ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Manifold Flashpoint จุดประกายหายนะ

    ลำดับตอนที่ #16 : [อมิเลีย] บทที่ 15 - นักย่องเบา [รีไรท์ครั้งที่ 1]

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.พ. 61


    Nightcrawler


         เอมี่คิดว่าความหัวโบราณมันถ่ายทอดกันทางสายเลือดได้

         เธอไม่รู้ว่ามันใช่ความหัวโบราณหรือเปล่า แต่เมืองที่เธออาศัยอยู่ซีแอทเทิลแห่งรัฐวอชิงตัน เป็นเมืองใหญ่ใน    อเมริกาไม่กี่เมืองที่ยังพอใจที่จะคงสภาพเมืองแบบเก่าๆไว้ ซึ่งเก่าๆที่ว่าเธอหมายถึงเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อน ที่นี่ไม่ค่อยมีการรื้อตึกเก่าๆเพื่อสร้างอันใหม่ที่ดู “ทันสมัย” กว่าขึ้นมาแทน หลักจากที่เคยไปมหานครแห่งชายฝั่งตะวันออกอย่างเมืองนิวยอร์ค เอมี่ถึงกับเอียนกับกระจกแล้วก็โฮโลแกรมเป็นอาทิตย์

         แล้วที่เธอบอกว่ามันเกี่ยวกับทางสายเลือด เพราะครอบครัวเธอส่วนใหญ่คิดกันแบบนี้ จะมีก็แต่ป้ากับทรอยที่ค่อนข้างสบายๆหน่อยเธอไม่ได้ไปเยี่ยมเขาเป็นอาทิตย์แล้ว ไม่ว่าจะทำยังไงก็ย้ายเขามาใกล้ๆไม่ได้ แถมไม่กี่เดือนมานี้มีเรื่องบ้าๆเกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงที่อเมริกาด้วยถ้าให้เจาะจงหน่อยก็คือแถวๆแคลิฟอร์เนีย

         ยังดีที่ซีแอทเทิลไม่ได้เจอกับอะไรร้ายๆ วันนี้ก็แค่อีกวันที่ธรรมดา ไปเรียน แอบคุยในคาบ เม้าท์เล็กน้อยตอนพักกลางวัน จนกระทั่งขึ้นรถบัสกลับบ้านตอนเย็น

         ให้ตายเถอะ เอมี่ถอนหายใจเมื่อแบตเตอรี่โทรศัพท์เธอเหลือแค่แถบสีแดงๆที่แทบมองไม่เห็นก่อนจะยัดมันลงกระเป๋ากางเกงยีนส์ เราผลิตโทรศัพท์ที่เปิดแผนที่ได้ค่อนโลกหรือถ่ายรูปคนให้ดูดีกว่าของจริงร้อยเท่า ทำให้ไม่มีใครผลิตแบตฯที่มันทนๆกว่านี้หน่อย

         เธอมองหน้าจอแผนที่ตรงด้านหลังที่นั่งข้างหน้า มันแสดงตำแหน่งของรถ,เส้นทางเดินรถ,สภาพจราจรทั่วไปรวมถึงตำแหน่งของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ส่วนนอกหน้าต่างนั่นคือเมืองที่ถูกอาบด้วยแสงพระอาทิตย์กำลังตกดินของเดือนพฤษภาคม ตึกรามบ้านช่องแบบเก่าๆแต่งแต้มด้วยแสงไฟหลากสีแบบเมืองยุคปัจจุบัน ทั้งหน้าจอโฆษณาเคลื่อนไหววูบวาบที่ดึงดูด,ป้ายจราจรที่เรืองแสง,หน้าจอยักษ์ที่ปกติจะฉายข่าวหรือโฆษณาของบริษัทใหญ่ๆแล้วก็ต้นไม้---ต้นไม้จริงๆที่ต้องรดน้ำใส่ปุ๋ย ไม่ใช่ต้นไม้จอมปลอมแบบที่ฉายออกมาจากเครื่องโฮโลแกรมสามมิติเหมือนที่นิวยอร์ค

         แน่นอนว่าหน้าจอโฆษณาใหญ่ที่สุดต้องเป็นของแม็กนัสคอร์ปอร์เรชั่น พื้นหลังเป็นสีขาวสว่างแบบก้อนเมฆ บนหน้าจอเป็นรูปแขนสองข้างที่เอื้อมจากทั้งสองฝั่งของจอมาแตะปลายนิ้วกันอย่างนุ่มนวล แขนทางด้านขวาเป็นแขนสีแทนเรียวสวยแบบผู้หญิงในขณะที่แขนอีกข้างเป็นสีขาวราวน้ำนม ถ้าเอมี่จำไม่ผิดมันคือวัสดุสังเคราะห์ที่สร้างเลียนแบบกล้ามเนื้อ---แข็งแรง,สวยงาม,ยืดหยุ่นและดูเป็นธรรมชาติ ที่ข้อมือ,ข้อนิ้วและข้อศอกเป็นรอยต่อเล็กๆสีดำที่ทำด้วยวัสดุยืดหยุ่นสูง ถึงแขนจักรกลข้างนี้จะถูกประกอบขึ้นแน่ๆแต่มันให้ความรู้สึกว่าแต่ละชิ้นนั้นประกอบกันอย่างประณีตจนแทบไม่ต้องสนใจรอยต่อซึ่งดูเหมือนลวดลายประดับ พร้อมคำโปรยโฆษณา


         ก้าวหน้าสู่อนาคต...ก้าวไปกับเรา


         อีกครั้งที่แม็กนัสก้าวข้ามตัวเองไปได้ เอมี่ได้แต่สงสัยว่าแขนข้างนี้จะราคาเท่าไหร่กัน เพราะอวัยวะจักรกลรุ่นล่าสุดของแม็กนัสนั้นมูลค่าเยอะกว่ารายได้ทั้งปีของลุงและป้าเสียอีก

         โทรศัพท์ของเอมี่แจ้งเตือนว่าลุงกลับถึงบ้านแล้วตอนที่รถหยุดรับคนแถวตึกไรเนียร์ทาวเออร์ ที่บ้านตั้งระบบเตือนถึงโทรศัพท์ทุกคนเวลาที่ใครออกหรือเข้ามาที่บ้าน ซึ่งเอมี่ตั้งค่าให้ระบบเตือนแค่เวลามีคนกลับถึงบ้าน

         แล้วก็มีคนโทรมา---ปรากฏว่าเป็นโจซี่หรือโจเซฟฟิน เพื่อนของเธอเอง

         “ไงโจซี่” เธอทัก “มีอะไรเหรอ”

         “เอมี่ เธออยู่ไหนอ่ะ?” เสียงของเพื่อนดูร้อนรนแปลกๆ

         หวังว่าไม่ได้เกี่ยวกับอีตาเฟลทเชอร์บ้ากล้ามนั่นทีเถอะ “ฉันอยู่บนรถบัส กำลังกลับบ้าน”

         “นี่ยังไม่ถึงบ้านอีกเหรอ?

