คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : [อลิสแตร์] บทที่ 7 - อวสานอาหารเย็น
Mind the Gap
ทั้งคู่แย่งกันดูทีวีเหมือนเช่นเคย
โซเฟียแย่งรีโมทไปตอนที่มีข่าวเรื่องเหตุสะเทือนขวัญที่สวิสฯ
ก่อนจะเปิดไปข่าวกีฬาอีกช่อง
“อะไร?” เธอถามเมื่อเห็นสีหน้าเขา
“อย่าบอกนะว่าตื่นเช้ามาคุณก็อยากดูเรื่องโหดๆเลยน่ะ”
“แต่ไอ้เรื่องโหดๆน่ะมันงานผมนะ” อัลเบ้ปาก “รู้สึกว่าผมจะได้ยินคำว่า
“ก่อการร้าย” ด้วย ถ้าไม่ว่าอะไรผมขอรีโมต….”
“อัล…” เธอไม่ได้ทำตาลูกหมาแบบที่เคย “ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันเรื่องงาน
คุณดูไม่จืดเลย”
“….ก็ได้” เขาตักซีเรียลเข้าปาก “ขนมปังผมขอเกรียมๆเหมือนเดิมนะ”
นางฟ้ายิ้ม “ตอนฉันลุกไป อย่าเปลี่ยนช่องล่ะ”
ตายล่ะ เมื่อกี้เราไม่ทันคิด……
ทันทีที่พ้นระยะ 2 เมตร (เดาจากสายตา) อัลคว้ารีโมตขึ้นมาเปลี่ยนช่องทันที
เขาคิดว่าได้ยินเสียงโซเฟียถอนหายใจ ซึ่งแปลว่า “ตามสบายเถอะพ่อคุณ”
“---ทั้งนี้
ผู้เสียชีวิตทั้งหมดล้วนเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยซึ่งเข้าปฏิบัติงานในช่วงเวลาเกิดเหตุ
พยานเห็นเหตุการณ์ต่างยืนยันว่าผู้ก่อเหตุมีเพียงคนเดียว ไม่ได้ปิดปังใบหน้า
แต่กล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุได้เกิดการขัดข้องที่ไม่สามารถระบุรูปพันธ์ของผู้ก่อเหตุได้
อย่างไงก็ตาม
เราเชื่อว่าทางการสวิสเซอร์แลนด์ได้ประสานไปยังทางตำรวจสากลเรียบร้อยแล้ว
เนื่องจากเป็นการก่อเหตุที่อุกอาจและผลกระทบอาจส่งต่อไปยังประเทศสมาชิกรวมถึงองค์กรอื่นๆที่ได้สนับสนุนต่างเงินทุนและข้อมูลให้กับอาโซซึ่งหากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม ทางช่องของเราจะรีบเสนอข่าวต่อท่านผู้ชมโดยเร็ว….”
โลกนี้เพี้ยนขึ้นทุกวันเลยเว้ย อัลคิด ตอนแรกก็คนลุกเป็นไฟ
คราวนี้มีคนบุกเดี่ยวเข้าแล็ปที่มีบิ๊กๆของโลกหนุนหลัง
ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมเค้าบอกว่างานสายนี้ไม่เคยได้พัก
ข่าวต่อไปก็ไม่ต่างกันเมื่อทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ดันเสมอกับทีมรองบ่อนจากอีกทวีป
ถึงมันจะเป็นนัดกระชับมิตรก็เถอะ อัลเคี้ยวซีเรียลต่อไปอย่างขมขื่น
โชคดีที่เขาเปิดเจอช่องสารคดีสัตว์โลกพอดี
ซึ่งตอนนี้เขาคิดว่าตัววอลรัสเป็นสัตว์ที่น่ารักมากทีเดียว
“คุณดูสารคดีสัตว์ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ขนมปังปิ้งมาแล้ว
“ก็ตั้งแต่สเปอร์แพ้ให้ทีมอะไรไม่รู้ ตั้งแต่ตอนนั้นแหละ”
“ว้าว” เธอยักไหล่ “คงเริ่มจะดูมานานเลยสิถ้างั้น”
“โอ๊ย เจ็บนะนั่น” อัลหยิบขนมปังปิ้งซึ่งเกรียมอย่างที่เขาต้องการ
“คุณติดนิสัยไม่ดีแบบนี้มาจากใครเนี่ย”
“จากคนแถวนี้แหละ” โซเฟียตอบ “แยม ?”
