินเป็นเพื่อนพี่ ระหว่างนี้ก็หาชุดสวยๆใส่ไปงานก็พอ ตกลงว่าเธอไปนะ”

     

    “เอ่อ.. ค่ะ ไปก็ไป”

     

    คล้ายจะเป็นการบังคับ แต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่เต็มใจ ใครจะรู้ว่าฉันดีใจแค่ไหนที่เขาให้เกียรติกันมากขนาดนี้  ริมฝีปากเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว รอบการสูบฉีดเลือดในหัวใจเพิ่มมากกว่าปกติ มันทำให้ฉันเป็นห่วงว่าหน้าตัวเองจะแดงมั้ยนะ

    ฉันเริ่มเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว เคยคิดว่าถ้าปล่อยไว้ก็น่าจะชินไปเอง แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย

    ยิ่งเวลาผ่านไป อาการแบบนี้ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ใจมันสั่นทุกครั้งเวลาที่เขาอยู่ใกล้ และบางครั้งก็ไม่กล้าสบตา ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะมองแล้วกลับไม่เป็นตัวเองซะอย่างนั้น

    ตอนนี้ก็เช่นกัน..

     

     

     

     

     

     





     

    ใครก็ว่าความสุขมักอยู่กับเราได้ไม่นานนัก ฉันไม่เคยเข้าใจความจริงข้อนี้จนกระทั่งได้มาเจอกับตัวเอง ในตอนค่ำของวันถัดมา หลังจากปิดร้านแล้ว ฉันก็ย้ายตัวเองมาจัดการกับแก้วกาแฟที่กองพะเนินอยู่ในอ่างล่างชาม แล้วพี่ซึงฮยอนก็เดินเข้ามาหา ในมือถือกระดาษสีขาวมาใบหนึ่ง

     

    “รินเห็นพี่จองอามั้ย”

     

    “ไม่เห็นเลย ทำไมหรอ”

     

    “จะเอาบิลค่าน้ำแข็งมาให้ นี่เดินหาทั่วร้านแล้วไม่รู้พี่แกไปอยู่ไหน พี่ต้องรีบกลับด้วยสิ”

     

    “งั้นฝากรินไว้ก็ได้นะ ถ้าเจอแล้วเดี๋ยวเอาให้เอง”

     

    “เอางั้นหรอ.. ก็ได้ ฝากด้วยละกัน ขอบใจนะ”

     

    ฉันรับกระดาษสีขาวมาพับใส่กระเป๋าเสื้อ หลังจากคว่ำแก้วใบสุดท้ายลงตะแกรง ผ้ากันเปื้อนถูกถอดออกและแขวนไว้ในที่ประจำ ฉันเดินเข้าไปหาพี่จองอาที่หลังร้าน ปกติเมื่อปิดร้านแล้ว เธอมักจะนั่งทำบัญชีอยู่บนโต๊ะสีน้ำตาลตัวเล็กนั่น แต่วันนี้กลับพบเพียงสมุดนามบัตรและมือถือของเธอเท่านั้น

    ฉันเดินเข้าไปใกล้ๆ ตัดสินใจวางบิลที่พี่ซึงฮยอนฝากมาลงบนโต๊ะ หยิบตัวทับกระดาษมาทับไว้กันปลิว แล้วสายตาก็พลันสะดุดกับบัตรสีน้ำตาลเข้มที่ยื่นออกมาจากสมุดนามบัตร

    แม้จะเห็นเพียงเสี้ยว แต่กลับให้ความรู้สึกคุ้นตาราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ด้วยความอยากรู้จึงทำให้ลืมนึกถึงมารยาท ฉันดึงมันออกมาจากสมุด มันมีมากกว่าหนึ่งใบ ใบแรกเป็นพลาสติกเคลือบ อีกใบเป็นกระดาษแข็งพิมพ์ลายเดียวกัน

     

    ‘SUN RISE THE PANIC

    Tributed to Dong Youngbae’

     

    ตัวหนังสือบนบัตรเขียนไว้แบบนั้น ก่อนที่ที่ความชาหนึบจะจับเข้าที่ใบหน้าของแชรินคนนี้

     

    ไม่อยากเดาว่าเลยพี่จองอาได้บัตรคอนเสิร์ตสองใบนี้มาจากไหน มันทำให้ฉันรู้สึกอายจนอยากเอาหน้ามุดลงรูซะเดี๋ยวนั้น

    อายที่คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาให้ความสำคัญกับฉันแค่คนเดียว..

    ดังนั้นฉันจึงเก็บบัตรเข้าที่เดิม และเดินออกมาจากห้องนั้นด้วยสติที่เหมือนถูกกระชากออกไป

     

    เป็นความจริงที่ว่าฉันเป็นคนแรก..

    แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเป็นคนเดียวที่เขา นึกถึง































    --------------------------------------------------------------------------------------------


    รู้สึกว่าหายไปนานมากเลยอ่ะฮือออออออ เค้าขอโทษเน้อ T_T

    ปล. แอบมาแก้ไขตอนเก่าๆด้วยแหละ อิอิ
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×