ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Manifold Flashpoint จุดประกายหายนะ

    ลำดับตอนที่ #3 : [ทรอย] บทที่ 2 - โดดเดี่ยว [รีไรท์ครั้งที่ 1]

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 60


    Alone



         ไงเอมี่?”

         ว่าไงทรอยน้องสาวตอบจากปลายสาย “คลินท์ไม่ได้ยกรังหนูของเขาให้พี่ใช่มั้ย”

         “เป็นรังหนูที่ใหญ่เลยล่ะ” ทรอยตอบพลางทิ้งตัวลงบนโซฟา “ล้อเล่นน่า อพาร์ทเมนท์ที่พี่อยู่มันก็ชั้นที่ 22 สูงพอจะมองซานฟรานฯได้ทั้งเมืองเลยล่ะ  อยากให้เธอมาเห็นบ้างจัง”

         “ชั้น 22 เลยเหรอ....โอเค สวยก็สวย แต่ฉันคงขอผ่าน...ไม่ได้ว่านะ

         “ไม่เอาน่า” ทรอยหัวเราะ “อมิเลีย สาวน้อยที่โหดพอจะต่อยหน้าเด็กผู้ชายตัวโตๆมากลัวความสูงเนี่ยนะ”

         “พี่บ้า” ดูเหมือนเธอไม่ตลกด้วย

         “เพราะรักถึงได้ล้อไง”

         “อยู่ห้องเก่าของคลินท์ได้วันเดียว พี่ก็เริ่มพูดเหมือนเขาแล้ว ฉันละจะบ้าตาย....ไอ้หมอนั่นหาเรื่องเองต่างหาก ไม่ให้ความผิดฉันสักหน่อย” เหมือนว่าเอมี่จะเสียงอ่อนลง


         ….โอเค” ทรอยพยายามกลั้นหัวเราะ “แล้วลุงกับป้าล่ะเป็นยังไงบ้าง”

         “ป้าก็เหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้ป้าไม่ได้เล่นโยคะบ่อยเหมือนแต่ก่อนแล้ว” เอมี่ตอบ “ส่วนลุง พอไม่มีคนบังคับให้เล่นโยคะก็หน้าตาสดใสขึ้นเยอะเลย ทุกวันนี้ลุงก็สอนหนังสือที่มหาลัยเหมือนเดิมแหละ เพียงแต่ช่วงนี้ไม่ค่อยบ่นปวดนั่นปวดนี่เท่าไหร่ ว่าแต่พี่ล่ะ เป็นไงบ้าง?

         “ซานฟรานฯก็วุ่นวายกว่าที่ซีแอตเทิลพอสมควรเลยล่ะ” ทรอยเกาศีรษะ เขาใช้ไหล่หนีบโทรศัพท์ไว้ขณะคว้านหารีโมทโทรทัศน์ที่เขาจะน่านั่งทับ “แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากหรอก ซักพักพี่คงจะปรับตัวได้ อีกอย่างพวกเพื่อนพี่หลายคนก็อยู่ที่นี่ ตอนสมัยมัธยมก็ไปๆมาๆออกจะบ่อย”

         “เออนี่ หวังว่างานเขียนโปรแกรมไวท์แฮทอะไรนั่นคงจะคุ้มค่านะ ฉันไม่อยากเห็นพี่แต่งงานกับคอมพิวเตอร์หรือกีต้าร์--”

         “นี่พอเลย นี่มันยุคเทคโนโลยีแล้ว เอมี่ อีกอย่างพี่ไม่ปล่อยให้ตัวเองอดตายหรอกน่า ฝีมือขนาดนี้แล้ว”

         “จ้า พ่อคนเก่ง” เอมี่หัวเราะ “ไว้คุยกันคราวน่านะ มื้อเย็นมาแล้ว”

         “โอเค เอมี่ รักษาตัวด้วยล่ะ”

