ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ......Dirt...... [BIGBANG x 2NE1]

    ลำดับตอนที่ #7 : Stand by you

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 57


     

     

    “ขออนุญาตเสิร์ฟกาแฟนะคะ”

     

    ฉันแกล้งส่งเสียงให้ดังกว่าปกติ พี่จองอาสะดุ้งตกใจ เธอปลีกกายออกมาจากอ้อมกอดนั้นทันที ในขณะที่ยองเบโอปป้ากำลังมองมาทางฉันด้วยสายตาที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก

    เกิดความเงียบในเหตุการณ์ มีเพียงเสียงฝนตกกระทบหลังคากันสาด ฉันรู้สึกถึงความอึดอัดที่แทรกตัวอยู่ในทุกอณูอากาศตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยีบลงบนพื้นไม้เฉลียงจนกระทั่งวางแก้วกาแฟลงที่โต๊ะกลมเล็ก ไม่มีใครสักคนที่เปิดปากพูดอะไร นั่นทำให้ฉันเกร็งตามไปอย่างช่วยไม่ได้

     

    “นี่ร้านนูน่าหรอ” เป็นเสียงของยองเบโอปป้าที่ทำลายความอึดอัดนี้

     

    “อะ..อื้อ เปิดมาได้สองปีแล้วล่ะ”  พี่จองอาสะอื้นนิดๆ เธอกำลังเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ

     

    “พี่เคยบอกว่าร้านกาแฟเป็นความฝันของพี่”

     

    “นั่นสินะ.. เกือบลืมไปเลย ตอนแรกก็รู้สึกอย่างนั้นแหละ พอเหนื่อยมากๆเข้าก็มีบางครั้งที่รู้สึกไม่อยากทำ แต่ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรดี ยังดีที่มีน้องๆคอยช่วย”

     

    ประโยคสุดท้ายผู้พูดเหมือนจะมองมาทางฉัน ฉันเดินถอยออกมา ค้อมหัวลงนิดๆเพื่อให้รู้ว่าเสร็จหน้าที่ของฉันแล้ว ก่อนที่จะออกไปทางประตู คำถามของพี่จองอาก็ทำฉันให้หันกลับมา

     

    “นี่ริน.. พี่เห็นยองเบกับเธอเดินมาด้วยกัน  รู้จักกันหรอ”

     

    “อยู่ห้องใกล้กันน่ะ ผมเพิ่งย้ายเข้ามาที่คอนโดนี่”

     

    เป็นเสียงของพี่ยองเบที่ตอบขึ้นมาทันควัน .. ทำไมล่ะ? เขาทำอย่างกับไม่อยากให้ฉันพูดอะไรงั้นแหละ

     

    “อ๋อ.. ตอนแรกนึกว่ารินพาแฟนมาแนะนำให้พี่รู้จักซะอีก กำลังจะแซวแล้วว่าหาได้แค่นี้หรอ”

     

    ประโยคนั้นตบท้ายด้วยการหัวเราะ จริงอยู่ที่พี่จองอาพยายามทำตัวให้ร่าเริง แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเศร้าในดวงตาที่เปียกชุ่มนั้นได้เลย

     

    “โห.. หน้าตาผมมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอนูน่า” พี่ยองเบยิ้ม เขาดูผ่อนคลายขึ้นนิดหน่อย

     

    “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่หน้าตานายหรอก .. ส่วนสูงต่างหากล่ะไอ้น้อง ฮ่าๆๆ”

     

    ฉันอดขำให้กับความจริงขอนั้นไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยสังเกตส่วนสูงอันน้อยนิดเมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานชายเกาหลีของพี่ยองเบ แต่เมื่อมายืนเทียบกับจองอาออนนี่ที่สูงเกือบร้อยเจ็ดสิบแล้ว .. แทบไม่เห็นความแตกต่าง

     

    “ถามจริงเถอะ ผ่านมาจะหกปีแล้วนายสูงขึ้นบ้างมั้ยเนี่ย”

     

    คนถูกแซวส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่มีความโกรธอยู่ในน้ำเสียงนั้น “พี่นี่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”

     

    “สวยใช่มั้ยล่ะ”

     

    “ขี้บ่น”

     

    “พี่ไม่สะดุ้งสะเทือนกับคำพูดนายหรอกจ้ะตะ .. ตายแล้ว.. ตายๆๆ โอ๊ย.. ฉันไม่น่าเสียน้ำตาให้นายเลยยองเบ มาสคาร่าเลอะหมด ยี่ห้อนี้ยิ่งแพงๆอยู่ด้วย”

     

    ไม่พูดเปล่า ร่างบางกระวีกระวาดหยิบทิชชู่บนโต๊ะขึ้นมาเช็ดคราบเครื่องสำอางใต้ตา ปากก็บ่นกระปอดกระแปด

     

    “ฉันไม่น่าไปชอบคนอย่างนายเลยจริงๆ เตี้ยก็เตี้ยล่ำก็ล่ำ รินเองก็ฟังพี่ไว้นะ อย่าไปหลงคารมอีตานี่เชียวล่ะ คนอะไรปากหวานยิ่งกว่าน้ำตาลปี๊ป”

     

    ฉันพยักหน้ายิ้มแหะๆ มองพี่จองอาสลับกับคนโดนว่าที่ไม่มีปากเสียงใดๆ

    สรุปว่าสองคนนี้เคยเป็นมากกว่าเพื่อนจริงๆสินะ..

     

    “มานี่มา ให้ผมเช็ดให้”

     

    ยองเบโอปป้าเดินเข้าไปหาอีกคน เขาแย่งทิชชู่จากมือข้างนั้น แล้วเช็ดลงเบาๆที่ใบหน้าของเธอ

     

    “อย่าคิดว่าทำดีแล้วฉันจะใจอ่อนนะยะ คิมจองอาพูดคำไหนคำนั้นไม่มีวันเปลี่ยน”

     

    “พี่คิดมากไปรึเปล่า ผมไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้ว”

     

    “พอๆเลย ฉันไม่เชื่อนายหรอก”

     

    “พี่นี่ดื้อจัง”

     

    “เอ๊ะ ว่าฉันหรอ”

     

    “ทีพี่ยังว่าผมก่อน..

    คนสองคนยื้อยุดทิชชู่ในมือกันไปมา เสียงหัวเราะดังขึ้นต่างจากบรรยากาศตอนแรกลิบลับ แต่เป็นฉันเองที่ไม่ได้รู้สึกดีไปด้วยเลย บทสนทนาของพวกเขาเหมือนจะผลักฉันให้ออกห่างไปทุกที ฉันไม่มีโอกาสได้พูดอะไร

    โดยเฉพาะพี่ยองเบ.. เหมือนเขาจะลืมไปว่าฉันยังอยู่ตรงนี้ ทั้งๆที่ไม่กี่นาทีก่อนยังล้อฉันว่าเป็นยัยหมวยตาตี่อยู่เลย

     

    “งั้นรินขอตัวก่อนนะคะ”

     

    ฉันค่อยๆผละตัวออกมาจากตรงนั้น ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย ให้ตายสิ อารมณ์ในอกมันปนเปเรรวนกันไปหมด ทั้งอึดอัด ไม่พอใจ น้อยใจ..

    แต่ทำไมล่ะ?