“วันนี้เอาเป็นเบอร์รี่แล้วกัน” เขากระดกน้ำผลไม้ดับกระหาย
“หนังสือพิมพ์ด้วย ขอบใจนะคนสวย”
“นี่ฉันกลายเป็นเด็กเก็บหนังสือพิมพ์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ?”
ถ้าเธอไม่ใช่นักแสดง อัลคงคิดว่าโซเฟียโกรธจริงๆแล้ว
“ก็วันนี้คุณตื่นก่อนผม” อัลรับเอาขวดแยมจากเธอ “ช่วยไม่ได้
ก็เมื่อคืนผม…”
“โอเค โอเค” ถึงไม่มองหน้าก็รู้ว่าโซเฟียกำลังหน้าแดง
เขาได้ยินเสียงเก้าอี้ครูดเบาๆ “นี่ไง รีบๆอ่านเลยซิ”
พูดตามตรงแล้วอัลคิดถึงหนังสือพิมพ์สมัยเขายังเรียน ม.ต้น
หนังสือพิมพ์แบบที่ยังเป็นฉบับ แบบที่ทำจากกระดาษกลิ่นแปลกๆ
แบบที่มีคนเอามาจากตามหน้าสถานีรถไฟ
หนังสือพิมพ์ยุคนี้เป็นแผ่นโปร่งแสงแข็งๆขนาดเกือบเท่ากระดาษ A4 มีระบบสัมผัสแบบโทรศัพท์ อ่านได้ในที่มืดเพราะมันเรืองแสงได้
ไม่มีคนแจกแล้วเพราะมีตู้รับ-คืนหนังสือพิมพ์ทั่วลอนดอน
ยกเว้นว่าสมัครสมาชิกไว้ก็จะมีช่างพร้อมลูกมือเป็นเด็กมัธยมสิวเขรอะสองสามคนมาติดตั้งตู้หนังสือพิมพ์ส่วนตัวให้
“นี่ยังไม่มีภาพเคลื่อนไหวอีกเหรอเนี่ย?”
“ถ้ามีก็คงไม่เรียกว่าหนังสือหรอก” โซเฟียหันไปจัดการกับมื้อเช้าต่อ
“ถึงไอ้ที่คุณถือน่ะ ไม่น่าเรียกว่า “หนังสือ” เลยก็เถอะ”
อัลหวังเล็กๆว่าจะมีรายละเอียดข่าวที่สวิสฯ
แต่กลายเป็นว่าข่าวส่วนใหญ่วันนี้กลับเป็นเรื่องของพวกเซเล็บงี่เง่ากับนักการเมืองเหยียดผิว
ยังไม่นับพวกที่ออกมาประท้วงเรื่องผลิตและปลูกถ่ายอวัยวะเทียม ซึ่งทุกวันนี้
คนที่ปลูกถ่ายอวัยวะเทียมถูกรังเกียจราวกับเป็นโรคระบาดที่ติดต่อกันได้ผ่านการสบตา
“จะอะไรกันนักกันหนา” เขาบ่นเบาๆ “คนเราไม่เคยขาขาด ไตพัง
หรือหัวใจฝ่อก็พูดได้สิ”
อัลอาจไม่ใช่แฟนคลับของแม็กนัส คอร์ปอเรชั่นแต่ในเมื่อ
เอ็ดเวิร์ด แลงดอน กับบริษัทของเขามีส่วนให้ดันแคน
พี่ชายของอัลกลับมาทำงานได้อีกครั้งหลังจากที่เสียแขนไปจากเหตุจลาจลเมื่อหลายปีก่อน
ซึ่งดังค์ต้องใช้เงินเก็บเกือบครึ่งจากเงินเดือนวิศวกรของเขา
แน่นอนว่าแขนใหม่ของดังค์ทำให้เพื่อนๆของเขาบางคน “ไม่สบายใจ”
“นี่เอ็ดเวิร์ด แลงดอน ยังไม่เลิกเรื่อง “วิวัฒนการในกำมือ” อีกเหรอ?”
