ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Manifold Flashpoint จุดประกายหายนะ

    ลำดับตอนที่ #9 : [ทรอย] บทที่ 8 - แฟลชพอยท์

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 60


    Flashpoint


         ทรอยค่อนข้างชอบเรื่องเซอร์ไพรซ์ อย่างเช่นวันนี้

         ตอนแรกเขาคิดว่าจะเจอแค่คีธกับสาวๆของเขา แต่กลายเป็นว่าขาดแค่จอนเท่านั้น

         “ทำหน้าแบบนั้นคิดถึงฉันใช่มั้ย” ถึงจะเต็มไปด้วยแสงม่วงๆ แต่ใบหน้ากวนๆของออลลี่เหมือนจะเด่นชัดขึ้นมาจากแสงวูบวาบของไนท์คลับ

         “คิดว่าเราจะปล่อยให้แกกับคีธมานั่งสวีทกันเหรอไง” เท็ดชูแก้ว “นั่งก่อนซิเพื่อน คืนนี้ยังอีกยาวเว้ย”

         ทรอยคิดว่าปากเขาคงฉีกถึงหูแล้วตอนนี้ คีธหันไปสั่งเครื่องดื่มจากบาเทนเดอร์ที่อยู่ไม่ไกล

         เต็มที่เว้ยเพื่อนเขาหันกลับมา “พี่ฉันรู้จักเจ้าของที่นี่ แค่เราอย่าก่อเรื่องเป็นพอ โอเค้?

         “ไม่ก่อเรื่องของแกนี่หมายความว่ายังไงวะ” ออลลี่ถาม

         “พอเลย” คีธกระดกเครื่องดื่มสีฟ้าๆ “อย่าแม้แต่จะคิด สาวที่นี่เกือบทั้งหมดน่ะมีแฟนแล้ว ที่สำคัญคืออายุมากกว่าแกด้วย”

         “ก็แค่ปีสองปี” ออลลี่กวาดสายตาไปรอบๆ “แล้วแกก็พูดว่าเกือบทั้งหมด”

         “ไม่เอาน่า” ทรอยพูดบ้าง

         “พวก” ดีแลนหันไปพูดกับทุกคน “ลืมแล้วเหรอว่าเรามานี่ทำไม”

         “….โทษที” ออลลี่ยิ้มเห็นฟัน เครื่องดื่มมาพอดี

         “ลองนี่สิ” คีธยื่นแก้วให้ ในแก้วเป็นของเหลวสีออกม่วงๆ แต่อาจเป็นเพราะแสงไฟก็ได้ “แล้วก็อย่าเพิ่งเมาล่ะ เราขี้เกียจแบกแกออกไป”

         พูดเข้าไป ทรอยรู้สึกขำ ครั้งสุดท้ายที่ดื่มกัน ฉันนี่แหละขับรถไปส่งแก แถมแกอ้วกใส่เบาะด้วย ดีว่าไม่ใช่รถเรา

         รสสัมผัสแรกให้ความรู้สึกหวานตามด้วยรสชาติออกเปรี้ยว ไม่ใช่เครื่องดื่มที่อร่อยที่สุดแต่ว่าใช้ได้ทีเดียว เมื่อทรอยกลืนมันลงไปเขารู้สึกตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาตัดสินใจไม่ดื่มแอลกอฮอล์เพราะมีงานต้องทำต่อ

         “ถ้าไอ้นั่นเบาไปก็บอกนะ ยังมีอีกเยอะ” ทรอยคิดว่าคีธคงพูดถึงแก้วที่เขากำลังดื่ม เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่แก้วแรก

         “เซอร์ไพรซ์จริงๆที่พวกแกมาเนี่ย” ทรอยจิบจากแก้วของเขา “จากที่คุยกันคิดว่าพวกแกไม่ว่างซะอีก”

         “ก็แกออฟไลน์ก่อนนี่หว่า ตอนตีสองพวกเรากลับมาก็ไม่เจอแกแล้ว” เท็ดเริ่มใช้มือช่วยพูด “ไหงนอนเร็วจังวะ”

         “ก็ฉันทำงานนี้หว่า ไม่ได้นั่งคอยใครในแชท” ทรอยตอบ “แล้วก่อนมานี่ฉันลงทุนพักงานเลยนะเว้ย”

         “เราสมควรจะรู้สึกผิดมั้ย?” ดีแลนทำเสียงล้อเลียน “พรากเพื่อนรักจากกองเงินกองทอง….น่าเศร้าโคตรๆเลย”

         “อยากร้องก็ร้องเลย ฉันไม่มีทิชชู่” ทรอยตอบก่อนจิบเครื่องดื่มอีกครั้ง “ที่จริง ได้ออกมาข้างนอกก็ดีเหมือนกัน โดยเฉพาะกับพวกแกเนี่ย”

         “อันนี้แหละซึ้งของจริง ด้นสดซะด้วย” คีธยกแก้วขึ้น “ซักทีมั้ย?