    ในเมื่อสองคนนั้นไม่ได้ทำผิดอะไร

    ก็เขาเคยเป็นคนรักกันมาก่อนนี่ จะทักทายกันตามประสาก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี

     

    ฉันพ่นลมออกมาจากปาก สะบัดหัวไล่ความคิดต่างๆนานาที่พาแต่จะทำให้หงุดหงิด

    ฉันหงุดหงิด โดยไม่มีสาเหตุ .. ลีแชรินคนนี้กลายเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

     

    “รินออนนี่~” เสียงใสดึงสติฉันให้กลับมายังภาพตรงหน้า ประตูร้านเปิดกว้างพร้อมกับเด็กหญิงผมแดงที่ตรงเข้ามาคว้าหมับที่เอวฉันและกอดแรงๆจนหายใจแทบไม่ออก

     

    “ไม่ได้เจอตั้งวันนึง คิดถึงงง”

     

    กงมินจีทำหน้าออดอ้อนเหมือนลูกหมาขอขนม ฉันยิ้มให้กับท่าทางนั้น ความหงุดหงิดเมื่อครู่เหมือนหายไปกับอากาศ แม้แขนเล็กๆยังคงรัดแน่นไม่มีท่าว่าจะปล่อย แต่ฉันก็ยินดีที่จะรับสัมผัสนั้นจากคนตัวเล็ก

     

    “อะไร แค่วันเดียวเอง เว่อร์ไปรึเปล่า” ฉันว่ายิ้มๆ มินจีดูมีความสุข นั่นทำให้ฉันมีความสุขไปด้วย

     

    “วันเดียวก็เกินพอแล้ว เมื่อวานนี้ไอ้บ้าซึงฮยอนแกล้งเค้าทั้งวัน”

     

    คำพูดจากคนหน้ามุ่ยทำฉันหัวเราะ เป็นที่รู้กันว่าชเว ซึงฮยอน..บาริสต้ามือหนึ่งของร้านมีนิสัยกวนประสาทเพียงใด โดยเฉพาะกับสาวน้อยผมแดงตรงหน้าเธอนี้จะโควต้าหนักกว่าใครเป็นพิเศษ

     

    “นี่  เลิกงานแล้วออนนี่ว่างป่าว ไปดูหนังกับเค้าหน่อยนะ”

     

    “วันนี้หรอ?”

     

    “อื้อ ไปนะๆๆๆ ไม่ได้ดูหนังกับออนนี่มาตั้งนานแล้ว น้า..

     

    มินจีคลายกอดแล้วเขย่าแขนฉันไปมา ส่งเสียงงุ้งงิ้งในคำขอร้อง ฉันได้แต่ครุ่นคิดอย่างหนักใจ เพราะดูก็รู้ว่าเธอต้องการคำตอบอย่างไร ฉันไม่อยากทำลายความหวังนั้น.. แต่ในขณะเดียวกันภาพเหตุการณ์เมื่อวานก็ย้อนเข้ามาในมโนสำนึก มันติดตาฉันราวกับเพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่นาที ฉันยังไม่พร้อมจะออกไปไหนเลย

     

    “คือ..วันนี้พี่ไม่..

     

    “น้า..

     

    คำปฎิเสธถูกกลืนหายลงคอเมื่อเจอเข้ากับสายตาอ้อนวอนของอีกคน อยากรู้จริงๆว่าแชรินที่ความทรงจำยังปกติดี เธอขี้ใจอ่อนเหมือนฉันคนนี้มั้ยนะ..

     

     

     

     

     

    “โรคจิต! โรคจิต! หนังบ้าอะไรโรคจิตชะมัด ทีหลังจะไม่ดูแล้ว”

     

    เด็กหัวแดงบ่นอุบเช็ดน้ำตาป้อยๆ มือหนึ่งถือโค้กเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ที่เพิ่งฉายเสร็จ เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้

     

    “เธอเลือกดูเรื่องนี้เองนะมิน”

     

    “ใครจะไปรู้อ่ะว่ามันจะเลือดสาดขนาดนี้ ตอนแรกก็นึกว่าหนังผีธรรมดา เสียดายตังสุดๆเลย”

     

    จะไม่ให้เสียดายตังได้ยังไง ในเมื่อตลอดการฉายภาพยนตร์สยองขวัญ คนข้างฉันเอาแต่ยกมือปิดตาตัวสั่นงกๆหลังชนเบาะ แต่พอชวนออกจากโรงก็ไม่ไป บอกว่าอยากดูให้จบก่อน

     

    “วันหลังเราก็มาดูเรื่องอื่นกันอีกสิ เดี๋ยวพี่เลี้ยง”

     

    “จริงหรอ พี่รินสัญญาแล้วนะ”

     

    “อื้อ”

     

    รู้สึกว่าการออกมาเที่ยวกับมินจีเป็นการตัดสินใจที่ถูก เด็กคนนี้ทำให้ฉันลืมเรื่องร้ายๆเมื่อวาน และความหงุดหงิดเมื่อเช้าไปได้มาก สองมือน้อยๆคอยตามเกาะแขนฉันไม่ห่าง แต่มันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดเลยสักนิด ด้วยความที่เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกัน และมินจีก็มีนิสัยน่ารัก เธออ่อนโยน ไร้เดียงสาเหมือนเด็กๆ แม้ปากจะเอาแต่พร่ำพูดว่าเธอเป็นแฟนฉัน แต่แท้จริงแล้วมินจีก็ไม่ต่างจากน้องสาวน้อยๆที่น่ารักคนหนึ่งเลย

    เมื่อออกจากโรงภาพยนตร์ก็ลงไปชั้นล่างที่เป็นศูนย์การค้า เราเข้าออกร้านเสื้อผ้า เดินดูของน่ารักๆตามประสาผู้หญิงด้วยกัน โชคดีที่รสนิยมของฉันกับมินจีไม่ต่างกันนักเราเลยคุยกันรู้เรื่อง

     

    “หาอะไรกินก่อนกลับดีมั้ย” ฉันถามความเห็นอีกคนที่จู่ๆก็หงุดชะงักแล้วมองเข้าไปในร้านอาหารอิตาเลียนราวกับถูกสะกด

     

    ภาพสปาเกตตี้ไวท์ซอสเสิร์ฟคู่เบคอนทอดกรอบชิ้นโตติดประดับอยู่หน้ากระจกร้าน เรียกแววตาเป็นประกายจากกงมินจีได้ไม่ยาก

     

    “กินนี่กันนะ!

     

    ดวงตากลมโตส่งมาให้ฉันอย่างดีใจ ฉันพยักหน้าแล้วจูงมือเล็กๆเข้าไปในร้าน

    เด็กหนอเด็ก..

     

    “สองท่านนะคะ เชิญทางนี้ค่ะ” พนักงานสาวผายมือให้ฉันเดินตามเข้าไปที่โต๊ะว่างสองตัว ยังไม่ทันจะนั่ง เสียงมินจีก็ดังขึ้น

     

    “นั่นพี่จองอานี่นา มากับใครก็ไม่รู้”

     

    ฉันมองตามมือของอีกคนไปยังโต๊ะซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เก้าอี้ทั้งสองถูกจับจองโดยคนสองคนที่ดูท่าทางสนิทสนมกันดี หนึ่งคือเจ้าของร้านกาแฟวัยสามสิบยังสาว ส่วนอีกคนก็เป็นคนที่ฉันก็คุ้นหน้าคุ้นตาดีเช่นกัน

    พี่ยองเบ..

     

    “พี่จองอะ..!

