ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sleepy Girl and Crying Boy : ยัยขี้เซากับนายขี้แย

    ลำดับตอนที่ #1 : เวลาของความรักที่หยุดเดิน

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 56


              ปลัน Route.

              12 ตุลาคม

                ห้างสรรพสินค้าแถบชานเมือง  ที่แม้วันธรรมดาช่วงบ่าย ๆ  เช่นนี้ก็ยังมีคนเดินขวักไขว่อยู่ไม่น้อย  โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่น่าจะเพิ่งเลิกเรียกเพื่อมาเดินเที่ยวนั้น  มีให้เห็นพอสมควร

              อันที่จริงผมก็เป็นนักเรียนนะ  แต่พอดีว่าวันนี้เลิกเรียนครึ่งวันเลยว่างมาเดินเล่นที่นี่ได้

              แถมยังมีนัดบอดสำคัญกับผู้หญิงคนหนึ่งอีกด้วย > < ///

              และตอนนี้ผมกำลังยืนรอผู้หญิงคนนั้นอยู่ตรงหน้าร้านหนังสือในห้าง

              ผมรู้จักกับเธอผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก  และแลกเปลี่ยนเบอร์มาคุยกันได้สักพักใหญ่แล้ว  และวันนี้เธอก็ว่างเหมือนกัน  ก็เลยนัดออกมาพบปะกันอย่างที่ได้ว่ามา

              ผมเรียนที่วิทยาลัยวารุเชษ  ในตัวเมืองสมุทรสาครชั้นปวช. 2  ส่วนเธอเรียนสายสามัญที่โรงเรียนบุศรินทร์อยู่ชั้น ม.6 ในแถบชานเมืองของกรุงเทพ ฯ

              อึกบ้าจริงแฮะ  ทั้ง ๆ  ที่ยังไม่ได้เจอหน้ากัน  แต่ไหงเริ่มรู้สึกตื่นเต้นแปลก ๆ  ล่ะ -__-‘’

              ว่าแต่...  ตอนนี้เธอถึงไหนแล้วนะ

              ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  กดเบอร์ของเธอแล้วโทรออกผมรอสัญญาณประมาณ 2 วิฯ  เธอจึงรับ

              (คะ)

              “เอ่อ  ตอนนี้อยู่ไหนเหรอครับ

              ถึงผมจะเป็นคนออกรั่ว ๆ  ไปบ้าง  เวลาคุยกับเธอก่อนจะถึงวันนี้ผมก็รีแลกซ์คุยกับเธอสบาย ๆ  แต่พอถึงวันนี้กลับ

              (หือ  เป็นอะไร  พูดซะเป็นทางการเชียว  ฮะ ๆๆ)

              นั่นไง  เธอยังฟังออกเลย =__=’’

              (ขึ้นมาด้านบนตรงด้านบน  อยู่ตรงหน้าร้านหนังสือแล้วแหละ  อ๊ะ!)

              ผมรู้สึกว่าเสียง อ๊ะ ของเธอมันยังอยู่แถว ๆ  สะท้อนอยู่ข้างหลังผมจังหันหลังไปดู

              เธอทำให้ผมประหลาดใจอย่างมาก 0.o!!

              ใบหน้าเรียวกลม  ดวงตาที่เรียวเล็กแต่ดึงดูดคนที่สบตาได้  แก้มขาวผ่องก็อิ่มเติบได้ที่  ริมฝีปากบางแลดูสดใส  มัดผมหางม้า  ใส่ชุดนักเรียน ม. ปลาย  ดูท่าทางเรียบร้อยมองมาทางผม  อีกทั้งยังถือโทรศัพท์แนบหูไว้อีก

              แทบไม่ต้องอธิบายอะไรมาก  เธอคือคนผมที่นัดบอดเอาไว้นั่นเอง

              ที่จริงผมก็เคยเห็นรูปถ่ายเธอนะ  แต่ไม่เคยคิดว่าตัวจริงจะ...

              สวยอะไรอย่างนี้  อา... ชักประหม่าซะแล้ว -///-

             “อะ  เอ่อ  นิวใช่มั้ยครับโอย...ปากเกร็งไปหมดเลยแฮะ

              “ค่ะ  นี่มาคุโร่  ไม่สิ  ปลันใช่มั้ยเอ่ย

              เอ่อ  ขอบอกไว้ก่อนว่า  ชื่อที่เธอเรียกผม  ชื่อแรก  เป็นนามแฝงที่ผมใช้ใน SNS แต่ชื่อหลังนั้นเป็นชื่อเล่นจริง ๆ  ที่บอกกับเธอในภายหลัง  ซึ่งปกติเธอจะเรียกผมว่ามาคุโร่  แต่วันนี้เธอเธอพูดชื่อเล่นจริงผมให้ฟังครั้งแรก  เลยยิ่งอึ้งกว่าเดิม  โอย  เริ่มหน้ามืด = =’’

