คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [ทรอย] บทที่ 2 - โดดเดี่ยว [รีไรท์ครั้งที่ 1]
Alone
“ไงเอมี่?”
“ว่าไงทรอย” น้องสาวตอบจากปลายสาย “คลินท์ไม่ได้ยกรังหนูของเขาให้พี่ใช่มั้ย”
“เป็นรังหนูที่ใหญ่เลยล่ะ” ทรอยตอบพลางทิ้งตัวลงบนโซฟา “ล้อเล่นน่า อพาร์ทเมนท์ที่พี่อยู่มันก็ชั้นที่ 22 สูงพอจะมองซานฟรานฯได้ทั้งเมืองเลยล่ะ อยากให้เธอมาเห็นบ้างจัง”
“ชั้น 22 เลยเหรอ....โอเค สวยก็สวย แต่ฉันคงขอผ่าน...ไม่ได้ว่านะ”
“ไม่เอาน่า” ทรอยหัวเราะ “อมิเลีย สาวน้อยที่โหดพอจะต่อยหน้าเด็กผู้ชายตัวโตๆมากลัวความสูงเนี่ยนะ”
“พี่บ้า” ดูเหมือนเธอไม่ตลกด้วย
“เพราะรักถึงได้ล้อไง”
“อยู่ห้องเก่าของคลินท์ได้วันเดียว พี่ก็เริ่มพูดเหมือนเขาแล้ว ฉันละจะบ้าตาย....ไอ้หมอนั่นหาเรื่องเองต่างหาก ไม่ให้ความผิดฉันสักหน่อย” เหมือนว่าเอมี่จะเสียงอ่อนลง
“….โอเค” ทรอยพยายามกลั้นหัวเราะ “แล้วลุงกับป้าล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“ป้าก็เหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้ป้าไม่ได้เล่นโยคะบ่อยเหมือนแต่ก่อนแล้ว” เอมี่ตอบ “ส่วนลุง พอไม่มีคนบังคับให้เล่นโยคะก็หน้าตาสดใสขึ้นเยอะเลย ทุกวันนี้ลุงก็สอนหนังสือที่มหาลัยเหมือนเดิมแหละ เพียงแต่ช่วงนี้ไม่ค่อยบ่นปวดนั่นปวดนี่เท่าไหร่ ว่าแต่พี่ล่ะ เป็นไงบ้าง?”
“ซานฟรานฯก็วุ่นวายกว่าที่ซีแอตเทิลพอสมควรเลยล่ะ” ทรอยเกาศีรษะ เขาใช้ไหล่หนีบโทรศัพท์ไว้ขณะคว้านหารีโมทโทรทัศน์ที่เขาจะน่านั่งทับ “แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากหรอก ซักพักพี่คงจะปรับตัวได้ อีกอย่างพวกเพื่อนพี่หลายคนก็อยู่ที่นี่ ตอนสมัยมัธยมก็ไปๆมาๆออกจะบ่อย”
“เออนี่ หวังว่างานเขียนโปรแกรม—ไวท์แฮทอะไรนั่นคงจะคุ้มค่านะ ฉันไม่อยากเห็นพี่แต่งงานกับคอมพิวเตอร์หรือกีต้าร์--”
“นี่พอเลย นี่มันยุคเทคโนโลยีแล้ว เอมี่ อีกอย่างพี่ไม่ปล่อยให้ตัวเองอดตายหรอกน่า ฝีมือขนาดนี้แล้ว”
“จ้า พ่อคนเก่ง” เอมี่หัวเราะ “ไว้คุยกันคราวน่านะ มื้อเย็นมาแล้ว”
“โอเค เอมี่ รักษาตัวด้วยล่ะ”