     

    “อย่าไปกวนเขาเลยน่ะมิน” ฉันกระตุกแขนมินจีไว้ทันทีไม่ให้เธอเดินไปโต๊ะนั้น

     

    “ทำไมล่ะ”

     

    “ก็..คือ..

     

    นั่นสิ.. ทำไมล่ะ..

    ฉันไม่สามารถตอบแววตาสงสัยของเด็กผมแดงนี้ได้เลย อาการฉันเริ่มล่อกแล่ก มองคนตรงหน้าสลับกับสองคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไปมา

    ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ หวนนึกถึงเมื่อเช้าที่ยองเบโอปป้าร่ำลาพี่จองอาก่อนออกจากร้านกาแฟ .. โดยไม่หันมาพูดคุยกับฉันสักนิด

    ไม่แม้แต่จะบอกคำว่า พี่ไปแล้วนะ

    ไหนว่าฉันเป็นน้องสาว? พี่ชายที่ดีเค้าทำกันแบบนี้น่ะหรอ .. ตาบ้า!

     

    ฉันเลยไม่อยากเจอหน้าเขา แต่เหมือนพระเจ้าจะกลั่นแกล้ง สายตาคมกริบของพี่จองอากวาดมองมาทางฉันและมินจี ก่อนที่ใบหน้านั้นจะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม แขนเรียวโบกไปมากลางอากาศให้เป็นจุดสนใจ

     

    “แชริน! มินจี! เธอเรียก

     

    แล้วฉันก็รู้สึกถึงแรงดึงของมินจีที่ลากฉันเข้าไปที่โต๊ะนั้น โดยไม่ฟังเสียงทัดทานของแชรินคนนี้เลย..

     

    “เป็นไงมาไงเนี่ย มาเที่ยวกันหรอ มานี่ๆ มานั่งด้วยกันนี่แหละ .. ขอเมนูเพิ่มสองชุดด้วยนะคะ” ประโยคสุดท้ายคนอายุมากกว่าหันไปบอกกับพนักงานสาว หล่อนพยักหน้าแล้วเดินออกไป

    ฉันและมินจีนั่งลงตรงข้ามกัน ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ฉันได้นั่งฝั่งเดียวกับพี่ยองเบ ฉันยิ้มเจื่อนๆให้คนอายุมากกว่าทั้งสอง ด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรในอารมณ์นี้

     

    “มินนี่ยองเบนะ เพื่อนพี่เอง ส่วนนี่ก็มินจี เป็นน้องที่ช่วยงานที่ร้านน่ะ” พี่จองอาแนะนำคนสองคนให้รู้จักกันเสร็จสรรพ แต่คนตัวเล็กตรงข้ามฉันกลับขมวดคิ้วราวกับคิดอะไรบางอย่าง

     

    “มินว่ามินเคยเห็นพี่ยองเบนะ”

     

    “สองวันก่อนพี่มาที่ร้านครั้งนึงไง ตอนนั้นมินจีกับแชรินก็อยู่นะ”

     

    สะดุ้งนิดๆเมื่อจู่ๆก็ถูกเอ่ยชื่อขึ้นมาซะอย่างนั้น พี่ยองเบมีท่าทางสบายๆ ผิดจากฉันที่รู้สึกเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่

     

    “อ๋อ.. นึกออกแล้ว คนนั้นนั่นเอง..

     

    น้ำเสียงของเด็กผมแดงเปลี่ยนไปทันที มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามินจีกำลังคิดอะไรอยู่ เธอคงอยากจะเข้าไปนั่งแทรกระหว่างฉันกับพี่ยองเบแน่ๆ โชคดีที่มินจีโตพอที่จะไม่ทำอะไรแบบนั้น เธอละสายตาเขม่นจากเขาแล้วหันไปกระแซะถามคนข้างๆแทน

     

    “วันนี้จองอาออนนี่จะเลี้ยงใช่ม้า~

     

    “เปล่าซะหน่อย พี่จะออกให้ก่อนแล้วไปหักเอากับเงินเดือนพวกเธอทีหลัง”

     

    คำตอบชัดเจนจากเจ้าของร้านทำเอาลูกน้องอย่างฉันและมินจีหน้าเหวอ เรียกเสียงฮาจากเธอได้เป็นอย่างดี

     

    “จะบ้าหรอ ล้อเล่นน่ะ! อยากกินอะไรก็สั่งเลยพี่เลี้ยงเอง ส่วนของนายต้องจ่ายเองนะจ๊ะคุณยองเบ”

     

    พี่จองอาหันไปยิ้มจนตาปิดให้กับยองเบโอปป้า เขาจึงแกล้งแสดงท่าทางไม่พอใจเพื่อรับมุก

     

    “ไม่เจอกันตั้งนาน นูน่าไม่คิดจะเลี้ยงผมหน่อยหรอ”

     

    “ฝันไปเถอะ โทษฐานที่หายไปเป็นปีๆไม่ยอมติดต่อมาบ้างเลย” คนพูดสะบัดเสียงใส่ยองเบโอปป้า แล้วหันมาถามฉันกับมินจีพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น “ตกลงว่ายังไง มาเดทกันหรอเธอสองคน”

     

    ฉันกำลังจะปฎิเสธ แต่เสียงเล็กๆก็ชิงตอบขึ้นทันที

     

    “ใช่ค่ะ เรามาดูหนังกัน หนังน่ากลัวมากเลยเนอะพี่รินเนอะ”

     

    “อะ..อื้ม” ฉันได้แต่แอบถอนหายใจเงียบๆแล้วพยักหน้าไปตามน้ำ

     

    แล้วเมนูสองชุดก็ถูกวางลงตรงหน้า เมื่อสั่งอาหารเสร็จพี่จองอาก็เริ่มชวนคุยอีกครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงสนทนาของพี่ใหญ่คนสวยกับมักเน่เสียมากกว่า ในขณะที่พี่ยองเบพูดบ้าง แต่ฉันกลับเงียบราวกับมีใครมากดสวิสต์ปิดปากเสียอย่างนั้น

    นั่นเพราะการกระทำของพี่ยองเบที่คอยดูแลจองอาออนนี่แทบตลอด ไม่ว่าจะตักอาหาร หยิบซอส คอยเรียกบริกรให้ ไปจนกระทั่งเช็ดปาก..

     

    “พี่นี่กินเลอะเป็นเด็กๆไปได้”

     

    เขาบ่นราวกับว่าเบื่อหน่ายซะเต็มประดา แต่น้ำเสียงและการกระทำกลับไม่ใช่อย่างที่พูด สองคนนั้นหัวเราะกันคิกคัก ในขณะที่ฉันก็รู้สึกเหมือนอยากเบือนหน้าหนี

    ไปสวีทกันไกลๆจะได้มั้ย..