         “หมดแก้ว!” เท็ดยกแก้วขึ้นตาม ทั้งหมดชนแก้วก่อนจะดื่มจนเกลี้ยงในครั้งเดียว ทรอยต้องหายใจลึกๆหนึ่งครั้งเพื่อให้สายตาของเขาเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม

         “สุดยอดเลยเฮ้ย!” ดูเหมือนแก้วของออลลี่จะแรงที่สุด “เอามาอีกดิ๊!

         เหมือนจะรู้งาน พนักงานเสิร์ฟสาวเดินมาเก็บแก้วยังโต๊ะของพวกเขา ทรอยพยายามหลบสายตาพลางกระแอมให้โล่งคอเมื่อเขาเห็นว่าสาวเสิร์ฟมองมาที่เขา ซึ่งตอนเธอเดินจากไปเขาคิดว่าได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ

         “เธอคิดว่าแกน่ารักดีว่ะ” คีธพูด ทำให้รอบวงหัวเราะลั่น

         “เป้าหมายเว้ยเพื่อน” ออลลี่โน้มตัวมาหาเขา “มันมีไว้พุ่งชน อย่าให้เสียเที่ยว”

         “แกเมาแล้ว ออลลี่” หวังว่าด้วยแสงไฟแบบนี้จะไม่มีใครเห็นทรอยหน้าแดง

         “ถ้าไม่กล้า เดี๋ยวฉันจะ--

         “หุบปากไปเลย ไอ้ลามกเอ๊ย” ทรอยตอบกลับ ออลลี่ที่กำลังหัวเราะชอบใจหันไปรับแก้วเครื่องดื่มชุดใหม่มายื่นให้ทุกคน

         “แกอยู่ซานฟรานฯมาได้ซักพักแล้วสิ” คีธยกแก้วขึ้นจิบ “คิดว่าไง? ที่นี่ถูกใจแกมั้ย”

         ทรอยลดแก้วของเขาลง “ฉันคิดไงน่ะเหรอ? ที่นี่ก็ไม่เลวเท่าไหร่ ที่ฉันอยู่ก็วิวสวยดีแถมมีทุกอย่าง เรื่องงานก็ดีกว่าที่คิดว่าเยอะเลย แต่ถ้าจะให้ชินแบบซีแอตเทิลคงต้องอีกซักพักเลยว่ะ”

         “แน่มากว่ะพวก” เท็ดพยักหน้าเป็นเชิงชื่นชม “ขณะที่แกออกจากบ้านมานั่งตาแข็งทำงานหาเงิน พวกเราบางคนยังใช้มาสเตอร์การ์ดที่พ่อทำให้อยู่เลย ใช่มั้ยออลลี่?

         “ไม่แฟร์นี่หว่า คีธมันก็ยังไม่มีงานเหมือนกัน ทำไมแกเจาะจงที่ฉันวะ”

         “แมนจริงๆ เพื่อนใครวะ” คีธชกหัวไหล่ออลลี่เบาๆ ก่อนทั้งคู่จะชนแก้วกัน “ช่างมันเถอะ อีกหน่อยเราคงไม่ได้มาฉลองแบบนี้กันพักใหญ่เลย”

         “ไหงเป็นงั้นล่ะ?

         “บริหารธุรกิจ มหาลัยวอชิงตัน” คำตอบของคีธทำเอาทุกคนครางฮือ “พ่อบอกว่าถ้าทำตัวดีๆ พอเรียนจบอาจยกบ้านพักเล็กๆที่เบเวอร์ลี่ฮิลส์”

         “ถ้าเป็นโบรกเกอร์แล้วรวยแบบพ่อแก ฉันว่าฉันไปเป็นโบรกเกอร์ดีกว่า” ตอนนี้ออลลี่เริ่มหน้าแดงแล้ว

         “โบรกเกอร์ที่รวยมีแต่โบรกเกอร์ที่ฉลาดเว้ย” ดีแลนหันไปหาคีธ “ใช่มั้ย?

         “ถ้าพวกแกยังไม่เลิก ฉันร้องให้จริงๆนะเว้ย” เพื่อนตัวแสบทำท่าสูดน้ำมูก ท่าทางของที่เขาดื่มจะแรงจริงๆ “รู้มั้ยว่ามันตะเตือนไตแค่ไหนที่โดนเหล่าเพื่อนรักล้อเลียนแบบนี้น่ะ”

         “ถือว่าเวรกรรมมีจริงละกัน” ทรอยรู้สึกว่าเครื่องดื่มแก้วใหม่นั้นหวานกว่าแล้วก็แรงกว่า “ฉันยังจำได้อยู่เลยตอนที่แกบอกว่าอเล็กซิสหุ่นเหมือนดาราหนังโป๊”

         “ก็ตอนนั้นกำลังเมานี่หว่า แล้วนั่นมันเป็นคำชมด้วย”

         “ช่างมันเถอะ แค่แหย่เล่นๆ” ทรอยดื่มอีกอึก “ก็แค่แฟนเก่า”

