ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Manifold Flashpoint จุดประกายหายนะ

    ลำดับตอนที่ #14 : [ทรอย] บทที่ 13 - ตื่นจากฝันร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 60


    Awakening


         ทรอยเลือกเวลาฟื้นได้ดีทีเดียว

         เขาไม่เคยฟื้นจากการหมดสติมาก่อน แต่มันให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับฟื้นจากการตื่นนอน ยกเว้นว่ามันไม่มีความรู้สึกง่วงเหลืออยู่ แล้วก็เวียนหัวหน่อยๆ เขาค่อยๆยันตัวขึ้นมาลุกนั่งพลางกระพริบตาเพื่อให้เขาเห็นอะไรๆชัดขึ้น

         ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอยู่ในโรงพยาบาล ไม่ผิดแน่ และตอนนี้เขาก็อยู่คนเดียวแถมยังค่อนข้างจิตตกเพราะเรื่องที่เพิ่งเจอมา ทรอยค่อยๆขยับร่างกายก่อนจะยิ้มออกมาทีละน้อยเมื่อเขาขยับตัวได้ปกติ พอเอามือแทบหน้าอกก็รู้สึกถึงความอบอุ่นและหัวใจที่เต้นอยู่ภายใน มันเต้นแรงทีเดียวซึ่งน่าจะเป็นเพราะฝันน่ากลัวนั่น

         ทรอยสวมชุดคนป่วยสีเทาอ่อนขณะที่ส่วนอื่นๆของห้อง ทั้งผนัง,เฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งยิบย่อยนั้นเป็นสีขาวดูสะอาดตา ผนังด้านขวาเป็นผนังกระจกมีม่านถูกเปิดออกให้รับแสงอาทิตย์ เสียงปิ๊บๆของอุปกรณ์โรงพยาบาลนั้นดังมาจากด้านที่ควรจะเป็นหัวเตียง เมื่อหันกลับไปก็เห็นหัวเตียงที่เป็นหน้าจอแสดงสถานะคนไข้แบบ Build-In เท่าที่ดูๆ ร่างกายเขาคงปกติดี เสียงปิ๊บๆนั้นค่อนข้างสม่ำเสมอและเป็นสีเขียวซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณดี นั่นช่วยได้เยอะทีเดียว

         โต๊ะตัวเล็กข้างๆเตียงนั้นมีช่อดอกไม้สองช่อกับกระเช้าเล็กอีกหนึ่งอันซึ่งดอกไม้ทุกดอกยังสดอยู่ แต่ทรอยสนใจว่าใครส่งมามากกว่า

         ช่อแรกที่เขาหยิบมานั้นมีโน้ตเล็กๆ ตอนแรกทรอยจำลายมือไม่ได้แต่เขาก็นึกออกในที่สุด ดัลลัส?

         แกหล่อดีนะสำหรับคนที่หมดสติเป็นวัน หายไวๆนะเพื่อน

         แก๊งค์บานาน่านินจา

         ทรอยหัวเราะเล็กน้อย “บานาน่านินจา” เป็นชื่อวงดนตรีที่ทรอยเคยร่วมก่อตั้งกับเพื่อนๆ ดัลลัสเป็นมือเบสและใช้บ้านของเขาเป็นสถานที่ซ้อม อย่างไรก็ตาม นินจาอ่อนหัดอย่างพวกเขาก็ต้องแยกย้ายกันไปหลังเรียนจบ ครั้งสุดท้ายที่คุยกัน ดัลลัสเปรยๆว่ากำลังเป็นเด็กฝึกงานในสตูดิโอแห่งหนึ่ง

         เห็นได้ชัดว่าบรรดากล้วยนินจามากันครบทีม ตรงชื่อวงเขาเห็นลายชื่อของสมาชิกแต่ละคนที่ผลัดกันเขียนจนเป็นชื่อเต็มๆ ทรอยจำได้ว่าเจค มือกลองนั้นเขียนตัว “น” แบบเดียวกับที่บนโน๊ต สงสัยว่าเขาจะเลิกไว้ผมยาวหรือยังเพราะผมทรงนั้นทำให้เขาหน้าตาคล้ายกับเคิร์ท โคเบนอย่างน่าขนลุก ลีดกีต้าร์อย่างเบนิชิโอหรือเบ็นนั้นยังมีลายมือที่เนี้ยบกว่าทุกคนในกลุ่มเหมือนเดิม

         “ขอบใจเว้ย” เขาพูดเบาๆก่อนวางช่อดอกไม้กลับที่เดิม “อยากเจอพวกแกอีกจัง”

         ช่อต่อมาอันใหญ่กว่าของแก๊งค์นินจาเล็กน้อย ลายมือห่วยแตกบนโน๊ตคงเป็นของคลินท์อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งทรอยรู้ว่าคลินท์คงไม่ว่าอะไรถ้าเขาจะไม่ขอนั่งแกะลายมือไก่เขี่ยพวกนี้ สำหรับผู้ชายมาดลุยๆแล้วเขาเลือกสีดอกไม้ได้สวยและแสบดีจริงๆ

         สุดท้ายก็เป็นกระเช้าซึ่งทรอยจงใจเก็บไว้เป็นรายการสุดท้ายเพราะเขารู้ว่าเป็นของใคร ป้าโจดี้คงเลือกดอกไม้พวกนี้ด้วยตัวเอง สีทั้งเหลือง,ขาว,เขียวดูค่อนข้างสบายตากว่าเมื่อเทียบกับช่อดอกไม้ของคลินท์ พอเห็นลายมือของลุงกับป้าที่อวยพรแล้วทรอยก็ยิ้มกว้างโดยอัตโนมัติ เขากระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหน นอกจากลายมือที่ประณีตของลุงป้าแล้ว ใครบางคนวาดรูปใบหน้ายิ้มตรงมุมขวาของโน๊ต ซึ่งทรอยไม่ต้องเสียเวลาเดาว่าเป็นฝีมือใคร

