ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ......Dirt...... [BIGBANG x 2NE1]

    ลำดับตอนที่ #5 : Sinister

    • อัปเดตล่าสุด 6 มิ.ย. 57


     

     

    “เมี๊ยว”

     

    เสียงหง่าวๆกับจังหวะการหายใจแรงๆของเจ้าตัวขนสามสีทำให้ฉันรู้สึกตัวลืมตาตื่น โฮยาทิ้งน้ำหนักตัวอยู่บนอกฉัน ดวงตาใสแป๋วคู่นั้นมองลงมาอย่างสงสัย มันแลบลิ้นสีชมพูของมันเลียจมูกฉันเบาๆ

    นี่คงเป็นวิธีปลุกของแมว..

    ฉันกระพริบตาถี่ๆไล่ความมึนงง เส้นเลือดในสมองบีบตัวให้ความรู้สึกปวดหัวอยู่หน่อยๆ

     

    แล้วมือหนึ่งก็ยื่นมาเอาตัวโฮยาออกไป ฉันจึงพบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ข้างนอกฟ้ามืดแล้ว คงหลับไปหลายชั่วโมงเหมือนกัน .. แต่ที่แปลกคือยองเบกำลังยืนอยู่ข้างๆฉัน เขาอุ้มโฮยาแล้วลูบหัวมันไปมาอย่างเอ็นดู

     

    “แมวนี่ปลุกคุณหรอครับ”

     

    “มันชื่อโฮยาค่ะ ลองเรียกมันสิ”

     

    “โฮยา”

     

    “เมี๊ยว!

     

    เราทั้งคู่หัวเราะให้กับการตอบรับทันทีของมัน ฉันพยุงตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ ร่างกายดูเหมือนจะยังปรับสภาพไม่ได้ ยองเบวางโฮยาลง แล้วมันก็กระโดดขึ้นมาประจำการนั่งข้างๆฉันบนโซฟา

     

    “คุณเป็นลม ผมเลยพาคุณเข้ามาในนี้ ไม่ว่ากันนะครับ”

     

    “ไม่หรอกค่ะ อา .. คุณช่วยฉันไว้อีกแล้วสินะ”

     

    เขายิ้มบางๆ เป็นยิ้มที่เห็นแล้วสบายใจ “เป็นยังไงบ้างครับ ยังเวียนหน้าอยู่มั้ย”

     

    “นิดหน่อยค่ะ แต่ก็ดีขึ้นเยอะแล้ว..

     

    ฉันกวาดตามองไปรอบๆ แล้วสายตาก็พลันสะดุดกับโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะกระจกตรงหน้า

     

    มือถือ.. ข้อความนั้น..

     

    หน้าฉันถอดสีอย่างช่วยไม่ได้ อีกคนก็คงรู้สึกได้เช่นกัน

     

    “สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย แน่ใจนะครับว่าดีขึ้นแล้ว”

     

    “ค่ะ กินยาสักหน่อยก็คงหาย”

     

    ฉันบังคับตัวเองให้เลิกสนใจมือถือเครื่องนั้น แม้จะระแวงอยู่ก็ตามที แล้วจึงพยายามฝืนยิ้มให้เป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลานี้

     

    “คุณมาหาฉันมีอะไรหรอคะ”

     

    “อ่อ.. ผมเห็นคุณใช้ไอโฟน เลยว่าจะขอยืมสาย USB หน่อย ของผมมันเพิ่งพังเมื่อเช้านี้เอง”

     

    “เอาสิคะ เดี๋ยวฉันไปหยิบให้”

     

    ฉันลุกขึ้น แต่คงจะเร็วเกินไปสักหน่อย ลมวูบพัดเข้าหน้า ฉันหน้ามืด แทบจะล้มลงไปเดี๋ยวนั้นถ้ายองเบไม่อยู่ข้างๆ มือสองข้างของเขาพยุงตัวฉันไว้ เป็นฉันเองที่ได้แต่หัวเราะแห้งๆ

     

    “ทรมานคนป่วยรึเปล่าเนี่ย”

    เขาพูดเล่นทีจริง ก่อนจะจับฉันนั่งแหมะลงที่เดิม

     