         “อย่าแม้แต่จะคิด ทรอย” เท็ดห้าม “แกกำลังทำเสียบรรยากาศแมนๆคุยกัน”

         “ขอโทษคร้าบพี่” ทรอยรู้สึกเหมือนกำลังยิ้มแบบเมาๆ เท็ดแค่นหัวเราะก่อนส่ายหน้า

         “พูดถึงบรรยากาศ” เท็ดเองก็เริ่มจะได้ที่ แต่เขายังมีสติอยู่ และตอนนี้เขาวางแก้วลงแล้ว “ให้ตายสิ ทำไมทุกคลับมันต้องเปิดเพลงเทคโนหรือดัปสเต็ปด้วยวะ” เขาพูดอย่างมีประเด็น

         “จะให้เปิดอะไรล่ะถ้างั้น?” คีธถาม “ร็อคงั้นเหรอ? โทษทีว่ะเพื่อน แกเห็นสิงห์มอเตอร์ไซค์ซักคนในนี้มั้ย? แล้วนี่มันปีไหนแล้ว?” ใครสนวะว่าเพลงเก่าแค่ไหนถ้ามันเพราะ 

         “เออ เออ ดัปสเต็ป ก็ได้วะ” เท็ดยอมจำนน “อย่างน้อยก็ดีกว่าเพลงที่ร้องเสียงออโต้ทูนทั้งเพลง”

         ออลลี่หัวเราะเสียงแหลม “พวกแกเมาแล้วพูดเหมือนคนแก่เลย”

         “หุบปากไปเลย ไอ้หัวทอง” ทุกคนที่เหลือพูดพร้อมกัน

         แต่แล้วทรอยก็สังเกตเห็นแก้วของคีธและออลลี่ ของเหลวสีเหลืองทองใสๆนั่นดูคุ้นตาแปลกๆ

         “เดี๋ยวนะ” ทรอยพูดพลางยกมือเป็นเชิงขออนุญาตซึ่งออลลี่ก็พยักหน้า เขาจึงหยิบแก้วของเจ้าเพื่อนตัวแสบขึ้นมาดม ว่าแล้วเชียว กลิ่นแอลกอฮอล์เข้มข้นปนกลิ่นเปรี้ยวเข้ามาเต็มๆ เขาย่นจมูกพลางส่งแก้วคืนให้อย่างรวดเร็ว เขาสังเกตแล้วดีแลนกับคีธมีสีหน้างงๆขณะออลลี่หัวเราะชอบใจ

         “เป็นอะไรวะ” อดีตนักบาสโรงเรียนถาม

         “นั่นมันฉี่ปีศาจนี่หว่า” ทรอยจำมันได้เพราะแค่อึกแรก เขาแทบจะหัวฟาดกับโต๊ะตอนที่ฉลองเรียนจบกับคลินท์ ซึ่งถ้าจำไม่ผิด มันถูกเรียกว่าฉี่ปีศาจเพราะความแรงระดับพี่ๆของว็อดก้า นับจากวันนั้นเขาจำได้ขึ้นใจว่าจะไม่แตะมันอีก

         “ก็เออดิ” คีธชนแก้วกับออลลี่ “ฉันเคยลองครั้งแรกที่แคนาดาโคตรเจ๋ง! แล้วฉี่ปีศาจมันชื่อเล่นเว้ย เดี๋ยวนี้เขาเรียกไอ้นี่ว่าอะไรนะ?

         “วิสกี้ปีศาจ” ออลลี่ตอบ ใบหน้าเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัดแม้จะมีแสงไฟจำกัด “แกเคยเห็นคนรัสเซีย คนไอริชกับคนสก็อตหลับคาบาร์ใน 15 นาทีมั้ย ลองดิ”

         สีหน้าของเท็ดบ่งบอกว่าเขาสนใจ “หมดแก้วนี่ก่อนละกัน”

         “เคยได้ยินมาเหมือนกัน ไว้งานหน้าเหอะ” ดีแลนพยักหน้า

         “แกล่ะทรอย?

         “ขอผ่านว่ะ” ทรอยเบ้ปากรับเสียงโห่จากเพื่อน “ไม่ได้ดูถูกนะ ต้องมีพวกเราคนใดคนหนึ่งหามที่เหลือออกไป”

         “อย่าป๊อดน่า”

         “ช่างมันเถอะน่า ออลลี่” คีธพูด “เขาพูดถูก นี่มันวิสกี้ปีศาจเลยนะเว้ย แกกับฉันไปที่บาร์เลยดีกว่า ถ้าใครนึกอยากลองก็ตามมาละกัน”

         พอคล้อยหลังสองเพลย์บอย เท็ดก็หันมา

         “ทำไมรู้สึกว่างานนี้จะจบไม่สวยวะ”  เขาบ่น

         “ปล่อยพวกนั้นไปเถอะ” ทรอยดื่มอีกเล็กน้อย “นานๆทีฉันจะได้ออกมาข้างนอก ไม่อยากทำให้กร่อยน่ะ”

         “เออ เข้าใจ” เท็ดเอนพนักที่นั่ง “ขอถามไรหน่อยสิ แบบคนทำงานแล้วถามกันน่ะ”

         “นี่ฉันต้องลุกมั้ย” ดีแลนถามพลางโบกมือสั่งเครื่องดื่ม “แบบว่าให้คนมีงานทำเค้าคุยกัน ประมาณนี้”

         “ไม่จำเป็น โทษทีว่ะ ไม่ได้ตั้งใจพูดกระทบ” 

         “มีอะไร เท็ด?