         ขอบใจมากนะ เอมี่

         เขาถือกระเช้านั้นไว้ค่อนข้างนานทีเดียว ที่ระลึกจากครอบครัวทำให้ทรอยค่อยๆลบฝันร้ายที่เขาเจอมาเมื่อสักครู่ เป็นฝันที่เขาดีใจที่ตื่นขึ้นมาได้ ทรอยยังนึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงฝันเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้แถมมันสมจริงจนน่ากลัว

         ในฝัน เขานอนอยู่ในห้องคนป่วยห้องเดิม แต่เป็นเวลากลางคืนห้องมืดสนิท ทรอยรู้สึกหมดแรงจนทำได้แค่หันหัวไปมาบนหมอนแต่นั้น ตอนแรกเขาสับสนและรู้สึกตกใจ ยังไม่นับรวมกับที่มือขวาของเขานั้นเจ็บปนชาเหมือนเพิ่งโดนไฟดูดมา ถึงมองอะไรได้ไม่ถนัดแต่เขาเห็นเหมือนร่างเงาของใครซักคนยืนอยู่ปลายเตียง ซึ่งชวนไม่สบายใจอย่างแรง โดยเฉพาะเมื่อเขาอยู่ในสภาพไร้ความช่วยเหลือ

         “ใครน่ะ?” เขาจำได้ว่าพูดแบบนั้น แต่เสียงที่ออกจากปากนั้นเบาและแหบมากจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นเสียงตัวเอง ตอนนั้นเองที่ทรอยรู้สึกว่าคอเขาแห้งเป็นทะเลทราย จากนั้นเขาก็จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

         ฉันอยู่ที่คลับในซานฟรานฯ แล้วออลลี่ไม่สิ คีธก็ก่อเรื่องขึ้น ไม่รู้ทำไมฉันเลือกที่จะอยู่เคลียร์เรื่องเงินให้ แล้วก็มีคนตัวเลอะแทะแต่แรงเยอะโคตรๆ เขาถืออะไรกลมๆ แล้วจู่ หมอนั้นก็หาเรื่อง

         พอเขาคิดได้แค่นั้น มือขวาก็เจ็บแปลบขึ้นจนทรอยร้องเสียงหลงเท่าที่เสียงแหบๆนี่จะทำได้ แล้วภาพน่ากลัวก็ผุดขึ้นมาในหัวเขา ชายท่าทางแปลกๆพยายามยัดวัตถุกลมๆเป็นมันวาวลงคอของทรอย แต่กลายเป็นว่าจู่ๆเขาก็ตัวระเบิดเป็นไฟสีฟ้าๆ ลูกกลมนั้นมาอยู่ในมือทรอยแล้วเขาก็รู้สึกเจ็บปวด--อย่างแสนสาหัส ชั่วขณะหนึ่งที่เขาคิดว่าตัวเองจะได้ยินเหมือนเสียงกระซิบพันๆเสียงแบบตอนนั้น แต่ที่เขานึกออกมีแค่ประโยคสุดท้ายที่ว่า

         “ฉันจะอยู่กับคุณเสมอ”

         แต่ก็แค่นั้น เขานึกไม่ออกอยู่ดีว่าหมายถึงใคร ยิ่งมือของทรอยยังเจ็บไม่เลิกแบบนี้ เขายกมือข้างนั้นขึ้นมาเลยไม่ได้ด้วยซ้ำ

         “พวกมันกำลังมา เราไม่สิ คุณมีเวลาไม่มาก” เขาได้ยินเสียงจากร่างเงานั้น เป็นเสียงผู้ชายซึ่งทรอยสาบานได้ว่าไม่เคยได้ยินจากไหนมาก่อนและฟังดูเหมือนออกมาจากโทรทัศน์สัญญาณไม่ดีมากกว่าที่จะเป็นเสียงคนพูด “คุณต้องออกไปจากที่นี่ อย่าให้พวกมันได้---

         จากนั้นทุกอย่างก็มืดลง ฉากเปลี่ยนไม่สิ เขากลับมาที่เตียงเดิมห้องเดิม แต่คราวนี้พอมีแสงในห้องทำให้ทรอยเห็นว่าใครยืนอยู่ข้างๆเตียง

         ลุงป้าเอมี่

         ท่าทางของทั้งสามคนทำเอาทรอยใจเสีย เอมี่น้องสาวของเขายืนนิ่งอยู่ใกล้ๆนี่เอง ผมสีบลอนด์ยาวประบ่า ริมฝีปากสั่นระริก ดวงตาสีเขียวที่กำลังก้มมองทรอยนั้นเป็นประกายและมีรอยน้ำตาลงมาอาบแก้ม ขอบตาแดงก่ำ สองมือจับขอบเตียงจนข้อนิ้วขาวซีด ที่ไหล่ของเธอนั้นมีมือของลุงจับอยู่ ซึ่งลุงไซม่อนยืนถัดออกไปด้านหลัง ดวงตาหลังแว่นนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าขณะที่มองดูหลานสาว มืออีกข้างนั้นคอยปลอบประโลมป้าที่ซบหน้าลงบนไหล่ของสามี

         เอมี่! ลุง! ป้า! ได้ยินผมมั้ย! ในฝันเขาพยายามตะโกน แต่ร่างกายเขาไม่ขยับและแน่นอนว่าไม่มีเสียงใดๆออกมา ตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในร่างกายตัวเอง

         ลุงไซม่อนหลับตาลงครู่หนึ่งจึงตบไหล่เอมี่เบาๆ ก่อนจะพาป้าเดินออกจากห้องไป เอมี่ยังคงอยู่ข้างๆทรอย เขาพยายามสุดฤทธิ์ที่จะบอกว่าเขาฟื้นแล้ว แต่ไม่เป็นผล ทรอยหอบหายใจอย่างหมดแรงและสิ้นหวังเมื่อเอมี่ปล่อยมือที่จับขอบเตียงไว้

         “ฉันคิดถึงพี่นะ” เธอพูดก่อนโน้มตัวมาจูบหน้าผากเขาเบาๆ ก่อนจะหันหลังไป

         ช่วยพี่ด้วย

         เสียงทรอยดังก้องในหัวเขาเองเมื่อน้องสาวปิดประตู ไม่มีใครได้ยิน….นอกจากตัวเขาเอง

         แต่มันยังไม่จบ ภาพกลับเป็นสีดำอีกครั้งก่อนที่ห้องคนป่วยจะปรากฏมาใหม่ คราวนี้น่าจะเป็นช่วงเช้าเมื่อดูจากแสงในห้อง และคราวนี้เป็นคลินท์ที่มาเยี่ยม ซึ่งทรอยจำเขาไม่ได้ในวินาทีแรกที่เห็น