    “มันอยู่บนโต๊ะคอมพ์ในห้องนอนฉันน่ะ คุณเข้าไปหยิบเลยก็ได้”

     

    ฉันชี้ไปทางห้องนอนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ยองเบเดินเข้าไป หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก ฉันมองนาฬิกาที่บอกเวลาสามทุ่มยี่สิบ พลางนึกสงสัยว่าใครที่มาหากันในเวลานี้

     

    “แชรินยาาาา”

     

    เสียงใสแจ๋วลากยาวของคนหลังประตูตอบคำถามฉันทุกอย่าง มันคือเสียงของซานดาร่า เธอเคาะประตูรัวแถมยังส่งเสียงเรียกทะลุกำแพง ถ้าไม่ลุกไปเปิดให้มีหวังได้โดนคนข้างห้องด่าแน่ๆ

     

    “มีอะไรหรอ” ฉันถามทันทีที่เปิดประตูต้อนรับ ยังไม่ทันได้ตอบ ผู้หญิงตัวเล็กนามว่าซานดาร่าพัคก็แทรกตัวเข้ามาข้างในแล้วลากแขนฉันให้เดินตามเธอไปด้วย

     

    “เดี๋ยวๆๆ อะไรเนี่ย”

     

    “แต่งตัวเดี๋ยวนี้ริน แกต้องไปช่วยฉัน ไอ้จีมันเอาอีกแล้ววว ฉันล่ะเบื่อๆๆๆมันจริงๆ”

     

    “ทำไมล่ะ จึยงทำอะไร”

     

    ดาร่าลากฉันมาถึงหน้าห้องนอน เธอเปิดประตูแล้วผลักฉันเข้าไปข้างใน

     

    “ระหว่างทางจะเล่าให้ฟัง วีรกรรมมันเยอะมากเล่าสามชาติก็ไม่หมด ตอนนี้แกรีบแต่ง..ตัว..

     

    เสียงดาร่าเบาลงจนหายไป คำพูดสุดท้ายของเธอเหลือเพียงแต่ลม พร้อมๆกับดวงตาที่ขยายโตเท่าไข่ห่าน

     

    ฉันรู้ดีว่าทง ยองเบ คือสาเหตุที่ทำให้ดาร่าเป็นแบบนี้

     

    “ผู้ชาย.. อุ๊บ!

     

    เธอยกมือปิดปากแทบไม่ทัน ยองเบมีสาย USB อยู่ในมือ เขามองมาที่ฉันกับดาร่าอย่างไม่เข้าใจเหตุการณ์

     

    “แชริน กะ..แก..

     

    “เอ่อ.. ดาร่า นี่คุณยองเบนะ เขาอยู่ห้องตรงข้ามนี่เอง แค่เข้ามาเอาของในห้องฉันเฉยๆน่ะ .. แล้วก็ ยองเบ นี่เพื่อนฉันค่ะชื่อซานดาร่า”

     

    ฉันอธิบายให้ดาร่าฟังแต่ดูจะไม่ง่ายเลย เธอยังคงตกตะลึงกับการที่ผู้ชายคนนี้มาอยู่ในห้องนอนของฉัน

     

    “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณซานดาร่า”

     

    เขาโค้งให้ ในขณะที่เพื่อนตัวดีของฉันยังคงยืนอยู่ท่าเดิมเหมือนถูกสตั้นท์ไว้ ฉันเลยต้องกระทุ้งสีข้างเธอเบาๆเพื่อให้ทักทายกลับ

     

    “อ่ะ..ค่ะ ยินดี.. ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันนะคะ แหะๆๆ”

     

    เพื่อนของฉันทักทายกลับอย่างเก้ๆกังๆไม่เป็นธรรมชาติ เห็นแล้วก็อายแทนจนแทบอยากจะเอาหน้ามุดดินเสียตอนนี้

     

    “ถ้างั้นผมไม่กวนคุณแล้วนะริน ส่วนสายนี่เอามาคืนพรุ่งนี้ได้มั้ย”

     

    “ได้ค่ะ ฉันไม่รีบใช้อยู่แล้ว”

     

    เขาโค้งให้อีกครั้งเป็นการลา ดาร่าทำหน้าตาพิลึกและมองตามหลังยองเบไปจนเขาก้าวออกจากห้อง

    ทันทีที่ประตูปิดลง เธอก็หันกลับมาโจมตีฉันทันที

     

    “ยัยแชริน! อะไรยังไง บอกมาให้หมด!