         “คืองี้….ทำไมต้องซานฟรานฯวะ” เท็ดจิบของเหลวสีใส “ซีแอตเทิลก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนี่หว่า ทั้งลุงทั้งป้าแกก็เจ๋งจะตาย แถมอาชีพทางไซเบอร์ก็ไม่ต้องจำเป็นย้ายที่อยู่นี่หว่า?

         ทำไมน่ะเหรอ? ก็ไม่อยากเป็นหนี้ลุงกับป้าฉันนี่หว่า ลูกแท้ๆก็ไม่ใช่

         “คืองี้” ทรอยใช้สมองอย่างหนักเพื่อสรรหาคำพูด ซึ่งไม่ง่ายเลยเมื่อเขาดื่มไปพอสมควร “แกรู้ใช่มั้ยว่าฉันกำพร้า”

         “รู้ดิ แต่มันเกี่ยวอะไรด้วยวะ” เท็ดยังไม่เข้าใจ ตอนนี้ดีแลนเริ่มหันมาสนใจแล้ว “แกก็ไม่ใช่เด็กมีปัญหานี่หว่า ถ้าแกจะบอกว่าโดนเฉดหัวออกมาล่ะก็

         “เปล่า” ทรอยคิดคำพูดได้สำเร็จ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ “คือฉัน….พอดีมีเพื่อนลุงฉันอยู่ที่นี่ พอรู้ว่าฉันเรียบจบและทำอะไร เขาก็ติดต่อมาเลย เขาเป็น…..เจ้าของทีมพัฒนาซอฟต์แวร์น่ะ ออฟฟิศก็แถวๆนี้ไม่กี่ช่วงตึกเอง” 

         “จริงเหรอ” ดีแลนถามพลางนิ่วหน้าหลังจากยกจนหมดแก้วใหม่

         “เออดิ” ทรอยพยายามยิ้มเพิ่มความน่าเชื่อถือ “มันอาจฟังดูเพ้อเจ้อดูบ้า แต่มันโคตรบังเอิญเลย พี่ฉันซื้ออพาร์ทเมนท์ไว้เมื่อหลายปีก่อนแล้วก็ไม่ได้ใช้ ดีนะที่เขาไม่ทันได้ขายถึงได้ยกฉันฟรีๆ”

         “เพื่อนลุงแก---บอสของแกน่ะใจดีมั้ยวะ”

         “ก็ดี” ทรอยไม่สบตา “ปาร์ตี้ทุกวันศุกร์ จะหาบอสแบบนี้ได้ทีไหนอีก”

         “ไม่ยักกะรู้ว่าคนทำงาน IT ชอบปาร์ตี้ด้วย” เท็ดเลิกคิ้ว

         “ไม่ใช่ทุกคนเว้ย” เหมือนจะเริ่มข้างทางแล้ว “คือทีมเราน่ะสังกัดบริษัทใหญ่ ซึ่งถ้าจำไม่ผิดน่าจะ----สังกัด….มิราเคิลซอฟต์แวร์ ต่ออีกทีหนึ่ง คิดอยู่สิ แกทำงานอยู่กับโต๊ะทั้งวัน เลิกงานสุดสัปดาห์แล้วแกไม่อยากผ่อนคลายบ้างเหรอไง”

         “เออ” เท็ดยกแก้วค้างไว้ที่ปากอย่างครุ่นคิด “แกพูดมาก็ถูก”

         ทรอยรู้สึกผิดพอสมควร เขาไม่ควรจะโกหก เขาน่าจะเลี่ยงคำถามแต่ทีแรก แต่ก็นั่นแหละ พวกนี้ไม่ยอมหยุดแน่ถ้าเขาบอกไปว่า “เหตุผลส่วนตัว” ทรอยรู้สึกอยากเขกหัวตัวเองที่โยงเรื่องพ่อแม่เข้ามา เพราะเขาเลิกคิดเรื่องนี้ได้นานมากแล้ว เขาต้องการสาเหตุที่ดีกว่านี้ในการออกจากบ้านมาเผชิญโชคสาเหตุอื่นนอกเหนือจากการที่เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ซึ่งทรอยรู้ว่าเขาคิดไปเอง ไม่มีใครที่บ้านรู้สึกแบบนั้น แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามเขาสลัดความคิดนี้ไม่ออก บางครั้งเขาโกรธตัวเองด้วยซ้ำที่ไม่ยอมลืมเรื่องงี่เง่านี้

         การได้อยู่คนเดียวมันทำให้เขาลืมเรื่องนี้ไปได้ ถึงมันจะแลกมาด้วยความรู้สึกเดียวดายก็เถอะ ทรอยหวังว่าเวลามันจะช่วยเขาได้

         “เฮ้” ดีแลนเขย่าตัวเขาเบาๆ “เป็นไรไปพวก?