         แล้วเขาก็รู้สึกเสียใจที่หลังที่โทรหาเอมี่ช่วงมื้อเย็น อาหารฝีมือป้าโจดี้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชีวิตวัยเด็กและวัยรุ่นของทรอยน่าจดจำ แล้วเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เขากับคลินท์ไม่ค่อยกลับบ้านดึก เพราะนั่นหมายถึงอาหารเย็นชืดที่รออยู่แทนที่จะเป็นของอร่อยๆกำลังอุ่นได้ที่ นั่นยังไม่รวมเรื่องสนุกๆของลุงไซม่อน ซึ่งมักจะลงเอยด้วยการทำให้ใครสักคนสำลักอาหารโดยไม่ตั้งใจ

         ส่วนงานที่เขาทำอยู่….ไวท์แฮทค่อนข้างเป็นอาชีพที่มาแรงในขณะนี้ ตัวทรอยเองก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่ามันเริ่มเมื่อไหร่.....คงเป็นหลังจากเขาแยกวงกับเพื่อนๆและเงินเก็บจากเล่นดนตรีใกล้หมด เขาเริ่มหารายได้จากแหล่งอื่นซึ่งตอนนั้นเขาคิดว่าคอมพิวเตอร์มีไว้เล่นเกมและอินเทอร์เน็ตเท่านั้นจนกระทั่งเขาเจอกับช่องทางหากินบนโลกไซเบอร์ ทรอยศึกษาทั้งจากบนบล็อกและนักท่องไซเบอร์ที่ร่วมชั้นเรียนและเพื่อนเก่าของคลินท์ที่ยินดีถ่ายทอดวิทยาทาน เป็นเวลาเกือบเดือนที่เขาซึมซับเท่าที่ทำได้ เพียงงานไม่กี่ชิ้นทำให้เขามีเงินเก็บพอเกือบทั้งซัมเมอร์ของปีนั้น

         ถ้าเป็นเมื่อก่อน พูดถึงแฮ็กเกอร์นั้นทุกคนจะต้องทำหน้าเหวอราวกับกำลังพูดถึงอาชญากรอย่างโจรปล้นธนาคาร ถึงแม้พวกแบล็กแฮทหรือโจรไซเบอร์จะยังมีอยู่ แต่ตอนนี้กระแสของฝ่ายธรรมะอย่างไวท์แฮทเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นแล้ว ทรอยจึงไม่ตกเป็นเหยื่อของการเหมารวมว่าแฮ็กเกอร์ทุกคนคือวายร้าย 

         งานของไวท์แฮทเข้าใจได้ง่ายมาก องค์กร,บริษัท,เว็บไซต์ต่างๆโดยเฉพาะที่มีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากเช่นเว็บโซเชียลต่างๆซึ่งล้วนต้องการมาตรการปกป้องข้อมูลผู้ใช้บริการหรืออะไรก็ตามที่ถือเป็นข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผย การป้องกันต่างๆจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อมันถูกทดสอบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเหล่าไวท์แฮทที่ต้องเจาะเข้าไป ถึงไม่เจออะไรและรายงานผลลัพธ์ที่ได้ตามเวลา เขาก็ได้ค่าเสียเวลาอยู่ดี แต่ถ้าใครที่พบและรายงานช่องโหว่ของระบบป้องกันก็จะได้เงินเพิ่ม ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์

         “ถ้าเป็นสมัยลุงนะ ลุงคงไปๆมาๆอยู่แค่แมคโดนัลกับปั๊มน้ำมันแถวบ้านนี่แหละ”

         ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันเป็นอาชีพถูกกฎหมาย ถึงจะไม่มั่นคงก็ตาม ที่ผ่านมาเขารับแต่ข้อเสนอที่คิดว่าคุ้มพอจะเสียเวลาเท่านั้น แน่ละว่าเขาต้องเจียดเวลาไปข้างนอกบ้าง อีกอย่าง เขาได้เรียนรู้ว่างานสายนี้ถ้าไม่ขยันและเก่งจริงๆไม่ควรยึดเป็นอาชีพหลักซึ่งทรอยไม่คิดจะเป็นแฮ็กเกอร์ตลอดไปอยู่แล้ว การเป็นแฮ็กเกอร์มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างในหนังด้วย กดปุ่มไม่กี่ทีแล้วเจาะข้อมูลได้เป็นแค่ความฝันและทำให้แฮ็กดูตื่นเต้นกว่าปกติ 

