ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Manifold Flashpoint จุดประกายหายนะ

    ลำดับตอนที่ #5 : [อมิเลีย] บทที่ 4 - สัญญา [เขียนใหม่]

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.พ. 61


    Promises


    หนึ่งสัปดาห์ที่ทุกคนอยู่กันครบผ่านไปไวราวกับโกหก

    ถึงเธอไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอะไรทำให้ทรอยคิดออกไปอยู่ข้างนอกตัวคนเดียวแต่เอมี่ก็เคารพการตัดสินสินของพี่ชายและเธอพยายามไม่คิดถึงมันมากขณะทำงาน ถึงแม้คุณนายมาเรลล่าจะใจดีและเป็นห่วงเหล่าพนักงานในร้านของเธอ แต่เอมี่ก็ไม่อยากให้มีปัญหากับเรื่องส่วนตัวเพราะวันนี้เธอเผลอใจลอยตอนลูกค้าสั่งอาหารหลายรอบแล้ว

    เมื่อถึงช่วงหมดกะทำงาน เบียงก้าก็ต้อนเอมี่จนมุมทันทีหลังจากที่เอมี่พยายามบ่ายเบี่ยงมาทั้งวัน ตอนนี้มีเพียงเธอกับกับเบียงก้าอยู่ในห้องพักบริกรที่ไว้ทั้งสำหรับงีบ เตรียมตัวหรือแต่งหน้า

    “เอมี่ เธอดูใจลอยมาทั้งวันเลยนะ มันดูไม่เหมือนเธอเลย” เบียงก้า คาสเตลเลตโตเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมชั้นเรียนดังนั้นเธอจึงเป็นคนที่เอมี่รู้สึกผ่อนคลายที่สุดตอนพูดคุยด้วย “มีอะไรอยากปรึกษาฉันหรือเปล่า”

    จ้องกันแบบนี้คงต้องตอบแล้วสินะ “แค่ใจหายน่ะ”

    “แค่นี้เองเหรอ” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่อยู่หลังเลนส์แว่นของเบียงก้าหรี่เล็กลง ผมสีดำเข้มเป็นเงางามเหมือนขนนกยาวลงมาเป็นกรอบรอบใบหน้าสะสวยของเธอ

    “แค่นั้นแหละ” เอมี่ยักไหล่ “แต่ใจหายกับเรื่องใหญ่น่ะ”

    “พี่เธอไปรบอีกแล้วล่ะสิ”

    “ไม่ใช่แค่คลินท์น่ะสิ” เอมี่คิดว่าเธอจะตอบอ้อมๆแต่ทันทีที่เปิดปาก ความอึดอัดก็ทำให้เธอหยุดตัวเองไม่ได้ “ทรอยก็ด้วย---หมอนั่นเพิ่งย้ายออกไป เธอก็รู้ว่าค่ากินอยู่สมัยนี้มันแพงจะตายแต่เขาก็ยังอยากออกไปอยู่คนเดียวอีก แล้วงานฟรีแลนซ์มันก็ไม่ได้มั่นคงมาตั้งแต่ไหนแล้วคิดดูสิ แถมคลินท์ก็ยังบ้าจี้ยกอพาร์ทเมนท์ให้เขาอีก สาบานได้เลยว่าพวกพี่ๆฉันนี่มัน---

    “ช่าย” เบียงก้ายิ้มเป็นเชิงเห็นใจ “แค่นี้เอง”

    “โทษที” เอมี่พึมพำพอให้อีกฝ่ายได้ยิน “หาคนระบายด้วยไม่ได้”

    “ไม่ยอมระบายเลยต่างหาก” เบียงก้าแตะบ่าเธอเบาๆ “บ่นมากๆเดี๋ยวก็เครียดไปเองเปล่าๆน่า นั่นก็พี่ๆเธอ คิดเสียว่าทรอยเขาออกไปใช้เวลาก่อนเรียนมหาลัยสิ เชื่อสิว่าตอนเราจบมัธยมก็คงจะคิดอย่างเขาเหมือนกันล่ะน่า”