         “คิดเรื่อยเปื่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ทรอยยกแก้วขึ้นดื่มอึกใหญ่ "อ้าว รอไรกันวะ ดื่มต่อดีกว่าพวก"

         “นี่ฉันทำบรรยากาศเสียหรือเปล่า” เท็ดยิ้มแหยๆ

         “เปล่านี่เท็ด แต่ถ้าแกยังพูดเรื่องซีเรียสอีก บรรยากาศได้เสียแน่” ดีแลนตอบ

         จู่ๆก็มีเสียงโวยวายและเสียงโครมครามดังขึ้นมา ทรอยหันไปมองเพื่อนๆทันที

         “แกคิดอย่างที่ฉันคิดมั้ย ?” เขาถาม ดีแลนมีสีหน้าไม่สบายใจขณะที่เท็ดค่อนข้างหัวเสียทีเดียว

         เท็ดกลอกตาขึ้นบน “สงสัยวิสกี้ปีศาจออกฤทธิ์ว่ะ ดีแลนว่าไง?

         “เร็วเหอะก็ก่อนที่มันจะเละกว่านี้” ดีแลนลุกขึ้น

         “จริงๆแล้ว ฉันว่าปล่อยให้โดนซักทีสองทีน่าจะ--

         “เท็ด” ทรอยเรียกชื่อเพื่อนตัวล่ำ “ไม่เอาน่า”

         “ก็ได้ ก็ได้” เท็ดลุกตามพลางดื่มแก้วของเขาจนหมด “ได้เวลาเป็นอัศวินม้าขาวแล้ว….นั่นไง ตรงโน้น ไปเถอะพวกเรา”

         สมกับเป็นอเมริกา พวกที่ไม่ได้นั่งอยู่ต่างลุกมาเต้นและไม่ได้รู้สึกอะไรกับเสียงโครมครามเมื่อครู่ พวกเขาต้องเดินฝ่านักท่องราตรีทั้งหลายจนกระทั่งมาเจอสองตัวแสบ

         ทรอยคิดว่าไม่คีธก็ออลลี่หรือไม่ก็ทั้งคู่กำลังโดนยำโดยขี้เมาตัวโตหรือนักดื่มขี้หึงซักคน แต่กลายเป็นว่าออลลี่กำลังรั้งตัวคีธไว้ แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังลุกจากพื้นอย่างยากลำบาก

         “เฮ้!” ออลลี่ร้องเมื่อเห็นพวกเขา “มาช่วยกันหน่อย”

         ทรอยเข้าไปยืนระหว่างคีธกับคู่กรณี ซึ่งคีธดูมีน้ำโหมาก ท่าทางวิสกี้ปีศาจจะเล่นงานเขาหนักพอดู

         “ถอยไปเว้ย! ไอ้เปรตนี่ล้มทับฉัน!” คีธตะโกน ทรอยมองข้ามหัวทุกคนไปอย่างหวาดระแวง เขาคิดว่าเป็นคนคุมคลับสองสามคนกำลังมาทางนี้ ท่าไม่ดีละ ต่อให้คีธเป็นหนุ่มหล่อพ่อรวยมาจากไหน เขาก็มีสิทธิ์นักคุมคลับตื้บจนเละ หรือเลวร้ายกว่านั้นคือต้องไปนอนสงบอารมณ์ที่สถานีตำรวจและโดนข้อหาทำร้ายร่างกาย

         พวกเราคงต้องไปละ ขอบใจมากที่หาเรื่องมาให้ ไอ้เพื่อนรัก ทรอยคิดในใจ ต้องมีใครสักคนอยู่เจรจากับคนของคลับไม่ให้เรื่องบานปลายและสำคัญกว่านั้น...จ่ายค่าเสียหายและค่าเครื่องดื่ม  

         “เท็ด” เขาเรียกเพื่อน “ช่วยออลลี่พาไอ้เวรนี่ออกไป ขึ้นแท็กซี่ไปเลย”

         “ไปไหน?

         “พวกแกพักที่ไหนก็ไปตรงนั้นแหละ” ทรอยรีบพูด ตอนนี้พวกรักษาความปลอดภัยใกล้เข้ามาแล้ว และคีธก็กำลังทำให้ทุกอย่างแย่ลง เท็ดล็อกแขนเขาจากด้านหลังไว้ขณะที่ออลลี่พยายามรวบขาไม่ให้เขาเตะใครโดยไม่ได้ตั้งใจ

         “แล้วแกล่ะ”

         “ฉันจะเคลียร์กับรปภ.เวรละ แกพลาดแล้วทรอย มาใจกว้างเป็นพระเอกอะไรตอนนี้วะ? เขาพูดโดยไม่ทันคิด เสี้ยววินาทีหนึ่งเขาคาดหวังว่าจะมีใครทักท้วง แต่พวกนั้นแค่พยักหน้าก่อนจะลากคีธออกไปอย่างทุลักทุเล

         เยี่ยม เพื่อนกันแท้ๆ.... 