แล้วเขาก็รู้สึกเสียใจที่หลังที่โทรหาเอมี่ช่วงมื้อเย็น อาหารฝีมือป้าโจดี้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชีวิตวัยเด็กและวัยรุ่นของทรอยน่าจดจำ แล้วเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เขากับคลินท์ไม่ค่อยกลับบ้านดึก เพราะนั่นหมายถึงอาหารเย็นชืดที่รออยู่แทนที่จะเป็นของอร่อยๆกำลังอุ่นได้ที่ นั่นยังไม่รวมเรื่องสนุกๆของลุงไซม่อน ซึ่งมักจะลงเอยด้วยการทำให้ใครสักคนสำลักอาหารโดยไม่ตั้งใจ
ส่วนงานที่เขาทำอยู่….ไวท์แฮทค่อนข้างเป็นอาชีพที่มาแรงในขณะนี้ ตัวทรอยเองก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่ามันเริ่มเมื่อไหร่.....คงเป็นหลังจากเขาแยกวงกับเพื่อนๆและเงินเก็บจากเล่นดนตรีใกล้หมด เขาเริ่มหารายได้จากแหล่งอื่นซึ่งตอนนั้นเขาคิดว่าคอมพิวเตอร์มีไว้เล่นเกมและอินเทอร์เน็ตเท่านั้นจนกระทั่งเขาเจอกับช่องทางหากินบนโลกไซเบอร์ ทรอยศึกษาทั้งจากบนบล็อกและนักท่องไซเบอร์ที่ร่วมชั้นเรียนและเพื่อนเก่าของคลินท์ที่ยินดีถ่ายทอดวิทยาทาน เป็นเวลาเกือบเดือนที่เขาซึมซับเท่าที่ทำได้ เพียงงานไม่กี่ชิ้นทำให้เขามีเงินเก็บพอเกือบทั้งซัมเมอร์ของปีนั้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อน พูดถึงแฮ็กเกอร์นั้นทุกคนจะต้องทำหน้าเหวอราวกับกำลังพูดถึงอาชญากรอย่างโจรปล้นธนาคาร ถึงแม้พวกแบล็กแฮทหรือโจรไซเบอร์จะยังมีอยู่ แต่ตอนนี้กระแสของฝ่ายธรรมะอย่างไวท์แฮทเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นแล้ว ทรอยจึงไม่ตกเป็นเหยื่อของการเหมารวมว่าแฮ็กเกอร์ทุกคนคือวายร้าย
งานของไวท์แฮทเข้าใจได้ง่ายมาก องค์กร,บริษัท,เว็บไซต์ต่างๆโดยเฉพาะที่มีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากเช่นเว็บโซเชียลต่างๆซึ่งล้วนต้องการมาตรการปกป้องข้อมูลผู้ใช้บริการหรืออะไรก็ตามที่ถือเป็นข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผย การป้องกันต่างๆจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อมันถูกทดสอบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเหล่าไวท์แฮทที่ต้องเจาะเข้าไป ถึงไม่เจออะไรและรายงานผลลัพธ์ที่ได้ตามเวลา เขาก็ได้ค่าเสียเวลาอยู่ดี แต่ถ้าใครที่พบและรายงานช่องโหว่ของระบบป้องกันก็จะได้เงินเพิ่ม ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์
“ถ้าเป็นสมัยลุงนะ ลุงคงไปๆมาๆอยู่แค่แมคโดนัลกับปั๊มน้ำมันแถวบ้านนี่แหละ”
ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันเป็นอาชีพถูกกฎหมาย ถึงจะไม่มั่นคงก็ตาม ที่ผ่านมาเขารับแต่ข้อเสนอที่คิดว่าคุ้มพอจะเสียเวลาเท่านั้น แน่ละว่าเขาต้องเจียดเวลาไปข้างนอกบ้าง อีกอย่าง เขาได้เรียนรู้ว่างานสายนี้ถ้าไม่ขยันและเก่งจริงๆไม่ควรยึดเป็นอาชีพหลักซึ่งทรอยไม่คิดจะเป็นแฮ็กเกอร์ตลอดไปอยู่แล้ว การเป็นแฮ็กเกอร์มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างในหนังด้วย กดปุ่มไม่กี่ทีแล้วเจาะข้อมูลได้เป็นแค่ความฝันและทำให้แฮ็กดูตื่นเต้นกว่าปกติ
ว่าแต่คืนนี้กินอะไรดีล่ะ? เขาถามตัวเองเพราะตอนนี้ท้องเริ่มร้องแล้ว
ทรอยอยู่กับป้านานพอจะรู้วิธีทำอาหารง่ายๆและซอสพาสต้าสำเร็จรูปยี่ห้อที่ดีสุด(ถึงป้าจะทำซอสเองทุกครั้ง) ห้องครัวเล็กๆนี่ก็ดีพอจะทำของง่ายๆกินเองได้นอกจากสลัดหรือซีเรียล
เขาถือจานพาสต้าราดซอสมาพอดีขณะที่เจนิส เทย์เลอร์ผู้ประกาศข่าวสาวสวยพูดถึงข่าวฆาตกรรมปริศนาใจกลางนครนิวยอร์คที่เป็นข่าวใหญ่ช่วงหัวค่ำ
“กรมตำรวจนิวยอร์คได้ยอมรับถึงความล่าช้าของคดีเนื่องจากไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์หรือตัวผู้ต้องสงสัย ทั้งที่เหตุเกิดในย่านผู้อยู่อาศัย ผู้ที่พอให้การได้กล่าวว่าเห็นเพียงเหยื่อตกลงมาจากฟ้า ลงมายังฝากระโปรงรถ…”
ดูเหมือนรถดังกล่าวกำลังวิ่งอยู่กลางถนนตอนเกิดเหตุ รถส่วนหน้าพังยับเหมือนสิ่งของหนักเป็นตันหล่นใส่ หน้าจอเต็มไปด้วยไฟไซเรนสีแดงน้ำเงินของรถตำรวจ ด้านหน้าแถบกั้นสีเหลืองมีผู้สื่อข่าวภาคสนามกำลังสัมภาษณ์ชายหัวล้านท่าทางตื่นกลัวคนหนึ่ง
“ผมสาบานได้….ผมกับเมียกำลังติดไฟแดงอยู่ดีๆ ก็มีคนหล่นลงมา….ใช่!ผมพูดว่าคน! เป็นผู้ชายผิวขาวอายุน่าจะสามสิบ ไม่ใช่แค่ผมกับเมียนะ คันอื่นๆก็ลงมาดู”
“พอจะจำได้มั้ยครับว่า ผู้ตายมีรูปร่างหน้าตายังไง?”
“ผมจำได้แค่ว่าเขาเป็นคนขาว” ผู้เสียหายปาดเหงื่อ “ให้ตายเถอะ! ผมบอกตำรวจไปแล้วนะ เขามีแผลโดนแทง อยู่เหนือหัวใจไม่กี่นิ้วผมกล้าพูดเลย! แต่จู่ๆหมอนั่นก็ลุกเป็นไฟ…ใช่! ลุกพรึ่บอย่างนี้่เลย ผมไม่รู้ว่าเป็นไปได้ไง แต่ตัวเขาลุกเป็นไฟ กว่าตำรวจจะมาก็เหลือแค่ขี้เถ้าสีเทาๆ ไม่เชื่อลองไปถามคนอื่นดูสิ ผมจะโกหกทำไม? ที่เละๆกองอยู่นั่นก็รถผมนะ..”
แล้วภาพก็ตัดมาที่เจนิสอีกครั้ง
“เพื่อไม่ให้เกิดความแตกตื่น ทางตำรวจได้ให้ความเห็นว่าอาจเป็นอุปทานหมู่ แต่ด้วยพยานแวดล้อมที่บ่งบอกไปในทางเดียวกัน เราจึงยังไม่อาจสรุปได้ว่า….”