         “เธอนี่เริ่มเหมือนป้าฉันขึ้นทุกวัน---ไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ”

         ดูเหมือนโจซี่จะไม่สนใจ “แสดงว่าเธอยังไม่ได้เริ่มเขียนเรียงความน่ะสิ” เสียงเธอฟังดูผิดหวัง

         อ๋อ ไอ้เรื่องนี้เอง เธอคิด อย่างน้อยก็ไม่ใช่เรื่องผู้ชายขี้หลีบ้ากล้ามที่ชอบหว่านเสน่ห์

         “ใช่ ยังไม่ได้เริ่มเลย ถ้าเธอไม่โทรมาฉันคงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีเรียงความส่งสัปดาห์หน้า” เอมี่เอนหลัง “ว่าแต่ทำไมถึงโทรมาหาฉันล่ะ?

         “เธอเคยบอกว่าลุงเธอเป็นครูสอนที่มหาลัยวอชิงตัน….ฉันเลยคิดว่า---

         เอมี่หลุดหัวเราะพรืด แต่เธอควบคุมตัวเองได้เร็วพอจะได้ยินโจซี่พูด

         “ลุงฉันสอนประวัติศาสตร์นะโจซี่”

         “แต่เขาก็เป็นครูนี่ ลุงเธอต้องเก่งเรื่องพวกนี้มากกว่าเด็กเกรด 11 อย่างเรานี่จริงมั้ย?

         จะว่าไปก็ถูกนะ “เอางี้พอไว้ถึงบ้านจะลองถามเขาให้นะ ลุงฉันชอบคุยเรื่องวิชาการหรืออะไรเทือกนั้นอยู่แล้ว ถ้าได้ทริคเด็ดๆจะบอกเธอคนแรกเลย โอเคมั้ย?

         เอมี่ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆจากปลายสาย “ดีมาก! เธอเป็นเพื่อนที่ทั้งน่ารักทั้งเจ๋งที่สุดเลย”

         “ว่าแต่ งานไม่ได้เร่งด่วนมากทำไมเธอถึงได้รีบขนาดนี้ล่ะ?

         “ก็ถ้าไม่รีบๆทำให้เสร็จ เสาร์อาทิตย์นี้ก็ไม่เป็นอันทำอะไรน่ะสิ อีกอย่างนึงนะก็เฮนรี่น่ะ เขา--

         “โจซี่โจซี่คือโทรศัพท์ฉันแบตใกล้หมดแล้ว ไว้คุยกันต่อตอนฉันถึงบ้านได้มั้ย คือต้องเหลือไว้เผื่อมีเรื่องฉุกเฉินน่ะ

         “อ๋อ ได้สิ” โจซี่ฟังดูมีชีวิตชีวากว่าตอนโทรมา ส่วนเฮนรี่ เฟลทเชอร์---คนที่เธอกำลังเดทนั้นเป็นหนุ่มนักบาสผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ แน่นอนว่าเอมี่เคยโดนไอ้หมอนี่พยายามจีบ เธอคงจะกลายเป็นแฟนอีกคนของหมอนั่นไปแล้วจนกระทั่งไอ้งั่งนั่นทำพลาดในเดทแรกๆ หมอนั่นสงสัยว่าทำไมเธอถึงขับรถมา(รถคันนั้นเป็นคันเก่าของลุงไซม่อน ซึ่งเธอชอบเอามาขับ) เธอบอกเขาว่าเธอขับรถได้ หมอนั่นกลับบอกว่าผู้หญิงน่ะเหมาะกับการนั่งข้างๆหรือบนตักคนขับมากกว่า

         ถ้าไม่ติดว่าเธอเสียดายใบขับขี่ เอมี่คงเอามันยัดปากโง่ๆของหมอนั่นไปแล้ว

         จู่ๆคนในรถก็หยุดพูดกะทันหันก่อนจะมีเสียงกระซิบกระซาบ ความสงสัยทำให้เอมี่เงยหน้าขึ้นมาดู ชายวัยกลางคนร่างผอมเพิ่งขึ้นรถมาและเขาเป็นเป้าสายตาของทุกคน ส่วนใหญ่มองเขาอย่างไม่ไว้วางใจบางคนถึงขั้นที่เอมี่กล้าพูดว่ารังเกียจด้วยซ้ำ เขาก็ดูปกติ ผมตัดสั้นเกรียนเป็นสีเทาเข้ม แจ็กเก็ตตัวหนาสีเขียวเข้มและน่าจะสวมกางเกงยีน เดินกระเผลก จนกระทั่งเมื่อเขามาใกล้ๆ เอมี่ถึงได้รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ถูกมอง

         ไซบอร์ก

         มือข้างซ้ายที่โผล่พ้นแขนเสื้อของเขาเป็นมือผอมๆที่ทำจากโลหะและวัตถุสังเคราะห์ ชิ้นส่วนส่วนใหญ่เป็นสีดำที่เป็นข้อนิ้วและฝ่ามือ จุดที่เป็นข้อต่อเป็นโลหะที่ทำให้นิ้วดูเป็นข้อๆเหมือนกับโครงกระดูก น่าจะเป็นแขนเทียมรุ่นแรกๆที่สั่งการได้ด้วยระบบประสาทผ่านนิวรอลชิป

         มันดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ด้วยราคาที่ไม่แพงนัก มันจึงเป็นทางเลือกหลักๆของผู้สูญเสียอวัยวะ ชายคนนี้ก็ไม่น่าจะรวยนักเพราะเสื้อที่ใส่นั้นสีเริ่มซีด แถมกางเกงยีนที่ใส่นั้นก็เก่ามาก สิ่งที่ดู “ทันสมัย” มากที่สุดบนตัวเขาคือมือซ้ายนี่แหละ