         "เดี๋ยวฉันแทนเงินตอนแกกลับนะเว้ย" เท็ดที่ยังมีน้ำใจอยู่ตะโกนกลับขณะที่เขาล็อกตัวคีธออกพ้นประตู

         ทรอยคิดอย่างร้อนรน จนกระทั่งคนคุมไนท์คลับสองคนก็มายืนตรงหน้าเขา ทั้งสองคนใส่ชุดสูทเข้ม แถมไว้เคราแพะทรงเดียวกัน แสงไฟมืดๆของไนท์คลับทำให้สองหน่อหน้าคล้ายกันมาก แต่คนทางซ้ายโกนศีรษะขณะที่คนทางขวาตัดทรงอันเดอร์คัต

         “มีเรื่องทะเลาะวิวาทเหรอครับ” คนทางซ้ายถามเสียงเรียบ

         “คงจะเมาน่ะครับ” ทรอยเกาหัว พลางเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา “พวกผมโชคดีที่มาเจอพอดี”

         “คุณมากับพวกที่ออกไปเมื่อกี้หรือเปล่า” คนทางขวาเบ้ปากด้วยท่าทางเบื่อหน่าย

         “ครับ….เพื่อนเก่าน่ะ”

         “พวกคุณคงอายุถึงทุกคนสินะ” น้ำเสียงเนือยๆของคนคุมบาร์ทำให้ทรอยเริ่มมีความคิดบ้าๆว่าสองหน่อนี้เป็นหุ่นยนต์ในร่างคนแหงๆ ต้องขอบคุณแอลกอฮอล์ทุกหยดที่เขาดื่มเขาไป

         “ผมตรวจผ่านประตูแล้วนะ” ทรอยตอบ “จะดูบัตรอีกรอบมั้ยครับ”

         “ไม่เป็นไรครับ เขาแค่ทำตามหน้าที่” ทางซ้ายพูดด้วยเสียงโทนเดียวตามเคย “แล้วคุณรู้จักเขามั้ย ?” คนทางขวาชี้ไปที่คนที่ล้มทับคีธ ซึ่งตอนนี้ยังลุกไม่ขึ้นเลย

         ทรอยมองดูเขาแต่ด้วยความมืดและเงาทำให้เห็นอะไรไม่ชัดนอกจากเขาน่าจะกำลังขยับตัวช้าๆ

         “ผม….เปล่า--ผมไม่รู้จักเขา”

         สองคนมองหน้ากัน ก่อนที่ทางซ้ายเอื้อมไปแตะหูฟังของตัวเอง

         “พวกที่หน้าประตูไม่ตอบวิทยุ” เขาหันไปพูดกับเพื่อน “แกไปดูหน่อย”

         เมื่อคล้อยหลังคู่หู คนคุมไนต์คลับตัวโตก็ถามเขาต่อ “พอจะเห็นมั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้น”

         “ผมเอ่อ--” ทรอยพยายามทำให้คีธดูเป็นผู้ร้ายน้อยที่สุด “ผมคิดว่า คงจะเดินชนกันน่ะครับ คนที่ออกไปเมื่อกี้คงเมาแล้วพยายามจะเอาเรื่อง แต่ว่ามีคนกันเขาไว้ก่อน”

         ชายร่างยักษ์มองหน้าทรอยอยู่พักหนึ่งก่อนจะก้มลงไปยังชายอีกคนที่ยังลุกไม่ขึ้น พยายามจะพยุงเขาขึ้นมา

         แต่แล้วรปภ.ก็ลอยไปอีกด้านอย่างแรงเหมือนถูกรถชนล่องชนชนเข้า---ถ้าแอลกอฮอล์ไม่ได้เล่นตลกกับสายตา ทรอยคิดว่าเมื่อกี้เขาเห็นชายร่างยักษ์โดนเหวี่ยงกระเด็น มีเสียงแก้วแตก เสียงโครมครามที่น่าขนลุกตามด้วยเสียงผู้หญิงหวีดร้อง เพลงหยุดเล่นอีกทั้งไฟถูกเปิดขึ้นจนสว่าง ชายที่ล้มทับคีธยืนอยู่อย่างยากลำบากตรงหน้าทรอยถัดไปไม่กี่ฟุต