    “เลิกแก้ตัวให้หมอนั่นได้แล้วน่า” เอมี่ถอนหายใจ “รู้อะไรมั้ย เราเลิกพูดเรื่องพวกนี้แล้ว” มีเสียงเคาะประตูมาจากด้านหลังของเธอ

    “เด็กๆ” เป็นคุณนายมาเรลล่านั่นเอง เธอเป็นสุภาพสตรีวัยกลางคน ผิวสีแทนเข้มและจมูกโด่งเป็นสันบ่งบอกเชื้อสายละตินของเธอได้อย่างชัดเจน “วันนี้ผ่านไปได้อีกก็เพราะพวกเธอเลยนะ อย่าลืมไปหาอะไรทานก่อนกลับกันล่ะ ทำตัวตามสบายเลยจริงสิ เอมี่จ๊ะ?

    “คะ?!” เธอทะลึ่งตัวลุกขึ้น

    “วันนี้เธอดูไม่ค่อยสบายใจ มีอะไรหรือเปล่า?

    “เปล่าค่ะ” เธอกลั้นหายใจรอคำถามคาดคั้นแต่คุณนายมาเรลล่ากลับบอกแค่ให้เธอพักผ่อนมากๆก่อนจะปิดประตูจากไป

    “นี่ฉันเป็นขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?” เอมี่ลดเสียงลงเผื่อว่าคุณนายมาเรลล่ายังอยู่ในระยะที่พอได้ยิน

    เบียงก้าหัวเราะแทนคำตอบ เป็นเพราะพวกพี่บ้าๆของฉันแท้ๆ

    ไม่กี่วันก่อน ทรอยกับคลินท์นั่งเล่นหมากรุกอยู่ที่บ้านโดยที่มีเธอนั่งดู แบบที่เคยทำมาหลายปีตั้งแต่จำความได้ จนตอนนี้ทรอยกลายเป็นคนที่ตัวสูงสุดในบ้าน เขามีผิวขาว ร่างผอมเพรียวไปทางเก้งก้างและใบหน้าค่อนข้างยาว ในขณะที่คลินท์เป็นชายร่างล่ำสันที่ดูกรำแดด ใบหน้าสั้นและกว้างพร้อมกรามที่แลดูเป็นเหลี่ยมแข็งแรง

    “จะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันจะงีบรอ” เช่นเคย คลินท์ใช้การกวนประสาทเพื่อทำลายความมั่นใจ 

    “ไม่ ก้นนายวางอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นเลย ฉันกำลังได้เปรียบ” ทรอยแทบไม่เงยหน้าขึ้นมาจากกระดาน ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะเตรียมรับมือมาดี แต่มือข้างหนึ่งของเขาฝังอยู่ในผมหยักศกสีน้ำตาลที่ยุ่งเหยิงเหมือนคนเพิ่งตื่น “ตานี้นายเสร็จแน่”

    “แกพูดอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนที่แกยังโกนหนวดไม่เป็นเลย” คลินท์เกาะเยลลี่เม็ดเข้าปาก “ยังรอวันนั้นอยู่นะ ไอ้น้อง”

    “คอยดูเถอะ” ทรอยเงยหน้าขึ้นมาจนได้ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหมือนช็อกโกแลตเป็นประกายเสียจนเอมี่คิดว่าหมากรุกกระดานนี้คงเป็นครั้งแรกที่เขาชนะ “ม้ากับเรือนายไปแล้วอย่างละหนึ่ง คราวนี้ถึงตาควีนตัวแสบของนายแล้ว”

    “อย่างนั้นเลยเหรอ” คลินท์ยิ้มตามแบบฉบับของเขาที่ดูเท่และน่าหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขาดูจะมีแววความมั่นใจอยู่อย่างถาวร “พอดีหล่อนกำลังอ้าขารอแกอยู่เลย”