         ตอนนี้เองที่เอมี่รู้ว่าที่นั่งว่างข้างๆเธอเป็นที่เดียวที่ชายคนนี้จะนั่งได้

         ทุกๆวันเธอจะได้ยินว่าพวกที่ติดตั้งอวัยวะจักรกลหรือไซบอร์กนั้นเลวร้ายแค่ไหน อย่างเช่นพวกแก๊งค้ายา,ผู้ก่อการร้ายและอาชญากรหลายๆคนเป็นพวกติดตั้งอวัยวะจักรกลและต่างๆมากมายทั้งเรื่องจริงและแต่ง ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาถูกจับตามองอย่างไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก จะว่าไปกระแสต่อต้านการพัฒนาอวัยวะเทียมและดัดแปลงร่างกายมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่นัก ทุกๆสัปดาห์จะมีการประท้วงเรื่องนี้และมีรายการทีวีซักรายการพูดถึงเอ็ดเวิร์ด แลงดอนในทางที่ไม่ดีนัก

         ไม่เอาน่า เอมี่ เสียงเธอเองกระซิบในหัว เรื่องเหยียดคนอื่นเพราะเขาไม่เหมือนเรานี่มันเชยระเบิดโคตรๆเลยนะ

         เมื่อชายคนนั้นเห็นว่าเอมี่ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจ เขาจึงนั่งลงอย่างลังเลพลางดูนาฬิกาข้อมือ เอมี่สังเกตว่าเขาเหลือบตามองมาที่เธอหลายครั้งเหมือนกับคาดหวังว่าซักพักเธอคงหันมาตวาดใส่ ด้วยความอึดอัดปนรำคาญนิดๆ เอมี่จึงหันไปหาเขา

         “สายนาฬิกาสวยดีนะคะ”

         “อ๋อ” เขาดูงงๆ เอมี่หมายความตามที่พูดจริงๆ สายนาฬิกาของชายคนนี้ทำจากหนัง ดูเก่าแต่ก็ยังดูดี ของแบบนี้มีแต่คนใส่กรอบไว้ในตู้โชว์มากกว่าเอามาใส่ “ขอบคุณครับ ของขวัญจากภรรยาผมน่ะ”

         ชายคนนั้นดูสบายใจขึ้น ถึงเอมี่จะได้ยินเต็มสองหูว่ามีใครซักคนที่ด้านหลังกระซิบว่า “ครึ่งคน” แต่ดูชายคนนี้แค่ถอนหายใจ ก่อนจะล้วงเอาหนังสือพิมพ์จากในเสื้อมาอ่าน

         จากนั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากแบตฯโทรศัพท์ของเอมี่หมดลงในที่สุด แต่เธอก็จะลงรถป้ายหน้านี่เอง ส่วนชายมือเทียมนั้นลงตรงป้ายก่อนหน้านี้แล้ว สีหน้าคนต่างจ้องเขาจนกระทั่งเขาก้าวลงจากรถไป ก่อนที่จะกระซิบกระซาบกันอีกครั้ง

         “---แม่หนูนั่นบ้าหรือเปล่า?--

         “--เลือกตั้งสมัยหน้าถ้าเราไม่มีกฏหมายแบนพวกครึ่งคนละก็--

         “--นี่มอเรน่ามัวทำอะไรอยู่--

         มิน่าล่ะ ลุงไซม่อนถึงบ่นว่าสงสารประธานาธิบดี ถ้าเป็นเอมี่หัวคงระเบิดตายไปแล้วถ้ามีแต่คนแบบนี้ในประเทศ เธอรู้สึกว่ามีสายตาจ้องมองเธอตอนที่ลงรถ คงเป็นเพราะที่เธอ “ทำตัวแปลก” ช่างมันเถอะ เราไม่ได้เจอหน้าพวกนั้นทุกวันอยู่แล้วนี่     

         บ้านของลุงอยู่ย่านที่อาศัยแถบๆรอบนอกเมือง ช่องว่างระหว่างบ้านแต่ละหลังเยอะกว่าบ้านที่อยู่ใกล้ตัวเมืองกว่าทำให้ผู้คนละแวกนี้เลือกที่จะเต็มสีเขียวให้กับเมืองด้วยสวนเล็กๆ จะว่าไปแล้วนโยบายของเทศมนตรีก็ไม่เลวเหมือนกัน เอมี่เดินได้ซักพักก็ถึงบ้านซึ่งก็เป็นบ้านรูปทรงเก่า ไม่ใช่เป็นแบบทันสมัยซึ่งเน้นเป็นทรงเรขาคณิตกับผนังกระจกนิรภัย บ้านของลุงเป็นบ้านสองชั้นสีเขียวน้ำทะเลซึ่งมีโรงเก็บของอยู่ข้างซ้าย พ้นรั้วไม้(จริงๆมันไม่ใช่ไม้หรอก ไม้จริงนั้นแพงสุดๆ)เตี้ยๆคือสวนหน้าบ้านเล็กๆที่เป็นหญ้าสีสดกับไม้พุ่มประดับพองาม ค่อนไปทางขวาของสนามหญ้าคือทางเดินหินเรียบๆสีเทาเข้มที่นำไปสู่ประตูสีมะฮอกกานี ข้างประตูมีโนมหน้าตาตลกใส่ชุดฟ้าหมวกแดงสีซีดๆตัวหนึ่งตั้งอยู่ ป้าเคยบอกว่าคลินท์ขอให้ป้าซื้อให้ตอนเด็กๆและโนมตัวนี้อายุพอๆกับเอมี่ จริงๆแล้วน่าจะมากกว่าด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับเพื่อนบ้าน ลุงจอดรถไว้หน้าบ้านซึ่งมันเป็นรถจากญี่ปุ่นคันสีน้ำเงิน รูปร่างเหมือนๆกับรถสำหรับครอบครัวทั่วไปแต่เพิ่มความโค้งเว้าตามสมัยนิยม ส่วนรถคันเก่ากว่าจอดสงบนิ่งในโรงเก็บของ

         เนื่องจากโทรศัพท์แบตฯหมด เอมี่จึงต้องกดกริ่งเพื่อให้คนในบ้านรู้ว่าเธอกลับมาแล้ว

         ลุงไซม่อนเป็นคนมาเปิดประตู เขายังไม่ได้เปลี่ยนชุดที่ไปทำงานมาแต่พับแขนเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนถึงข้อศอกหรือเก็บแว่นตาที่กระเป๋าเสื้อ ท่อนล่างก็คือกางเกงสีกรมท่า เส้นผมบนศีรษะหงอกจวนจะหมดแล้ว

         “พอดีโทรศัพท์หนูแบตฯหมดน่ะค่ะ” เอมี่ยิงฟันเป็นเชิงขอโทษ “ป้ายังอยู่ในครัวเหรอคะ?