     

    ฉันกำส้อมเขี่ยถั่วลันเตาในจานไปมา เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ฝนที่เทมาตั้งแต่เช้าเพิ่งจะหยุด ฟ้องให้เห็นว่าอากาศวันนี้แปรกปรวนหนักกว่าวันไหนๆ

     

    “อาหารไม่ถูกปากหรอ ทำไมนั่งเงียบเลยล่ะ”

     

    เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากบุคคลใกล้ๆ พี่ยองเบทำให้ทุกคนบนโต๊ะหันมาสนใจฉันเป็นตาเดียว นั่นทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูก ตอบไปแบบตะกุกตะกัก

     

    “ปะ..เปล่าค่ะ อาหารอร่อยมาก รินแค่..แค่เหนื่อยๆน่ะค่ะ”

     

    “ออนนี่ไม่สบายหรอ” มินจีโพล่งขึ้นมาอย่างเป็นห่วง ฉันส่ายหน้ายิ้มๆ

     

    “พี่แข็งแรงดีจ้ะ ไม่ต้องห่วงนะ”

     

    “งั้นก็กินนี่เยอะๆ มินให้หมดเลย”

     

    บล็อกโคลี่กับเนื้อปลาชิ้นโตถูกตักมาวางลงในจานฉันด้วยฝีมือของกงมินจี ไม่ทันไรพี่จองอาก็แซวอีกครั้ง

     

    “เอ้าๆ ดูแลกันดีจังเลยนะคู่นี้”

     

    “ก็พี่แชรินเป็นแฟนเค้าอ่ะ ไม่ดูแลแฟนแล้วจะให้ดูแลใคร”

     

    น้ำที่กำลังดื่มแทบพุ่งออกมาจากปาก เมื่อมินจีพูดคำว่าแฟนต่อหน้าคนอื่นได้เต็มปากเต็มคำ โดยไม่ถามความเห็นของฉันเลย..

     

    “แค่กๆๆ”

     

    “เอ้าริน! กินน้ำอีท่าไหนล่ะเนี่ย”

     

    “พี่รินใจเย็นๆค่ะ ไม่เป็นไรใช่มั้ย เอานี่ทิชชู่..

     

    ก่อนที่มินจีจะส่งกระดาษทิชชู่มาให้ มือหนาของคนข้างๆก็ยื่นของสิ่งเดียวกันมาตรงหน้าฉันซะแล้ว

    ฉันมองทิชชู่สีขาวสลับกับหน้าคนถือไปมา พี่ยองเบยัดมันลงในมือฉันพร้อมกับพูดเบาๆ

     

    “เอาไปสิ”

     

    “ขะ..ขอบคุณค่ะ แค่กๆ”

     

    ฉันยังคงสำลักจนน้ำตาไหล ต้นเหตุมาจากความไม่ระวังของฉันและคำพูดของเด็กหัวแดงตรงหน้า ฉันเห็นสายตาไม่พอใจของมินจีที่มองมา พี่ยองเบจะรู้สึกตัวมั้ยฉันเองก็ไม่รู้ เห็นแบบนี้แล้วอึดอัดจริงๆ มีแต่เรื่องให้ปวดหัวทุกทีสิน่า..

     

    หลังจากนั้นพี่จองอาก็เรียกเก็บเงิน เราตัดสินใจแยกย้ายกันกลับ แต่ปัญหามันอยู่ที่มินจีซึ่งดึงดันที่จะไปส่งฉันที่คอนโดให้ได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าคนที่กลับกับฉันคือยองเบโอปป้า

     

    “ให้มินไปส่งนะพี่ริน นะๆๆๆ” ร่างเล็กเขย่าแขนฉันไปมา ฉันสังเกตว่านี่เป็นท่าทางออดอ้อนของผู้หญิงคนนี้ ซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยใช้ได้สำเร็จ แต่จะต้องไม่ใช่ครั้งนี้

     

    “อย่าเลย บ้านเราอยู่คนละทาง นี่ก็มืดแล้วด้วยพ่อแม่เธอจะเป็นห่วงเปล่าๆ”

     

    “นั่นสิ เธอขึ้นรถไปกับพี่ดีกว่า” พี่จองอาเสริม เธอเป็นคนเดียวที่เอารถมาด้วย และบ้านของเธอกับมินจีก็ไม่ได้ห่างกันเท่าไหร่นัก

     

    “ไม่เอา ฉันอยากไปเป็นเพื่อนพี่รินมากกว่า”

     

    “ยองเบก็ไปด้วยแล้วไง” พี่จองอาแย้ง

     

    “ก็..

     

    ก่อนที่จะได้อ้าปากเถียงไปมากกว่านี้ ฉันก็คว้ามือนุ่นข้างนั้นขึ้นมาจับ พูดกับมินจีเสียงอ่อน

     

    “มินกลับบ้านไปเถอะนะ ถ้ามาส่งพี่ มินก็ต้องกลับเอง ทำแบบนั้นพี่จะเป็นห่วงเปล่าๆ”

     

    “แต่ว่ามิน..

     

    “อย่าทำให้พี่หนักใจสิ”

     

    พูดประโยคที่เป็นเหมือนการเขวี้ยงระเบิดออกไป แล้วมันก็ได้ผลทันตาเห็น ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเธอมีแววครุ่นคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยเสียงแผ่ว

     

    “งั้นถ้าพี่รินถึงคอนโดแล้วต้องโทรหามินทันทีนะ”

     

    เป็นคำพูดที่ทำให้ฉันยิ้มออก อย่างน้อยมินจีก็ไม่ใช่เด็กดื้อ ฉันตอบตกลงทันที

     

    “โอเคจ้า”

     

     

     

     

    หลังจากแยกกันแล้ว ฉันกับยองเบโอปป้าก็ออกไปรอรถประจำทางที่หน้าห้าง เราไม่ได้พูดอะไรกัน คนข้างๆฉันกำลังปิดกั้นตัวเองอยู่ในโลกส่วนตัวด้วยหูฟังสีขาวที่เสียบอยู่ในหู สองมือซุกกระเป๋าเสื้อ เหม่อมองออกไปบนถนนลาดยาง ทำอย่างกับไม่ได้มาด้วยกันเสียอย่างนั้น

    จนกระทั่งรถโดยสารสีเหลืองคันโตมาจอดลงตรงหน้า เสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้ฉันสะดุ้ง

     

    “รถมาแล้ว ไปกันเถอะ”

     

    ฉันพยักหน้าเดินตามเจ้าของเสียงไป บนรถแออัดไปด้วยคน ซึ่งเป็นภาพบรรยากาศชินตาของเวลาหลังเลิกงานแบบนี้ ฉันยืนกอดกระเป๋าตัวเองอยู่ตรงท้ายรถ ในขณะที่อีกคนกดไอพอดเลือกเพลงอย่างสบายอารมณ์

    ฉันมีความรู้สึกอยากกระชากหูฟังนั้นออกมาให้รู้แล้วรู้รอด

     

    “แชริน”

     

    เป็นเสียงจากคนข้างกายที่ตายังไม่ละออกจากไอพอดเครื่องน้อย

     

    “คะ”

     

    ฉันตอบรับไป แม้จะไม่แน่ใจว่าเขามีเจตนาเรียกกันจริงๆหรือเปล่า

     

    “คบอยู่กับมินจีหรอ”

     

    ฉันงง มันไม่น่าเป็นคำถามที่หลุดออกมาจากปากผู้ชายคนนี้เลย เพราะตอนอยู่ที่ร้านอาหาร เขาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะยินดียินร้ายในเรื่องของฉันกับมินจีเลยสักนิด

    เห็นๆกันอยู่ว่าคนที่เขาเทความสนใจให้หมดหน้าตัก คือพี่จองอาแค่คนเดียว

     

    “ถามทำไมคะ”

     

    “ก็แค่อยากรู้ เหมือนเด็กคนนั้นจะหึงเธออยู่ตลอดเวลา”

     

    เขาคงรู้ตัวสินะว่าโดนมินจีเขม่น..