         ชายคนนี้สวมชุดที่ดูเหมือนสูทสีขาวล้วนยับยู่ยี่ที่มีคราบสีน้ำตาลคล้ายเลือดแห้ง เนกไทหายไปครึ่งหนึ่งและมีรอยไฟไหม้ เท้าข้างหนึ่งมีแผลถลอกเพราะไม่สวมรองเท้าขณะที่ที่อีกข้างสวมซากรองเท้าที่น่าจะเป็นรองเท้าหนัง มือเท้าสองข้างผอมเกร็งมีเส้นเลือดโปนและสั่นอย่างน่ากลัว โดยที่ข้างขวากำบางอย่างรูปร่างกลมๆขนาดเท่าแอปเปิ้ลผลโต ผมสีน้ำตาลดูเป็นกระเซิงแบบคนไร้บ้าน ทรอยมองไม่เห็นใบหน้าเพราะอีกฝ่ายก้มหน้าอยู่ เขายังได้ยินเสียงหายใจแรงๆมาจากผู้ชายคนนี้

         ตายโหงแล้ว ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้สมองของทรอยรวนเมื่อจู่ๆเขาคิดว่าชายคนนี้ดูคุ้นตาชอบกล แต่มันเป็นไปไม่ได้

         ทรอยถอยออกมาช้าๆด้วยความกลัว พลางยกมือขึ้นแบบยอมจำนน แต่เมื่อเท้าของแตะพื้นด้านหลัง ชายลึกลับก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนทรอยตกใจ เขารู้สึกเย็นวาบไปถึงไขสันหลังเมื่อเขาเห็นใบหน้าของอีฝ่าย

         ชายคนนี้หน้าโทรมอย่างชวนสยอง ใบหน้าซีดเหลือง แก้มซูมตอบ ริมฝีปากแตกแห้งและมีน้ำลายไหลสีขาวขุ่น ตาขาวเป็นสีเหลืองๆเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ คราบเลือดแห้งกรังออกมาจากเรือนผม แต่สิ่งที่สยดสยองที่สุดคือหน้าผากของเขาที่มีตราสัญลักษณ์ซักอย่างรูปวงกลม ทรอยจ้องมันอย่างตกตะลึง ทีแรกเขาคิดว่าเป็นรอยสักแต่พอดูชัดๆมันดูเหมือนรอยถูกตีตราด้วยของร้อนมากกว่า

         ชายคนนี้จ้องหน้าเขาซึ่งใบหน้าที่ทรุดโทรมแสดงความตกใจอย่างมากเมื่อเห็นทรอย จู่ๆรอยบนหน้าฝากของเขาก็เรืองแสงสีแดงราวกับโลหะถูกเผา ตัวสั่นแรงยิ่งกว่าเดิมและเสียงหายใจกลายเป็นเสียงสะอื้น

         ทรอยแทบจะได้ยินหัวใจตัวเองโครมครามอยู่ในอก ชายชุดขาวขยับปากอย่างยากลำบาก

         “ช่วย….ฉัน…..ด้วย” 

         เสียงของเขาแหบแห้ง แต่ทรอยกลับได้ยินอย่างชัดเจน แต่ยังไม่ทันที่ทรอยจะตอบอะไร ชายคนนั้นก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว มีเสียงหวีดร้องของผู้หญิง ทรอยทำได้แค่ยกแขนขึ้นป้องกันตัว ตอนนี้เป็นทรอยเองที่ขอความช่วยเหลือบ้าง

         “ใครก็ได้เอาเขาออกไป---บ้าเอ๊ย!ไอ้หมอนี่แรงเยอะชะมัดตาม---รปภ.มาเร็ว!” แต่จากหางตา เขาคิดว่าทุกคนรอบๆต่างถอยออกไป บางคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังทางออก

         ชายลึกลับพยายามยื่นหรือพูดให้ถูกคือยัดของในมือเขาใส่หน้าทรอย เมื่อมองชัดๆ ปรากฏว่ามันเป็นลูกบอลโลหะผิวเรียบที่มันวาวราวกับมันส่องแสงได้ที่ดูคล้ายๆกับที่เขาเห็นในฝันประหลาด นิ้วมือของชายคนนั้นกำมันไว้แน่น

         “ได้โปรด” เขาสะอื้น “เอามันไป! เอาไปเลย! ฉันไม่อยากได้มันแล้ว! แกเอามันไปเลย! เอามันสิ! เอามันไป! เอามันไปเลย! เอามันไปไหนก็ได้! เอามันไปไกลๆฉัน! ขอร้องล่ะ! เอามันไป!

         ทรอยพยายามเบี่ยงหน้าหลบเจ้าลูกกลมที่ดูคุ้นตา ในขณะที่ชายลึกลับสะอื้นหนักขึ้นและขอร้องในเขาเอา “มัน” ไป ซึ่งทรอยคิดว่าต้องเป็นลูกโลหะแน่ๆ เขาพยายามอย่างสุดฤทธิ์ไม่ให้ตัวเองล้ม แต่ก็คงไม่นานเพราะชายท่าทางอ่อนแอนี้แข็งแรงมาก

         “ผผมผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่อง--อะไร” ทรอยพยายามพูดอย่างลำบาก