         “เปล่า” ลุงยักไหล่ “เรานั่งดูทีวีกันสองต่อสองจนหลานมากดกริ่งเมื่อตะกี้”

         “…..เอิ่ม

         “ไม่ต้องขอโทษ คนแก่ก็แบบนี้แหละ” ลุงตอบยิ้มๆ ดวงตาสีฟ้าฉายแววขบขัน “ป้าเขาเพิ่งเข้าครัวตะกี้ อีกซักพักคงเสร็จ”

         “ถ้างั้นหนูขึ้นไปชาร์จโทรศัพท์นะคะ แล้วก็การบ้านค่อนข้างยากด้วย หนูเลยอยากให้ลุงลองช่วยหน่อย”

         “การบ้านอะไรล่ะ?

         “เรียงความค่ะ”

         “เรียงความ? เยี่ยมอ๋อ ได้สิ!” ลุงดูเหมือนจะเสียศูนย์เล็กน้อยแต่ก็ปรับสีหน้าจนเป็นปกติได้ “ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ถามมาเลยนะ แต่เดี๋ยวลุง---ต้อง--ทำสมองให้ว่างๆหน่อย”

         แล้วเขาก็เดินจากไปพลางเกาศีรษะ เอมี่จึงเดินแยกขึ้นบันไดไปชั้นสอง

         บ้านนี้มีห้องนอนสี่ห้องซึ่งห้องใหญ่สุดนั้นแน่นอนว่าเป็นของลุงกับป้า รองลงมาคือห้องของเธอเอง ตามด้วยห้องของทรอยและห้องเล็กสุดเป็นของคลินท์ จะว่าไปบ้านค่อนข้างเงียบลงเพราะทรอยติดแหงกอยู่ที่โรงพยาบาลในแคลิฟอร์เนียส่วนคลินท์ไม่ได้กลับบ้านมาจะสี่เดือนแล้ว อย่างไรก็ตามเขาติดต่อมาเดือนละสองสามครั้ง ทุกๆครั้งเขาจะบอกว่าที่เอเชียไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ในข่าวบอก เพื่อความน่าเชื่อถือบางครั้งเขาจะแนบรูปถ่ายกับเด็กๆหรือสาวๆมาด้วยพร้อมคำโปรยสุดฮา

         จะว่าไปก็อดใจหายไม่ได้ตอนเห็นประตูห้องของพวกพี่ๆ แต่เอมี่เริ่มชินแล้ว

         เด็กสาวเป่าลมจากปากอย่างโล่งอกเมื่อเธอวางเป้ลงที่ปลายเตียง ห้องนอนเธอทาสีครีมในขณะที่เฟอร์นิเจอร์เกือบทุกอย่างเป็นทรงโค้งเว้าและเป็นสีเขียวมินท์(สีโปรดเธอเอง)ทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ ชั้นวางของจิปาถะที่มีไม้ฮ็อกกี้อันเก่าทำจากคาร์บอนวางพิงอยู่ โต๊ะเครื่องแป้งซึ่งส่วนใหญ่เอมี่ใช้แค่ส่องกระจกตอนหวีผม เกือบทั้งหมดจัดวางที่ผนังด้านตรงข้ามกับประตูซึ่งมีหน้าต่างอยู่หนึ่งบานกับผ้าม่านสีขาวสะอาด ส่วนเตียงนั้นอยู่ติดทางผนังซ้าย ผ้าห่มเป็นลายจุดหลายขนาดหลากสีซึ่งนุ่มสบายที่สุด ตรงหัวเตียงเป็นชั้นวางของแบบติดผนังซึ่งเอมี่ใช้วางหนังสือเล่มที่ชอบโปรด,นาฬิกาปลุกและรูปถ่าย เอมี่เดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือเพื่อชาร์จโทรศัพท์

         อย่างไรก็ตาม สิ่งของบนชั้นต่างๆไม่ค่อยเป็นระเบียบนัก นานๆที(หรือถ้าป้า "ขอ")เอมี่ถึงจะรื้อออกมาจัดใหม่และมันก็กลับมารกเหมือนเดิมในไม่กี่อึดใจ

         เมื่ออะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว เอมี่จึงกลับลงมาที่ห้องรับแขกข้างล่าง ทีวีเปิดอยู่แต่ไม่มีใครอยู่ในห้อง ลุงคงลุกไปเข้าห้องน้ำส่วนเสียงในครัวนั้นคงจะเป็นป้าอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนแรกคิดว่าจะมานั่งรอเฉยๆแต่เนื้อหาในทีวีนั้นเกี่ยวกับหัวข้อการบ้านเจ้าปัญหาพอดี

         “สำหรับข่าวต่อไปเป็นเหตุจราจลนะครับ---ช่วงสายวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น กลุ่มผู้ประท้วงที่เดินทางมาจากหลายประเทศได้รวมตัวกันที่หน้าสำนักงานใหญ่ของแม็กนัสคอร์ปอร์เรชั่นที่โจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้---เบื้องต้นนั้นไม่มีรายงานถึงเหตุกระทบกระทั่งแต่อย่างใด รายงานกล่าวว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้กล่าวถึงการดัดแปลงร่างกายมนุษย์อันมีผลให้ตลาดแรงงานทั่วโลกต้องการแรงงานที่ผ่านการดัดแปลงมากกว่าแรงงานร่างกายปกติ อย่างไรก็ตามผู้ผ่านการดัดแปลงร่างกายจำนวนมากได้ถูกจับตามองจากสังคมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นแง่ของความแปลกแยก, สภาวะร่างกายที่หลายฝ่ายจำกัดความว่า “ไม่สมบูรณ์” รวมถึงเหตุรุนแรงหลายแห่งทั่วโลกที่มีหลักฐานว่าผู้ก่อเหตุและอยู่เบื้องหลังนั้นเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นผู้ที่ผ่านการดัดแปลงร่างกายอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งทางผู้ประท้วงนั้นเชื่อว่าแม็กนัสควรตระหนักถึงอันตรายจากเทคโนโลยีการดัดแปลงร่างกายมนุษย์”

         ภาพตัดไปทางพวกที่ไปประท้วง ซึ่งมีทั้งการส่งเสียง ชูป้ายข้อความและรูปภาพ แล้วก็ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นตัวแทนหรือผู้นำ