    แน่นอนว่าหมากกระดานนี้ผลก็เหมือนๆกับทุกครั้งในวันเก่าๆ

    “เวลามันก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันนะว่ามั้ย?” เอมี่ถามขณะที่เธอเช็ดเครื่องสำอาง ปกติแล้วเธอเป็นพวกสาวหน้าสด แต่ในเมื่อเป็นพนักงานร้านอาหารเธอจำเป็นต้องทำตัวให้ “ดูดี” ในสายตาลูกค้า ถึงอย่างนั้นเธอก็แต่งหน้าเพียงเล็กน้อย เพื่อนร่วมงานที่ชื่อลอร่าเคยเสนอสอนเทคนิคแต่งหน้าโดยไม่ให้เห็นกระแต่เอมี่ปฏิเสธ เธอมั่นใจว่ากระบนหน้าเธอมันไม่ได้เข้มหรือเยอะเกินไป

    “ดีแล้วล่ะที่มันผ่านไปเร็ว” เบียงก้าว่า “หรือเธออยากให้มันผ่านไปช้าๆล่ะ?

    เอมี่ยิ้มออกจนได้ “ไม่ได้ว่านะแต่คุณกับเธอแล้วฉันรู้สึกโง่ทุกที”

    “มุกแบบนั้นมันไม่ขำเลยนะเอมี่”

    “ฉันขำเองคนเดียวก็ได้” เอมี่เบ้ปากเป็นเชิงล้อเลียน “ให้ตายเถอะ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า เธอหิวเหมือนกันใช่มั้ย?

    คุณนายมาเรลล่ามักจะเลี้ยงของว่างกับพวกวัยรุ่นที่มาทำงานพิเศษแบบเธอ ซึ่งอาหารที่ทานก็มาจากฝีมือเชฟของทางร้าน วันไหนที่เอมี่หิวมากๆหรืออยากทานอาหารแบบอิตาเลียนแท้ก็จะอยู่ทาน ส่วนเบียงก้านั้นถึงแม้บางครั้งจะไม่หิวแต่ก็จะอยู่เป็นเพื่อนคุยเสมอ ปรากฏว่าวันนี้เป็นขนมปังหน้าบรุสเกตต้าแบบเป็นมิตรกับมังสวิรัติ ถึงเธอไม่ใช่แต่ก็อร่อยเกินกว่าจะบ่น ที่สำคัญที่เอมี่ไม่เคยปฏิเสธของอร่อยที่กินได้ฟรีๆ

    “แล้วนี่ทรอยเขาย้ายออกไปที่ไหนนะ?” เบียงก้าชวนคุยขณะหยิบขนมปังมาที่จานอย่างกระตือรือร้น เอมี่จำได้ว่ามันเป็นของโปรดของเพื่อน

    “ซานฟรานซิสโก” เอมี่ตอบหลังจากกลืนคำแรกลงไป รสชาติออกเปรี้ยวของมะเขือเทศยังอยู่บนลิ้น “ตอนแรกฉันนึกว่าเขาจะไปโอเรกอนไม่ก็แคนซัส แต่เขาชอบบรรยากาศเมืองมากกว่าแถมที่พักยังฟรีด้วย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังลังเลอีก ยังกับคลินท์เป็นคนอื่นคนไกลที่ไหน บางครั้งฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเขาเหมือนกัน ถ้ามันปัญหาเยอะนักทำไมไม่อยู่กับเราต่อ”

    “เขาอาจมีปัญหาที่บอกเธอไม่ได้ล่ะมั้ง? ถ้าเขาเป็นคนอย่างที่เธอเล่าให้ฟังจริง พี่เธอคงไม่อยากให้เธอมาหนักใจด้วย