         “ไง” เสียงเขาแหบห้าว ดวงตาสีฟ้ามองทรอยสลับกับวิวนอกหน้าต่าง หนวดเคราสีน้ำตาลรกครึ้มจนไม่เห็นกราม ผมสีเดียวกันนั้นยาวกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันเล็กน้อย เขาสวมเสื้อยืดรัดรูปสีเทาเข้ม “หลายเดือนแล้วนะที่เราต้องมาเจอกันแบบนี้”

         หลายเดือน? ทรอยรู้สึกเหมือนหัวใจลงไปกองแทบเท้า ถึงตอนนั้นเขาจะไม่ได้ยืนอยู่ก็ตาม

         “ครั้งนี้ฉันคงได้คุยกับแกไม่นานเท่าไหร่ โควต้าลางานใกล้หมดแล้ว” เขาถอนหายใจ “ไม่รู้เกี่ยวกันมั้ย แต่ว่าตั้งแต่ตอนที่แกโดนระเบิด ก็มีเรื่องคล้ายๆกัน เกิดเป็นลูกโซ่เลยว่ะ….เพราะงี้ ฉันเลยต้องหายไปซักพัก ไปทำงานน่ะ เลยกะว่าจะมาลาซักหน่อย ฉันบอกทุกคนแล้ว เหลือแค่แก….

         “ฉันไม่รู้ว่าที่ไหน ระหว่างแถวตะวันออกกลางหรือยุโรปตะวันออก พอไปถึงแล้วเราอาจไม่ได้คุยกันนานเลย ถึงตอนนั้นแกจะฟื้นขึ้นมาแล้วก็เถอะ ฉันอาจยังติดแหงกอยู่ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง”

         คลินท์ ฉันอยู่นี่! ได้ยินมั้ย…..ช่วยด้วย!

         “ฉันไม่รู้ว่าแกได้ยินฉันมั้ย” คลินท์นิ่งไปซักพักก่อนหัวเราะขื่นๆ “แต่ลึกๆแล้วฉันรู้ว่าแกยังอยู่ในนี้แหละ เด็กบ้านมัลลิแกนน่ะถึกอยู่แล้ว สำหรับงานฉันฉันจะไม่โกหกแกนะว่าเรื่องนี้สบายมาก อย่างที่บอกว่าช่วงนี้โลกเรามันเละเทะแค่ไหนตอนนี้ ฉันแค่ไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษสงครามหรือฮีโร่กู้โลกอะไรนักหรอกแต่งานมันก็คืองาน โอเคที่ฉันอยากบอกก็ไม่ว่ายังไงสำหรับฉัน แกกับเอมี่ก็คือน้องแท้ๆ พ่อแม่ฉันก็รักแกกับเอมี่เป็นลูก ถ้าถ้าเกิดว่าฉันเป็นอะไรขึ้นมา ฉันอยากให้แกจำไว้ฉันจะยังเป็นพี่แกเสมอ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันหรือแก”

         ทรอยพูดไม่ออก ถ้าเป็นช่วงเวลาที่ปกติ ทรอยอาจบอกคลินท์ว่า “ไม่เอาน่า นายเจ๋งอยู่แล้ว” และคลินท์ไม่ค่อยพูดถึงความเสี่ยงของอาชีพทหาร ไม่ว่าจะตอนที่ยังอยู่กองทัพหรือ PMC พอมีใครพูดเรื่องนี้ คลินท์จะคอยบ่ายเบี่ยงหรือตลกกลบเกลื่อนเสมอ

         “ฉันหวังว่าคราวหน้าเราจะได้คุยกันอีก” คลินท์หลับตาเหมือนกำลังคิดคำพูด “แน่นอนว่าต้องไม่ใช่แบบนี้ อาจเป็นที่สวนหลังบ้านปู่ที่แคนซัส เบียร์คนละขวดกับบาร์บีคิวหรืออะไรอร่อยๆ จริงๆแล้วเบียร์หลายขวดหน่อยก็ดี จะได้คุ้มกับที่แกนอนอยู่นี่หน่อย แกก็ไม่เอาน่าอย่าปล่อยให้ฉันคุยอยู่คนเดียวสิ”

         พักใหญ่ที่ห้องมีแค่เสียงปิ๊บๆ คลินท์ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะถอนหายใจ เขาเอาหลังมือป้ายจมูกก่อนสบถเบาๆ

         “ฉันต้องนั่งเครื่องอีกยาวว่ะ พักนี้แทบจะได้เสียกับที่นั่งบนเครื่องแล้ว” คลินท์เบือนหน้าหนี “หวังว่าเราคงจะหยุดเจอกันแบบนี้ซักทีนะ ไอ้น้องชาย”

         คลินท์ยืนจับลูกบิดอยู่นานก่อนที่เขาจะออกไป แน่นอนว่าเขาไม่ได้ยินทรอยที่พยายามเรียก

         แล้วก็เป็นตอนนั้นเองที่ทรอยตื่นขึ้นมา หัวใจเต้นโครมครามและเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็โล่งใจสุดๆเมื่อรู้ว่าทั้งหมดนั้นเขาแค่ฝันไป เวรเอ๊ย ทรอยคิด ฝันอะไรวะโคตรน่ากลัวชะมัด

         เขาเก็บโน้ตลงในกระเช้าก่อนจะเอามันวางไว้ใกล้ๆตัว แต่พอหันหน้ากลับมา ทรอยก็ต้องสะดุ้งสุดตัวจนเผลออุทานออกมาลืมตัว

         “เฮ้ย!