     

    “เปล่าค่ะ เราแค่สนิทกันเฉยๆ มินจีเหมือนน้องสาวฉัน”

     

    “จริงหรอ? สรุปว่าไม่ได้คบกัน?”

     

    “จริงสิคะ ฉันจะโกหกพี่ทำไม”

     

    พี่ยองเบหันมามองหน้าฉัน มั่นใจว่าร้อยเปอร์เซนต์ของผู้หญิงทุกคนจะต้องรู้สึกแปลกๆไปกับสายตาคู่นั้นของเขาแน่ๆ .. ฉันเองก็ด้วย

     

    “แล้วเธอคิดอะไรกับมินจีรึเปล่า”

     

    “อะ..เอ่อ มินจีเป็นเด็กน่ารักนะคะ ไม่แน่ใจว่าก่อนความจำเสื่อม ฉันสนิทกับเธอมากน้อยแค่ไหน ตะ..แต่ว่าเธอนิสัยดี คุยด้วยแล้วสบายใจ..

     

    “อ่าฮะ.. เธอได้คิดอะไรกับมินจีมั้ย”

     

    คนถามยิงคำถามเดิม ฉันเริ่มสูญเสียความเป็นตัวเองนิดหน่อย การพูดดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที

     

    “ไม่ค่ะ..” ฉันตอบเสียงแผ่ว

     

    “ถ้าเธอไม่ได้คิดอะไร พี่ว่าควรจะบอกมินจีไปตรงๆนะ เพราะดูท่าทางเด็กคนนั้นจะไม่ได้คิดกับเธอแค่พี่สาวแน่นอน”

     

    พี่ยองเบพูดถูก ใช่ว่าฉันเองจะดูไม่ออก เพียงแต่ไม่อยากปฎิเสธเธอด้วยวิธีใจไม้ไส้ระกำก็เท่านั้น มินจีอาจจะต้องเสียใจ ฉันเองก็ไม่อยากนึกภาพใบหน้าสดใสของเด็กคนนั้นเวลาเปื้อนน้ำตาเลย

     

    “แต่มินจีชอบฉันมากนะคะ”

     

    “แต่เธอไม่ได้ชอบมินจี”

     

    ฉันเงียบ เถียงอะไรไม่ออก ทำได้เพียงหลบสายตาคู่นั้นที่ได้มองก็ยิ่งอยากจะหายตัวไปซะเดี๋ยวนั้น

     

    “เธอคงไม่รู้ว่ากำลังให้ความหวังเด็กคนนั้นอยู่ ทำแบบนี้มันไม่ดีเลยนะริน”

     

    ฉันได้แต่ก้มหน้าสลด คิดทบทวนคำพูดของเขาไปมาก่อนจะสะบัดมันออกไปไกลๆ

     

    “เรื่องนั้นเดี๋ยวฉันจัดการเองแหละค่ะ ว่าแต่พี่เถอะ ยังชอบจองอาออนนี่อยู่ใช่มั้ย”

     

    “หือ? เธอพูดอะไรของเธอ”

     

    “ทำไมจะดูไม่ออก ฉันรู้นะว่าพี่กับพี่จองอาเป็นมากกว่าเพื่อน เล่นจู๋จี๋กันซะขนาดนั้น ถึงกับขนาดลืมฉันเลย..” ประโยคท้ายนั้นแผ่วเบา แต่หากดังพอให้อีกฝ่ายได้ยิน

     

    “พี่ลืมเธอตอนไหน”

     

    หน้าตาไม่รู้เรื่องรู้ราวของเขา เห็นแล้วก็ยิ่งชวนให้ของขึ้น นี่เขาไม่รู้ตัวจริงๆน่ะหรอว่าทำอะไรลงไป

     

    “ก็ที่ร้านกาแฟเมื่อเช้าไงคะ อยู่ๆก็ออกไป ไม่ร่ำไม่ลากันสักคำ”

     

    “อ้อ.. ทำไมล่ะ งอนหรอ? ถึงว่าตอนกินข้าวไม่พูดไม่จา ทำหน้าอย่างกับลูกแมวอมน้ำลาย”

     

    “ปะ..เปล่าซะหน่อย อย่ามาว่าฉันนะ”

     

    ฉันตอบเสียงขุ่น รู้สึกอุ่นๆที่สองข้างแก้มจนต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคำถามที่ถามออกไปยังไม่ได้รับคำตอบก็หันกลับไปอีกครั้ง

     

    “ตกลงว่าพี่ยังชอบจองอาออนนี่อยู่จริงๆใช่มั้ย”

     

    “เราเลิกกันแล้ว”

     

    น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาหนักแน่นและจริงจัง เล่นเอาคนฟังอย่าฉันผงะไปนิดหน่อย แต่ก็ยังแกล้งทำใจดีสู้เสือกันไป

     

    “ตอบไม่ตรงคำถามเลยนะคะ”

     

    “แล้วจะอยากรู้ไปทำไม ใช่เรื่องของเด็กมั้ยฮะยัยหมวย”

     

    มือข้างนั้นโคลงหัวฉันไปมา ท่าทางและน้ำเสียงอ่อนลงกว่าเมื่อครู่ แต่มันกลับทำฉันหงุดหงิดที่ไม่ได้คำตอบที่ต้องการ

     

    “บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเรียกฉันว่าหมวย .. พี่คะ.. นี่ ฟังฉันอยู่มั้ย ..นี่.. ยองเบโอปป้า!

     

    บอกฉันทีว่าอะไรคือการที่เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียดื้อๆ ไม่ตอบคำถามฉันแล้วยังมากวนประสาทกันอีก คนบ้า มัวแต่ฟังเพลงอยู่นั่นแหละ เคยเห็นมั้ยไอพอดลอยได้น่ะ

     

    แล้วก็ต้องยอมแพ้ทั้งๆที่ความอยากรู้อยากเห็นยังไม่สิ้นสุด ฉันเบือนหน้าจากเขาไปอีกทางอย่างเซ็งๆ รถคันแล้วคันเล่าวิ่งสวนกันในอีกเลนถนน ผู้คนไปมาขวักไขว่อยู่บนไหล่ทาง ฉันเหม่อมองมันเพลินๆ แต่สมองกลับไม่ได้จับจดอยู่กับสิ่งเหล่านั้นแม้แต่นิด

     

    ราบรื่นเกินไป..

