ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ......Dirt...... [BIGBANG x 2NE1]

    ลำดับตอนที่ #6 : Love song

    • อัปเดตล่าสุด 17 มิ.ย. 57


     

     

    ผู้คนมากมายเบียดเสียดแออัดกันอยู่ริมถนน ฉันวิ่งไปอย่างจับจุดไม่ได้ หลายครั้งที่ชนเข้ากับคนู้นคนนี้ แต่ฉันก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ ฉันวิ่งให้เร็วที่สุด หวังเพียงเพื่อจะรอดพ้นจากสายตาประสงค์ร้ายคู่นั้น

    สายตาที่จ้องจะฆ่าฉัน

     

    ป้ายนั่นตกลงมาตรงที่ฉันยืน

    บังเอิญเกินไปหรือเปล่า..

     

    เสียงวุ่นวายจากรถราและผู้คนกำลังปั่นประสาทฉันให้หมุนเคว้ง มือสองข้างยกขึ้นมาปิดหูเพราะไม่อยากได้ยิน ในเวลานี้ฉันรู้สึกไม่ต่างจากหนูที่กำลังเอาตัวรอดในเมืองใหญ่ หนูที่กำลังตื่นกลัวและไม่มีสิทธิทำอะไรได้นอกจากหนี

     

    “แชริน!

     

    แรงหนักๆของใครสักคนดึงแขนฉันจนตัวปลิว ฉันสะดุ้งตกใจ เหวี่ยงแขนข้างนั้นไปมา

     

    “ปล่อย ปล่อยฉัน ออกไปเดี๋ยวนี้!

     

    “คุณเป็นอะไรไป หยุดก่อนสิริน หยุด!

     

    ฉันไม่ฟังเสียงนั้นแม้แต่นิด ตาทั้งสองปิดแน่นไม่อยากรับรู้ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร แต่ยิ่งฉันต่อต้านเท่าไหร่ แรงบังคับจากมือข้างนั้นก็รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

     

    “ไม่เอา ออกไป”

     

    ฉันพึมพำเหมือนคนไม่มีสติ แขนทั้งคู่ถูกมือใหญ่ๆของเขารวบไว้ตรงหน้า ร่างกายดิ้นพล่านไม่ต่างอะไรจากคนบ้า

    จนกระทั่งอีกคนดึงฉันเข้าไปหาตัว ฉันใจหายวาบ ชีพจรเต้นตึกตักด้วยความหวั่นวิตก

     

    “แชริน..ใจเย็นๆ ลืมตาขึ้นมามองผมสิ”

     

    ฉันส่ายหัวอย่างดื้อดึง น้ำใสๆรื้นขึ้นมาที่ขอบตา แล้วความกลัวที่อัดแน่นก็ค่อยๆละลายออกมาเป็นน้ำตาที่อาบสองข้างแก้ม

     

    “ผมยองเบไงริน .. ทง ยองเบ เพื่อนของคุณไง นึกให้ออกสิ”

     

    ยองเบ..

    สมองสั่งการให้ฉันเริ่มรู้สึกตัว คงเป็นเพราะชื่อที่คุ้นเคย ผนวกกับความอ่อนโยนในน้ำเสียงทุ้มต่ำนั้น

     

    แรงบีบที่แขนฉันค่อยๆเบาลง ฉันสูดลมหายใจและผ่อนออกช้าๆ ก่อนจะลืมตามองคนตรงหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ปกคลุม

     

    “ริน..

     

    ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มเหนื่อยๆปรากฎอยู่ ร่างกายหอบน้อยๆ บอกให้รู้ว่าเพิ่งหยุดจากการออกกำลัง

     

    “ไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ย”

     

    ทำไมสายตาคู่นั้นถึงดูเป็นห่วงกันเหลือเกินนะ.. ฉันได้แต่นึกสงสัย ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งรู้สึกผิด ฉันร้องไห้ออกมาอีกอย่างอึดอัด เขาปล่อยข้อมือฉันให้เป็นอิสระ แล้วความอบอุ่นก็สัมผัสลงบนศีรษะของฉัน เป็นมือของเขาเองที่ลูบกระหม่อมฉันเบาๆคล้ายกับเป็นการปลอบ

     

    “ไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว”

     

    “พาฉันกลับบ้านนะคะ” ฉันขอร้อง บังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่นแม้จะเป็นเรื่องยากเย็นก็ตามที

     

    “ครับ กลับบ้านกัน”

     