         ก่อนหน้านี้ ตรงปลายเตียงนั้นไม่มีใครอยู่ แต่พอทรอยหันมา ชายคนหนึ่งกลับยืนอยู่และทรอยไม่ได้ยินเสียงหรือ    อะไรเลย

         “ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่เสียมารยาท” ชายคนนั้นพูด เขามีสำเนียงแบบอังกฤษ “ผมควรจะเคาะประตูก่อน”

         ชายคนนี้เป็นหนุ่มใหญ่ อายุน่าจะประมาณ 40 หรือ 50 ปี ศีรษะโล้น จมูกเหยี่ยว เครื่องหน้าเกือบทุกส่วนเหมือนเป็นเส้นตรง ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบราวกับสัตว์นักล่า กรามแข็งแรง เขาสวมสูทสีเทาเข้ม

         “คุณไม่ใช่หมอ….ใช่มั้ย?

         “ถูกแล้ว” ชายหัวโล้นพยักงาน “หมอเพิ่งจะออกไปไม่นานนี้ตอนที่คุณยังหลับอยู่ ผมเลยถือวิสาสะเข้ามาในห้อง ผมต้องการพบคุณ”

         “คุณมาเยี่ยมผม?

         “คุณจะพูดแบบนั้นก็ได้”

         “เอ่อผมเคยรู้จักคุณหรือเปล่า?

         “คุณไม่รู้จักผม แต่ผมรู้จักคุณ ชื่อของคุณอยู่ในความสนใจของผม--ของเรามาได้ซักพักหนึ่งแล้ว”

         “….คุณเป็นใคร?” ทรอยถามอย่างไม่สบายใจ

         “ผมรับผิดชอบเรื่องการฟื้นฟูความเสียหายและสืบสวนเหตุวินาศกรรมที่เมืองซานฟรานซิสโก” เขายิ้ม แต่ทรอยมองออกว่าเป็นแค่ยิ้มตามมารยาท “ผมชื่อโจชัว”

         วินาศกรรมซานฟรานซิสโก? ตอนไหนวะ?

         “แล้วทำไม--

         “ทำไมถึงเกี่ยวกับคุณน่ะเหรอ คุณมัลลิแกน” โจชัวนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งทรอยไม่ทันเห็นว่ามันอยู่ข้างหลัง “ผมคิดว่าคุณคงจะทราบว่าทำไมคุณถึงต้องมาอยู่ที่นี่โรงพยาบาลนี้และผมแน่ใจว่าคุณคงมีคำถามมากมาย”

         จู่ๆเขาก็คิดถึงฝันร้ายนั่นอีก ไม่เอาน่า…. เขาสูดลมหายใจยาวเพื่อลบฝันบ้าๆนั่นออกจากหัว

         ผมอยู่ที่ไหน?”

         สถานพยาบาลซิลเวอร์เมน รัฐแคลิฟอร์เนียชายหัวโล้นตอบ “ทันสมัยอันดับต้นๆของชายฝั่งตะวันตก”

         “ผมหลับผมหมายถึงผมไม่ได้สติไปนานแค่ไหน?

         โจชัวมองที่ช่อดอกไม้ที่วางอยู่ก่อนจะหันกลับมา “อย่างที่คุณเห็น---มันไม่นานมาก เหตุเกิดหลังจากที่คุณแยกกับเพื่อนๆในคืนที่พวกคุณไปดื่มกันครั้งล่าสุด….จริงๆแล้วผมค่อนข้างประหลาดใจพอสมควรที่คุณฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้เมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ถึงคุณจะเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต”

         “เดี๋ยวๆ” ทรอยขมวดคิ้ว เขาแค่โดนไฟดูด….หรืออะไรทำนองนี้จนสลบไม่ใช่เหรอ? เขากลายเป็นเหยื่อวินาศกรรมถล่มเมืองไปตอนไหน? “ตะกี้คุณว่าอะไรนะครับ?

         “ฟังผมให้ดีนะ คุณมัลลิแกน” ดวงตาของโจชัวเหมือนจ้องทะลุเข้าไปในตัวเขา มีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก “ผมบอกคุณไปแล้วว่าผมคือใคร ที่นำผมมาเจอกับคุณคือ เหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตนับร้อยๆคนและทำให้มหานครต้องกลายเป็นอดีตซานฟรานซิสโกยังไม่ถูกทำลายแต่รัฐบาลของคุณได้เปลี่ยนมันไปแล้ว ถ้าคุณยังไม่รู้….คุณได้กลายเป็นคนสำคัญไปแล้วหลังจากที่คุณเป็นเพียงชีวิตเดียวที่รอดจากวันนั้น สิ่งเกิดขึ้นในวันนั้นมันเปลี่ยนหลายๆอย่าง รวมถึงคุณด้วย คุณมัลลิแกน”

         “ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าผมกลายเป็นผู้รอดชีวิตจากวินาศกรรมอะไรนั่นได้ยังไง?

         “คุณคิดว่าคุณมาพักที่โรงพยาบาลนี่ได้ยังไง?” โจชัวแทบไม่กระพริบตา “ช่วยบอกผมหน่อย”

         ทรอยคิดถึงความทรงจำสุดท้ายก่อนที่จะเขาจะมารู้สึกตัวที่โรงพยาบาล ลูกทรงกลม ผู้ชายเสียสติและความเจ็บปวด…. แค่นึกถึงเขาก็เจ็บแปลบขึ้นมาที่มือขวา

         “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?

         “เปล่าครับแค่..” ทรอยก้มมองมือตัวเอง ไม่มีร่องรอยอะไร จู่ๆความเจ็บปวดก็หายไปเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ผมจำได้ผมเจอกับ….คุณต้องไม่เชื่อผมแน่….ผมเจอกับผู้ชายคนหนึ่ง ตัวเขาสกปรก ถึงเสื้อผ้าจะดูมีราคาแต่มันก็สกปรกหมดแล้วเป็นชายผิวขาว เขาดูอ่อนแอแต่กลับเล่นงานคนคุมคลับได้สบายๆ เขาถืออะไรมาด้วย”

         โจชัวขมวดคิ้ว

         “มัน….เป็นอะไรผมก็ไม่รู้” ทรอยเกาหัว “มันกลม….ขนาด….น่าจะประมาณลูกแอปเปิ้ล แล้วก็ผิวของมันก็วาว….วาวมากเหมือนกับเพชร แต่ผมคิดว่าเป็นโลหะมากกว่า ผู้ชายคนนั้น….เขาเขาบอกให้ผมเอามันไป เหมือนเขาไม่อยากได้มันเขาพยายามทำร้ายผม---ผมต้องป้องกันตัว แล้วทรงกลมนั่นก็มาอยู่ในมือผม….ผู้ชายคนนั้นเขาดูแปลกไป---แล้วก็--