    วันนี้กำลังผ่านไปโดยไร้เหตุการณ์ใดๆที่ทำให้ฉันขวัญผวา ไม่มีคนเดินตาม ไม่มีอุบัติเหตุ สิ่งเดียวที่ฉันกลัวคือพัสดุปริศนาและข้อความที่มีชื่อผู้ส่งว่า Rabbit

    ยิ่งสงบเป็นปกติมากเท่าไหร่ ความกังวลก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น

    เมื่อไหร่เรื่องบ้าบอนี่จะจบลงสักทีนะ ฉันไม่กล้าเอ่ยปากบอกมันกับใคร เพราะกลัวว่าจะเป็นการนำเรื่องเดือดร้อนไปให้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง สิ่งที่ฉันต้องการคือเจตนาของคนที่อ้างตัวเองเป็น Rabbit อยากคุยกับเขาตรงๆ เจรจากันด้วยเหตุและผลว่าฉันไปทำอะไรให้เขา เขาถึงได้ส่งข้อความและสิ่งของแปลกๆมาให้ฉันได้รู้สึกจิตตกได้แบบนี้

    ผนวกกับคดีของพโยฮเยมีที่ยิ่งค้นหาก็ยิ่งเหมือนเดินเข้าสู่ทางตัน ฉันเข้าไปในระบบนักเรียนของโรงเรียนซานึนเพื่อหาข้อมูลของเด็กคนนี้ โชคดีที่ชื่อของเธอยังไม่ถูกลบออกจากฐานข้อมูล แต่สิ่งที่ฉันได้รับมีเพียงเกรดการเรียนที่ดีเด่นกับตำแหน่งนักเรียนตัวอย่างของเธอเท่านั้น

    ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว เมื่อไหร่ความจำจะกลับมาสักทีนะ

     

    ล้อยางสี่เส้นใหญ่ชะลอลงตรงหน้าสถานที่อันคุ้นเคย ผู้คนจำนวนหนึ่งทยอยกันลงจากรถ รวมไปถึงฉันและยองเบโอปป้าด้วย เราเดินกันไปเงียบๆ เรื่อยมาจนกระทั่งใกล้ถึงคอนโด คนข้างๆฉันยังคงอยู่ในโลกของเขาพร้อมกับเสียงเพลงที่อุดหู ฉันเริ่มจะชินซะแล้วล่ะ

     

    ผลั่ก!

     

    “โอ้ย”

     

    ฉันร้องเสียงหลง ด้วยแรงกระแทกที่พุ่งเข้ามาชนไหล่จนกระเด็น เกือบจะล้มลงไปแล้วถ้าพี่ยองเบไม่ช่วยประคองอยู่ข้างๆ

     

    “เป็นอะไรมั้ย”

     

    ฉันไม่ได้ใส่ใจในคำถามนั้น เมื่อมองไปข้างหลังก็เห็นผู้ชายที่ชนฉันเมื่อสักครู่กำลังวิ่งห่างออกไป เขาสวมหมวกแก๊ปสีดำ เสื้อยืดสีดำ และกางเกงยีนส์ขาดๆสีซีด ฉันคงคิดว่ามันเป็นเพียงอุบัติเหตุธรรมดาไปแล้ว ถ้าหากคนๆนั้นไม่หันหน้ากลับมา แสยะยิ้ม และมองฉันด้วยสายตาเย็นเฉียบจนน่าขนลุกแบบนี้

     

    “ชนก็ไม่ขอโทษ คนสมัยนี้มารยาทหายไปไหนหมด” เสียงพี่ยองเบดังอยู่ข้างหู เขามองตามผู้ชายเสื้อดำที่วิ่งห่างออกไปพลางส่ายหน้า

     

    “นั่นสิคะ..

     

    เราเดินเข้าไปในคอนโด ฉันเหลือบมองตู้จดหมายและก็ต้องโล่งใจที่พบว่ามันว่างเปล่า แต่เพียงไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น ในขณะที่กำลังผ่านหน้าล็อบบี้ เสียงใสของพนักงานสาวก็เรียกฉันเอาไว้

     

    “คุณแชรินห้อง A2013 รึเปล่าคะ”

     

    “ใช่ค่ะ มีอะไรหรอคะ”

     

    ฉันมองหล่อนอย่างสงสัย ในมือคู่นั้นถือของบางสิ่งเอาไว้ ทันทีที่ฉันได้สังเกตและรู้ว่ามันคืออะไร ความรู้สึกชาวาบก็แล่นปราดเข้ามาในร่างกายแทบจะทันที

     

    “มีคนฝากของไว้ให้คุณน่ะค่ะ”

     

    กล่องกระดาษสีขาวขนาดเล็กกว่ากล่องรองเท้านิดหน่อย มันถูกห่ออย่างมิดชิด บนหน้ากล่องปราศจากสแตมป์และเครื่องหมายประทับตราใดๆ มีเพียงชื่อผู้ส่งและผู้รับที่อยู่ตรงมุมขวาล่างเท่านั้น

     

    ‘From Rabbit

     

    To Lee Chaerin’

     

    หน้าฉันถอดสี เพียงแค่เห็นชื่อของมัน ร่างกายฉันก็เริ่มแปรปรวน รู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมาทันที

     

    “คะ..ใครเป็นคนฝากให้ฉันคะ”

     

    ฉันตัดสินใจถาม หัวใจเต้นตุบๆ คาดหวังอย่างมากในคำตอบของพนักงานสาวคนนี้

     

    “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เขาไม่ได้บอกชื่อไว้”

     

    “แล้วคุณจำหน้าตา หรือการแต่งตัวของเขาได้รึเปล่า”

     

    “เอ..เป็นผู้ชายค่ะ ตัวสูงๆ ใส่หมวกกับเสื้อสีสำ เขาเพิ่งเอาของมาฝากไว้ไม่ถึงห้านาทีนี้เอง น่าจะสวนกับคุณอยู่นะคะ”

     

    ไม่ผิดแน่..

    ฉันผละออกมาโดยไม่ขอบคุณหล่อนหรือฟังเสียงเรียกจากพี่ยองเบเลย เท้าทั้งสองพาตัววิ่งย้อนกลับไปในทางเดิมที่เพิ่งผ่านมา สายตามองหาใครบางคนที่ฉันอยากพบมากที่สุด

    Rabbit.. ฉันเจอเขาแล้ว คราวนี้แหละจะได้คุยกันให้รู้เรื่องสักที!

     

    “ออกมาสิ! ถ้านายยังอยู่แถวนี้ก็ออกมา ฉันแชรินไงล่ะ แน่จริงก็ออกมาหาฉันตัวต่อตัวเลยสิ!

     

    ฉันตะโกนลั่นเหมือนคนบ้า หันไปรอบๆมีเพียงแสงสีส้มที่สาดลงมาจากโคมไฟข้างถนน ไร้การเคลื่อนไหวจากสิ่งมีชีวิตใดๆ ลมเย็นเฉียบเสียดแทงเข้าไปถึงผิวเนื้อใต้ร่มผ้า แต่สองขมับและกำมือกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ผุดออกมา

    แล้วกลิ่นเหม็นของควันบุหรี่ก็ลอยขึ้นมา ฉันหับขวับ ที่หลังเสาไฟ.. มีใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น เขาปรากฎตัวขึ้นมาราวกับเสกเวทมนตร์.. ผู้ชายเสื้อดำที่วิ่งชนฉันเมื่อสักครู่ บัดนี้เขามายืนอยู่ตรงหน้าฉัน ริมฝีปากหนานั้นคีบบุหรี่เอาไว้ หน้าตาที่เทไปทางเอเชียตะวันออกกำลังซ่อนรอยยิ้มที่น่ากลัวจนฉันผงะถอนหลังไปสองก้าว

     

    “ใจเด็ดจริงๆเลยแม่คุณ” เสียงโทนต่ำนั้นเย็นยะเยือก เขาหัวเราะในลำคอ เป็นเสียงที่ฟังแล้วน่ากลัวกว่าที่จินตนาการเอาไว้

     

    และฉันก็กลั้นใจถามออกไป “นายใช่มั้ยที่ส่งของ ส่งข้อความมาให้ฉัน”

     

    “อ่าฮะ  ป้ายนั่นก็ฝีมือฉันเหมือนกัน เก่งมั้ยล่ะ”

     