    ยองเบมีคำถามมากมายที่คงอยากจะถามฉัน แต่เขาเลือกที่จะเงียบ ฉันมองมือข้างนั้นที่กุมมือขวาฉันไว้หลวมๆ เมื่อฉันรู้สึกระแวงกับคนที่เดินผ่าน เขาจะบีบมือฉันเบาๆราวกับเตือนให้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ เราสองคนสนทนากันโดยไร้เสียง คนๆนี้รู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคำพูด เขาทำให้ความกลัวของฉันเบาบางลง เมื่อถึงคอนโดมือข้างนั้นก็ปล่อยออกอย่างสุภาพ น่าแปลกที่ฉันใจหายกับการกระทำนี้โดยไร้สาเหตุ

     

    “ดื่มน้ำเยอะๆแล้วก็พักผ่อนนะครับ”

     

    นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของยองเบก่อนที่ฉันจะเปิดประตูเข้าห้อง จำไม่ได้หรอกว่าตอบเขาไปว่าอย่างไร รู้เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายมันล้ามาก ฉันไม่สนใจโฮยาที่เข้ามาคลอเคลียดังเช่นทุกวัน สองขามุ่งหน้าไปยังเตียงนอนและล้มตัวลงตรงนั้นโดยทันที

    แม้ร่างกายจะพัก แต่สมองยังคงไม่หยุดทำงาน ภาพป้ายนีออนที่ตกลงมายังคงหมุนเวียนสลับกับข้อความต่างๆที่ฉันได้รับตลอดสองสามวันที่ผ่านมา รวมไปถึงเด็กหญิงที่ชื่อฮเยมีอะไรนั่นด้วย ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวจวนจะระเบิด ทำไมเรื่องราวมันถึงวุ่นวายได้ขนาดนี้กัน..

     

     

     

     

     

     

    “ช่วยด้วย..

     

    หนาว..

     

    “ช่วยฉันที”

     

    เสียงนั่น.. มันมาอีกแล้ว

     

    บนทางที่ทอดยาวไปสู่ความมืดมิด ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดนั้นอยู่ตรงไหน มันอ้างว้างและโล่งกว้างจนน่าอึดอัด ฉันได้ยินเสียงแหบสั่นระคนหอบของใครบางคน การหายใจดูจะเป็นเรื่องลำบากสำหรับเธอ ฉันก้าวช้าๆมองหาต้นตอของเสียงแต่ก็ไม่พบ ทำไมมันหนาวแบบนี้นะ.. ฉันชักจะทนไม่ไหวแล้วสิ อยากจะหนีไปจากที่ตรงนี้เหลือเกิน

     

    “แชรินยา”

     

    เท้าที่กำลังก้าวเดินพลันหยุดชะงัก คนๆนั้นกำลังเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงที่น่าหดหู่ ฉันยังคงมองอะไรไม่เห็น จนกระทั่งความมืดนั้นค่อยๆทุเลาลง จากดำกลายเป็นเทา มันมากพอให้ฉันมองเห็นทางที่ปูด้วยคอนกรีตหยาบๆ และผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนคว่ำหน้าอยู่ไม่ไกลนัก

    เธอสวมชุดนักเรียนที่โชกไปด้วยของเหลวสีเข้ม ร่างนั้นนิ่งสนิท ขาและแขนที่โผล่พ้นยูนิฟอร์มขาวซีดคล้ายศพ .. เธอตายแล้ว

    ใจฉันหยุดนิ่งไปชั่วขณะ รู้ถึงรสชาติเฝื่อนๆของน้ำลายที่อยู่ในคอ ขาทั้งสองถอยหลังไปโดยสัญชาตญาณ แล้วความรู้สึกหนักๆในมือข้างขวาก็ปรากฎขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ฉันกำลังกำบางสิ่งไว้ในอุ้งมือ มันคือด้ามมีดของมีดทำครัวขนาดราวๆยี่สิบนิ้ว แต่ส่วนใบมีดที่ควรจะเป็นสีเงินเงาวับนั้นกลับถูกชโลมไปด้วยเลือดสีแดงสด..

    นี่มันอะไร?

    ฉันปล่อยมีดในมือให้หล่นลงพื้น เสียงโลหะกระทบคอนกรีตบาดลึกเข้าไปในสมอง ร่างกายมันสั่นไปหมด กลิ่นเลือดคลุ้งทั่วบริเวณจนอยากอาเจียน..

     

     

     

     

     

    ก๊อก! ก๊อก!