              “ใช่ครับ  ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะครับ  แหะ ๆผมพูดพลางเกาหัวแก้เขิน

              “เอ๋  หมอนี่เหรอที่บอกว่าจะมาเจอน่ะ

              อยู่ดี ๆ  ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งพูดโพล่งมาจากด้านหลังของนิว  ท่าทางจะเป็นเพื่อนของเธอละมั้ง

              “เอาจริงดินิวอีกคนนึงพูดเสริม

              “เอ่อ...และมีอีกคนครางพึมพำปิดท้าย  เหมือนแอบรังเกียจ  นี่ ๆ  จะด่าว่ากันก็ได้นะ - -

              “ฉันจะแนะนำให้รู้จักนะ  นี่ปิง  ดรีม  แชร์  ทุกคน  นี่มาคุ...  เอ๊ยปลันจ้ะ ^^///

               เธอแนะนำให้ให้รู้จักกับทั้งสามคน  ปิงคือคนที่ผิวคล้ำ ๆ  ไว้ผมยาว  ดรีมเป็นคนที่หน้าตาดีระดับหนึ่งมัดผมหางม้า  และแชร์  คือคนที่หน้าตากลาง ๆ  ไว้ผมสั้นประบ่า  ทั้ง 3 คนต่างส่งสายตาที่มีลักษณะแบบเดียวกันมาทางผม

              ใช่  มันคือสายตาที่ดูรังเกียจผมอย่างเยือกเย็น

              โอ้ว  บร๊ะเจ้า  ทำไมเธอต้องเอาเพื่อนมาด้วยเนี่ย  นี่เธอไม่ไว้ใจผมขนาดนั้นเลยเหรอ T^T

              แต่มันก็น่าอยู่หรอก  เพราะผมเองหน้าตาก็ใช่ว่าดี  อยู่ในระดับกลาง ๆ  ที่ไม่มีจุดสนใจเป็นพิเศษ  แถมยังออกโหด ๆ  ด้วยซ้ำ  แต่ถ้าใครรู้นิสัยผมนะ  จะรู้เลยว่ามันช่างแตกต่างจากไอ้ใบหน้าโหด ๆ  นี่โดยสิ้นเชิง  เพราะผมทั้งบ้าทั้งรั่วเลยล่ะ

              และที่สำคัญ  ถ้าหากผมรักใครสักคน  ผมก็จะทั้งรักทั้งอ้อนเป็นแมวเชื่อง ๆ  ไปเลยแหละ

              แต่ให้เล่นมาเจอแบบนี้  มันก็ไม่ใช่นัดบอดแล้วน่ะสิ  อารมณ์เหมือนให้มาดูตัวกันชัด ๆ  แถมยังตั้ง 3 คนแน่ะ  โอ๊ย  อยากเอาหัวแทรกมุดดินชะมัดเลย T^T

              “เอ่อ...  พวกเธอไปไปที่อื่นกันก่อนก็ได้  ฉันขอเดินเล่นกับปลันนี่แหละ  ไม่ต้องห่วงหรอก  ฉันดูแลตัวเองได้

              เดี๋ยวสินิว  พูดงี้หมายความว่าไงเนี่ย  เหมือนจะบอกว่าเธอก็ไม่เชื่อใจผมเรอะ  นี่เธอกังวลว่าผมจะทำมิดีมิร้ายเธอเหรอเนี่ย  หน้าตาฉันมันเหมือนพวกโรคจิตงั้นสินะ  อ๊ากกก  อยากเอาหัวโขกเสา T^T~

              “งั้นก็...  ระวังตัวด้วยล่ะ  ไปกันเถอะพวกเรา

              และแล้วยัยผู้หญิงผิวคล้ำที่ชื่อว่าปิงชัดชวนเพื่อนอีกสองคนเดินออกห่างจากผมกับนิวไป  ชักรู้สึกไม่ถูกชะตากับพวกนั้นอย่างแปลก ๆ  แฮะ  และดูเหมือนทุกคนจะระแวง  ไม่สิ

              รังเกียจผมเลยแหละ...