         ว่าแต่คืนนี้กินอะไรดีล่ะ? เขาถามตัวเองเพราะตอนนี้ท้องเริ่มร้องแล้ว


         ทรอยอยู่กับป้านานพอจะรู้วิธีทำอาหารง่ายๆและซอสพาสต้าสำเร็จรูปยี่ห้อที่ดีสุด(ถึงป้าจะทำซอสเองทุกครั้ง) ห้องครัวเล็กๆนี่ก็ดีพอจะทำของง่ายๆกินเองได้นอกจากสลัดหรือซีเรียล  

         เขาถือจานพาสต้าราดซอสมาพอดีขณะที่เจนิส เทย์เลอร์ผู้ประกาศข่าวสาวสวยพูดถึงข่าวฆาตกรรมปริศนาใจกลางนครนิวยอร์คที่เป็นข่าวใหญ่ช่วงหัวค่ำ 

         “กรมตำรวจนิวยอร์คได้ยอมรับถึงความล่าช้าของคดีเนื่องจากไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์หรือตัวผู้ต้องสงสัย ทั้งที่เหตุเกิดในย่านผู้อยู่อาศัย ผู้ที่พอให้การได้กล่าวว่าเห็นเพียงเหยื่อตกลงมาจากฟ้า ลงมายังฝากระโปรงรถ

         ดูเหมือนรถดังกล่าวกำลังวิ่งอยู่กลางถนนตอนเกิดเหตุ รถส่วนหน้าพังยับเหมือนสิ่งของหนักเป็นตันหล่นใส่ หน้าจอเต็มไปด้วยไฟไซเรนสีแดงน้ำเงินของรถตำรวจ ด้านหน้าแถบกั้นสีเหลืองมีผู้สื่อข่าวภาคสนามกำลังสัมภาษณ์ชายหัวล้านท่าทางตื่นกลัวคนหนึ่ง

         ผมสาบานได้….ผมกับเมียกำลังติดไฟแดงอยู่ดีๆ ก็มีคนหล่นลงมา….ใช่!ผมพูดว่าคน! เป็นผู้ชายผิวขาวอายุน่าจะสามสิบ ไม่ใช่แค่ผมกับเมียนะ คันอื่นๆก็ลงมาดู”

         “พอจะจำได้มั้ยครับว่า ผู้ตายมีรูปร่างหน้าตายังไง?

         “ผมจำได้แค่ว่าเขาเป็นคนขาว” ผู้เสียหายปาดเหงื่อ “ให้ตายเถอะ! ผมบอกตำรวจไปแล้วนะ เขามีแผลโดนแทง อยู่เหนือหัวใจไม่กี่นิ้วผมกล้าพูดเลย! แต่จู่ๆหมอนั่นก็ลุกเป็นไฟใช่! ลุกพรึ่บอย่างนี้่เลย ผมไม่รู้ว่าเป็นไปได้ไง แต่ตัวเขาลุกเป็นไฟ กว่าตำรวจจะมาก็เหลือแค่ขี้เถ้าสีเทาๆ ไม่เชื่อลองไปถามคนอื่นดูสิ ผมจะโกหกทำไม? ที่เละๆกองอยู่นั่นก็รถผมนะ..

         แล้วภาพก็ตัดมาที่เจนิสอีกครั้ง

         “เพื่อไม่ให้เกิดความแตกตื่น ทางตำรวจได้ให้ความเห็นว่าอาจเป็นอุปทานหมู่ แต่ด้วยพยานแวดล้อมที่บ่งบอกไปในทางเดียวกัน เราจึงยังไม่อาจสรุปได้ว่า….