    “ตอนนี้ฉันก็เลยสบายใจสุดๆเลยน่ะสิ” เธอตอบทั้งที่มีบรุสเกตต้าเต็มปาก “เข้าใจนะว่างานด้านคอมพิวเตอร์---แฮ็กเกอร์---ไวท์แฮทอะไรของหมอนั่นมันเงินดีเป็นที่ต้องการ แต่เท่าที่ฟังดูแล้วเขาไม่น่าจะมีที่ทำงานเป็นหลักแหล่งเลย แล้วเขาก็ไม่อยากให้ฉันเป็นห่วงเนี่ยนะ

    “แล้วเธอพูดกับเขาหรือเปล่าล่ะว่าเธอคิดยังไง” เบียงก้าถามอย่างมีประเด็น

    “ก็….” เธอไม่มองหน้าเบียงก้า “แหงสิ ฉันต้องพูดกับทรอยอยู่แล้ว….แต่เขาก็เอาแต่ยิ้มกับหัวเราะ พวกผู้ชายนี่หัวทึบเป็นบ้าเลยว่ามั้ย?

    “ฉันว่าครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องบอกอะไรกันมากก็คงรู้กันแล้วล่ะ ที่คนเขาพูดว่ายังไงนะ? แค่มองตาก็รู้ใจ”

    “คงจะอย่างที่เธอพูดแหละ เบียงก้า” เอมี่ปัดปอยผมสีบลอนด์ออกจากหน้า “แต่มันก็เกิดขึ้นเร็วเกินไปอยู่ดี” เธอจำได้ว่าตอนแรกคลินท์จะอยู่ที่บ้านต่ออีกสัปดาห์ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปตอนกำลังทานมื้อเย็นสองวันก่อน

    เขากลอกตาขึ้นเมื่อเสียงโทรศัพท์ดัง “โทษที ของผมเอง” เขาดูว่าใครโทรมาก่อนจะรับสาย “ว่าไง?” ไม่กี่อึดใจทุกเส้นบนใบหน้าของคลินท์ก็เรียบตึง เอมี่กลับทรอยมองหน้ากันอย่างรู้ใจ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแหงๆ

    “จริงอ่ะ?....เออ….ขอบใจว่ะ…..แล้วเจอกัน” คลินท์วางสายก่อนเงยหน้าขึ้นมองพ่อแม่ของเขา

    “คลินท์ ใครโทรมาเหรอ?” ป้าถาม เธอเป็นหญิงวัยทองเจ้าของเส้นผมและดวงตาสีน้ำตาลอ่อน

    “แอนเซลน่ะครับ” คลินท์พูดถึงเพื่อนสนิทของเขา “ผมต้องเปลี่ยนแผนแล้ว พวกเจ้านายเรียกตัวเราให้ไปถึงแอฟริกาใต้ในห้าวัน ดูท่าว่าผมต้องกลับไปเตะก้นคนอีกแล้ว”

    ลุงกับป้ามองหน้ากัน “แล้วลูกรู้มั้ยว่าไปนานแค่ไหน?

    “ไม่รู้สิ แต่ผมเอาอยู่น่า” เสียงของเขาฟังดูมั่นใจแต่คลินท์ไม่ได้สบตาพ่อแม่ของเขา

    “คลินท์” ดวงตาสีฟ้าของลุงหรี่ลงอย่างไม่ชอบใจ

    “ก็ได้ พ่อ” เขาเลียริมฝีปากก่อนชำเลืองมายังเอมี่กับทรอย “ผมบอกได้แค่ว่าที่พวกผมถูกเรียกเพราะมันเกี่ยวกับพวกชิลเดร็น หรือเรียกว่าเด็กนรกก็ได้ถ้าพ่อชอบแบบที่พวกนักข่าวตั้งชื่อ แต่ผมคงไม่ได้ไปรบอะไรจริงๆหรอก อย่างมากคงช่วยทหารบางประเทศฝึกรบกับไอ้พวกนั้นเอง จริงๆนะ ถึงบอกได้ว่าเอาอยู่ไง” เอมี่จำได้ว่ามีพวกคนเลวชื่อ ชิลเดร็นเป็นข่าวหลายปีตั้งแต่เธอเป็นเด็ก แต่ข่าวพวกนั้นไม่ได้ร้ายแรงแบบพวกผู้ก่อการร้ายยุคก่อนที่เธอเรียนในวิชาประวัติศาสตร์