     

    เสียงเคาะประตูดึงฉันให้ตื่นขึ้น ฉันลืมตามองห้องนอนตัวเองที่มืดสนิท ก้อนเนื้อด้านซ้ายในอกเต้นตุบๆเนื่องด้วยความกลัวจากในฝันยังตามมาหลอกหลอน เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นมาตามขมับ ฉันลุกขึ้นนั่งแล้วลูบหน้าตัวเองแรงๆสองสามทีเพื่อเรียกสติ

    เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนที่กลับเข้ามายังไม่ได้เปิดไฟเลยสักดวง นี่ก็คงผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว ท้องฟ้านอกหน้าต่างกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตัดสลับกับแสงไฟหลอดเล็กหลอดน้อยที่ลอดออกมาจากตึกอาคารต่างๆ

    เสียงเคาะประตูดังอีกครั้ง ฉันสลัดภาพสยดสยองจากความฝันเมื่อครู่ออกจากหัว แล้วเดินตรงไปเปิดประตูให้กับผู้มาเยือน

     

    ยองเบ..

    เขายืนยิ้มให้กันอยู่ที่หลังประตู เมื่อได้เห็นแล้ว ฉันก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

     

    “ผมเอานี่มาให้ครับ”

     

    ฉันเลื่อนสายตาไปมองถุงใสๆที่บรรจุขวดแก้วสองขวด ยองเบยื่นมาให้ฉันรับไว้ มันคือนมพร่องมันเนยและนมสตอเบอรี่ที่ยังอุ่นๆอยู่ เขาคงเพิ่งซื้อมาแน่ๆ

     

    “ทำไมคุณดีกับฉันจัง ทีหลังไม่ต้องลำบากก็ได้นะคะ”

     

    “ไม่ได้ลำบากอะไรเลย จริงๆนะครับ”

     

    เขามองหน้าฉัน ย้ำเสียงหนักแน่นจนฉันยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ

     

    “ยังไงก็ขอบคุณนะคะ.. ในทุกๆเรื่อง”

     

    ฉันเผลอลูบหลังมือตัวเองเบาๆเมื่อนึกถึงตอนที่เขาจับมือฉันมาจนถึงคอนโด ความอบอุ่นจากมือข้างนั้นยังคงอยู่ ปฎิเสธไม่ได้เลยว่ารู้สึกดีแค่ไหนที่มีเขาคอยอยู่ข้างๆเวลาที่ฉันไม่มีใคร อย่างน้อยยองเบก็ทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัย

     

    “คุณทานข้าวรึยังครับ” เขาถาม

     

    “ยังเลยค่ะ เอาจริงๆแล้วฉันเพิ่งตื่น” ฉันแลบลิ้นอายๆ จะว่าไปตั้งแต่กลับมาที่ห้องฉันยังไม่ได้ล้างหน้าเลย สภาพตอนนี้คงเน่าสุดๆแน่ๆ

     

    “งั้นมาทานด้วยกันมั้ย ผมกำลังตั้งหม้อซุปไว้เลย”

     

    เขาใจดีอีกแล้ว..

    จะปฏิเสธก็ไม่กล้า กลัวจะเสียน้ำใจน่ะสิ

     

    “ไม่รบกวนหรอคะ” ถามให้อ้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้

     

    “ไม่หรอกครับ กินข้าวคนเดียวบ่อยๆมันก็เหงา.. เอาเป็นว่ามาทานด้วยกันนะ ผมจะรออยู่ในห้อง เข้ามาได้เลยไม่ต้องเคาะประตู”

     

    เขาพูดเองเออเองเสร็จสรรพ ฉันได้แต่กระพริบตามองปริบๆอย่างไม่รู้จะว่าอะไร ยองเบกลับไปเตรียมอาหารที่ห้อง ส่วนฉันก็ว่าจะล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยก่อน ฉันมองขวดนมสองขวดที่วางคู่กันบนโต๊ะแล้วเผลอยิ้มออกมา อะไรบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาน่ารัก..

     

    หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำความสะอาดตัวเองเรียบร้อย ฉันเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ไปถึงหน้าประตูห้องของเขา ขณะกำลังจับลูกบิด สมองก็นึกถึงเพื่อนสนิทตัวเล็กขึ้นมาทันที

    ถ้าดาร่ารู้ว่าฉันเข้าห้องผู้ชายตอนค่ำมืดแบบนี้ .. เธอคงเป็นบ้าแน่ๆ

     

    ฉันเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป สิ่งแรกที่พบไม่ใช่โซฟาหรือทีวีเหมือนห้องนั่งเล่นของฉัน แต่กลับเป็นเปียโนสีน้ำตาลมะฮอกกานีหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางพื้นโล่งๆ ข้างหน้าต่างมีคีย์บอร์ดไฟฟ้า และกีตาร์ที่ตั้งไว้คู่กับโซฟาสีอิฐ เครื่องดนตรีทั้งสามชิ้นถูกเดินสายเชื่อมเข้ากับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่อยู่อีกฟากหนึ่ง มีลำโพงใหญ่คู่หนึ่งวางขนาบข้าง และเมื่อสังเกตดีๆ  ผนังของห้องนั่งเล่นที่ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นสตูดิโอขนาดย่อมนี้ถูกบุด้วยนวมหนาๆทั้งหมด ดูท่าจะเก็บเสียงได้เป็นอย่างดีทีเดียว

    บนโซฟามีกระดาษกองหนึ่งสุมรวมกันอยู่ มันคือกระดาษบรรทัดห้าเส้นที่เขียนโน้ตตัวกลมๆอยู่เต็มไปหมด กับสมุดอีกเล่มที่เปิดค้างไว้ มันปรากฎลายมือยุกยิกจนถึงค่อนหน้าแล้วหยุดอยู่แค่นั้น เหมือนกับว่าผู้เขียนได้ทิ้งไว้กลางคันด้วยเหตุอะไรบางอย่าง

     

    “มาแล้วหรอครับ”

     

    ฉันหันหน้าไปตามเสียง ยองเบเดินออกมาจากครัว เขาดูแปลกตาด้วยผ้ากันเปื้อนสีตุ่นที่คาดเอวไว้

     

    “คุณเล่นได้หมดนี่เลยหรอคะ” ฉันถามเขาแล้วหันไปทางเครื่องดนตรีพวกนั้น

     

    ยองเบหัวเราะน้อยๆ “ครับ ก็ผมเป็นนักแต่งเพลงนี่”

     

    “จริงหรอ? สุดยอดเลย..

     

    เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงสวมเฮดโฟนอยู่บ่อยๆ กองกระดาษพวกนั้นก็คงเป็นเพลงที่เขาแต่ง ฉันเดินเข้าไปใกล้ๆเปียโน มันใหญ่และดูมีราคาจนฉันไม่กล้าจับเลย

     

    “อยากฟังเพลงที่ผมแต่งมั้ย?”

     

    ฉันพยักหน้าทันทีโดยไม่ต้องรอให้เขาได้ถามอีกรอบ ยองเบนั่งลงที่แกรนด์เปียโน แล้วพยักหน้าให้ฉันลงไปนั่งด้วยกัน

     

    มือคู่นั้นพรมลงไปบนคีย์เปียโน เสียงใสๆดังขึ้นตามแรงกดของนิ้ว เกิดขึ้นเป็นทำนองช้า เนิบนาบ แค่แวบแรกที่ได้ฟังก็ให้ความรู้สึกเศร้าอย่างประหลาด

     

     

     

     

    อีเจน อูซอโด เทว เนกา อิซซอนีกา (ที่ตอนนี้คุณหัวเราะได้ ก็เพราะผมยังอยู่ตรงนี้)

     

    ฮิมดึลออซดอล ฮารูโด อีบามี โอมยอนึน (แม้ว่าราตรีจะล่วงเลยไปสู่กลางวันอันแสนวุ่นวาย)

     

    So I love you นันออนเจกาชี นอเยกยอเท (ผมรักคุณและจะอยู่ข้างคุณตลอดไป)

     

    อูรีซารังเยกี  อีเจนชีชากียา (เรื่องราวความรักของเรากำลังเริ่มต้น)

     

    ซูออบชี ดาทวอซชีมัน อีบยอลโด เฮพวัซชีมัน (เราใช้เวลาร่วมกัน ต่อสู้กันมาตั้งมากมาย)

     

    Cause I love you นันจอลเด นอนโนชีจี อานา (เพราะผมรักคุณ ไม่มีวันที่ผมจะทิ้งคุณไป)

     

    นอลซารังฮานึน มาอึมมึน ออนเจนา ยองวอนแฮ (รักที่ผมมีให้คุณนั้นยังคงเหมือนเดิม)

     

    โชกึมโด พยอนนาชี อานึลเร ชีกยอพวาชวอ  (คอยดูสิ ผมจะไม่มีทางเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย)

     

    เนโซชูมันซารัม เนซัลมี กึทนาโด (คนดี ตราบจนวันตายก็ไม่มีใครแทนที่คุณได้)

     

    ทารึม ซารัมมีนวอซอ นาเอเกน นอฮานามัน อีซือมยอนทเว (คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับผม ทุกสิ่งที่ผมต้องการ)

     

     

     

     

     

     