         ถึงแม้ว่าเขาจะชอบเจนิสแค่ไหนแต่ด้วยเหนือหาของข่าวที่ไม่เหมาะกับการฟังขณะทานมื้อเย็น ทำให้ทรอยตัดสินใจเปลี่ยนช่องไปดูรายการอื่น โทษทีนะคนสวย พาสต้ากับฆาตกรรมกินรวมกันแล้วไม่ค่อยอร่อย


         ชั่วขณะหนึ่งเขาคิดว่าจะได้ยินเสียงหัวเราะของลุงป้า ถ้าเอมี่อยู่ด้วยคงจะพูดว่า คลินท์สอนอะไรพี่มาอีกล่ะ เขาลืมไปชั่วขณะว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

         เอาน่าทรอย แกไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวตลอดไปซะหน่อย

         ปรากฏว่าช่องที่เขาบังเอิญกดเลือกเป็นรายการทดลองสินค้า คราวนี้เป็นหุ่นยนต์ทำความสะอาดขนาดพกพาซึ่งทรอยได้ดูเป็นรอบที่สิบแล้ว แน่นอนว่ามันเป็นของหนึ่งในบริษัทลูกของแม็กนัส คอร์ปอเรชั่นที่คลินท์ทำงานอยู่

         “สากกะเบือยันเรือรบ นี่แหละแม็กนัส แต่ไม่เห็นมีใครเอาไปเป็นสโลแกน” คลินท์เคยพูดไว้ “รู้มั้ยว่ามันแปลว่าอะไร? แม็กนัสแปลว่าใหญ่เบ้อเริ่ม....ก็ตามนั้นแหละ”

         “ไม่ยักกะรู้ว่าบริษัท PMC แถมผลิตอาวุธจะขายเครื่องดูดฝุ่นเดินได้ ฟังดูเจ๋งดีแฮะ” ทรอยจำได้ว่าเขาตอบไปแบบนี้

         “อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเครื่องจักรเจ๋งๆก็ของบริษัทลูกทั้งนั้น โคตรพ่อโคตรแม่ทุนนิยมเลยว่ามั้ย?

         ทรอยกดเปลี่ยนช่อง แต่ก็มีแค่ซิทคอมตลกกับข่าวอีกช่องที่พูดถึงผู้ก่อการร้าย สรุปแล้วไม่มีอะไรที่น่าดู

         ถึงมีเพื่อนๆจะเทียวไปเทียวมาที่นี่ แต่มันก็คนละความรู้สึก ทรอยรีบจัดการพาสต้าขณะที่หุ่นบนจอทีวีกำลังสาธิตการรับคำสั่งด้วยเสียง

         “ปิด” ทรอยนึกได้ว่าทีวีก็สั่งการด้วยเสียงได้เหมือนกัน พอไม่มีเสียงทีวีก็มีเพียงเสียงความวุ่นวายของมหานครที่อยู่เบื้องล่าง แต่กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกตัวคนเดียว 

         ทั้งที่อยู่กลางผู้คนล้านนับล้านอยู่แต่กลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวได้ขนาดนี้ ทรอยถอนหายใจก่อนลุกเอาจานพาสต้าที่กินเกือบหมดแล้วไปล้าง ก่อนเดินไปหาเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ของเขา---คอมพิวเตอร์


         ทรอยจึงเปิดเกม "ดราก้อนบาวด์" เล่นอีกครั้ง มันเป็นเกมสวมแนวสวมบทบาทที่เขาต้องเล่นเป็นผู้กล้าและผองเพื่อนรวมถึงเจ้ามังกรที่สามารถอัพเลเวลได้ ถึงเกมจะสนุกและท้าทายแค่ไหน แต่เขาเล่นจบมาห้ารอบแล้วแถมมันยังเป็นเกมผู้เล่นเดี่ยว ผู้กล้าและมังกรจึงไม่ได้ช่วยอะไรเขามาก แถมการจัดห้องก็ดูดพลังงานสุดๆถึงขนาดทำให้หนังตาเขาเริ่มหย่อนตั้งแต่ 4 ทุ่ม ทรอยโมโหตัวเองเล็กน้อยที่ปฏิเสธคลินท์ไป 