    “แล้วแกจะออกเดินทางเมื่อไหร่”

    “ผมช่วยน้องจัดการเรื่องบ้านใหม่เสร็จเมื่อไหร่ก็คงออกไปเลย หัวหน้าผมจองตั๋วไว้แล้ว ไว้กินข้าวเสร็จแล้วผมขอคุยกับพ่อหน่อยนะ แม่ก็ด้วย” แล้วคลินท์ก็หันมาที่เธอ เขายิ้มเป็นเชิงขอโทษ “โทษทีนะเอมี่ ดูเหมือนว่าฉันคงต้องกลับไปสวมผ้าคลุมฮีโร่อีกแล้ว” บางครั้งเอมี่สงสัยว่าทำไมโกรธเขาไม่ลง

    เมื่อทุกคนทานเสร็จทรอยอาสาจัดการกับจานขณะที่คลินท์ขอตัวไปคุยกับลุงและป้า เอมี่ตัดสินใจอยู่ช่วยพี่ชายของเธอในครัว ถึงแม้เขาจะดูไม่ประหลาดใจเท่าไหร่แต่ทรอยก็ยังเป็นทรอย เขาหาเรื่องว่าหยอกล้อเธอได้เสมอ

    “อะไรเนี่ย เอมี่ทำงานบ้าน? พรุ่งนี้พระอาทิตย์จะขึ้นอีกทางละมั้ง”

    “คงจะขึ้นอีกทางแน่ๆถ้าวันไหนนายไม่ได้ทำตัวเป็นไอ้บ้าปากเก่ง” เขาถอยหลังเมื่อเอมี่ยกมือที่เต็มไปด้วยฟองขึ้น “ก็ฉันแค่อยากคุยด้วย”

    “เรื่องที่พี่จะย้ายออกไปน่ะเหรอ” เธอจำได้ว่าหยิบเรื่องนี้มาพูดหลายหนนับตั้งแต่เขาเอ่ยถึงมันเป็นครั้งแรก เอมี่หวังว่าให้ทรอยรู้สึกรำคาญแต่เขากลับใจเย็นอยู่ได้ทุกครั้ง “ก็บอกแล้วว่าทุกอย่างเรียบร้อย ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง”

    “อ๋อเหรอ ครั้งก่อนที่พี่พยายามออกไปอยู่ข้างนอกมันเจ๋งสุดๆไปเลย วงแตกกัน---” เอมี่หยุดตัวเองไม่ทัน “โทษที” เอมี่ยิงฟันเป็นเชิงขอโทษแต่ทรอยกลับหัวเราะออกมา ตอนแรกเอมี่คิดว่าเขาหัวเราะกลบเกลื่อนความอับอายเรื่องวงดนตรีในฝันของเขากับเพื่อนๆต้องมาแยกกัน แต่จากเสียงหัวเราะที่ฟังดูมีชีวิตชีวาแล้ว ท่าทางเขาจะตลกจริงๆ

    “แหม เจ็บจี๊ดเลยนะนั่น” ทรอยยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ไม่ใช่วงแตก เราแยกกันไปหาแรงบันดาลใจใหม่ต่างหาก”

    เอมี่เบะปาก “ตามสบายเลย”

    ทรอยปิดก๊อกน้ำ “ว่ากันตรงๆแล้วพี่เป็นห่วงเธอมากกว่า” 