    เพียงเท่านี้ แล้วการเคลื่อนไหวของนิ้วมือทั้งสิบกลับชะงักลง ฉันมองยองเบอย่างไม่เข้าใจ เมื่อฟังจากความหมายจะรู้ว่านี่เป็นเพลงรัก.. แต่เขาดูจะไม่มีความสุขไปกับมันเลย

     

    “เพลงนี้ผมยังแต่งไม่จบ” เขาพูด และหยุดไป “ผมแต่งให้คนที่ผมรัก แต่ตอนนี้เขาไปแล้ว”

     

    ฉันรู้ว่าการถามว่า เขาไปไหนหรอคะ เป็นการเสียมารยาทอย่างร้ายแรง ดังนั้นฉันจึงเลือกเก็บคำถามนั้นเอาไว้แม้ในใจจะอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม ฉันเห็นความเศร้าอยู่ในดวงตาคู่นั้น แต่เพียงชั่ววินาทีเขาก็กลับมายิ้มให้ฉันเหมือนอย่างเคย

     

    “อยากลองเล่นมั้ย?”

     

    “คะ? ห๊ะ? อ..อะไรนะ เล่น? เปียโนนี่น่ะหรอ”

     

    เขาพยักหน้าเบาๆ

     

    “เล่นได้จริงๆหรอคะ?”

     

    ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ .. ถ้าเกิดไปทำของเขาพังขึ้นมาแชรินคนนี้จะซวยเข้าน่ะสิ

     

    ยองเบไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เขาตอบคำถามโดยการจับมือฉันวางลงไปบนคีย์เปียโน กดเบาๆให้นิ้วสัมผัสลงที่คีย์ขาวและดำจนเกิดเป็นทำนองสั้นๆที่ไพเราะ ฉันค่อนข้างตกใจกับการกระทำของเขา ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนคงคิดว่ายองเบกำลังฉวยโอกาส.. แต่ก็ไม่ นอกจากมือเขาก็ไม่ได้สัมผัสส่วนใดๆของฉันเลย และถ้าเขาจะทำก็คงทำไปตั้งแต่ตอนที่ฉันเป็นลมเมื่อวานแล้ว

     

    “ลองดูอีกทีสิ” 

     

    มือข้างนั้นยกออกไป ฉันพยักหน้าแล้วลองเล่นตามที่คนข้างๆสอนเมื่อสักครู่อย่างเก้ๆกังๆ จังหวะช้าลงกว่าเดิมเล็กน้อยด้วยเพราะไม่เคยจับเครื่องดนตรีมาก่อน แล้วฉันก็มองหน้าเขาเป็นเชิงถามว่าลูกศิษย์คนนี้เป็นไงบ้าง

     

    รอยยิ้มจางๆแต้มอยู่บนใบหน้านั่น คำตอบที่ได้ทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจนิดๆ

    “ไม่เลวเลย”

     

    “พูดจริงหรอคะ งั้นสอนฉันอีกสิๆ”

     

    ฉันยิ้มกว้าง พอได้ยินคำชมก็เริ่มรู้สึกกระตือรือร้นอยากจะเรียนบ้างแล้วล่ะ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ว่าอะไรต่อ เขาเพียงแต่มองฉันนิ่งๆ แววตาคู่นั้นทำเหมือนกับว่าหน้าฉันดูแปลกไป..

     

    “เอ่อ..

     

    ฉันส่งเสียงเอ่ออ่าแสดงอาการเก้อเขิน มือไม้อยู่ไม่สุขเกายุกยิกไปทั่ว ร้อยทั้งร้อยถ้าโดนมองแบบนี้ก็ต้องเขินกันทั้งนั้น

      

    “ผมดีใจนะที่เห็นคุณร่าเริง ผมชอบคุณยิ้ม”

     

    ..อะไรกันเนี่ย ทำไมจู่ๆหน้ามันถึงร้อนขึ้นมาแบบนี้ล่ะ ยองเบก็เหมือนกัน อะไรดลใจให้เขาพูดอะไรแบบนี้ขึ้นมา ที่ฉันทำได้ตอนนี้ก็มีแต่หัวเราะแหะๆกลบเกลื่อนความเขินอายเท่านั้น

     

    “กลับมาเป็นคุณคนเดิมก็ดีแล้ว ผมเป็นห่วงแทบแย่”

     

    เป็นห่วง..คำนี้ฟังแล้วรู้สึกดีจัง

     

    “เป็นห่วงฉันหรอคะ?”

     

    “ห่วงสิ ก็ผมไม่ชอบเห็นผู้หญิงร้องไห้”

     

    ฉันอมยิ้ม หวังว่ายองเบคงจะไม่เห็น

    เขาจะรู้มั้ยนะ ว่าการพูดแบบนี้ทำให้เขาดูเป็นผู้ชายเจ้าชู้..