สีหน้าเธอดูตกใจเมื่อเห็นสีหน้าอัล “ฉันหมายถึง ที่เค้าไม่ได้ทำแค่อวัยวะเทียมน่ะ ฉันได้ยินว่าเขาพยายาม “อัพเกรด” เด็กประถมด้วยการฝังอุปกรณ์เข้าไปในหัว
คุณคิดว่ามันไม่…..เกินไป หน่อยเหรอ?”
โอ้ ไม่นะโซเฟีย….
“ถ้าผมจำไม่ผิด เขาทำแค่เฉพาะครอบครัวอาสาสมัคร แล้วก็เด็กที่ไม่ปกติ”
อัลพยายามนึกคำพูดให้ดูดีที่สุด “โอเค
ผมรู้ว่ามันไม่ได้รักษาโรคปัญญาอ่อนหรือทำแบบนั้นได้
แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้พวกนั้นท่องบทเรียนได้ไวเท่าเด็กปกติ
ไม่ต้องพูดถึงว่าราคาต้องแพงระยับแหงๆ
คนอย่างตาแก่แลงดอนน่ะไม่เอาของราคาหลักแสนหลักล้านยัดลงหัวใครง่ายๆ คุณเชื่อผมสิ
แค่เขาขายแขนเทียมให้พี่ผมไม่ได้ทำให้ผมพิสวาทเขาหรอก”
“สรุปว่าคุณแค่เฉยๆกับเขา?” นางฟ้าเริ่มยิ้มออก
“ใช่ ผมแค่ชอบตรงที่ไม่ได้มีดีแค่พล่ามออกทีวีหรืองาน TED” อัลยิ้มเล็กน้อย
“ไอ้เรื่องหน้าเลือดผมว่าคนรู้กันทั่วแล้วซะอีก ไม่งั้น Times คงไม่เรียกเขาว่า “ราชาโลกทุนนิยม” หรอก จริงๆนะถ้าเขาเทคโอเวอร์แมคโดนัลด์
ผมจะหันไปกินมังสวิรัติให้ดู”
“จ๊ะ พ่อคนฉลาด”
เหมือนเดิม เขาห้อมแก้มโซเฟียก่อนออกไปทำงาน
วันนี้รถไฟคนแน่นเป็นพิเศษ
อัลจึงต้องยืนเบียดกับคนแปลกหน้าแล้วก็นักท่องเที่ยวเอเชียท่าทางตื่นเต้นกลุ่มหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะขึ้นรถไฟใต้ดินเป็นครั้งแรกๆ
หนึ่งในนั้นมองเผลอมองหน้าอัลก่อนจะรีบหลบสายตา คงเป็นเพราะเขาไม่ได้โกนหนวด
อัลนึกเสียใจเล็กๆที่ทำลายภาพลักษณ์ของ “สุภาพบุรุษ” จากอังกฤษซะป่นปี้
จู่ๆโทรศัพท์ก็เกิดสั่นขึ้นมา ทอมมี่นั่นเอง
“ถ้าถึงออฟฟิศขึ้นมาหาฉันด้วย เราต้องคุยกัน”
ครับป๋า
บทสนทนาในออฟฟิศโดยเฉพาะเด็กใหม่ดูหลุดโลกกว่าที่เคย
บางคนอวดคลิปวิดิโอที่กำลังดัง
บางคนพูดว่าผู้ก่อการร้ายที่สวิสฯเตะต่อยคนปลิวได้เป็นหลาๆแบบวายร้ายในคอมมิค
ผู้สื่อข่าวและช่างภาพทักทายอัลตามมารยาทเพื่อนร่วมออฟฟิศ
เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเร่งด่วน อัลจึงต้องมายืนเบียดอีกรอบในลิฟต์
ซึ่งกว่าจะมาถึงชั้นที่ทอมมี่อยู่ คนก็ออกจากลิฟต์ไปเกือบหมดแล้ว
“นี่ฉันเอง” เขาพูดใส่แผงอินเทอร์คอม
“เข้ามาๆ ไม่ได้ล็อก”
“หวัดดี อัล” ทอมมี่ทักทาย ผายมือไปยังเก้าอี้ตรงหน้า
“การบ้านสนุกมั้ย”
“ม่ายยยย” อัลลากเสียงก่อนจะเบ้ปาก “ไม่ค่อยเท่าไหร่ แหล่งข่าวที่เคยใช้ตอนนี้มันไม่น่าเชื่อถือแล้ว”
“แล้วที่อื่นล่ะ” ทอมมี่ ชี้ไปที่ถ้วยกาแฟพลางส่งสายตาประมาณว่า
กาแฟมั้ย? ซึ่งอัลส่ายหน้า
“แกได้ดูคลิปล่าสุดแล้วใช่มั้ย”
“ไฟสีฟ้า? ก็สมจริงอยู่นะถ้าถามฉัน” อัลพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ทำไมเหรอ?”