         “ด้วยความเคารพนะคะ” เธอพูด “ดิฉันคิดว่าคุณแลงดอนควรจะลองคิดๆถึงเรื่องที่คุณพูดมาเป็นปีๆว่าถึงเวลาที่มนุษยชาติจะก้าวไปข้างหน้าจริงๆ ดิฉันชื่นชมที่คุณทำประโยชน์แก่สังคมโลกแต่ตอนนี้คุณควรจะมองให้กว้างกว่าในแง่เศรษฐศาสตร์บ้าง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราก้าวเดินไปข้างหน้าแต่เราไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่กลางทางและปลายทางมันคือสิ่งที่เราตามหาจริงๆ สำหรับดิฉันมันไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะถอยหลังซักก้าวแล้วคิดให้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่”

         ข้างหลังเธอมีเสียงผู้ชายพูดขึ้นมา สำเนียงน่าจะมาจากทางอังกฤษ

         “คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร คุณเป็นแค่นักธุรกิจคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรจะมา “นำทาง” โลกนี้ คุณน่าจะปล่อยให้โลกเป็นไปตามวีถีของมัน”

         เสียงจากผู้ประท้วงเงียบไปขณะที่ภาพตัดไปยังอีกมุมของการชุมนุมและผู้ประกาศข่าวที่กลับมาอีกครั้ง

         “ขณะนี้เอ็ดเวิร์ด แลงดอน ประธานของแม็กนัสฯได้เดินทางไปติดต่อสัญญาที่ประเทศเกาหลีใต้ เบื้องต้นเราได้รับทราบว่าคุณแลงดอนได้รับทราบถึงความกังวลของผู้ชุมนุมแล้วและเขาจะออกชี้แจงถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของแม็กนัสฯในโอกาสต่อไป”

         นั่นช่วยได้ไม่ค่อยเยอะนัก เธอต้องเขียนถึงการความเห็นถึงข้อดีข้อเสียของเทคโนโลยีการดัดแปลงร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะกับอวัยวะเทียมรุ่นใหม่ๆที่ทำงานได้ราวกับของจริง ยังไงก็ตามเอมี่ยังไม่ลืมว่าเรียงความนี้ต้องใช้ความคิดเห็นของเธอเอง

         “อ้าว นี่ลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ลุงไซม่อนเดินกลับเข้ามาพอดี

         “เมื่อตะกี้เองค่ะ” เด็กสาวตอบ

         “นี่ข่าวเกี่ยวกับแม็กนัสฯอีกแล้วเหรอเนี่ย?” ลุงนั่งลงโซฟาใกล้ๆ “คราวนี้ใช่เรื่องดัดแปลงร่างกายอีกหรือเปล่าล่ะ”

         ก่อนที่เธอจะตอบ ป้าก็เดินเข้ามาในห้อง

         “มื้อเย็นเสร็จแล้วนะจ๊ะ”

         “เดี๋ยวไว้คุยกันบนโต๊ะ” ลุงบอกก่อนจะลุกขึ้นเดินนำเอมี่ไปยังห้องครัวซึ่งตกแต่งด้วยลายไม้ เมนูวันนี้คือแซลมอนย่างหรือไม่ก็อบกับเลมอน โต๊ะกินข้าวนั้นเป็นโต๊ะกลมใหญ่พอสำหรับห้าคน ซึ่งข้อดีอย่างหนึ่งของมันคือโต๊ะดูไม่ว่างจนเกินไปเมื่อยกเก้าอี้ออกสองตัว

         “คุยอะไรกันเหรอจ๊ะ?” ป้าถาม  หลังจากที่หันมาใส่คอนเทคเลนส์เมื่อเดือนก่อน ป้าโจดี้ดูดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แต่เอมี่ยังไม่คุ้นกับป้าที่ไม่มีแว่น

         “การบ้านค่ะ---เรียงความเกี่ยวกับเทคโนโลยีดัดแปลงร่างกาย” เอมี่พูดเหมือนเป็นหุ่นยนต์

         “แล้วลุงคนเก่งล่ะว่าไง?” ป้าหันไปถามสามี

         “เอาจริงๆนะที่รัก เรียงความกับผมน่ะไปด้วยกันไม่ค่อยได้เลย” ลุงหัวเราะพลางใช้ผ้าเช็ดปากก่อนหันมาหาเอมี่ “แต่ลุงสัญญาแล้ว จะถามอะไรก็ว่ามาได้เลย”

         เอมี่ลดส้อมลง จะถามว่ายังไงดีล่ะ? “ลุงกับป้าคิดยังไงคะกับการดัดแปลงร่างกายคน มันดีหรือเปล่า?

         “ป้าว่ามันก็ดีนะ” ป้าโจดี้ตอบ “ถ้าเป็นเมื่อก่อนสมัยป้ายังเป็นพยาบาล เสียแขนขาไปนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ หลายๆอาชีพถึงกับหมดอนาคตกันเลยล่ะ แต่พอมาตอนนี้สิ เผลอๆแขนใหม่ขาใหม่ดีกว่าอันเดิมอีก ไหนจะอวัยวะภายในอีก ทุกวันนี้เราแทบจะไม่ต้องรอคนบริจาคอวัยวะแล้ว เสียอย่างเดียวตรงที่ทุกวันนี้ทุกอย่างเหมือนผูกขาดอยู่กับแม็กนัสฯ”

         “นี่คุณเพิ่งจะพูดถึงคนที่จ่ายเงินเดือนให้ลูกชายเรานะที่รัก” ลุงหัวเราะเบาๆ

         “ทุกคนก็พูดถึงแต่เอ็ดเวิร์ด แลงดอนทุกวันอยู่แล้วนี่ ไซม่อน” ป้าตอบ “ถึงเขาจะเป็นหัวหน้าลูกเราไม่ได้แปลว่าเขาจะเป็นหัวหน้าฉันซักหน่อย”

         “ถ้ามันดีจริง หนูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องมีคนมาต่อต้านหรือมาตั้งแง่กับคนที่เขาใช้อวัยวะเทียมด้วย หนูเห็นมากับตาเลยล่ะ”

         “หลานว่าอะไรนะ?” ลุงไซม่อนเลิกคิ้ว “มาถึงนี่แล้วเหรอ”

         “สดๆร้อนๆตอนหนูกลับมาบ้านนี่แหละค่ะ” จากนั้นเอมี่ก็เล่าเรื่องบนรถบัสให้ทั้งสองฟัง เมื่อฟังจบทั้งลุงทั้งป้าต่างถอนหายใจอย่างปลงๆ

         “คนเราก็เป็นกันซะแบบนี้” ลุงยกแก้วขึ้นดื่มน้ำ “เป็นกันทุกสมัยกับการหาเรื่องเกลียดชาวบ้าน ตอนแรกก็เป็นยิวที่โดน ต่อมาก็คนผิวสี รักร่วมเพศ พวกผู้อพยพ แล้วก็มาถึงตาของมุสลิม ตอนนี้ก็เป็น---เขาเรียกว่าอะไรนะ---อ๋อ ไซบอร์ก”

         “หลานทำถูกแล้วล่ะ” คำพูดของป้าทำให้เอมี่ยิ้มออก “แค่ชื้นส่วนจักรกลไม่กี่ชิ้นมันไม่ได้ทำให้ความเป็นคนลดลงหรอก”

         ยูเรก้า!