         ทรอยยังจำภาพนั้นได้ดี ชายหนุ่มเสียสติตาเบิกกว้างด้วยความกลัวก่อนที่จะถูกกลืนร่างด้วยเปลวไฟประหลาด

         “ตัวเขาลุกเป็นไฟ---ไฟสีฟ้า แล้วทรงกลมนั่น….มันดูดมือผม ผมปล่อยมันไม่ได้ ผมเจ็บมาก เจ็บจนผมหูอื้อ แล้วผมก็หมดสติไป

         “นั่นคือที่คุณจำได้ก่อนจะหมดสติ” โจชัวกระพริบตาเป็นครั้งแรก “ผมรู้มั้ยว่าวัตถุประหลาดทรงกลมที่คุณถือน่ะคืออะไร”

         “ไม่ครับ” ทรอยตอบโดยไม่ต้องคิด

         “ไม่เหรอ?” ชายหัวโล้นถาม “น่าสนใจจริงๆ”

         “คุณหมายความว่ายังไง?

         “คุณมัลลิแกน” โจชัวพูด “ที่คุณพูดถึงนั้นเราเชื่อว่ามันคือสิ่งที่เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ วัตถุที่มีความอันตรายอย่างสูงถ้าอยู่ในมือของคนที่รู้วิธีที่จะใช้มัน ซึ่งในกรณีนี้ คนคนนั้นอาจเป็นคุณ”

         “ว่าไงนะ?!” ทรอยโพล่งเสียงดังอย่างลืมตัว

         “ของบางอย่างถูกเก็บปกป้องไว้เพราะหลายสาเหตุ คุณมัลลิแกน เมื่อมันไปอยู่ในมือคนที่ไม่ควรจะได้….” ดวงตาของชายหัวโล้นเป็นประกายกล้าจนทรอยแทบจะหลบสายตา “หายนะก็จะเกิด”

         “ผผมผมไม่เข้าใจ” ทรอยลูบผมตัวเอง มองไปรอบๆห้อง รู้สึกทำกลัว,ตกใจและทำอะไรไม่ถูกเหมือนตอนถูกป้าจับได้ว่าทำกระจกหน้าต่างแตกสมัยที่ยังเป็นเด็กๆ แต่นี่….เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น นายโจชัวคนนี้พูดเหมือนว่าเขาทำอะไรผิด….พูดเหมือนว่าทรอยทำให้มีคนตาย จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง?

         ผมไม่โทษคุณหรอก ร่างกายคุณสมองคุณยังฟื้นฟูได้แค่บางส่วนเท่านั้น สำหรับตอนนี้โจชัวเอานิ้วไขว้กันวางที่หน้าขาถึงคุณได้สติแล้วแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณฟื้นฟูจนแข็งแรงดี

         ผมอยากกลับบ้านทรอยพูด รู้สึกว่าตัวเองพูดเหมือนเด็กๆแต่เขารู้สึกแบบนี้จริงๆนานแค่ไหนกว่าผมจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม?”

         ไม่โจชัวพูดเรียบๆ “คุณจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิม คุณมัลลิแกน”

         ทรอยรู้สึกเหมือนหัวเขาเป็นลูกโป่งที่โดนจิ้มด้วยเข็ม คำว่า “ไม่” สะท้อนไปมาอยู่ในกะโหลกกลวงๆ อากาศในปอดเหมือนจะหายไปเฉยๆ ผิวหนังทั้งตัวด้านชา ที่เขารู้สึกเพียงอย่างเดียวตอนนี้คือความเย็นที่สันหลัง ทรอยกลืนน้ำลายช้าๆ

         “คุณหมายความว่ายังไง?…..ผมจะไม่ได้ทางกลับเป็นเหมือนเดิม”

         เป็นเวลาพักหนึ่งที่ทั้งคู่ไม่พูดอะไรเลย ทรอยรอฟังคำตอบขณะที่โจชัวนั่งอยู่เหมือนเดิมราวกับรูปปั้น และแล้วชายหัวโล้นก็มีรอยยิ้มเล็กๆอย่างพึงพอใจก่อนจะลุกขึ้น เขาหันมองออกไปทางผนังกระจก สายตาทอดเหมือนกำลังมองดูบางอย่างที่สุดขอบฟ้า

         “อย่างที่ผมพูด ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว” โจชัวไม่ได้หันมาหาทรอยตอนที่กำลังพูด “ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะกลับเป็นเหมือนเดิมได้เมื่อผ่านการเปลี่ยนแปลง”

         “เกิดอะไรขึ้นกับผม!” ทรอยตะคอก มือทั้งสองกำเป็นหมัด จู่ๆเขาก็ไม่ทราบว่าพละกำลังกับความโกรธมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มันไหลเวียนในตัวเขา คนอื่นๆพูดเสมอว่าทรอยค่อนข้างใจเย็น

         คืนนั้นไง คุณมัลลิแกนชายหัวโล้นไม่ได้สนใจทรอยมากกว่าเดิม คำพูดต่อมาก็ไม่ได้ทำให้ทรอยใจเย็นหรือเข้าใจอะไรมากขึ้น “ทรงกลมนั่นอาวุธ….ที่ผมได้พูดถึงไว้ เราเรียกมันว่า “ดิ ออร์ป” มันถูกขโมย เราคิดว่าชิงมันคืนกลับมาได้แล้ว แต่เปล่าเลยมันหายไป ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าเราผู้คนของผมปกป้องสิ่งของแบบนั้นไว้นานแค่ไหนและจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันถูกเอาไปใช้ แน่นอนว่าผมเรายอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วหมากตัวใหม่ก็เข้ามาในกระดานคุณคงจะบอกว่าคุณอยู่ผิดที่ผิดเวลา แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วทุกอย่างเปลี่ยนไปและสิ่งที่ผมตามหามันไม่มีอีกแล้ว นั่นก็เพราะคุณ….คุณมัลลิแกน”