     

    “มีเรื่องอะไรรึเปล่า คุณดูเครียดๆตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”

     

    ฉันกำลังชั่งน้ำหนักว่าควรจะเล่าเรื่องบ้าๆนี้ให้เขาฟังดีหรือไม่ แต่เมื่อคำตอบที่ได้คือ ไม่ และในขณะเดียวกันก็ไม่อยากโกหกว่าตัวเองสบายดีทั้งๆที่มีปัญหาอยู่เต็มอก จึงตัดสินใจเลือกที่จะเลี่ยง

     

    “ไว้วันหลังฉันจะเล่าให้ฟังดีกว่าค่ะ ตอนนี้หิวแล้ว กลิ่นซุปสาหร่ายใช่มั้ยคะ”

     

    ฉันเปลี่ยนเรื่องพลางบุ้ยใบ้ไปทางกลิ่นหอมๆที่ลอยมาจากในครัว ความจริงมันทำให้ฉันซึ่งหิวท้องกิ่วเกิดอาการน้ำลายสอมาสักพักแล้ว

     

    “ครับ ถ้างั้นเราไปทานข้าวกันเถอะ”

     

    ยองเบลุกขึ้น เขาพาฉันไปนั่งที่โต๊ะทานข้าว บนโต๊ะมีไข่หวาน สลัด และซุปสาหร่ายที่ดูเหมือนเพิ่งเอาลงจากเตาได้ไม่นาน ข้าวสองถ้วยถูกวางลงตรงข้ามกัน หนึ่งถ้วยของฉัน อีกหนึ่งถ้วยของเขา

     

    ยองเบนั่งลงที่เก้าอี้ด้านตรงข้าม แล้วฉันก็ถาม

     

    “คุณทำเองหมดนี่เลยหรอคะ?”

     

    “เรียกโอปป้าสิ”

     

    “โอปป้า?”

     

    เขาพยักหน้า ยิ้มน้อยๆ ต่างจากฉันซึ่งเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

     

    “เรียกแบบนี้ดูสนิทกว่ากันตั้งเยอะ ว่ามั้ย” พูดจบเขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบผักกาดแก้วในจานสลัดเข้าปาก ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ.. โอปป้าหรอ พูดแล้วมันเขินๆ ไม่ชินปากยังไงก็ไม่รู้

     

    “ไม่สะดวกใจหรอ ถ้าไม่ชอบก็เรียกแบบเดิม..

     

    “เปล่านะคะ” ฉันส่ายหน้าทันที ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย.. ไม่ชินก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบนี่

    “ยองเบโอปป้า ให้เรียกแบบนี้ใช่มั้ย?”

     

    เขาไม่ตอบคำถาม แต่ยื่นแขนเข้ามายีหัวฉันเบาๆ “ตอนนี้เธอเป็นน้องสาวของพี่แล้วนะ แชริน”

     

    ด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไปแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นอยู่ลึกๆ มือของเขาอุ่นดีจัง มันชโลมจิตใจที่หวั่นวิตกของฉันให้กลับมาดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ฉันดีใจนะที่เราสนิทกันมากขึ้น อีแชรินเป็นลูกคนเดียวและไม่มีครอบครัว แต่เขาทำให้ฉันรู้สึกราวกับมีพี่ชายที่แสนดีคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง

    บนโลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ใครบางคนคิดจะฆ่าฉัน และเด็กผู้หญิงชื่อฮเยมียังคงเป็นปริศนาที่คาใจฉันอยู่ตลอด ฉันกลัวนะ.. กลัวมากด้วย แต่ถ้าผู้ชายคนนี้ไม่เดินเข้ามาในชีวิตฉัน อะไรต่างๆก็คงจะแย่ยิ่งกว่านี้

    ฉันคงกลายเป็นศพที่อยู่ใต้เศษเหล็กนั่นไปแล้ว

     

    อาหารมื้อนี้อร่อยกว่ามื้อไหนๆ ขอบคุณนะคะ..ยองเบโอปป้า

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ฝนตก..