              เฮ้อ  จะเอายังไงต่อไปดีเนี่ย

              “เอ่อ  ปลัน

              จู่ ๆ  นิวก็เรียกผม

              “อะไรเหรอผมถามด้วยท่าทางเกร็ง ๆ  = =’’

              “ไปเดินเที่ยวกันเถอะ =__=’’ 

              ประหม่าทั้งคู่สินะ  มันจะล่มมั้ยครับเนี่ยยย

              “เอ่อ  เห็นในโทรศัพท์เสียงร่าเริงนี่นา  แล้วทำไมคอนนี้ถึงเงียบ ๆ  ล่ะ

              อึก ยิงคำถามได้แทบกระอักเลือดมาก

              “ก็...มันยังไม่ชินนี่นา  แถมผมเอง  ก็เพิ่งเคยเจอนิวครั้งแรกด้วย -///-

              “อือ  นั่นสิ  ไม่ต่างกันเลยเนอะ  ฮะ ๆๆ ^^’’ ”

               “เอ่อ  แล้วจะไม่เดินเที่ยวเหรอผมจึงถามกลับมั่ง

              “อ๊ะ  เออแฮะ  นั่นสินะ  ฉันนี่ทึ่มใหญ่และ  อุตส่าห์ชวนเธอก่อนแท้ ๆ  ฮะ ๆๆ =w=” ’’

     

              หลังจากนั้นผมกับนิวก็เดินรอบห้างกัน  ตัวเธอนั้นบอกผมว่าไม่ค่อยได้มาเดินห้างแห่งนี้สักเท่าไหร่  แต่ก็มีร้านที่ชอบและพอจำได้เธอก็ไปดูร้านที่เธอแวะมาบ่อย ๆ  ส่วนผมก็พาเธอมาเล่นเกมเซ็นเตอร์กัน  แต่เธอบอกว่าเล่นไม่เป็น  ผมจึงเล่นอยู่คนเดียวแล้วให้นิวยืนมอง  เธอก็ยืนจ้องผมตาไม่กระพริบต่อความเทพของผม (ขอบอกว่าผมเองก็เป็นเซียนเกมเหมือนกัน  หึ ๆ) เราสองคนเดินไปเดินมาจนกระทั่ง...

              “เอ๊ะ  ป่านนี้แล้วเหรอ  ต้องกลับแล้วล่ะปลัน  เดี๋ยวขอโทรเรียกเพื่อนก่อนนะ

              ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า  ตลอดเวลาที่เดินด้วยกัน  ผมรู้สึกเหมือนตื่นเต้นตลอด  หัวตื้อไปหมด  เวลาที่เธอยิ้มน้อย ๆ  ออกมา  เหมือนมันสดใสไปหมด  และยังมีอะไรอีกหลาย ๆ  อย่างที่ผมอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก

              ไม่แน่ว่า  ผมอาจจะเริ่มชอบเธอแล้วก็ได้

              เอาล่ะ  ผมรวมรวมสติที่กำลังจะขอสิ่ง ๆ  หนึ่งจากเธอ

              “นิว

              “หืม  อะไรเหรอ?” เธอถือโทรศัพท์แล้วหันมามองอย่างงง ๆ

              “คือ...ผม  ขอจับมือ  ได้มั้ย

              เธอเผลอทำโทรศัพท์ร่วงออกจากมือ

              “เหวออออ *0* ผมคว้าโทรศัพท์ไว้ได้ทันหวุดหวิดก่อนที่จะถึงพื้น

              “เอ่อ...นี่ = =’’ ผมยื่นโทรศัพท์ให้เธอ

              “ขะ  ขอบใจ ;__;

              เธอรับโทรศัพท์จากผมไป  โดยไม่ได้แตะแม้แต่ปลายก้อย

              “เอ่อ  ได้มั้ย ผมทวนคำถามอีกครั้ง  แต่ก็เริ่มรู้สึกเหมือนกันแล้วแฮะ -///-

              “มะ  มาขอกันแบบนี้เนี่ยนะ *//0//*

              “ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ = =\\\

              “ไม่หรอก  ก็...เอาสิ -//..//-

              หน้าของเธอแดงระเรื่อเล็กน้อย  ส่วนผมเหรอ  ลอยไปตั้งแต่เธอบอกว่า เอาสิ แล้วล่ะ  เธอยื่นมือขาวอมชมพูมาให้ผม  ใจผมเต้นรัวเป็นกลองเปิงมาง  มือของเราสองคนกำลังจะประสานกัน

              ทว่า

              เธอค่อย ๆ  ชักมือเข้าหาตัวเอง  ยิ่งมือของผมเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่  เธอก็ยิ่งหดมือจนผมท้อที่จะไล่ตาม  ผมจึงหดมือกลับ  เช่นเดียวกับนิวที่เอามือกลับไปแนบลำตัวเรียบร้อยแล้ว

              “ขะ  ขอโทษนะ

              นิวตอบผม  เสียงของเธอสั่นไปหมด  มือของเธอ  จากผิวสีขาวอมชมพูเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างชัดเจนและชุ่มเหงื่ออย่างเห็นได้ชัด

              “ไม่เป็นไรหรอก

              ถึงผมจะตอบไปแบบนั้น  แต่ในใจผมปวดร้าวเป็นอย่างมาก

              เธอเองก็คง  กลัวผมเหมือนกันสินะ

              “อ้าวนิว  ทางนี้ ๆ

              ผมกับนิวหันขวับไปมอง

              “อ้าว  ปิง  ดรีม  แชร์

              นิวพูดด้วยเสียงเริงร่า  เหมือนกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