         “ขอร้องล่ะ” อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่เข้าใจ เสียงเขาขาดห้วงขณะที่แสงบนหน้าผากเขาสว่างขึ้นจนทรอยรู้สึกถึงความร้อน “เอามันไปซะ!” แล้วก็ยื่นเจ้าลูกกลมเข้ามาใกล้หน้าเขามากขึ้นจนทรอยมองเห็นเป็นภาพมัวๆและแสงวาววับ

         ไม่ไหวแล้วเว้ย

         ทรอยใช้มือขวาปัดเจ้าลูกกลมออกไปจากหน้าซึ่งให้ความรู้สึกเจ็บจิ๊ดที่มือเหมือนโดนไฟดูด ก่อนผลักกลับเต็มแรงจนอีกฝ่ายหงายหลัง ทรอยพิงโต๊ะตัวที่อยู่ใกล้ๆอย่างหมดแรง

          ชายลึกลับเหมือนพยายามลุกขึ้นแต่ทำไมได้ เมื่อเขาหันมาทรอยก็มองไปที่มือขวาก่อนจะมีสีหน้าตื่นตระหนก ถ้าทรอยตาไม่ได้ฝาด รอยบนหน้าผากของชายประหลาดหายไปแล้ว

         “ไม่

         “ว่าไงนะ” ทรอยหอบหายใจ “แกพูดเรื่อง--

         แล้วร่างของชายชุดขาวก็ระเบิดเป็นลูกไฟสีฟ้าขาวขนาดใหญ่ ท่ามกลางเสียงหวีดร้องอย่างเสียขวัญและผู้คนที่หนีตายออกไปโดยห่างจากไฟและตัวทรอยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ วินาทีถัดมาทรอยก็เจ็บจิ๊ดขึ้นที่มือขวาอีกครั้ง

         เมื่อเขามองดู มือเขากำลูกกลมที่ดูจะยิ่งวาววับมากขึ้น เมื่อเขาพยายามปล่อยก็พบว่ามันดูดเขาไว้เหมือนเป็นแม่เหล็ก

         “อะไรวะ หลุดสิเว้ย” ทรอยได้ยินเขาพูดกับตัวเองขณะสะบัดมือแรงแต่น้ำหนักของลูกกลมทำให้เขาเจ็บมือ “ไม่ ไม่ ไม่ ม--โอ๊ย!

         จู่ๆไฟในไนท์คลับก็ติดๆดับๆ บางดวงถึงขั้นระเบิด ความเจ็บปวดที่มือกลายเป็นความรู้สึกชาไปทั่วร่างจนยืนแทบไม่ไหว ภาพที่เห็นดูเลือนรางและเป็นสีขาวดำสลับสีเหมือนโทรทัศน์ที่รับสัญญาณได้ไม่ดี ในหูของเขาได้ยินเสียงหัวใจของเขาเองแล้วก็เสียงวิ้งแหลมสูงผิดธรรมชาติ ท่ามกลางความผิดปกติของร่างกายเขา เขายังคงมองเห็นลูกกลมในมือส่องแสงราวกับดวงจันทร์สีเงิน

         ช่วยด้วย! ทรอยคิดอย่างหมดหนทาง รู้จักตัวเองกำลังตัวชักจนพูดไม่ออก เอามันออกไปที!

         แล้วทรอยก็ได้ยินเหมือนเสียงกระชิบนับร้อยนับพันพร้อมกันๆ ความรู้สึกชาและเจ็บปวดทำให้เขาตัวสั่นและหลับตาอย่างทรมาน เขายังรู้สึกเหมือนถูกกระแทกที่ขมับและร่างกายซีกซ้ายพร้อมกับความรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งเข้าร่างกายจากมือขวา เสียงกระซิบดังขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงหัวเราะ เสียงกรีดร้อง เสียงทารก และเสียงพูดนับร้อยนับพันในที่ฟังไม่ได้ศัพท์ เสียงเหล่านั้นยังดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งความเจ็บปวดที่มือขวามากจนเขาเห็นจุดสีเทาและจุดสีแดงทั้งที่ยังคงหลับตา เจ็บจนทรอยกรีดร้องสุดเสียง มันยังเจ็บขึ้นเรื่อยๆ

         ทรอยคิดว่าเขากำลังจะตายอย่างทรมาน

         ความรู้สึกต่างๆเหมือนจะถึงขีดสุดเ เขาพยายามนึกถึงหน้าของเอมี่, คลินท์,ลุงและป้า รวมถึงแม่ แต่ก็ทำไม่ได้เมื่อหัวเขาอัดแน่นด้วยความทรมานและเสียงนับพัน แต่แล้วท่ามกลางเสียงเหล่านั้น ทรอยก็ได้ยินเสียงพูด

         เป็นเสียงผู้หญิงที่เขาคุ้นหูอย่างประหลาดแต่ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นใคร

         ฉันจะอยู่กับคุณเสมอ”     

         ทันใดนั้นความเจ็บปวดก็หายไป

         เมื่อทรอยลืมตาขึ้น แสงสีขาวไร้ที่สิ้นสุดก็กลืนกินเขาทันที  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×