         หัวใจของทรอยกลายเป็นก้อนตะกั่วหนักๆ

         “สิ่งที่คุณเห็นคืนนั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง แทนที่มันจะทำลายคุณมันกลับปล่อยให้คุณรอดชีวิตซึ่งโชคร้ายสำหรับผู้คนรอบๆคุณในรัศมี 200 เมตร มันไม่ทางทำงานได้เต็มรูปแบบถ้าคุณไม่รู้วิถีใช้หรือถูกปฏิเสธ มันเปลี่ยนแปลงคุณ ผมได้ยินที่คุณตะคอกใส่ผมไปเมื่อซักครู่ซึ่งนั่นไม่ใช่พฤติกรรมปกติของคุณถ้าผมเข้าใจไม่ผิด….คราวนี้คุณเห็นหรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณ?

         ทรอยอ้าปากจะตอบแต่เขาต้องร้องเสียงหลงเมื่อมือขวาเจ้ากรรมเกิดเจ็บแปลบขึ้นมา

         “อะไรก็ตามที่เคยอยู่ในทรงกลมนั่น….มันไม่มีอีกแล้ว”

         “จะ---บอกว่าผมเอาของคุณไปเหรอ?” ทุกคำพูดของทรอยออกมาอย่างยากลำบาก “ผมไม่อยากได้มันทำไมไม่เอา--

         “เอามันคืนไป?” ทรอยได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของโจชัวซึ่งเหมือนจะทำให้อุณหภูมิในห้องลดลง “ผมทำแน่ แต่ที่พูดมาคุณหรือเปล่ามันแปลว่าอะไร?

         มือทรอยกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาหอบหายใจเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันร้าย เหงื่อเป็นเม็ดๆตามตัว เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านี่เป็นวันที่สดใส

         “ผมไม่อยากได้อะไรก็ตามที่คุณพูดถึงผม….ไม่..ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นอะไร” ทรอยพูดอย่างจนหนทาง “คุณต้องช่วยผม!

         “ผมเกรงว่ามีทางเดียวที่จะสะสางเรื่องนี้ได้” โจชัวชำเลืองมาทางเขา “บางอย่างที่เปลี่ยนไปแล้วมันไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้”

         “หมายความว่ายังไง?

         โจชัวหันมาช้าๆ ขณะที่เตียงของทรอยกลับไปเป็นแนวราบแบบเตียงนอนทั่วไปอีกครั้ง ทรอยไม่แม้แต่จะพยายามลุกขึ้นมา

         “สถานการณ์มันอธิบายยากเกินกว่าที่ผมจะมานั่งเล่าให้คุณฟังตอนนี้ เอาเป็นว่าการมีตัวตนของคุณทำให้พวกเรากังวล คุณมัลลิแกน” โจชัวพูดกับทรอยราวกับว่าเป็นการบอกลาก่อนตาย สีหน้าเขานิ่งเป็นรูปปั้น “ผมจะไม่โกหกว่าตอนนี้มีคนเยอะแค่ไหนที่อยากให้คุณตาย ผม..…แน่นอนว่านั่นเป็นหนึ่งนั้น”

         ทรอยไม่กล้าแม้ขยับตัว ในหัวของเขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกขณะที่ทั้งตัวเขาด้านชาไปหมด เขารู้สึกถึงเหงื่อเม็ดโตที่ด้านข้างหน้าผาก เขาอยากจะขยับตัวหนีหรือให้ดีคือวิ่งหนีออกไปเลยแต่ชายหัวโล้นยืนอยู่บริเวณปลายเตียงพอดีและทรอยก็ยังรู้สึกอ่อนแอจากการหมดสติ

         “ค..คุณจะทำอะไรผม” เขาพยายามไม่ให้เสียงตัวเองสั่น

         “สิ่งที่ผมต้องทำ”

         พอโจชัวพูดจบ ความเจ็บปวดก็กลับมาแต่คราวนี้มันเพิ่มเป็นทวีคูณ ทรอยไม่เห็นโจชัวอีกแล้วขณะที่มือซ้ายของเขากำรอบข้อมือขวาที่บิดและกระตุกด้วยความเจ็บปวด ชั่วขณะหนึ่งที่เขาเจ็บจนอยากจะตัดมือขวาออกไปแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตามองเห็นเป็นจุดสีเทาๆและสองหูของทรอยเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องแห่งความทรมานของเขาเอง จนกระทั่งเขาเริ่มได้ยินเสียงกระซิบอีกครั้งและมือของเขาที่มีการเปลี่ยนแปลง

         ต่อหน้าต่อหน้านั้นราวกับว่าเส้นเลือดที่แขนขวาเป็นหลอดสะท้อนแสง ทรอยเห็นเส้นเลือดนั้นเรืองแสงสีม่วงอมขาวออกมาราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน โดยเฉพาะที่มือของเขานั้นเรืองแสงออกมาจนมองเห็นกระดูกรางๆเหมือนภาพเอ็กซ์เรย์ แต่แล้วทรอยก็เจ็บจนต้องค้อมตัวเมื่อมือของเขานั้นสว่างขึ้นมาเหมือนจะระเบิดและรู้สึกราวกับมีมีดร้อนๆแทงลงตรงกลางฝ่ามือ

         เขาหลับตาแต่มองเห็นทุกคน….ป้าซบไหล่ลุงที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปลอบภรรยา คลินท์กับท่าทางอ่อนแรงสิ้นหวัง แล้วก็เอมี่ที่กัดริมฝีปากไม่ให้ร้องให้

         ช่วยผมด้วย

         เสียงกระซิบยังคงดังขึ้นเหมือนจะนิ่งเฉยต่อคำอ้อนวอนของเขา แต่แล้วทุกอย่างก็หายไปเสียงกระซิบความเจ็บปวด มีเพียงสีขาวสว่างจ้าและเสียงพูด….เสียงเดียวกับที่เขาได้ยินในฝันร้ายแต่คราวนี้เขาได้ยินมันอย่างชัดเจน