    “ฉันโตแล้ว ขอบใจมาก” เอมี่ล้างฟองออกจากมือขณะที่ทรอยจัดจานเป็นตั้งๆ ป้าเคยบอกเธอว่าไม่ว่าเธอจะอายุเท่าไหร่ แต่ทรอยก็ยังเห็นเธอเป็นน้องสาวตัวน้อยของเขาเสมอ แล้วเอมี่ก็พยายามอย่างมากที่จะให้เขาเปลี่ยนความคิด

    “ฟังพี่นะเอมี่ ตอนแรกพี่เองก็คิดแต่ว่าตัวเองจะทำยังไงถ้าเกิดวันหนึ่งพี่ต้องออกจากบ้านไป แบบที่คลินท์รู้สึกตอนที่เขาออกจากบ้านแต่ละครั้ง” พี่ชายหันมาสบตากับเธอตรงๆ “แต่เอาเข้าจริงๆแล้วมันไม่มีอะไรน่าหนักใจเกี่ยวกับพี่เลย ตอนนี้พี่รู้แล้วว่าคลินท์รู้สึกยังไง เราแทบไม่ต้องกังวลเลยว่าเราจะเจอกับอะไรบ้าง แต่คนข้างหลังเรา คนที่บ้าน เธอ ลุงแล้วก็ป้า จะเป็นยังไงถ้าไม่มีเราอยู่ด้วย”

    “แล้วทำไมนายถึงยืนกรานจะไปให้ได้ล่ะ”

    “พี่ไม่ได้โกหกตอนที่บอกว่าหาแรงบันดาลใจ พี่แค่อยาก---”  จู่ๆเขาก็หลบสายตาเธอราวกับจะมองหาคำพูดดีๆจากผนังห้องครัว เขาเหลือบมองไปที่ประตูครัวก่อนจะถอนหายใจ “---เราพึ่งพาพวกเขาตลอดไม่ได้ เข้าใจที่พี่พูดมั้ย?

    “ลุงกับป้าไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆของเรา ฉันรู้น่า” แต่พวกท่านก็ดีพอจะเรียกว่าเป็นพ่อแม่แท้ๆเลยก็ว่าได้

    เขากลับมามองเธออีกครั้ง “งั้นเธอก็เข้าใจที่พี่จะบอกใช่มั้ย”

    “เข้าใจ แล้วก็ไม่เข้าใจด้วย” เอมี่เงยหน้าขึ้นไปสบตากับพี่ชาย “เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะทรอย”

    เขายิ้มเหมือนพยายามปลอบใจเธอทั้งๆที่เอมี่ไม่ได้รู้สึกเสียใจ “พี่รู้” เขาพูดเสียงค่อยพลางลูบศีรษะเธออย่างเบามือ

    เบียงก้าฉุดเธอกลับมาที่ปัจจุบันอีกครั้ง แล้วเธอได้ติดต่อพวกเขาบ้างหรือเปล่า?

    “คลินท์ชอบเป็นฝ่ายโทรกลับมาที่บ้านเอง แต่ก็ไม่บ่อยหรอกนะ ส่วนทรอยน่ะเหรอ? ฉันโทรไปตั้งแต่คืนแรกเลย” เอมี่ตอบ “จากนั้นหมอนั่นก็มีงานเข้ามาเพียบเลย สมน้ำหน้า ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยากได้เงินหรือเวลานอนมากกว่ากัน” เบียงก้าถึงกับหลุดปากหัวเราะ เสียงของเธอและรอยยิ้มทำเอาผู้หญิงด้วยกันแท้ๆอย่างเอมี่ถึงกับหวั่นไหว แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สังเกต “จริงสิ ถ้าเธออยู่ต่อก็ฝากบอกคุณนายมาเรลล่าด้วยล่ะว่าฉันกลับแล้ว”

    เอมี่เบียงก้าว่าขณะถอดผ้ากันเปื้อนออก “ฉันอยู่ตรงนี้นะถ้าเธอมีอะไรหนักใจ”