         ตอนนี้เองที่ประกายความคิดของเอมี่ระเบิดออกเหมือนพลุในวันชาติ จริงๆแล้วเธอพอคิดออกว่าจะเขียนอะไร แต่นึกยังไงก็ไม่รู้วิธีเริ่มหรือจะใช้คำว่าอะไรดี พอป้าพูดออกมาก็ตรงกับที่เธอคิดพอดี เอมี่กะไว้แล้วว่าไม่ลุงก็ป้าจะต้องช่วยเธอได้

         “หนูรู้แล้วว่าจะทำยังไง” เธออยากกอดป้าแรงๆซักที “ขอบคุณค่ะ ป้านี่เจ๋งที่สุดในโลกเลย”

         ลุงไซม่อนกระแอมก่อนหันไปจัดการชิ้นแซลมอนของเขาพลางพูดเบาๆ “พอดีเรื่องนี้ลุงไม่ค่อยถนัดน่ะ….

         อีกครั้งกับโต๊ะกินข้าวของบ้านมัลลิแกน เป็นอีกครั้งที่เอมี่อยากให้พี่ชายทั้งสองหายตัวกลับมาทานมื้อเย็นที่บ้าน

         “เดี๋ยวหนูช่วยล้างจานนะคะ” เอมี่พูดขึ้นหลังจากทุกคนทานอาหารจนอิ่ม

         “หลานขึ้นไปทำการบ้านเถอะ” ลุงไซม่อนเก็บจานมาวางซ้อนกัน “ทางนี้เดี๋ยวลุงช่วยป้าเขาเอง”

         “….มีอะไรหรือเปล่าคะ?

         “ใช่ มีสิ” ลุงหยิบเอาจานไปวางที่ซิงค์ “ลืมไปแล้วเหรอว่าหลานขัดจังหวะสองต่อสองของลุง ลุงไม่ลืมหรอกนะ”

         ป้าถึงส่ายหน้าด้วยความขบขัน เอมี่จึงขึ้นไปบนห้องตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้งก่อนหยิบเอากระดาษโน้ตแผ่นสีเหลืองกับปากกาออกมา

         แค่ชื้นส่วนจักรกลไม่กี่ชิ้นมันไม่ได้ทำให้ความเป็นคนลดลงหรอก

         เธอแปะมันไว้ริมๆกระจกเพื่อให้สังเกตง่ายๆ จะว่าไปแล้วเอมี่ไม่ได้ส่องกระจกจริงๆจังๆมาได้ซักพักแล้วจึงได้นั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ตาสีเขียวจ้องไปที่ภาพสะท้อนของตัวเอง เธอชอบทรงผมใหม่ที่ยาวแค่ประมาณท้ายทอยจากที่เคยไว้ประบ่า มันทำให้เธอคล่องตัวขึ้น(อย่างน้อยเอมี่รู้สึกอย่างนั้น) โจซี่ทักว่าพอตัดทรงนี้ตาเธอดูกลมโตขึ้นและดูน่ารักขึ้น

         น่ารัก? ฉันเนี่ยนะ? เด็กสาวถึงกับหัวเราะเพราะที่เธอชอบผมสั้นๆก็เพราะมันทำความสะอาดง่ายและความคล่องตัว ไม่เกี่ยวกับความสวยงามเลยแม้แต่น้อย แล้วเอมี่ก็นึกได้ว่าเธอมีนัดกับโจซี่ไว้ จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายถึงเพื่อนสาวทันที แต่ก็ต้องผิดหวัง เธอลองอีกหลายครั้งแต่โจซี่ยังคงคุยกับใครซักคนอยู่ แถมปิดไม่ให้ประชุมสายด้วย

         สายไม่ว่าง….ขอบใจมาก โจซี่ งั้นโทรตามมาเองละกัน


         เอมี่เดินไปที่ห้องน้ำพลางสำรวจตัวเอง เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเธอจึงเดินตัวเปล่าเข้าไปใต้ฝักบัวอาบน้ำซึ่งสามารถปรับอุณหภูมิได้อัตโนมัติและสั่งเปิด-ปิดได้ด้วยเสียง น้ำที่อุ่นสบายไหลกระทบร่างเธอและฟุ้งกระจายเป็นไอเกาะที่ผนังกั้นฝักบัว น้ำอุ่นๆกับกลิ่นสบู่หอมๆก็ช่วยทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย

         สำหรับวันนี้เอมี่เลือกชุดนอนแขนสั้นสีฟ้า ถึงจะได้ไอเดียในการเขียนแล้วแต่เนื่องจากเรียงความไม่ได้เป็นงานเร่งด่วนมากบวกกับสายของโจซี่ยังไม่วาง ทำให้เธอหันไปเปิดคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะเขียนหนังสือแทน ซึ่งก็ช่วยอะไรไม่ได้นักเพราะเพื่อนๆส่วนใหญ่ไม่ได้ออนไลน์ในคืนนี้และเกมเกือบทั้งหมดเธอก็เล่นจนจบหมดแล้ว เอมี่จึงสั่งปิดไฟและนอนฟังเพลงจากเครื่องเล่นเพลงขนาดเล็กบนเตียงแทน

         แล้วเธอก็เผลอหลับไป ก่อนจะพบว่าตัวเองมาอยู่ที่ไหนซักแห่ง

         ทุกอย่างเป็นสีขาวสว่างเหมือนมีสปอร์ตไลท์ส่องมาจากทุกทิศทุกทาง สว่างมากจากเธอมองไม่เห็นมือและเท้าตัวเอง แต่ถึงกระนั้นเธอกลับไม่รู้สึกแสบตา

         ….อะไรกันเนี่ย ที่นี่มันที่ แต่แล้วก็มีเสียงเหมือนคนพูดที่ดังมาจากไกลๆแต่ชัดเจน

         “พาเขาเข้ามา เร็วเข้า!” เป็นเสียงผู้หญิงที่ฟังดูร้อนรน “ชีพจรเป็นไงบ้าง”

         “ปกติ” อีกเสียงพูด เป็นเสียงผู้ชายมีสำเนียง---น่าจะรัสเซีย “แต่ม่านตายังไม่ตอบสนองเลย”

         “บ้าจริง!” เสียงผู้หญิงคนแรกพูด “อิลยา ช่วยเราต่อสายพวกนี้แล้วไปรอข้างนอก”

         “ลีอาห์ ให้ฉันไปตามแดเนียลมั้ย?