         “ผมได้ยินคุณทรอย ริชาร์ด มัลลิแกน” ทุกอย่างเริ่มมืดลงช้าๆ “คุณกำลังทรมานร่างกายคุณมีการเปลี่ยนแปลงแต่คุณรับมันไหว คุณพิเศษกว่าคนที่แล้ว ไม่สิคุณไม่เหมือนคนอื่น”

         ช่วยผมด้วย ทรอยพยายามสื่อสารกับใครก็ตามที่กำลังพูด ตอนนี้ที่เขาเห็นคือความมืดไม่มีที่สิ้นสุด ได้โปรด…..ช่วยผมด้วย

         “ผมจะช่วยคุณ ตอนนี้คุณพร้อมแล้วถึงผมจะยังไม่พร้อมนัก แต่ชีวิตคุณสำคัญกว่า” เสียงนั้นพูด “โปรดหายใจลึกๆ คุณจำเป็นต้องใช้ออกซิเจน”

         ทรอยทำตาม เขาสูดลมหายใจเฮือกยาว

         “ร่างกายคุณแข็งแรงกว่าที่ผมคิด…..ทรอย คุณตื่นได้แล้ว”

         และเมื่อลืมตาขึ้น ทรอยก็เห็นเพดานมืดๆ ทั้งตัวเขาเปียกไปด้วยเหงื่อ

         เขาหอบหายใจอย่างรู้สึกตื่นเต้นและหมดแรงราวกับเพิ่งเสร็จจะการวิ่งมาราธอน เขาอยู่ในห้องเดิมห้องผู้ป่วยมืดๆแบบใน “ฝันร้าย” แต่คราวนี้เขาอยู่คนเดียวแล้วก็ขยับตัวได้แล้วก็สายตาเป็นปกติ แต่เขากลับรู้สึกกล้ามเนื้อไม่มีแรงและปวดเมื่อยราวกับเขาใช้เวลาสามวันที่แล้วไปกับโรงยิม พอยกแขนขึ้นมาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็นจนอ้าปากอย่างลืมตัว

         นี่….แขนเราเหรอวะเนี่ย เขาเปลี่ยนไป….มากทีเดียว

         ปกติทรอยค่อนข้างผอมอยู่แล้วแต่ที่เขากำลังเห็นคือแขนผอมแห้งปูดโปนด้วยเส้นเลือดกับมือที่สภาพไม่ต่างกันซึ่งมือขวามีผ้าพันอยู่ สายน้ำเกลือเสียบอยู่อย่างไม่น่าดู ส่วนเท้าที่โผล่จากขากางเกงนั้นดูผอมและบิดเบี้ยวเหมือนเท้าคนแก่ เมื่อสัมผัสที่หน้าอก ทรอยก็รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นโครมครามและซี่โครงบนหน้าอกผอมแห้ง พอคลำๆตามใบหน้าก็เจอสายออกซิเจน แก้มตอบๆและหนวดเคราแข็งๆที่ให้ความรู้สึกพิกลเนื่องจากทรอยไม่เคยไว้หนวด ชั่วขณะหนึ่งที่ทรอยแน่ใจว่าตัวเองคงเหมือนศพผอมๆถ้านอนเฉยๆ

         ในห้องมีแค่เสียงปิ๊บๆของเครื่องช่วยชีวิตที่ดังอยู่แต่ทรอยก็ได้เสียงลมหายใจของตัวเองที่สม่ำเสมอขึ้น

         เกิดอะไรขึ้นกับเราเนี่ย….

         แต่เขาไม่ต้องสงสัยนาน ทรอยก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆจากด้านนอก ไม่กี่วินาทีต่อมา ประตูก็เปิดออกพร้อมกับแสงสว่างที่สาดเข้ามาจนแสบตา

         “เราอยู่ในห้องแล้ว เดี๋ยวนะ” ทรอยได้ยินเสียงคนพูดพร้อมฝีเท้าเดินมาใกล้ๆอย่างเร่งรีบ เขายกมือผอมแห้งขึ้นป้องตาแต่ไร้ประโยชน์ เขาตกใจมากเมื่อมือขอเขาถูกปัดออกอย่างแรงจนเจ็บ “เห็นนี่มั้ย? เป้าหมายมีสติอยู่ ย้ำเป้าหมายมีสติอยู่”

         “ใครน่ะ?..” เสียงของทรอยแหบอย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นเสียงเขาเอง เขามองเห็นอะไรไม่ชัดนักเพราะยังแสบตาอยู่บ้าง เขาคิดว่ากำลังถูกไฟฉายส่องหน้า

         “ได้รับทราบ”  

         พอลดไฟฉายลง เขาก็เห็นว่าใครอยู่ข้างเตียง เป็นผู้ชายตัวโตสองคนในชุดปฏิบัติการสีดำของทหารหรือไม่ก็หน่วยสวาท ทรอยเห็นไม่ค่อยชัดแต่พอมองออกว่าเป็นผู้ชายตัดทรงผมลานบินและไม่มีทางที่จะเป็นหมอหรือบุรุษพยาบาล

         “ใช้แผน B จัดการเขาซะ จะเสี่ยงไม่ได้เด็ดขาด เป้าหมายอันตรายเกินไป”

         “ไม่เอาน่า เวสต์” ชายอีกคนพูด “นี่มันแค่เด็กผอมเป็นกุ้งแห้งที่ได้แค่อาหารสายยางเป็นเดือนๆ พวกเรามีตั้งเยอะ”

         เดือนๆ? ทรอยรู้สึกเหมือนสมองและหัวใจหล่นลงไปใต้เตียง

         “แกอยากตายเหรอไง” ชายที่ชื่อเวสต์ตะคอก “หัวหน้าต้องการตัวไอ้เด็กนี่ แล้วกำชับเราว่าถ้ามันมีสติก็เปลี่ยนแผน แกอยากให้งานนี้พังเหรอไง?

         “แค่พูดเฉยๆ เราไม่ได้ทิ้งพยานไว้อยู่แล้วนี่” ชายอีกคนตอบ “โอเค เล่นมันเลย”

         ทรอยพยายามกลิ้งลงจากเตียง แต่มือที่แข็งแกร่งกว่าคว้าตัวเขาโยนกลับลงไปบนเตียงอย่างง่ายดายพร้อมกดตัวทรอยไว้ สองมือดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์

         “มันสู้เว้ยเฮ้ย” เวสต์พูด หัวเราะคิกคัก “รออะไรล่ะ เอาดิ!