    ผู้พูดไม่มีวี่แววทุกข์ร้อนใดๆ กลิ่นบุหรี่ฉุนจัดทำฉันเวียนหัว ถอยหลังออกมาอยู่ให้ห่างชายคนนี้ให้มากที่สุด

     

    “ต้องการอะไร จะฆ่าฉันหรอ”

     

    แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นการระเบิดหัวเราะและใบหน้าที่บิดเบี้ยวเพราะอารมณ์ขำสุดขีดของตน บุหรี่มวนเล็กถูกทิ้งลงพื้นและเหยียบอย่างหยาบคาย ก่อนที่ขาวยาวๆคู่นั้นจะก้าวเข้ามาประชิดตัวฉันอย่างเร็ว ฉันถอยกรูด แต่เมื่อแผ่นหลังได้สัมผัสกับกำแพงเย็นๆ จึงรู้ว่าทางหนีนั้นไม่มีแล้ว

     

    “นะ..นายจะทำอะไร”

     

    ฉันจ้องดวงตาเรียวลึกของฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ยี่หระ แม้ความกลัวจะแล่นพล่านทั่วร่างกาย ส่งผ่านออกมาเป็นอาการสั่นน้อยๆในน้ำเสียงก็ตาม

     

    “วางใจได้ ฉันยังไม่ฆ่าเธอหรอก.. มีเรื่องสนุกอีกเยอะที่ฉันเตรียมไว้ให้เธอ คอยดูก็แล้วกันแชริน กระต่ายน้อยตัวนี้จะเอามาเสิร์ฟให้ถึงที่เลยล่ะ”

     

    มุมปากข้างหนึ่งยกยิ้มราวกับได้ซ่อนบางอย่างไว้ในความคิด และฉันก็เห็นมีดพกเล่มหนึ่งในมือกร้านข้างนั้น แสงจันทร์ส่องกระทบวัตถุจนเกิดการหักเหเป็นแสงสีเงิน มันกำลังทาบทับลงบนข้างแก้มที่ร้อนจัดเพราะตื่นกลัวของฉัน แล้วเขาก็หัวเราะร่าอีกครั้ง

     

    “เธอมันบ้าเองนะที่ตามฉันมา ฮ่าๆ”

     

    เสียงหัวเราะของเขาช่างน่ารังเกียจ

     

    ทุกวินาทีที่ใบมีดสีเงินเย็นเฉียบเล่มนั้นลากผ่านผิวหนัง ฉันรู้สึกราวกับหัวใจกำลังดิ่งลงเหว ยิ่งฉันกลัว เขาก็ยิ่งแสดงสีหน้าสะใจในการกระทำ

     

    “ทำไมล่ะ ฉันไปทำอะไรไว้ นายถึงอยากฆ่าฉันแบบนี้”

     

    ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกแก๊ปสีดำมีท่าทีพอใจในคำถาม การเคลื่อนไหวของมีดสีเงินหยุดลง แอบโล่งใจนิดหน่อยที่อย่างน้อยของมีคมก็ถูกยกออกห่างตัวฉันแล้ว

     

    “เพราะเธอต้องชดใช้ในสิ่งที่เธอทำไงล่ะ ลีแชริน!!

     

    เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบกระด้าง ปากแสยะยิ้มสะใจ ดวงตาทั้งคู่ฉายแววโรจน์ราวกับหมาล่าเนื้อ

     

    “แต่จะบอกอะไรให้นะ.. ยิ่งเธอไม่รู้อะไรมากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งสับสน และตายลงอย่างทรมานมากเท่านั้น แล้วพื้นเพของฉันก็ชอบทรมานคนซะด้วยสิ”

     

    ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะที่ทำให้ฉันชาไปทั่วร่าง ฉันสะดุ้งเฮือก กลั้นหายใจ เมื่อมีดปลายแหลมเล่มเดินถูกยกขึ้นมาจ่อที่คอหอย รู้สึกกลัวจนอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ แต่แค่พูดก็ยังไม่กล้าทำในเวลานี้

     

    “กลัวหรอ? หึ.. เธอวิ่งมาหาฉันเองนะสาวน้อย” มือข้างหนึ่งของมันแตะลงบนผ้าก๊อซที่ปิดแผลบนหน้าผากฉันไว้ และกระซิบเสียงพร่า “อยากรู้มั้ยว่าแผลนี้เกิดจากอะไร”

     

    ฉันไม่ตอบ และไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น แต่ผู้ชายคนนี้ไม่ได้สนใจในความรู้สึกข้อนี้เลย เสียงแตกพร่านั้นยังคงพูดต่อไป

     

    “ของที่ฉันส่งไป ลองเปิดดูสิ ..แล้วเธอจะรู้เอง”

     

    สิ้นประโยค เสียงฝีเท้าหนักๆก็ดังขึ้น ใครบางคนกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ แล้วเสียงทุ้มที่คุ้นเคยที่เอ่ยเรียกชื่อฉันก็ทำให้ฉันหันไปทันที

     

    “แชริน!

     

    ยองเบโอปป้า..

     

    แค่ได้ยินเสียง ก็ทำให้ฉันรู้สึกอยากร้องไห้

    ในเวลาที่ฉันต้องการใครสักคนมากที่สุด.. แล้วเขาก็เข้ามา

     

    ปากกำลังตะโกนเรียกให้ช่วย แต่แขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของคนตรงหน้ากลับเข้ามาล็อกคอฉันไว้จากด้านหลัง และเหวี่ยงตัวฉันไปประจันหน้ากับผู้มาใหม่ทันที

     

    “เข้ามาสิ นังนี่คอขาดแน่”

     

    พี่ยองเบชะงักกึก ดวงตาของเขาเบิกกว้าง จ้องมองโลหะสีเงินที่กำลังจ่อคอฉันอยู่ ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความตกใจและไม่เข้าใจ ในขณะที่ฉันพยายามดิ้นพล่านอยู่ในการเกาะกุมของชายเสื้อดำ

     

    “อยู่นิ่งๆสิวะ!

     

    มันลั่นเสียงเข้าที่ข้างหูฉัน กดแรงเข้าที่คอจนหายใจไม่ออก แต่ฉันไม่ยอมแพ้ ดิ้นอยู่อย่างนั้นทั้งๆที่รู้ดีว่าเป็นการเสียแรงเปล่า

     

    “แกอย่าทำอะไรรินนะ”

     

    คำพูดของพี่ยองเบเรียกเสียงระเบิดหัวเราะจากมันอีกครั้ง มันก้มหน้าลงต่ำ ลมหายใจร้อนฉ่าสัมผัสลงที่ต้นคอฉัน น่าขยะแขยงจนฉันอยากอ้วก

     

    “ปล่อยฉัน!

     

    ฉันร้องลั่น แม้รู้ดีว่าปลายมีดยังคงอยู่ที่เดิม แต่ด้วยการกระทำที่ทุเรศของมัน ฉันยอมที่จะเจ็บตัวซะดีกว่า

     

    “ดิ้นอีกสิ ดิ้นเลย .. ถึงจะดิ้นให้ตายแต่เธอก็ไม่มีวันหนีพ้น ฟังฉันนะแชริน อีกไม่นานเธอจะต้องตาย ฉันนี่แหละจะเป็นคนฆ่าแล้วเอาตับไตไส้พุงของเธอมาประจาน!

     

    “ปล่อย..