    ฉันมองฝนหลงฤดูที่เทลงมาจากเมฆสีเทา หยดน้ำเกาะพราวอยู่ข้างกระจก วันนี้ดูหม่นหมองกว่าทุกวัน เป็นบรรยากาศยามเช้าอันแสนขี้เกียจที่ทำให้ฉันไม่อยากเอาตัวออกไปจากห้องเลยจริงๆ .. แต่ทำได้ที่ไหน ในเมื่องานที่ร้านกาแฟกำลังรออยู่

    ฉันเดินเอื่อยๆไปหยิบเสื้อคลุมสีเทามาสวม สะพายกระเป๋าและใส่รองเท้าผ้าใบคู่เดิม เมื่อสำรวจความเรียบร้อยในกระจกแล้วก็เปิดประตูเพื่อก้าวออกจากห้อง และฉันก็พบใครอีกคนที่เดินออกมาจากห้องฝั่งตรงข้ามพอดี

     

    “อรุณสวัสดิ์ริน ไปไหนแต่เช้าเลย”

     

    เขาเอ่ยทักทายฉันก่อน วันนี้พี่ยองเบใส่เสื้อสเวตเตอร์แขนยาวสีน้ำตาล มีหูฟังห้อยอยู่ที่คอราวกับเป็นอวัยวะที่สามสิบสาม ดูท่าทางคงออกไปข้างนอกเหมือนกัน

     

    “ไปทำงานค่ะ ที่ร้านกาแฟข้างล่างนี่ไง”

     

    “ลงไปพร้อมกันเลยสิ พี่กำลังอยากได้กาแฟสักแก้วอยู่พอดี”

     

    หลังจากล็อคประตู ฉันและเขาก็เดินมารอลิฟต์ด้วยกัน สังเกตได้ว่าใต้ตาของเขามีรอยคล้ำ ในมือข้างหนึ่งมีแฟ้มบางๆและสมุดเล่มที่กองอยู่บนโซฟาเมื่อวานนี้

     

    “นอนดึกหรอคะเมื่อคืน”

     

    “ต้องเรียกว่านอนเช้ามากกว่า ปั่นงานทั้งคืนเลย”

     

    “แต่เพลงน่ะหรอ”

     

    พี่ยองเบพยักหน้า “แต่งเสร็จตอนตีสาม แต่ค่ายเพลงนัดมาดูงานตอนสิบโมงน่ะ ฮะๆ”

     

    “ฉันอยากฟังเพลงที่พี่แต่งจัง”

     

    “เมื่อวานก็ฟังไปแล้วไม่ใช่หรอ”

     

    “ฟังไปแค่นิดเดียวเอง กระพริบตาสองทีก็จบแล้ว เอาแบบเต็มๆเพลงสิ”

     

    “งั้นก็ต้องรอก่อน กว่าเพลงจะผ่าน ไม่รู้ว่าจะโดนดองงานด้วยมั้ย”

     

    “พี่ก็เล่นให้ฉันฟังก่อนไม่ได้หรอ เสียงพี่ก็เพราะดีนะ”

     

    “ไม่ได้หรอก มันเป็นความลับของนักแต่งเพลงนะรู้มั้ยยัยหมวย”

     

    ยัยหมวย..

    จียงเคยเรียกฉันด้วยชื่อนี้ แต่เมื่อมันออกมาจากปากของยองเบโอปป้า ความรู้สึกที่ได้กลับแตกต่างกันสิ้นเชิง

     

    “อย่าเรียกฉันแบบนั้นสิ” ฉันว่า น้ำเสียงเมื่อกี้ของเขามีความเอ็นดูจนฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเด็ก แต่ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ..

     

    “ทำไมล่ะ ยัยหมวย” เขาเน้นเสียงในคำสุดท้าย ตั้งใจยั่วฉันให้หงุดหงิดเล่นๆ

     

    “อะไรอ่า.. ฉันไม่ได้หมวยขนาดนั้นสักหน่อย เรียกยัยหมวยๆอยู่นั่นแหละ”

     

    “เธอน่ะหมวยของแท้เลย”

     

    แล้วเขาก็ขำ .. ยองเบโอปป้าเป็นคนขี้แกล้งแบบนี้น่ะหรอ คอยดูสิสักวันฉันจะเอาคืน

     

    ลิฟต์เปิดแล้ว ข้างในมีคนอยู่สองคนเราจึงไม่ได้คุยอะไรต่อ เมื่อลงมาถึงชั้นล่างสุดฉันและพี่ยองเบก็พากันเดินเอื่อยๆไปตามทางอย่างไม่รีบร้อน ปากเรียกยัยหมวยๆจนฉันเริ่มเอือมที่จะเถียงด้วยแล้ว หัวข้อสนทนากลายเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ จนกระทั่งประตูถูกผลักเข้าไปในร้านกาแฟ

     

    “จองอาออนนี่สวัสดีค่า” ฉันส่งเสียงทักทายพี่จองอาที่ตรวจของที่ซื้อมาอยู่ตรงมุมร้าน ที่ร้านยังไม่มีเด็กเสิร์ฟคนไหนมาเลย คงเพราะยังเช้าเกินไป

     

    “สวัสดีจ้า มาแต่เช้าเลยนะ พาใครมาด้วยน่ะเรา”

     

    พี่จองอาพยักเพยิดมาทางพี่ยองเบที่เดินเข้ามาพร้อมกัน ฉันกำลังจะแนะนำเพื่อนบ้านคนนี้ให้เธอรู้จัก แต่แล้วเสียงทุ้มต่ำของพี่ยองเบก็ดังขึ้นมาราวละเมอ

     

    “จองอานูน่า..