         แล้วชายอีกคนก็ควักเอาอะไรบางอย่างออกมา….มันเป็นเข็มขีดยาขนาดใหญ่เหมือนสมอบก เข็มของมันเป็นประกายอย่างน่ากลัวเมื่อฝาหลุดออก

         อย่า---ได้โปรด อย่าทำร้ายผม!

         เข็มฉีดยานั้นให้ความรู้สึกเหมือนมีดเมื่อมันถูกปักลงกลางหน้าอกของทรอย เขาจุกจนร้องไม่ออกก่อนที่จะรู้สึกชาทั้งร่างเหมือนถูกไฟดูดและไม่สามารถดิ้นรนได้อีก

         “โอเค เอารถเข็นตรงนั้นมาเอามันออกไป” ทรอยยังมีสติแต่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว ตัวเขาอ่อนปวกเปียกเมื่อถูกแบกลงจากเตียงเหมือนเป็นตุ๊กตา ตอนนี้เขาทำได้แค่หันคอเท่านั้นแต่ก็ต้องใช้พลังงานมากเดียว “งานนี้มันกินหมูชัดๆ”

         พวกนั้นเอาตัวเขานั่งลงบนรถเข็นคนป่วยอย่างลวกๆและใช้สายรัดนิรภัยตรึงเขาไว้แน่น ทรอยได้ยินเสียงฝีเท้าจากตรงหน้าห้อง

         “ไอ้พวกนี้มันยืนที่เดิมไม่เป็นเหรอไงวะ” เวสต์พูด “เดี๋ยวแกเข็นไอ้ก้างนี่ตามมาละกัน ฉันออกไปดูเอง” ซึ่งพอเวสต์ผ่านไป ทรอยถึงเห็นว่าเขาสะพายปืนไรเฟิลจู่โจมและเสียบปืนพกกระบอกหนึ่ง

         เวสต์เปิดประตูออกไป “เฮ้ย ฟังที่สั่งไม่รู้เรื่องเรอะ? บอกว่าให้---” ก่อนที่จะพูดจบ เวสต์ก็ล้มลงกับพื้นเหมือนโดนผลักด้วยมือล่องหน แสงไฟจากทางเดินข้างนอกทำให้ทรอยเห็นรูบนหน้าผากของเวสต์และเงาของใครซักคนที่ยืนขวางประตูอยู่

         โอ้ พระเจ้า

         “เฮ้ย!” ทรอยได้ยินชายคนที่ฉีดยาให้เขาร้องเสียงหลงและพยายามจะชักปืนออกมาบ้าง เพียงเสี้ยววินาทีทรอยเห็นแสงวาบเหมือนหิ่งห้อยพร้อมเสียงเหมือนฝาน้ำอัดลมถูกดีดจากขวด แล้วชายในชุดออกรบก็ล้มลงไปนอนครางด้วยความเจ็บปวด จู่ๆทรอยก็ได้กลิ่นฉุนเหมือนกรดผสมกับกลิ่นไหม้ซึ่งทำเอาเขาถึงกับสำลัก

         “แกแกยิงฉัน ไอ้ลูกหมา” เขากัดฟันด่าขณะที่ร่างที่ช่องประตูก้าวข้างศพเวสต์ พอเห็นชัดๆก็พบว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งในชุดที่น่าจะเป็นชุดภารโรงของที่นี่ ทั้งสองมือสวมถุงมือยางแบบหมอฟันส่วนในมือก็ไม่ใช่อุปกรณ์ทำความสะอาด มันคือปืนพกติดกระบอกเก็บเสียงที่ยังมีควันจางๆออกจากปลาย

         ส่วนใบหน้าทรอยคิดว่าเขาคงตาฝาดเพราะยาแน่ๆ ไม่มีทางที่คนจะมีหัวเป็นหมี…..หมีขั้วโลกที่กำลังแยกเขี้ยว ส่วนที่เป็นดวงตามีแสงสีเขียวเหมือนกล้องมองกลางคืนของทหาร

    ภารโรงหัวหมีเดินตรงเข้ามาหาศัตรูที่กำลังกระเถิบหนีตาย ดวงตาส่องประกายในความมืดอย่างมุ่งร้าย

         “เฮ้! พวก….ฟังนะ..ฉันอย่า! อย่า!” ทรอยเบือนหน้าและหลับตาปี๋ขณะที่ภารโรงยกปืนขึ้น

         เสียงปืนเก็บเสียงดังขึ้นสามนัด ภารโรงขยับมาตรงหน้าทรอยพอดี เสื้อของเขาเลอะเลือดอยู่เป็นดวงๆ พอมองใกล้ๆทรอยถึงรู้ว่าหมีขั้วโลกนั้นเป็นแค่หน้ากากแบบสวมหัว เขาถึงกับหายใจไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นว่าเสื้อของภารโรงนั้นเปื้อนเลือดเป็นหย่อมเล็กๆ มีป้ายชื่อเรืองแสงติดอยู่ที่อกเสื้ออ่านว่า

         เจอโรม

         ทรอยพยายามไม่ให้ตัวสั่น ซึ่งง่ายอย่างเหลือเชื่อเมื่อยานี่ออกฤทธิ์อยู่ ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรแต่ตอนนี้แทบทั้งตัวของทรอยอ่อนยวบเป็นยาง

         “นายชื่อมัลลิแกนใช่มั้ย?เจอโรมถาม สำเนียงรัสเซียเต็มสองหู แสงเขียวๆหรี่ลงเหมือนกับออกจากโหมดสังหาร--หรือทำนองนั้น “โทษทีนะที่ทำให้กลัวนะเพื่อน พอดีนึกว่าคนอเมริกันชินกับเลือดกับปืนแล้วซะอีก แต่ไว้บ่นทีหลังเหอะ พอเราออกจากที่นี่จะได้นั่งคุยหรือหาอะไรกินกันฟังดูเป็นไง?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×