ถึงแม้ว่าเขาจะชอบเจนิสแค่ไหนแต่ด้วยเหนือหาของข่าวที่ไม่เหมาะกับการฟังขณะทานมื้อเย็น ทำให้ทรอยตัดสินใจเปลี่ยนช่องไปดูรายการอื่น โทษทีนะคนสวย พาสต้ากับฆาตกรรมกินรวมกันแล้วไม่ค่อยอร่อย
ชั่วขณะหนึ่งเขาคิดว่าจะได้ยินเสียงหัวเราะของลุงป้า ถ้าเอมี่อยู่ด้วยคงจะพูดว่า คลินท์สอนอะไรพี่มาอีกล่ะ เขาลืมไปชั่วขณะว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
เอาน่าทรอย แกไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวตลอดไปซะหน่อย
ปรากฏว่าช่องที่เขาบังเอิญกดเลือกเป็นรายการทดลองสินค้า คราวนี้เป็นหุ่นยนต์ทำความสะอาดขนาดพกพาซึ่งทรอยได้ดูเป็นรอบที่สิบแล้ว แน่นอนว่ามันเป็นของหนึ่งในบริษัทลูกของแม็กนัส คอร์ปอเรชั่นที่คลินท์ทำงานอยู่
“สากกะเบือยันเรือรบ นี่แหละแม็กนัส แต่ไม่เห็นมีใครเอาไปเป็นสโลแกน” คลินท์เคยพูดไว้ “รู้มั้ยว่ามันแปลว่าอะไร? แม็กนัสแปลว่าใหญ่เบ้อเริ่ม....ก็ตามนั้นแหละ”
“ไม่ยักกะรู้ว่าบริษัท PMC แถมผลิตอาวุธจะขายเครื่องดูดฝุ่นเดินได้ ฟังดูเจ๋งดีแฮะ” ทรอยจำได้ว่าเขาตอบไปแบบนี้
“อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเครื่องจักรเจ๋งๆก็ของบริษัทลูกทั้งนั้น โคตรพ่อโคตรแม่ทุนนิยมเลยว่ามั้ย?”
ทรอยกดเปลี่ยนช่อง แต่ก็มีแค่ซิทคอมตลกกับข่าวอีกช่องที่พูดถึงผู้ก่อการร้าย สรุปแล้วไม่มีอะไรที่น่าดู
ถึงมีเพื่อนๆจะเทียวไปเทียวมาที่นี่ แต่มันก็คนละความรู้สึก ทรอยรีบจัดการพาสต้าขณะที่หุ่นบนจอทีวีกำลังสาธิตการรับคำสั่งด้วยเสียง
“ปิด” ทรอยนึกได้ว่าทีวีก็สั่งการด้วยเสียงได้เหมือนกัน พอไม่มีเสียงทีวีก็มีเพียงเสียงความวุ่นวายของมหานครที่อยู่เบื้องล่าง แต่กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกตัวคนเดียว
ทั้งที่อยู่กลางผู้คนล้านนับล้านอยู่แต่กลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวได้ขนาดนี้ ทรอยถอนหายใจก่อนลุกเอาจานพาสต้าที่กินเกือบหมดแล้วไปล้าง ก่อนเดินไปหาเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ของเขา---คอมพิวเตอร์
ทรอยจึงเปิดเกม "ดราก้อนบาวด์" เล่นอีกครั้ง มันเป็นเกมสวมแนวสวมบทบาทที่เขาต้องเล่นเป็นผู้กล้าและผองเพื่อนรวมถึงเจ้ามังกรที่สามารถอัพเลเวลได้ ถึงเกมจะสนุกและท้าทายแค่ไหน แต่เขาเล่นจบมาห้ารอบแล้วแถมมันยังเป็นเกมผู้เล่นเดี่ยว ผู้กล้าและมังกรจึงไม่ได้ช่วยอะไรเขามาก แถมการจัดห้องก็ดูดพลังงานสุดๆถึงขนาดทำให้หนังตาเขาเริ่มหย่อนตั้งแต่ 4 ทุ่ม ทรอยโมโหตัวเองเล็กน้อยที่ปฏิเสธคลินท์ไป