              “จะกลับยังดรีมถามนิว

              “อื้อ ๆ  กลับแล้ว ๆ  ไป ๆๆ

              นิวเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนของตัวเอง  ด้วยท่าทางปกติ  ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออกที่เห็นเธอทำท่าทางแบบนั้น

              แต่พอเดินไม่ถึง 3 ก้าว  เธอก็หันกลับมา

              “วันนี้สนุกมากเลยนะปลัน  ขอบคุณนะ  อย่างน้อย  ฉันก็รู้ว่าเธอเป็นคนดี

              เธอพูดให้ผมด้วยรอยยิ้ม  ถึงไม่รู้ว่ามันจะเสแสร้งหรือเปล่า  แต่มันก็ทำให้ผมมีกำลังใจมากขึ้น

              และรู้สึก  ชอบเธอมากขึ้นเหมือนกัน

              “อื้ม  ถ้าเป็นไปได้  ไว้เจอกันอีกนะ

              เธอไม่ตอบอะไรกลับมา  เพียงแค่ยิ้มให้  และโบกมือให้ผมด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินไปกับกลุ่มเพื่อนและหายไปในกลุ่มคนที่รอรถตรงหน้าห้างฯ

     

              ผมนั่งอยู่บนรถเมล์ปรับอากาศพร้อมกับใจที่เต้นระรัว

              ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้ว  ว่าผมจะลองทำทุกอย่างให้เธอเห็น  และให้เธอยอมรับผม  ถึงแม้ว่าถ้าทำถึงขนาดนั้นแล้วเธอจะยังไม่ชอบก็ตาม  ผมก็ถือว่าคุ้มแล้วที่ได้ทำลงไป

              ทว่า

              นับจากวินาทีนี้ไป  สิ่งที่ผมคาดหวังไว้  กลับพังทลายลง

              กริ๊งงง

              โทรศัพท์ของผมดังขึ้น  ผมหยิบขึ้นมาดู  เบอร์ที่โชว์อยู่เป็นเบอร์ของนิว  ผมจึงกดรับทันทีอย่างไม่ลังเล

              “ฮัลโหลมีอะไรเหรอ

              (เธอ  เรามีอะไรจะบอก)

              หะ!!  อะไร  จะบอกอะไร  ใจผมเต้นระรัวไปหมด

              “เอ่อ  มีอะไรก็ว่ามาสิ

              (เธอมันไม่ใช่สำหรับเราอะ  เป็นแค่เพื่อนกันเหอะ)

              ใจผมเหมือนโดนบีบอย่างทรมาณเมื่อผมได้ยินคำนั้นผ่านทางโทรศัพท์

              เผาะ...เผาะ...  ผมหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว  และไม่แคร์สายตาคนรอบข้างที่อยู่บนรถ

              น้ำเสียงของเธอเหมือนตัดเยื่อใยจากผม  แต่มันฟังดูแปร่ง ๆ  ชอบกล  เหมือนไม่ใช่เสียงปกติของเธอ

              “ฮึก...ทำไมกันล่ะ  ผมเอง  ฮึก  ขอโอกาสหน่อยไม่ได้เหรอ

              (โอกาสเหรอ...  เฮอะ  ไม่มีให้หรอก  ถ้ายังคิดแบบนั้นอยู่  ฉันก็คงไม่มีอะไรจะพูด  ถ้าเป็นแค่เพื่อนกันไม่ได้  ก็ไม่ต้องมายุ่งกันอีก!)

              ตึ๊ด  และแล้วเธอก็ตัดสายไป

              น้ำเสียงของเธอกระแทกกระทั้นสร้างแผลไว้ในใจของผมเป็นบริเวณกว้างมาก  น้ำตายิ่งไหลท่วมมากขึ้น ๆ  ไม่ยอมหยุด  แต่ผมก็พยายามไม่สะอื้นออกมาเพราะเกรงใจคนรอบข้าง

              อีกแล้ว

              เอาอีกแล้วเหรอครั้งนี้

              ความรักของฉันมันจะไม่มีวันสมหวังเลยใช่มั้ย

              ก็ได้...

              จนกว่าจะถึงปีใหม่  ฉันจะไม่มีใคร  แล้วจะโทรไปหาเธออีกครั้ง  ถ้าหากถึงตอนนั้นเธอยังพูดคำเดิมอีก  ผมก็จะถอดใจอย่างสมบูรณ์

     

              ต้องทำให้ได้  ไม่สิ  จะทำให้ดู  ฉันจะพิสูจน์ให้เธอเห็นเองว่าฉันชอบเธอแค่ไหน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×