         ให้ตายเถอะ 5 ทุ่มเองเหรอวะเนี่ย? เขาหาวก่อนขยี้ตาแต่ด้วยความที่มักจะมีคนติดต่อมาเวลานี้ ทรอยตัดสินใจนั่งถ่างตาท่องอินเทอร์เน็ตต่อไปพลางเปิดเพลงที่ไล่ความง่วงอย่าง "ดอนท์ สตอป มี นาว" ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่ใช่เวอร์ชั่นของนักร้องรุ่นปัจจุบัน

         ทรอยพยายามขยับมือกลับมาเท้าคางหลังจากที่ศีรษะเขาห้อยลงจนมันไปอยู่ที่บริเวณขมับ แต่ก็เปลี่ยนใจวางแขนทั้งสองลงด้านหน้าจอคอมฯเพื่อใช้หนุนคางซึ่งทำแบบนี้สบายตัวกว่า ถึงแม้เพลงจะเริ่มเบาและยานคางลงเรื่อยๆขณะที่แขนของเขาเริ่มจะให้ความรู้สึกนุ่มสบายขึ้น

         แต่แล้วก็เหมือนมีลมเย็นจัดพัดผ่านใบหน้าของเขาจนขนลุกตั้งชัน 

         "อะไรวะ!?" ทรอยหลุดปากเมื่อเขาสะดุ้งตื่นและพบว่าตัวเองมาอยู่ในตรอกแคบมืดสนิทแห่งหนึ่ง เขาแน่ใจว่าเมื่อครู่เขาทำอะไรอยู่ แล้วเรามาอยู่ที่ไหนวะเนี่ย? เขาถามตัวเองเป็นรอบที่สอง เสียงเขาดูจะก้องไปมาอยู่ในหูของตัวเอง

         จากเสียงคล้ายไซเรนรถตำรวจและยานพาหนะทำให้ทรอยคิดว่านี่คงจะเป็นเมืองใหญ่สักแห่ง ที่ปากตรอกมีแสงสว่างลอดออกมาราวปลายอุโมงค์รถไฟ ทรอยที่กำลังจะเดินไปที่แสงนั้นต้องหยุดชะงักเมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงหอบหายใจที่ทำเอาขนลุก

         ที่ปลายทางมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้น จากแสงสว่างทำให้ทรอยเห็นว่าร่างนั้นเป็นผู้ชายในชุดสูทสีขาวผมสีน้ำตาลปรกหน้า แต่ก่อนที่เขาจะได้อะไรชัดขึ้น ชายคนนั้นก็วิ่งตรงมาที่เขาพลางหันหลังกลับไปมอง เสียงหายใจเริ่มกระชั้นชิดและไม่เป็นจังหวะมากขึ้น เขาเร็วมากจนทรอยเบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทัน แต่ชายคนนั้นก็สะดุดล้มลงเมื่อพ้นตัวทรอยไปได้ไม่ไกล

         "นี่---คุณ?!" ทรอยร้องถามพลางรีบเดินเข้าไปหา "ให้ผมช่วย---" แต่ชายคนนั้นกลับมีท่าทางขวัญเสียกว่าเดิม เขาหลุดปากร้องออกมาอย่างหวาดกลัวทั้งๆที่ทรอยไม่ได้ทำอะไรแถมล้มลุกคลุนคลานต่อไปอย่างทุลักทุเล "ใจเย็นนะครับ ผมแค่---"

         "ไป!" ชายประหลาดร้องลั่นโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง ทรอยเริ่มคิดว่าหมอนี่ต้องเป็นคนสติไม่ดีแน่ๆ แล้วเมื่อเขาหันมาก็เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดเสียจนทรอยคิดว่ามันสะท้อนแสงในความมืด ริมฝีปากนั้นบิดเบี้ยวและสั่นระริกขณะที่ดวงตาเป็นประกายภายใต้เรือนผมที่ปรกลงมา "บอกให้ไปไงล่ะเว้ย!"