ให้ตายเถอะ 5 ทุ่มเองเหรอวะเนี่ย? เขาหาวก่อนขยี้ตาแต่ด้วยความที่มักจะมีคนติดต่อมาเวลานี้ ทรอยตัดสินใจนั่งถ่างตาท่องอินเทอร์เน็ตต่อไปพลางเปิดเพลงที่ไล่ความง่วงอย่าง "ดอนท์ สตอป มี นาว" ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่ใช่เวอร์ชั่นของนักร้องรุ่นปัจจุบัน
ทรอยพยายามขยับมือกลับมาเท้าคางหลังจากที่ศีรษะเขาห้อยลงจนมันไปอยู่ที่บริเวณขมับ แต่ก็เปลี่ยนใจวางแขนทั้งสองลงด้านหน้าจอคอมฯเพื่อใช้หนุนคางซึ่งทำแบบนี้สบายตัวกว่า ถึงแม้เพลงจะเริ่มเบาและยานคางลงเรื่อยๆขณะที่แขนของเขาเริ่มจะให้ความรู้สึกนุ่มสบายขึ้น
แต่แล้วก็เหมือนมีลมเย็นจัดพัดผ่านใบหน้าของเขาจนขนลุกตั้งชัน
"อะไรวะ!?" ทรอยหลุดปากเมื่อเขาสะดุ้งตื่นและพบว่าตัวเองมาอยู่ในตรอกแคบมืดสนิทแห่งหนึ่ง เขาแน่ใจว่าเมื่อครู่เขาทำอะไรอยู่ แล้วเรามาอยู่ที่ไหนวะเนี่ย? เขาถามตัวเองเป็นรอบที่สอง เสียงเขาดูจะก้องไปมาอยู่ในหูของตัวเอง
จากเสียงคล้ายไซเรนรถตำรวจและยานพาหนะทำให้ทรอยคิดว่านี่คงจะเป็นเมืองใหญ่สักแห่ง ที่ปากตรอกมีแสงสว่างลอดออกมาราวปลายอุโมงค์รถไฟ ทรอยที่กำลังจะเดินไปที่แสงนั้นต้องหยุดชะงักเมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงหอบหายใจที่ทำเอาขนลุก
ที่ปลายทางมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้น จากแสงสว่างทำให้ทรอยเห็นว่าร่างนั้นเป็นผู้ชายในชุดสูทสีขาวผมสีน้ำตาลปรกหน้า แต่ก่อนที่เขาจะได้อะไรชัดขึ้น ชายคนนั้นก็วิ่งตรงมาที่เขาพลางหันหลังกลับไปมอง เสียงหายใจเริ่มกระชั้นชิดและไม่เป็นจังหวะมากขึ้น เขาเร็วมากจนทรอยเบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทัน แต่ชายคนนั้นก็สะดุดล้มลงเมื่อพ้นตัวทรอยไปได้ไม่ไกล
"นี่---คุณ?!" ทรอยร้องถามพลางรีบเดินเข้าไปหา "ให้ผมช่วย---" แต่ชายคนนั้นกลับมีท่าทางขวัญเสียกว่าเดิม เขาหลุดปากร้องออกมาอย่างหวาดกลัวทั้งๆที่ทรอยไม่ได้ทำอะไรแถมล้มลุกคลุนคลานต่อไปอย่างทุลักทุเล "ใจเย็นนะครับ ผมแค่---"
"ไป!" ชายประหลาดร้องลั่นโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง ทรอยเริ่มคิดว่าหมอนี่ต้องเป็นคนสติไม่ดีแน่ๆ แล้วเมื่อเขาหันมาก็เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดเสียจนทรอยคิดว่ามันสะท้อนแสงในความมืด ริมฝีปากนั้นบิดเบี้ยวและสั่นระริกขณะที่ดวงตาเป็นประกายภายใต้เรือนผมที่ปรกลงมา "บอกให้ไปไงล่ะเว้ย!"