         “ไม่ต้อง! เราต้องทำได้---ฉันต้องทำได้” เจ้าของเสียงแรกที่ชื่อลีอาห์ฟังดูสงบกว่าอีกคนแต่น้ำเสียงยังคงมีความตื่นเต้นอยู่ “เราต้องทำให้ทั้งมัลลิแกนทั้ง “มัน” เสถียร ถ้าเขาเป็นอะไรไปถือว่าทุกอย่างจบ----นายทำเสร็จหรือยัง”

         มัลลิแกนเหรอ?

         “ได้---เชื่อมต่อแล้ว”

         “ออกไปก่อนฉัน---ฉันต้องการสมาธิ”

         “---โชคดีนะ ลีอาห์”

         “ขอบใจ”

         แล้วเอมี่ก็ไม่ได้ยินอะไรอีกราวกับหูทั้งสองข้างดับไปแล้ว รู้สึกตัวอีกทีเธอก็นั่งตรงแข็งทื่ออยู่บนเตียง ในหูของเธอยังก้องไปด้วยคำว่า “มัลลิแกน”---นามสกุลของเธอ แถมยังพูดถึงคนชื่อมัลลิแกนว่า "เขา" แสดงว่าต้องเป็นผู้ชาย---แต่จะเป็นใครล่ะ? ตอนนี้เธอก็ยังตัวสั่นและรู้สึกเย็นๆที่ปลายนิ้วและสันหลัง

         ไม่เอาน่า เอมี่ เธอบอกตัวเอง แค่ฝันแปลกๆเอง ไม่มีอะไรหรอก พอแต่จะล้มตัวลงนอน เธอก็ได้ยินเสียงแหลมสูงที่ดังเพียงเสี้ยววินาทีและตามด้วยเสียงแหลมก้องถี่ๆเหมือนคลื่นความถี่สูงหรืออะไรซักอย่างจนเธอถึงกับหรี่ตาลง จู่ๆข้างนอกก็มีแสงสว่างวาบ

         เด็กสาวลุกจากเตียงช้าๆก่อนค่อยๆเดินไปที่หน้าต่าง เมื่อแง้มผ้าม่านดูก็พบว่าลมค่อนข้างแรงใช้ได้สังเกตจากต้นไม้ของเพื่อนบ้าน พอก้มลงมองก็เห็นโทรศัพท์ที่วางอยู่นั้นเปิดเองและไม่ตอบสนองเมื่อเอมี่พยายามใช้มัน ยิ่งเธอเลื่อนหน้าจอยิ่งลายเหมือนกับโทรทัศน์สัญญาณไม่ดี

         “เป็นบ้าอะไรของแกเนี่ย” เธอพูดกับโทรศัพท์เจ้ากรรม พอเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ ข้างนอกก็มีแสงเหมือนฟ้าแลบซึ่งจ้าจนเอมี่ต้องปิดตา บางอย่างบอกเธอว่าแสงนี่มันมาจากบริเวณสนามหญ้าหลังบ้านนี่เอง

         เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมาปรากฎว่าเสียงก้องนั้นหายไปแล้วแทนที่ด้วยความเงียบสงัดส่วนลมข้างนอกก็สงบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเธอพยายามเปิดไฟในห้องก็เปิดไม่ติด 

         เยี่ยม แค่ลมพัดถึงกับไฟดับ ขอบใจมากค่ะท่านเทศมนตรี

         เด็กสาวตัดสินใจเปิดลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือและหยิบเอาไฟฉายแบบติดเสื้อได้ออกมาและเดินออกไปนอกห้อง

         ไม่มีอะไรต้องกลัว ฉันแค่จะออกไปดูหลังบ้านนิดหน่อยเอง เอมี่ส่องไฟฉายลงไปที่บันไดก่อนเริ่มก้าวลงไป จู่ๆเธอก็รู้สึกเหมือนขนลุกขึ้นมาทั้งตัว เธอได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆดังมาจากใกล้ๆ น่าจะเป็นที่ห้องของคลินท์ ขโมย!?

         เด็กสาวค่อยๆย่องกลับเข้าไปในห้องของเธอ ก่อนหยิบเอาไม้ฮ็อกกี้แล้วย่องไปที่ประตูห้องคลินท์ที่ไม่ได้ล็อกกลอน เธอนึกขอบคุณพี่ชายที่ให้ไม้นี่ไว้กับเธอถึงเธอจะไม่ได้เล่นฮ็อกกี้บ่อยนัก มือที่กำรอบลูกบิดนั้นเริ่มมีเหงื่อออก แล้วเธอก็เปิดผลัวะเข้าไปพลางเงื้อไม้ฮ็อกกี้

         จากไฟฉายเธอเห็นตู้เสื้อผ้าที่ถูกรื้อกับหน้าต่างห้องที่เปิดออก ดูเหมือนเธอจะเข้ามาจังหวะที่ขโมยหรือใครซักคนกระโดดลงไปทางหน้าต่างเพราะเอมี่ทันเห็นแค่สีเนื้อแบบผิวหนังคนเท่านั้นแต่ก็แค่แวบเดียว

         “เฮ้! ใครน่ะ!” เอมี่พลั้งปากตะโกนขณะวิ่งตามไปดู เธอคาดหวังว่าจะได้เห็นร่างนอนแอ้งแม้งอยู่ในสนามหลังบ้านแต่ไม่มีแม้แต่เงาคน

         “บ้าเอ๊ย! หายไปไหนวะ!” เด็กสาวพูดอย่างหัวเสียพลางตบขอบหน้าต่าง เธอเกือบต้อนหัวขโมยจนมุมแล้ว เธอดึงเอาไฟฉายส่องไปทั่วสนามหญ้าเล็กๆก็ไม่มีอะไรนอกจากรอยแปลกรูปวงกลมบนหญ้าแต่ไม่มีวี่แววของไอ้หัวขโมย เหมือนกับขโมยนั่นใช้วิชานินจาหายตัวไปดื้อๆ

         “นั่นใครน่ะ?” เสียงจากด้านหลังทำเอาเธอสะดุ้งสุดตัวจนทำไม้ฮ็อกกี้หลุดมือ

         “ลุงทำหนูตกใจหมด!” เอมี่พูดอย่างโล่งใจปนอารมณ์เสียเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

         “นี่มันกี่โมง---หลานมาทำอะไรในห้องนี่ตอนดึกเนี่ย?” ลุงไซม่อนในชุดนอนและแว่นตาเดินเข้ามา สีหน้าดูสับสน “แล้วทำไมถึงมารื้อ---

         “บ้านเรามีขโมยค่ะ!” เธอพูดโดยแทบไม่หายใจ “ขโมย! มันหนีออกไปทางหน้าต่างตะกี้นี้เองค่ะ!