     

    คำพูดของมันไม่ได้ล้อเล่น ร่างกายฉันสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัวที่ถาโถม น้ำตาร้อนๆถูกผลักลงมามากมาย ฉันร้องไห้สะอื้นตัวโยน

     

    “เงียบปากของแกไปซะ แล้วปล่อยแชรินเดี๋ยวนี้!” เสียงกร้าวดังมาจากพี่ยองเบที่ยืนกำมือขบกรามแน่น เขามีท่าทีร้อนรน สายตาคู่นั้นเดือดจัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

     

    “หึ..ฉันปล่อยแน่ วันนี้ยังไม่ใช่วันตายของมัน” แล้วริมฝีปากน่าเกลียดนั้นก็กลับมากระซิบที่ข้างหูฉัน ใกล้จนให้ความรู้สึกสะอิดสะเอียนและสกปรก  

     

    “ชื่อของฉันคือคัง แดซอง .. รีบๆเรียกตำรวจมาจับนะ ฉันจะรอ”

     

    ทันทีที่แขนข้างนั้นปลดปล่อยพันธนาการ ร่างฉันก็ถูกผลักไปหาพี่ยองเบอย่างแรง เขารับฉันไว้ มองและถามฉันอย่างเป็นห่วง

     

    “เจ็บตรงไหนรึเปล่า”

     

    ฉันส่ายหน้า ทั้งๆที่น้ำตายังไหลอยู่อย่างนั้น

     

    เสียงหัวเราะของมันยังคงดังอยู่ต่อเนื่อง ใบหน้าใต้หมวกแก๊ปสีดำสนิทแสยะยิ้ม ชูมีดเล่มนั้นขึ้นมาและมองพี่ยองเบอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า

     

    “จะตามมาก็เอา แต่ฉันจวกไม่เลือกแน่”

     

    มันถอยหลังไปสองสามก้าว และวิ่งออกไปตามทางที่ไร้ผู้คน ไม่ทันไรฉันก็รู้สึกถึงการเคลื่อนที่ของยองเบโอปป้า จึงรีบดึงเสื้อเขาไว้ด้วยแรงที่มี

     

    “อย่าไปนะ!” ฉันตะโกนลั่น จับเสื้อเขาไว้แน่น ในขณะที่อีกฝ่ายมองฉันด้วยแววตาสงสัยปนหงุดหงิด

     

    “ไม่เห็นหรอว่ามันมีมีด ฉันห้ามพี่ไป!

     

    “แต่มันจะฆ่าเธอนะริน!

     

    “ช่างมัน ฉันดูแลตัวเองได้ เรื่องนี้พี่ไม่เกี่ยว”

     

    ทั้งทีในใจนั้นกลัวสุดขีด ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป แต่ฉันเลือกที่จะโกหกเพียงเพราะไม่อยากให้เขาต้องบาดเจ็บ

    เรื่องนี้เป็นเรื่องของฉัน .. ฉันควรต้องจัดการมันด้วยตัวเอง

     

    “เธอจะบ้าไปแล้วหรอ!” พี่ยองเบหันไปมองทางที่ไร้แววของผู้ชายเสื้อดำเมื่อครู่ แล้วสบถออกมาอย่างเดือดดาล “โถ่เว้ย! มันหนีไปแล้ว!

     

    ฉันปาดน้ำตาลวกๆ สายตาตำหนิของพี่ยองเบทำให้ฉันรู้สึกผิด แล้วร่างกายมันก็หนักอึ้งขึ้นมาเสียดื้อๆ ขาทั้งสองไร้เรี่ยวแรงจนฉันร่วงลงไปกองกับพื้น

     

    “แชริน! เขาร้องขึ้นมาอย่างตกใจ ย่อตัวลงมาประคองฉันไว้ทันที

     

    “ไม่เป็นไรค่ะ ก็แค่ล้ม.. รินไม่เป็นไร”

     

    “แน่ใจหรอ” เสียงของเขาดังอยู่ข้างๆ พี่ยองเบกำลังไถ่ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “เจ็บตรงไหนมั้ย ลุกขึ้นเดินไหวรึเปล่า”

     

    ฉันส่ายหน้า ก้มลงเพื่อซ่อนบางอย่างไว้ไม่ให้เขาเห็น แต่ร่างกายกลับไม่เป็นดั่งใจปรารถนา

     

    “ริน..

     

    ยิ่งเขาพูด ความอบอุ่นก็ยิ่งแทรกซึมเข้าในหัวใจที่หวาดกลัว ฉันปัดมือที่พยายามประคองฉันออกไป แต่ยิ่งขัดขืน สิ่งที่ได้รับกลับมายิ่งตรงกันข้าม

     

    “ไม่เป็นไรนะริน”

     

    ด้วยคำพูดนั้น แรงสะอื้นของฉันก็เพิ่มขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด เขาดึงฉันเข้าไปกอดเบาๆ รับรู้ถึงสัมผัสอุ่นๆจากมือหนาๆที่ลูบลงบนกระหม่อม ฉันซบใบหน้าลงไปกับไหล่กว้างนั้นและร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย

     

    “โอปป้า ฉัน..ฮึก.. ฉันกลัว ฉันกลัว..

     

    รู้สึกเหมือนอุณหภูมิเย็นเฉียบของมีดเล่มนั้นยังคงอยู่บนผิวเนื้อ สายตา คำพูด และรอยยิ้มอันน่ารังเกียจของคนเลวที่ชื่อว่าคังแดซองยังตรึงอยู่ในหัวสมอง ฉันข่มตาลง พยายามไล่สิ่งเหล่านั้นออกไปแต่หากไม่สำเร็จ

    เพิ่งรู้สึกว่าความตายมันน่ากลัวแบบนี้นี่เอง..

     

    น้ำตามากมายไหลลงมาบนเสื้อของอีกคนจนชุ่ม ฉันร้องออกมาราวกับเด็ก ระบายสิ่งที่อยู่ในจิตใจออกมาอย่างอัดอั้น พี่ยองเบยินดีให้ฉันใช้ไหล่นั้นไว้พักพิง เสียงและสัมผัสจากมือนั้นคอยปลอบฉันอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา

     

    “ไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว พี่จะอยู่ข้างเธอเอง”

      







    ----------------------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีค่ารีดเดอร์ทุกคน ทั้งนักอ่านเงาและก็คนที่แสดงตัว (อันน้อยนิด ถถถถ)ตั้งแต่ลงฟิคมายังไม่เคยคุยอะไรเลยเนาะ 
    ไม่มีไรมากกกก แค่อยากขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เม้นบ้างไม่เม้นบ้างไม่ว่ากัน แค่เห็นยอดวิวขึ้นก็ดีใจแล้ว
    ตอนนี้อาจจะมีพิมพ์ผิดบ้างไรบ้างอย่าว่ากันเนาะ พยายามจะอัพให้บ่อยที่สุดแต่มันได้แค่นี้จริงๆ ทั้งเรียนทั้งช่วยที่บ้านขายของน่ะ ฮืออออ TT
    ใจจริงอยากให้เรื่องนี้จบนะ เพราะวางพล็อตไว้แล้ว ช่วงพีคๆมันจะอยู่ตอนท้ายๆ บางตอนเลยอาจจะน่าเบื่อหน่อย แต่ก็อยากให้ทนอ่านกันไปก่อนนะคะ ทุกเหตุการณ์มันมีเหตุผลในตัวเองน่ะค่ะ ฮี่ๆๆๆๆ

    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ รักรีดเดอร์มากค่ะ จุ๊บๆๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×