     

    “อะไรของเธอเนี่ย”

     

    “ไม่ต้องมาทำแบ๊วเลยนะยะ เดี๋ยวนี้หัดพาผู้ชายเข้าห้องหรอห๊ะ? พ่อแก้วแม่แก้วเจ้าพระคุณเอ๊ย.. อกอิแป้นจะแตก”

     

    “จะบ้าหรอ ไม่ใช่สักหน่อย ก็บอกไปแล้วนี่ว่าเขามายืมของ”

     

    แม้จะตอบไปอย่างนั้นแต่ดาร่าก็ดูจะไม่เชื่อเลยสักนิด

     

    “ไม่ต้องมาแถเลยย่ะ ยืมของอะไรกันถึงห้องนอน บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”

     

    “จะให้บอกอะไรล่ะ ก็มันไม่มีจริงๆนี่”

     

    สายตาดาร่าเพ่งเล็งมาที่ฉันอย่างจับผิด เธอพยายามคาดเค้นคำพูดจากฉัน แต่ก็นั่นแหละ..มันไม่มีอะไรเลย

     

    “ฉัน - ไม่ - เชื่อ”

     

    “ตามใจ .. เอาล่ะ ออกไปได้แล้ว ฉันจะเปลี่ยนชุด” ฉันดันตัวเธอออกไปนอกห้องนอน แต่คนตัวเล็กกว่ากลับไม่ยอมง่ายๆ

     

    “ทำไมต้องเปลี่ยนเรื่อง ฉันว่าต้องมีอะไรแน่ๆ ลางสังหรณ์ฉันแม่นนะบอกไว้ก่อน”

     

    เอ้า.. ยัยนี่..

     

    “แล้วเธอจะเอายังไง ฉันกับเขาเพิ่งรู้จักกันแค่สองวันเองนะ”

     

    “ห๊า?.. แค่สองวัน? แค่สองวันเนี่ยนะ?! แกพาผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันแค่สองวันเข้าห้อง? โอ๊ย.. อะไรเข้าสิงแกเนี่ยแชริน!

     

    ดาร่าไม่ฟังฉันเลย ฉันชักจะปวดประสาทกับเธอเต็มทนแล้ว

     

    “ถ้ายังไม่เลิกพูดเรื่องนี้ ฉันไม่ไปกับเธอแล้วนะ”

     

    ฉันยื่นคำขาด นั่นทำให้คนฟังทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ

     

    “ก็ได้ๆ รีบไปแต่งตัวเลยไป ชิ.. แต่อย่าคิดนะว่าเรื่องนี้จะจบง่ายๆน่ะ”

     

     

     

     






     

    สี่ทุ่มกว่าๆ ดาร่าจอดรถลงที่หน้าไนท์คลับแห่งหนึ่งกลางแหล่งท่องราตรี ประเมินจากสายตาแล้วสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างมีระดับ รถหรูราคาหลักล้านหลายสิบคันจอดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ที่ลานจอดรถ ทันทีที่เหยียบเข้าไปภายใน บริกรหญิงหน้าตายิ้มแย้มก็ออกมาต้อนรับ แต่ดาร่าไม่เสียเวลามาสนใจ เธอพาฉันเดินผ่านเลยไปอย่างไร้เยื่อใย สองขานั้นก้าวฉับๆตรงดิ่งไปยังโซน vip ราวกับว่าเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง ในนี้แออัดและเสียงดังมาก กลิ่นเหล้าบุหรี่ลอยคละคลุ้งอยู่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คน เห็นแล้วมันน่าเวียนหัวจริงๆ