    “ขอบใจ เบียงก้า” เอมี่ตอบก่อนจะแยกไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอเปลี่ยนจากเครื่องแบบบริกรมาเป็นเสื้อแจ็กเก๊ตทับเสื้อกล้าม กางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบ เธอคว้าเป้มาสำรวจความเรียบร้อย ในนั้นมีเพียงสมุดวาดเขียนกับดินสอชนิดต่างๆที่หนึ่งชุด เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยเอมี่ก็ลาเบียงก้าและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆกลับบ้าน วินาทีถัดมาเธอก็มาอยู่ที่ริมถนนหน้าร้าน ดูเหมือนพระอาทิตย์จะตกดินได้สักครู่ รอบตัวเธอจึงมีแต่สีนีออน ภาพโฮโลแกรมและผู้คนที่สัญจรบนทางเท้า รถประจำทางที่สายเธอรอมาถึงในเวลาไม่นาน ผู้คนบนรถค่อนข้างเบาบาง แทบทุกคนมีหนังสือพิมพ์ในมือ ถึงแม้มันจะเป็นแผ่นวัตถุโปร่งแสงบางแข็ง ไม่ได้ทำด้วยกระดาษ ทำงานด้วยระบบสัมผัสสามารถชาร์จไฟได้ด้วยแสงอาทิตย์ แต่ทุกคนยังคงเรียกมันว่าหนังสือพิมพ์ด้วยความเคยชิน

    เธอยังรู้สึกใจหายที่กลับบ้านแล้วจะไม่เจอหน้าทั้งสองคนนั่น ความทรงจำตอนที่พวกเขาออกเดินทางนั้นยังสดใหม่ราวกับมันเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ เอมี่จำได้ว่าเธอมองตามรถของบริษัทรับขนของย้ายบ้านไปจนสุดซอยขณะที่ทุกคนยืนรวมกันอยู่ที่หน้าบ้าน

    “แน่ใจนะว่าไม่ได้ลืมอะไรไว้?” คลินท์ถามทรอยขณะที่เขาเปิดกระโปรงรถเพื่อตรวจสภาพก่อนออกเดินทาง

    “แหงสิ ครบหมดแล้ว” ทรอยตอบ เอมี่ก็ยังคงไม่เข้าอยู่ดีว่าถ้าเขาอยากไปนักทำไมเขาถึงไม่ได้มีท่าทีกระตือรือร้นอะไรเลย

    “แกไม่เป็นอะไรนะ?” คลินท์เหลือบขึ้นมามองก่อนจะปิดกระโปรงรถ

    “ไม่ ไม่” ทรอยกระแอม “แค่ใจหายนิดหน่อย นายเข้าใจใช่มั้ย?

    “กลับมาให้ทันคริสต์มาสนะ” ลุงว่า เขาแต่งตัวจะไปทำงานแต่ตัดสินใจอยู่ลาทรอยก่อน ผมบลอนด์ที่หงอกขาวเป็นประกายกับแสงแดดยามเช้า

    พี่ชายยิ้มพลางพยักหน้า “ผมไม่พลาดอยู่แล้วล่ะครับ”

    “อยู่ที่นั่นรักษาตัวด้วยล่ะ” ป้าจับไหล่ของเขาอย่างทะนุถนอม รอบตาเธอเป็นรอยย่นจากรอยยิ้ม “ถึงจะอยู่อีกรัฐแต่อย่าลืมล่ะว่าหลานไม่ได้อยู่คนเดียว” ทรอยยิ้มก่อนเขาจะโน้มตัวเล็กน้อยเพื่อกอดป้า

    “ทรอย อะไรก็ตามที่หลานคิดไว้ ลุงขอให้หลานได้ตามที่คิดนะ” ลุงตบบ่าเขาเบาก่อนที่จะกอดเขาบ้าง “บ้านเราคงเงียบแย่ตอนไม่มีหลานอยู่ด้วย”