“นายคิดอย่างนั้นก็ดีแล้ว” ทอมมี่ซดกาแฟอึกใหญ่ “เปลี่ยนแผน”
“สนใจขยายความหน่อยมั้ยทอมมี่”
เขาถอนหายใจ “ก็ไม่มีอะไรมาก
เราจะไม่ลงพื้นที่อะไรทั้งนั้นจนกว่าไอ้ไฟสีฟ้าอะไรนั่นจะเชื่อได้ว่าเป็นของจริง
แล้วฉันรู้ว่าแกอยู่เฉยๆไม่ค่อยจะเป็น เพราะฉะนั้น……เรื่องที่สวิสฯน่ะยกให้แกเลย”
“กำลังอยากกินฟองดูพอดี”
ถึงได้ยกภูเขาออกจากอกแต่เขากลับไม่สบายใจแปลกๆ “ได้ยินว่ามีคนตาย
แต่ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ สรุปว่าตายกี่ศพ ทอมมี่”
“ถามเยี่ยมมากได้ เพื่อน” แต่ทอมมี่ดูทำใจลำบาก “เกือบร้อยว่ะ รปภ.ล้วนๆ”
“ห๊ะ?” อัลคิดว่าเขากำลังหูฝาด
“แกได้ยินไม่ผิดหรอก” ทอมมี่เลียริมฝีปาก “แหล่งของเราบอกว่าพวกนั้นยิงตัวตายเองตอนที่คนร้ายหนีไป
ทุกคนเลย”
เวร…..
“นรกแท้ๆ” จู่อัลก็คิดคำพูดไม่ออก ทั้งเขาและทอมมี่ต่างเงียบไปพักใหญ่ สีหน้าของทอมมี่บอกอย่างชัดเจนว่าไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะถกเรื่องนี้ตอนที่กำลังจิบกาแฟ
“รู้มั้ยนี่เป็นการตายผิดธรรมชาติครั้งที่ 2 ในรอบเดือนแล้วนะ”
ทอมมี่ดึงลิ้นชักใต้โต๊ะ “พระเจ้าเท่านั้นแหละที่จะรู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้น
ว่าแต่เย็นนี้แกว่างมั้ย?”
เปลี่ยนเรื่องไวจริงๆ ทอมมี่เอ๊ย
“มีนัดกับโซเฟีย” อัลตอบ “ถ้าอยากหาไรดื่ม ดไวท์น่าจะว่าง
บางทีเขานั่นแหละที่จะเลี้ยงนาย”
“ไม่เลี้ยงก็บ้าล่ะ ไอ้หมอนั่นดื่มวิสกี้ได้ยังกะน้ำเปล่า
ขืนให้ฉันจ่ายคนเดียวได้หมดตูดแหง” ทอมมี่หยิบกล่องบุหรี่ออกมา “ทีมงานเดิม
เรื่องที่พักกับใบอนุญาตเดี๋ยวเดินเรื่องให้ เจออะไรผิดสังเกตโทรมาได้เลย”
อัลพยักหน้า “ขอบใจทอมมี่”
“งั้นกลับไปทำงานได้แล้ว”
ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีอะไรมากกว่าการนั่งหน้าคอม
คอยเขียนโน้ตกันลืมและดูนาฬิกา นานทีๆจะมีคนมาชวนคุยเรื่องกีฬาหรือวันหยุดต่อไป
เป็นอย่างนี้จนกระทั่งห้าโมงเย็น โซเฟียโทรมาตอนที่อัลกำลังเก็บเอาแฟ้มที่ต้องเอากลับพอดี
“อัล คุณอยู่ไหนน่ะ?”