    แล้วเราก็มาหยุดลงตรงหน้าโต๊ะขนาดใหญ่ที่ถูกจับจองโดยกลุ่มผู้ชายประมาณสี่-ห้าคน หนึ่งในนั้นคือควอนจียง ในมือของเขาถือแก้วน้ำบรรจุของเหลวสีอำพัน ตาสองข้างเยิ้มเพราะฤอทธิ์แอลกอฮอล์

     

    “เฮ้ย.. เฮียจี แม่เฮียมาว่ะ”

     

    หนึ่งในสมาชิกร่วมโต๊ะตะโกนลั่นแข่งกับเสียงเพลงในคลับ คนอื่นๆมองมาทางฉันกับดาร่าที่กำลังเดินเข้าไป แล้วเสียงเฮครืนจากพวกเขาก็ดังขึ้นราวกับกำลังดูหนังตลก

     

    “มารับคุณหนูจียงไปนอนหรอครับหม่ามี๊”

     

    ตามมาด้วยเสียงขำก๊าก ดาร่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดูก็รู้ว่าเธอไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

     

    “หม่ามี๊บ้านเตี่ยแกสิไอ้บ้า นี่พวกแกพาเพื่อนฉันมาตำระกำยำบอนอะไรอีก คราวที่แล้วยังไม่เข็ดใช่มั้ยห๊ะ?”

     

    “คราวที่แล้วมันอุบัติเหตุน่ะเจ้ ใจเย็นสิใจเย็น มาๆ มานั่งตักผมนี่มา”

     

    ผู้ชายผมเกรียนที่นั่งข้างจียงตบตักตัวเองเบาๆ พลางทำเสียงอ่อนเสียงหวานที่เห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้

     

    “ทะลึ่งแล้วไอ้ซึงรี หลบไป ฉันจะพาจียงกลับ”

     

    ดาร่าลุยเข้าไปในกลุ่มนั้นเหมือนเรือสำเภาเจาะน้ำแข็ง เธอผลักหัวซึงรีจนหน้าคว่ำแล้วเดินเข้าไปหาจียงที่เมาไม่รู้เรื่อง

     

    “โห่เจ้ .. จะรีบไปไหน มาแล้วก็ดื่มด้วยกันหน่อยดิ นานๆเจ้รินจะโผล่หน้ามาให้เห็นที”

     

    เป็นเสียงของคนๆแรกที่พูด เขาพยักเพยิดหน้ามาทางฉัน

     

    “นั่นดิๆ ไม่เจอตั้งนานเจ้รินสวยขึ้นป้ะเนี่ย ไปเต้นกับผมซักเพลงมั้ยเจ้”

     

    ใครสักคนพาดแขนมาวางที่ไหล่ฉัน ฉันสะดุ้งแล้วผลักเขาออกไปทันที

     

    “หยุดเลยนะพวกแก อย่ามาทำลามกกับเพื่อนฉัน ไม่งั้นได้ตายโหงกันยกแก๊งแน่”

     

    ฉันเข้าไปช่วยดาร่าพยุงจียงให้ลุกขึ้น ตัวเขาหนักเป็นบ้า เราช่วยหิ้วปีกจียงกันคนละข้าง ขณะที่เดินออกมาก็ได้ยินเสียงของพวกนั้นไล่ตามหลังมา

     

    “อะไรวะเนี่ย.. ไม่สนุกเลยเว้ย”

     


     










     

     

    “ฉัยล่ะเบื่อจียงมันจริงๆ”

     

    ระหว่างทางกลับสู่คอนโด ฉันได้ยินคนหลังพวงมาลัยพูดประโยคนี้กว่าสิบรอบ ใบหน้าของดาร่าดูหงุดหงิดและเหนื่อยใจ เธอเหลือบมองคนที่ถูกบ่นอยู่นั่งอยู่หลังรถแล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ

     

    กลุ่มนั้นเป็นรุ่นน้องสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่จียงชอบไปขลุกอยู่บ่อยๆ แต่ดาร่าไม่ค่อยชอบ เพราะพวกนี้ดีแต่จะพาจียงไปเสียคน วันๆไม่ทำอะไรนอกจากพากันเข้าคลับแล้วกินเหล้า ที่แย่คือจียงเป็นคนคออ่อน เมาทีไรไม่เคยจะหาทางกลับบ้านได้ หลายครั้งที่โดนข้อหาเมาแล้วขับ จนดาร่าต้องเข้ามาเป็นธุระให้ทุกที

     

    “ถ้าโดนรุมกระทืบเหมือนคราวที่แล้วฉันจะไม่ช่วยมันเลย คนแบบนี้น่าจับกรอกยาให้ตายๆไปซะได้ก็ดี”

     

    ความเร็วของรถดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นตามอารมณ์โกรธของพัคซานดาร่า ฉันจับสายเข็มขัดนิรภัยแน่น ไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ

     

    “ป้า..