    “แต่เอมี่ยังอยู่กับลุงนี่ครับ” พี่บ้า เธอไม่พูดอะไรแต่ก็ยิ้มเมื่อพี่ชายหันมาสบตาเธอ แล้วก็มาถึงคิวของเธอเมื่อทรอยผละจากลุงและป้าให้คลินท์ลาพ่อแม่ของเขา

    “เฮ้” เขาว่า

    “เฮ้ตัวเองเถอะ” เอมี่จำได้ว่าตอบไปแบบนั้นด้วยรอยยิ้มที่เธอคิดว่าน่าหมั่นไส้ที่สุด “นี่นายไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่มั้ยเนี่ย”

    “คงจะไม่มั้ง เพราะเราเชื่อมถึงกันไง” ถึงทรอยจะไม่ได้เป็นคนกวนประสาทโดยธรรมชาติแบบคลินท์แต่เขาก็ทำตัวน่าหมั่นไส้ได้เช่นกัน โดยเฉพาะกับเธอ “โอเค ไม่พูดเล่นแล้วก็ได้ จากนี้เธอก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะ ถ้าว่างๆก็มาเยี่ยมกันหน่อยก็ได้”

    “นายต่างหากที่ต้องดูแลตัวเอง” เอมี่พยายามคิดคำพูดจิกกัดเจ็บๆที่ฟังดูฉลาด “ทรอย ฉัน….นายสัญญานะว่านายจะไม่ทำตัวเองไส้แห้ง”

    หัวเราะอยู่อีก สาบานได้เลยพี่ชายฉันมันเส้นตื้นกันทุกคนเลย “นี่คือคำพูดให้กำลังใจกันใช่มั้ยเนี่ย?

    “โอ๊ย แค่ตอบมาเถอะน่า”

    พี่ชายกอดเธอและกระซิบข้างหูเบาๆ “ได้สิ พี่สัญญา”

    “ถ้านายเป็นอะไรขึ้นมาฉันจะตามไปเตะก้นในลงอ่าวซานฟรานซิสโกเลยคอยดู” เอมี่กระพริบตาถี่ๆพลางคุมเสียงไม่ให้สั่น เธอคิดว่าเป็นเพราะเส้นผมของทรอยที่เข้าตา ผมบ้ามาเข้าตาฉันทำไมตอนนี้

    ทรอยค่อยๆคลายแขนของเขาออกจากตัวเธอ “ร้องให้เหรอ?

    “พูดบ้าๆ ใครร้อง” เอมี่แน่ใจว่าเธอแอบปาดน้ำตาออกไปหมดแล้ว เป็นเพราะเส้นผมพวกนั้นแท้ๆ “ฉันโตแล้วนะ”

    “เข้าใจแล้วน่า” พี่ชายอมยิ้มขณะที่ถอยหลังให้คลินท์ลาเธอบ้างและก็เหมือนเช่นเคย คลินท์ไม่พูดอะไรแต่เขากอดเธอและลูบศีรษะเธออย่างนุ่มนวล “เป็นเด็กดีแปรงฟันก่อนนอนล่ะ” ทรอยว่า

    ยังล้อกันอยู่ได้ “ดีกว่านายก็แล้วกันน่า”

    “แม่คงจะภูมิใจที่ได้เห็นเราตอนนี้นะ” แน่นอนว่าทรอยพูดถึงแค่แม่เท่านั้น และทุกคนก็รู้ดีเกินกว่าจะทักให้บรรยากาศเสีย

    เอมี่โบกมือให้ขณะที่พี่ชายทั้งสองคนขึ้นรถ ทรอยขยิบตาให้เธอก่อนที่พวกเขาจะจากไป ถ้านายไม่ทำตามสัญญาล่ะก็ ฉันตื้บนายจริงๆแน่ พี่บ้า เอมี่คิดขณะที่รถของพวกพี่ๆเลี้ยวออกจากซอยและทุกเมื่อที่คิดถึงพวกนั้น

    อย่างเช่นตอนนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×