         "ฟังนะ ผมไม่ได้---" แล้วเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ทรอยจึงค่อยๆหันไป

         มีร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ถึงจะอยู่ไม่ไกลมากแต่ร่างนี้ยืนหันหลังให้แสงจึงยากที่จะบอกว่าเขารูปร่างเป็นอย่างไรเว้นแต่ว่าไหล่ที่กว้างและส่วนสูงที่น่าจะเป็นเงาของผู้ชายมากกว่า ตรงข้ามกับชายชุดขาว ชายในเงานั้นเดินช้าๆอย่างไม่รีบร้อนและมั่นคง ฝีเท้าของเขานั้นก้องไปทั้งตรอกอย่างน่ากลัว แล้วทรอยก็รู้ว่าชายชุดขาวกำลังหนีจากอะไร

         "คุณ---คือว่าผม--" ทรอยพยายามก้าวถอยหลัง แต่เขากลับสะดุดจนล้มก้นกระแทก เวรเอ๊ย  เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่ากำลังถูกเงานั้นยืนค้ำหัวอยู่ ทรอยกลืนน้ำลายขณะที่พยายามกระเถิบออกไปห่างๆ 

         ร่างเงานั้นดูเหมือนจะหยิบเอาอะไรออกมาจากเสื้อ มันเป็นลูกบอลขนาดเท่าแอปเปิ้ลสีขาวเงินที่ดูจะมีแสงสว่างจางๆในตัวเอง

         "ไม่!" ทรอยได้ยินเสียงสะอื้นมาจากด้านหลัง ชายลึกลับนั้นดูเหมือนจะพยายามจะควานหาหรือคว้าเอาบางอย่างจากด้านหลัง "...ได้โปรด....อย่า..."

         ลูกบอลสีเงินลอยขึ้นเหนือจากมือของผู้ตามล่าเล็กน้อย แสงสีเขียวเรืองแสงขึ้นมาตรงจุดที่ควรจะเป็นดวงตาซ้่ายของเขา ทรอยคิดว่าควรจะจะร้องขอความช่วยเหลือแต่ร่างกายเขากลับทำอะไรไม่ถูก

         เขารู้สึกหวาดกลัวแทนชายชุดขาวแต่สิ่งที่เขาทำก็คือกระเถิบหนีให้พ้นทางจนตัวเขาลีบกับกำแพง "ผม---ผม---ไม่นะ--" 

         "ขอร้องล่ะ!" ชายชุดขาวร้องอย่างอับจน นี่เป็นฝัน เขาไม่ได้พูดกับเรา เราช่วยเขาไม่ได้----เราทำอะไรไม่ได้ "ใครก็ได้!" ไม่ มันเป็นแค่ความฝัน

         ชายที่ถือลูกบอลก้าวไปหาเหยื่อของเขาช้าๆ แสงสีเขียวนั้นวาวโรจน์ในความมืดราวกับดวงตาสัตว์ร้าย ถึงแม้จะมืดจนไม่เห็นหน้า แต่ทรอยมั่นใจว่าชายคนนั้นกำลังยิ้มที่มุมปาก

         "อย่าาาาาา!"

         แล้วทรอยก็เงยหน้าขึ้น ฟิกเกอร์อีวานเกเลี่ยนบนโต๊ะเกือบหล่นแต่โชคดีที่เขามือไวพอ หน้าผากที่ซบกับท่อนแขนเหนียวเหนอะด้วยเหงื่อ เขาแทบจะเห็นใบหน้าของตัวเองสะท้อนบนจอแล็ปท็อป ปากเขาอ้าเล็กน้อยขณะที่ตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงจนเขารู้สึกถึงบริเวณด้านในหู ส่วนหูฟังของเขาเลื่อนหลุดไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ 

         อะไรวะ? เขาถามตัวเองอีกครั้ง แต่มีเพียงความเงียบที่เป็นคำตอบ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×