     

    เสียงงึมงำจากคนเมาไม่ได้สติดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเย็นเฉียบ

     

    ทำเอาคนได้ยินสติขาดผึง

     

    “แกว่าใครห๊ะไอ้จี แกว่าใครห๊า?”

     

    “ใจเย็นๆสิ เธอจะเอาอะไรกับคนเมา..” ฉันปราม

     

    “ยัยป้าขี้บ่น..

     

    “ย๊า!!

     

    รถที่นั่งมาหยุดกึกกลางถนนจนหน้าฉันเกือบคว่ำ เสียงแตรจากคันหลังดังขึ้นแสบหู ฉันมองหน้าคนข้างๆเลิ่กลั่กแต่เธอไม่สนใจ ดาร่าปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวไปกระชากคอเสื้อจียงอย่างแรง

     

    “แกลงไปเลยไอ้จี ไอ้ปากหมา ไอ้ไม่รู้บุญคุณ แกลงจากรถฉันไปเดี๋ยวนี้เลย!

     

    “ด..ดาร่า มีอะไรค่อยๆคุยกันสิ ออกรถก่อนเถอะนี่มันกลางถนน..

     

    เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง ฉันจับแขนดาร่าแน่น ใบหน้าโกรธจัดนั้นไม่ยอมสงบลงเลยสักนิด

     

    แล้วจียงก็ปรือตามองคนตรงหน้า ปากพึมพำเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ก่อนที่คอจะพับลงไปอีกครั้ง

     

    ตามมด้วยเสียงกรนเบาๆ

     

    ฉันมองหน้าสองคนนี้สลับกันไปมาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ .. ให้ตายสิ เหนื่อยใจจริงๆเลย

     

    ฉันให้ดาร่ามาส่งลงแค่ปากทาง เพราะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าเธอจะวนรถไปส่งจียงให้ถึงบ้าน ฉันก็ได้แต่ขอให้จียงหลับอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะเช้า ดีกว่าตื่นขึ้นมากวนประสาทให้ดาร่าโมโหจนทำอะไรน่ากลัวแบบเมื่อกี้อีก

     

    หลังจากแวะซื้อน้ำสองขวดใหญ่จากร้านสะดวกซื้อที่ติดถนน ฉันก็เดินเลี้ยวเข้าไปในซอยคอนโด ตอนนี้ห้าทุ่มแล้ว ไม่มีคนอยู่แถวนี้เลย ไฟข้างทางคงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันไม่รู้สึกว้าเหว่

     

    ขาของฉันก้าวไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน แต่แล้วบางอย่างก็ทำให้ฉันหันกลับไปมอง

     

    เสียง ฟุ่บ ดังขึ้นมาจากพุ่มไม้ที่เพิ่งเดินผ่าน ราวกับมีสิ่งที่หลบซ่อนกายทันทีที่ฉันหันไป

     

    ใจฉันเริ่มไม่ดีแล้ว ฉันสาวเท้าไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น ในขณะที่ยังคงระแวดระวัง สิ่งๆนั้นก็ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวตามมา

     

    ฉันเพิ่มความเร็วทีละนิด จนในที่สุดก็กลายเป็นวิ่ง ฉันวิ่งแบบไม่คิดชีวิต เนื้อหาข้อความในมือถือโผล่ขึ้นมาให้ต้องหวาดผวา เสียงฝีเท้าหนักๆไล่กวดเข้ามา จึงตระหนักได้ว่ามีคนตามฉันมาจริงๆ

     