"ฟังนะ ผมไม่ได้---" แล้วเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ทรอยจึงค่อยๆหันไป
มีร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ถึงจะอยู่ไม่ไกลมากแต่ร่างนี้ยืนหันหลังให้แสงจึงยากที่จะบอกว่าเขารูปร่างเป็นอย่างไรเว้นแต่ว่าไหล่ที่กว้างและส่วนสูงที่น่าจะเป็นเงาของผู้ชายมากกว่า ตรงข้ามกับชายชุดขาว ชายในเงานั้นเดินช้าๆอย่างไม่รีบร้อนและมั่นคง ฝีเท้าของเขานั้นก้องไปทั้งตรอกอย่างน่ากลัว แล้วทรอยก็รู้ว่าชายชุดขาวกำลังหนีจากอะไร
"คุณ---คือว่าผม--" ทรอยพยายามก้าวถอยหลัง แต่เขากลับสะดุดจนล้มก้นกระแทก เวรเอ๊ย เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่ากำลังถูกเงานั้นยืนค้ำหัวอยู่ ทรอยกลืนน้ำลายขณะที่พยายามกระเถิบออกไปห่างๆ
ร่างเงานั้นดูเหมือนจะหยิบเอาอะไรออกมาจากเสื้อ มันเป็นลูกบอลขนาดเท่าแอปเปิ้ลสีขาวเงินที่ดูจะมีแสงสว่างจางๆในตัวเอง
"ไม่!" ทรอยได้ยินเสียงสะอื้นมาจากด้านหลัง ชายลึกลับนั้นดูเหมือนจะพยายามจะควานหาหรือคว้าเอาบางอย่างจากด้านหลัง "...ได้โปรด....อย่า..."
ลูกบอลสีเงินลอยขึ้นเหนือจากมือของผู้ตามล่าเล็กน้อย แสงสีเขียวเรืองแสงขึ้นมาตรงจุดที่ควรจะเป็นดวงตาซ้่ายของเขา ทรอยคิดว่าควรจะจะร้องขอความช่วยเหลือแต่ร่างกายเขากลับทำอะไรไม่ถูก
เขารู้สึกหวาดกลัวแทนชายชุดขาวแต่สิ่งที่เขาทำก็คือกระเถิบหนีให้พ้นทางจนตัวเขาลีบกับกำแพง "ผม---ผม---ไม่นะ--"
"ขอร้องล่ะ!" ชายชุดขาวร้องอย่างอับจน นี่เป็นฝัน เขาไม่ได้พูดกับเรา เราช่วยเขาไม่ได้----เราทำอะไรไม่ได้ "ใครก็ได้!" ไม่ มันเป็นแค่ความฝัน
ชายที่ถือลูกบอลก้าวไปหาเหยื่อของเขาช้าๆ แสงสีเขียวนั้นวาวโรจน์ในความมืดราวกับดวงตาสัตว์ร้าย ถึงแม้จะมืดจนไม่เห็นหน้า แต่ทรอยมั่นใจว่าชายคนนั้นกำลังยิ้มที่มุมปาก
"อย่าาาาาา!"
แล้วทรอยก็เงยหน้าขึ้น ฟิกเกอร์อีวานเกเลี่ยนบนโต๊ะเกือบหล่นแต่โชคดีที่เขามือไวพอ หน้าผากที่ซบกับท่อนแขนเหนียวเหนอะด้วยเหงื่อ เขาแทบจะเห็นใบหน้าของตัวเองสะท้อนบนจอแล็ปท็อป ปากเขาอ้าเล็กน้อยขณะที่ตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงจนเขารู้สึกถึงบริเวณด้านในหู ส่วนหูฟังของเขาเลื่อนหลุดไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ
อะไรวะ? เขาถามตัวเองอีกครั้ง แต่มีเพียงความเงียบที่เป็นคำตอบ
ความคิดเห็น