     

    ไม่เพียงแต่คนข้างๆฉันเท่านั้น พี่จองอาก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไปเมื่อได้เห็นชัดๆว่าฉันพาใครมา เธอตกใจ ใบหน้าสวยนั้นซีดลงทันที

     

    “ยองเบหรอ ใช่ยองเบรึเปล่า”

     

    เสียงของเจ้าของร้านสาวแหบแห้ง เธอค่อยๆลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ และเดินตรงมาทางเราสองคน

     

    ฉันเห็นพี่ยองเบพยักหน้า เขาไม่ได้พูดอะไรแถมยังกลืนน้ำลายลงคออีกต่างหาก

     

    “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน บังเอิญจังเลยนะ ..

     

    พี่จองอายิ้ม แต่ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะไม่ดีใจกับการได้เจอพี่ยองเบเลย เธอดูแปลกไปจากที่เคย จากสถานการณ์นี้ทำให้ฉันเริ่มสงสัยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

     

    “นูน่าสบายดีมั้ย” แล้วพี่ยองเบก็ถามออกมา

     

    “ก็ดีนะ ไม่ได้ป่วยไม่ได้เจ็บอะไร เธอล่ะ”

     

    “ดีเหมือนกัน เอ่อ..คือ..

     

    “หาที่นั่งก่อนสิ อยากดื่มอะไรก็สั่งได้เลยนะ .. ริน พี่วานเอาของพวกนี้ไปเก็บหลังร้านหน่อย”

     

    ฉันที่มองเหตุการณ์อยู่รีบพยักหน้าแทบไม่ทัน รู้สึกไปเองรึเปล่านะว่าที่พี่จองอาไล่ฉันเป็นเพราะต้องการคุยกับพี่ยองเบแค่สองคน ฉันยกถุงเมล็ดกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าไปหลังร้าน แล้วแอบมองสองคนนั้นอยู่ห่างๆ พวกเขาคุยอะไรกันบางอย่างแล้วพี่จองอาก็พาอีกคนออกไปนั่งที่เฉลียง

    เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมกับความอยากรู้ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องของตัวเองสักนิด แต่ฉันก็ต้องการคำตอบว่าทำไมบรรยากาศเมื่อครู่ถึงได้อึดอัดขนาดนี้ พวกเขาคงไม่ใช่แค่รู้จักกัน ถึงขึ้นเรียกพี่จองอาว่า นูน่า ขนาดนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าต้องสนิทกันไม่น้อยเลย

    เป็นไปได้มั้ย ว่าสองคนนั้นจะเป็นคนรักที่เลิกลากันไปแล้ว

     

    ฉันนี่เพ้อเจ้อจริงๆเลย เขาเป็นอะไรกันก็ไม่เห็นจะต้องสนใจเลยนี่นา หน้าที่ของฉันตอนนี้คือทำงาน ท่องไว้สิแชริน ทำงาน ทำงาน!

    ถ้วยกาแฟที่บรรจุกาแฟร้อนถูกวางลงตรงหน้าฉัน มันคืออเมริกาโน่ที่พี่ยองเบสั่งไว้เมื่อสักครู่ สองมือจับถาดแน่น ฉันเดินตรงไปที่เฉลียงด้านนอก หากแต่ภาพหลังประตูกระจกใสทำฉันหยุดชะงักกลางคัน

     

    พี่จองอาซบหน้าลงกับฝ่ามือ ไหล่ทั้งสองสั่นระริก สะอื้นหนักเสียจนตัวโยน ยองเบโอปป้าเดินเข้าไปใกล้ๆเธอที่พยายามจะเดินหนี ..แล้วเขาก็กอดร่างบางนั้นเอาไว้

     

    วินาทีนั้นเสียงเพลงรักแสนเศร้าของพี่ยองเบก็ลอยเข้ามาในโสตประสาท

    หรือว่า .. เขาแต่งมันให้จองอาออนนี่กันนะ

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×