    แสงสว่างจากตึกคอนโดมิเนียมใกล้เข้ามาทุกที ฉันเร่งเท้าจนสุด เมื่อเห็นหน้าลุงยามที่ยืนอยู่หน้าประตูก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที

     

    “มีอะไรให้ช่วยมั้ยหนู”

     

    ลุงยามถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นฉันวิ่งหน้าตั้งเข้ามาเหมือนหนีอะไรบางอย่าง

     

    เสียงเท้าหนักๆที่ตามมาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฉันหันกลับไปมองก็พบเพียงความว่างเปล่า

    มันหายไปแล้ว..หายไปราวกับเสกเวทมนตร์

     

    ฉันตอบด้วยเสียงปนหอบ “ไม่ค่ะ.. ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรแล้ว”

     

    ชายวัยกลางมีท่าทางฉงนกับสิ่งทีเกิดขึ้น ฉันขอบคุณเขาแล้วเดินเร็วๆเข้าไปข้างใน ผ่านกล่องจดหมายโดยไม่กล้าหันไปมอง เพราะฉันกลัวว่าจะมีอะไรส่งมาอีก

    อะไรแปลกๆที่ฉันไม่อยากเจอเลย..

     

     

     

     








     

     

    วันต่อมาฉันใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง

    ตามตารางเรียนฉันต้องไปมหาลัยวันนี้ ซึ่งการเดินทางในที่สาธารณะของคนที่เพิ่งถูกไล่ตามเมื่อคืนอย่างฉันเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย ฉันอยู่ไม่สุข คอยแต่จะเหลียวซ้ายเหลียวขวาด้วยความกลัว และยิ่งเครียดเข้าไปกันใหญ่เมื่อพบว่าความเข้าใจในบทเรียนวันนี้กลายเป็นศูนย์ เนื่องจากฉันจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด ไม่ว่าจะภาคทฤษฎีหรือปฏิบัติ

     

    อาจารย์ในสาขาแนะนำให้ฉันดรอปเอาไว้ก่อน ใช้เวลาศึกษาบทเรียนเก่าๆให้เต็มที่ แล้วค่อยมาลงเรียนอีกทีปีหน้า ซึ่งฉันก็เห็นว่าจะต้องเป็นแบบนั้น

    ลำบากจริงๆเลย..

     

    ฉันลงจากรถประจำทางแล้วจ้ำอ้าวเร็วๆไปตามทาง ขณะยืนรอข้ามถนนอยู่ที่ริมฟุตปาธ ฉันรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาทางนี้ ไม่ทันได้หันไปก็มีมือใหญ่ๆของใครบางคนเข้ามาจับฉันที่ไหล่

    ด้วยความตกใจ ฉันกระแทกข้อศอกเข้าไปที่ท้องของคนแปลกหน้าทันที

     

    “โอ๊ย!

     

    เสียงคุ้นเคยยั้นทำฉันหันกลับไปแทบไม่ทัน แล้วก็ต้องหน้าเสียเมื่อเห็นว่าคนที่กุมท้องร้องโอดโอยอยู่ตรงนี้คือทง ยอง เพื่อนบ้านของฉันเอง..

     

    “คุณ?” ฉันร้องเสียงหลงอย่างตกใจ ก่อนจะตรงเข้าไปประคองตัวเขาไว้ และรัวคำขอโทษใส่เป็นชุด “เป็นอะไรมั้ย ฉันขอโทษ.. เจ็บมากรึเปล่าคะ ฉันขอโทษจริงๆ”

     

    “ไม่ครับ..ไม่เป็นไร ผมโอเค”

     

    เขาโบกมือปฏิเสธทั้งๆที่สีหน้ากลับเป็นตรงกันข้าม นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกผิดเข้าไปกันใหญ่

     

    ยองเบขอให้ฉันพาไปยืนอีกด้านเพื่อหลบคน เราจึงมาอยู่ใต้อาคารแห่งหนึ่งที่มีร่มพอจะบังแดดได้ ฉันมองเขาที่ยืนกุมท้องอย่างสงสาร แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้ยังไง

     

    “คุณโอเคแน่นะ” ถามอย่างระมัดระวัง หวังว่าเขาคงไม่โกรธกันนะ “ไปหาหมอมั้ย?”