“เพิ่งเลิกงาน คุณล่ะ”
“ฉันมาได้ครึ่งทางแล้ว ถ้าถึงก่อนฉันจะเข้าไปนั่งรอนะ”
“ครับผม”
ที่จริงทั้งคู่นัดกันไว้ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแต่เนื่องจากตารางเวลาที่ดันมายุ่งกะทันหันบังคับให้ต้องเลื่อนนัดมาวันนี้
ที่ภัตตาคารอิตาเลี่ยนร้านโปรดของโซเฟีย
ขณะที่เขากำลังเดินออกจากทางขึ้นของสถานีรถไฟใต้ดิน
อัลรู้สึกว่าตัวเองกำลังใจลอย นึกถึงเรื่องที่คุยกับทอมมี่เมื่อเช้า
แล้วก็เรื่องเพี้ยนๆที่เกิดขึ้นมาในรอบเดือนนี้ ซึ่งล่าสุดเป็นเหตุสะเทือนขวัญซึ่งตอนนี้เขากำลังจะได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
อัลรู้สึกโมโหตัวเองขึ้นมาเมื่อเขาเห็นป้ายของภัตตาคารอยู่ตรงหน้าไม่กี่ไกล
เขาก็พยายามขับไล่ความคิดเกี่ยวกับความตายและความสยองออกจากหัว
ให้ตายเถอะ อลิสแตร์ ทำไมแกไม่คิดเรื่องเครื่องเทศหรือเส้นพาสต้าวะ
สติเขากลับมาเมื่อเขาถูกชนโดยใครคนหนึ่ง
“ขอโทษครับ” อัลพยายามประคองตัวอย่างลำบาก
เพราะผู้ชายที่ชนเขาเหมือนจะเสียหลัก แต่แล้วเขาก็รู้สึกมีอะไรเหลวๆมาโดนตัว “คุณ….”
ตัวหนักเป็นบ้าเลยเว้ย
แล้วเมื่อเขาเห็นลำตัวของอีกฝ่าย อัลจะแทบปล่อยมือ
เลือดสีเข้มไหลออกมาจากบาดแผลฉกรรจ์ตรงท้องของผู้ชายคนนั้น
เมื่อมองหน้าก็พบว่าเขาเป็นชายผิวขาววัยกลางคน ท่าทางกำลังช็อคจากอาการบาดเจ็บ
เปลือกตากระตุกอย่างน่ากลัวขณะที่ลูกตาเหลือก ลิ้นคับปาก
เส้นเลือดที่ลำคอและใบหน้าเป็นสีแดงสดและปูดโปนผิดธรรมชาติ
ด้วยความตกใจอัลตาฝาดเห็นประกายสีฟ้าๆในดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เวรแล้ว....ตำรวจ!” อัลตะโกนสุดเสียง ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้! มีคนบาดเจ็บ! ตำรวจ!”
ไม่กี่วินาทีถัดมา ตำรวจสองนายก็มาถึงตัวเขา
“ช่วยผมหน่อย” อัลพยายามประคองร่างชายแปลกหน้าลงกับพื้น
เขาใจเสียเมื่อเห็นสีหน้าอันทรมานของอีกฝ่าย
ตำรวจอีกคนดูอาการในขณะที่อีกคนเหมือนกำลังแจ้งทางวิทยุของกำลังคนและรถพยาบาล
“เขาไปโดนอะไรมา?” ตำรวจถามอัลพลางค้นดูเสื้อนอกของผู้โชคร้าย
ก่อนเจอผ้าผืนหนึ่ง
“ผมไม่รู้” อัลตอบ “ให้ตายเถอะ ผมนัดกับแฟนที่นี่ กำลังจะเข้าร้านแล้วเขาก็มาชนผม
พอดูชัดๆผมก็เห็นเลือด รีบเรียกรถพยาบาลเร็วสิ คุณเห็นมั้ยว่าเขาโดนเข้าจุดสำคัญเลย”
นายตำรวจพยายามห้ามเลือด “คุณทำงานอะไร ?”
“ช่องเทอร์ร่า ฝ่ายข่าว”
“อาชญากรรมเหรอ?” ตำรวจเลิกคิ้ว
“ทำนองนั้น” อัลสูดลมหายใจ ซึ่งกลายเป็นว่าเขาสูดกลิ่นเลือดเข้าไปเต็มปอดอย่างไม่ตั้งใจ
“ฟังนะ รีบๆช่วยเถอะครับคุณตำรวจ ผมไม่ได้อยู่เวลางาน โอเค? ผมแค่จะมาทานข้าวกับแฟนผม!” แต่ก่อนอื่นเขาคงต้องแวะล้างเลือดก่อน
“ก็ได้ ผมขอโทษ” ตำรวจหันไปหาคู่หู “รถพยาบาลถึงไหนแล้ว!?”