         “ขอไฟฉายให้ลุงหน่อย” ลุงแค่เลิกคิ้ว เอมี่ยื่นให้ตามที่ลุงขอแม้จะหงุดหงิดน้อยๆเมื่อเห็นว่าลุงไม่เชื่อ เขาส่องดูตามขอบหน้าต่าง “อืม….หน้าต่างไม่มีรอยงัดแสดงว่าต้องเปิดจากด้านใน แถมผนังบ้านเราทั้งลาดแล้วก็เรียบ หลานแน่ใจนะว่าเป็นขโมย”

         “แน่ใจสิคะ!” เอมี่พูดอย่างมีอารมณ์ “ลุงดูในตู้นี่สิ มีอะไรหายหรือเปล่า”

         พอลุงฉายไฟไปที่ดู เอมี่จึงเห็นไม้แขวนเสื้อวางเปล่าอยู่สองสามอันกับกองกางเกงที่พับไว้ถูกค้น ลิ้นชักใส่พวกกางเกงบ็อกเซอร์และกางเกงในถูกดึงออกมาเช่นกัน

         “เสื้อผ้าหาย….ตู้นี้มันเอาไว้เก็บของเก่าของเจ้าคลินท์นี่

         “หนูบอกแล้วว่าบ้านเรามีขโมย!” 

         “เขาไปทางไหนนะ? หน้าต่างนี่เหรอ?

         “ค่ะ” เด็กสาวตอบ “น่าจะกระโดด---หนูรู้ค่ะว่านี่มันชั้นสอง แต่หนูสาบานได้ว่าเห็นคนโดดลงไป”

         “เดี๋ยวลุงไปดูข้างนอก---” เขาปิดหน้าต่างแล้วล็อกกลอน

         “หนูไปด้วย” เธอคว้าไม้ฮ็อกกี้ขึ้นมา “จะได้ช่วยกันไงคะ”

         ลุงดูลังเล “ได้ สายตาหลานคงดีกว่า แต่อยู่ใกล้ลุงไว้ นี่---เอาโทรศัพท์ลุงไป ถ้ามีอะไรก็แจ้งตำรวจได้เลย”

         อากาศข้างนอกค่อนข้างเย็นแต่ทั้งเอมี่ทั้งลุงไซม่อนสวมเสื้อกันหนาวทับชุดนอนมาด้วยแถมลุงหยิบเอาไฟฉายของตัวเองมาด้วย ลุงเดินไปส่องตามรั้วขณะที่เอมี่ส่องไฟดูตามพื้นหญ้า เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ขอมาด้วย อากาศตอนกลางคืนข้างนอกนี่ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการออกมาเดิน ถึงแม้จะใส่เสื้อกันหนาวก็เถอะ

         แล้วเธอก็สังเกตว่าหญ้าตรงที่เธอเหยียบอยู่นั้นผิดปกติ เมื่อเธอก้าวถอยหลังออกมาฉายไฟดูชัดๆก็พบว่าบนหญ้า นั้นมีรอย เป็นรอยรูปวงกลมซ้อนกันหลายชั้นน่าสิบๆวง--เหมือนมีใครเอาบางอย่างมาวางทับหญ้าไว้จนเป็นรอยกว่างประมาณ 8 ฟุตได้

         พอมองชัดๆ รอยวงกลมนี้มีรายละเอียดที่---ประณีตมาก วงกลมนับสิบที่ซ้อนกันนั้นอยู่ระยะใกล้เคียงกันโดยที่วงในสุดนั้นนูนขึ้นเล็กน้อย ดูแล้วมันไม่เหมือนรูปวงกลมซ้อนกัน---แต่เหมือนกับผิวน้ำกระเพื่อมเป็นคลื่นเวลาที่มีหยดน้ำหยดลงมามาก เอมี่แน่ใจว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนและมันดู---เป็นธรรมชาติอย่างประหลาด

         “ลุงคะ! มาดูนี่สิ!

         “มีอะไรเหรอ?” ลุงเดินมาหาเมื่อเห็นเอมี่ส่องไฟลงพื้น แต่เมื่อเขาเห็นมันก็มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของลุงดูเหมือนตกตะลึงอย่างมาก แม้ด้วยความสว่างที่จำกัด เอมี่ยังเห็นใบหน้าที่ซีดลงและปากที่อ้าออกเล็กน้อย

         “นี่มันหลานเห็นมันตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงของลุงแหบและเบาเหมือนเขากำลังพูดกับตัวเอง

         “หนูเห็นมันเมื่อตะกี้นี่เอง” นี่ลุงเป็นอะไรไปหรือเปล่า? “บ้านเราไม่ได้ทำสนามใหม่ใช่มั้ยคะ?

         “ไม่” ลุงตอบห้วนๆ “หลานกลับขึ้นไปนอนเถอะ ลุงจะอยู่ดูรอบๆซักพัก”

         “ลุงเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” เอมี่ถาม สีหน้าของลุงดูไม่ดีเลย ใบหน้าเขาซีดขณะที่ดวงตาหลังเลนส์จ้องไปที่รอยประหลาดบนพื้นหญ้าอย่างตาไม่กระพริบ ด้วยแสงจากไฟฉายและสีหน้าเครียดเขม็งทำให้ลุงดูแก่กว่าเดิมมาก เขานิ่งมากจนเอมี่ไม่แน่ใจว่าลุงได้ยินที่เธอพูดหรือเปล่า 

         “ไม่---ลุงไม่เป็นอะไร…..เรากลับเข้าบ้านกันเถอะ”

         แล้วลุงก็ไม่พูดอะไรอีกเลย


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×