     

    “ไม่ต้องครับไม่ต้อง แค่นี้เอง นี่ก็ดีขึ้นเยอะแล้ว .. คุณแข็งแรงใช่เล่นเลยนะริน เล่นเอาผมจุก”

     

    มันไม่ใช่คำชมที่น่ายินดีเลย ฉันยิ้มเจื่อนๆให้เขา “ขอโทษอีกครั้งนะคะ ฉันไม่นึกว่าจะเป็นคุณ..

     

    “ผมต้องขอโทษคุณมากกว่าที่เข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง คุณเลยตกใจ”

     

    เขากลับมายืนด้วยท่าทางปกติ ท่าทางจะดีขึ้นแล้วจริงๆ

     

    “ผมเห็นคุณลงมาจากรถประจำทาง ว่าจะเข้ามาทักทายสักหน่อย ไปไหนมาหรอครับ”

     

    “ไปเรียนมาค่ะ” ฉันตอบ พร้อมชูหนังสือเล่มบางในมือให้เขาดู

     

    “คุณยังเรียนอยู่หรอเนี่ย”

     

    “ปอโทน่ะค่ะ ทำไมล่ะ? หน้าฉันแก่เกินเรียนขนาดนั้นเลยหรอ”

     

    ฉันแกล้งทำหน้าบูด เขายิ้มขำกับท่าทางของฉัน แล้วเราก็เริ่มเดินไปด้วยกัน

     

    แก๊ง..

     

    โลหะชิ้นหนึ่งตกลงมาที่ปลายเท้าฉัน มันคือน็อตเกลียวตัวโตที่กำลังกลิ้งหลุนๆอยู่บนพื้น ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างสงสัย หล่นมาจากไหนกันล่ะเนี่ย?

     

    “ริน!ระวัง!!

     

    ไม่เพียงแต่ตะโกน มือของยองเบคว้าแขนฉันไว้และดึงสุดแรง ฉันล้มไปกับเขา เพียงเสี้ยวนาทีสิ่งของขนาดมหึมาก็หล่นโครมลงมาตรงที่ที่ฉันยืนอยู่เมื่อครู่

    ดวงตาฉันเบิกกว้างเมื่อมองป้ายนีออนขนาดยักษ์ที่ตกลงมา โครงเหล็กของมันบุบเบี้ยว เศษแก้วสีขุ่นแตกกระจายระเนระนาด ชิ้นส่วนของป้ายสลายเป็นส่วนๆไม่มีชิ้นดี

     

    “คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”

     

    ยองเบถาม แต่ฉันตอบไม่ได้ ร่างกายมันสั่นไปหมด เสียงฮือฮาดังขึ้นจากผู้คนละแวกนั้น พวกเขามีท่าทางตกใจและพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

     

    “แชริน”

     

    ฉันยังคงไม่ละสายตาจากภาพตรงหน้า คนเริ่มมุงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต่างสนใจแต่ป้ายนีออนที่ตอนนี้กลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว เสียงพูดคุยดังขึ้นจนน่าหนวกหูขึ้นทุกที

     

    “โชคดีจริงๆที่ไม่มีใครเป็นอะไร ป้ายใหญ่ขนาดนี้..หล่นลงมาทับคนคงไม่เหลือ” ชายคนหนึ่งพูด

     

    “คงไม่ต้องส่งโรงพยาบาลเลยล่ะ ฝังอย่างเดียว” ชายอีกคนเสริม

     

    อะไรกัน..

    ฉันดันตัวเองให้ลุกขึ้น ภาพเศษเหล็กพวกนี้ยิ่งมองก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นทุกที สองขาที่สั่นพั่บๆก้าวถอยหลังออกไปทีละนิด ฉันฝ่าฝูงคนที่เข้ามามุงแล้ววิ่งออกไปทันทีโดยไม่ฟังเสียงเรียกของยองเบ หัวของฉันมีแต่ข้อควานบ้าๆนั่นวนซ้ำไปมา

     

    แชรินยา.. ให้กระต่ายตัวนี้เชือดคอเธออย่างช้าๆเถอะนะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×