“สองช่วงตึก!”
อัลมองรอบๆ ตอนนี้ผู้คนเริ่มมามุงกันแล้ว
ตำรวจหลายนายเข้ามาสมทบและกันไม่ให้คนเข้ามายังที่เกิดเหตุ
เขาเห็นโซเฟียอยู่ถัดออกไปตรงหน้าร้านพอดี
ถึงไม่ได้ใกล้มากแต่อัลมองเห็นว่าเธอกำลังหน้าซีดอย่างเสียขวัญและกำลังจะเดินมา
เขายกมือเปื้อนเลือดขึ้นห้ามพลางส่งสัญญานด้วยสายตาว่า “คุณอยู่ตรงนั้นก่อน
ผมไม่เป็นไร” ซึ่งดูเหมือนเธอจะเข้าใจ
“เวรเอ๊ย! เขาดูไม่ดีเลย คุณช่วยผมกดตรงนี้หน่อย”
ตำรวจเงยหน้าขึ้นมาจากผู้โชคร้าย อัลถลกแขนเสื้อขึ้นขณะที่ตำรวจหญิงคนหนึ่งคุกเข่าลงข้างๆ
ทั้งสามคนจึงกดแผลที่ท้องของชายผู้บาดเจ็บ
“เขาเป็นอะ—บ้าเอ๊ย! เขากำลังชัก?” จู่ๆชายคนนี้ก็ตัวสั่นกระตุกอย่างรุนแรง เสียงขลุกขลักในลำคอหายไป
แทนที่ด้วยเสียงกรีดร้องอย่างทรมาน ด้วยความตะลึง ทั้งหมดปล่อยมือจากเขา
สองมือของผู้โชคร้ายคลำสะเปะสะปะไปที่บาดแผล
ดวงตาที่กลายเป็นสีม่วงคล้ำโปนถลนแทบออกมานอกเป้า
แล้วไฟสีฟ้าก็ออกมาจากดวงตา บาดแผล และปากของเขา
เสียงกรีดร้องเหมือนจะสะท้อนออกมาจากตัวของผู้โชคร้ายเมื่อไฟเริ่มลามไปทั่วตัวของเขา
อัลได้ยินเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ
ขณะที่ทั้งเขาและพวกตำรวจต่างถอยออกมาจากไฟประหลาด
ไม่รู้ว่านานแค่ไหน เหล่าตำรวจมองหน้ากันด้วยความงุนงงปนตื่นกลัว
ไฟสีฟ้ายังคงเผาร่างคนแปลกหน้าต่อไปจนเหลือแต่เถ้าสีเทาอ่อนๆ เมื่อเขายกมือขึ้นมา
เลือดที่เปื้อนก็หายไปแล้ว เหลือเพียงขี้เถ้าเหมือนกับที่อยู่บนพื้น
“คุณตำรวจ?” อัลตัดสินใจทำลายความเงียบ
“ครับ?” นายตำรวจเหมือนเพิ่งได้สติ “มีอะไร?”
“คราวนี้ยังไงต่อ?”
“ยังไงต่อเหรอ?” ตำรวจเลียริมฝีปาก หันไปมองหน้าคนอื่นๆ “คือ………เวร….ผมว่าเรื่องนี้ใหญ่เกินตำรวจนครบาลแล้วล่ะ เราคงทำได้แค่รอว่าใครจะมาจัดการ...”
“ถ้าไม่ว่าอะไรผมขอตัวนะครับ”
“ได้ครับ” นายตำรวจพ่นลมหายใจออกมาเหมือนพยายามทำให้ตัวเองสงบลง "ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคุณ"
“ขอบคุณ” อัลลุกขึ้น เมื่อเขาไปถึงโซเฟีย เธอก็ยิงคำถามทันที
“อัล เมื่อกี้มัน--”
“ผมไม่รู้”
“…..คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“ผมคิดว่างั้น” เขาโอบรอบไหล่เธอ “รีบกลับกันเถอะ”
ความคิดเห็น