ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Manifold Flashpoint จุดประกายหายนะ

    ลำดับตอนที่ #13 : [อลิสแตร์] บทที่ 12 - บอบช้ำ

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 60


    Bleed


         สรุปแล้ว นายแว่นดำที่มารับตัวเขาไปนั้นชื่อว่า “ลินช์” 

         คนอื่นๆ ทั้งหมอ,จ่าวินเทอร์สกับหัวหน้าของเขาต่างแยกตัวไปอีกทาง ตำรวจทั้งสองอ้างว่ามีธุระที่ต้องสะสางเนื่องจากวินเทอร์สต้องพูดคุยกับอธิบดีกรมตำรวจเป็นการส่วนตัว ส่วนอัลต้องไปกับลินช์ ซึ่งอีกฝ่ายสัญญาว่าเรื่องทุกอย่างจะจบภายในวันนี้ แล้วจะไม่มารบกวนอัลหรือโซเฟียอีก

         “ผมถามอะไรอย่างนึงได้มั้ย?” อัลถามขณะที่ทั้งคู่ลงลิพต์

         “ว่ามาเลยครับ”

         “เรื่องที่คุณเรียกผมมันใช่เรื่องที่ผมกับจ่าวินเทอร์สเจอกับคนที่ไฟลุกขึ้นมาเองขึ้นเปล่า”

         “เรื่องนั้นเหรอครับ” อัลคิดว่าเขาเห็นใบหน้าลินช์กระตุกเล็กน้อยแต่ทำเป็นไม่เห็น “จริงๆแล้วมันอธิบายยากทีเดียว เอาเป็นว่าหลังจากโศกนาฏกรรมเมื่อไม่นานนี้ เราเชื่อว่าทั้งสองเรื่องมันเชื่อมโยงกัน”

         “ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่า?

         “มันเป็นการคาดเดาล้วนๆ พูดตามตรงคือผมก็แปลกใจที่พวกผู้ใหญ่แบบนี้ แต่ผมเป็นแค่คนทำตามคำสั่ง” ลินช์พูด “แต่ความเกี่ยวข้องของคุณมันค่อนข้าง….บังเอิญ และนั่นเป็นเหตุผลหลักที่เราต้องการคุณ เพื่อที่อะไรๆมันจะได้กระจ่างขึ้นมาหน่อยเพราะพักนี้หลายๆอย่างไม่ค่อยจะเหมือนกับที่เราคาดไว้”

         “ก็ได้ แล้วคุณจะรู้ว่าผมน่ะแค่อยู่ผิดที่ผิดเวลาเท่านั้น”

         “เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน” ประตูลิฟต์เปิดออกสู่ทางเดินชั้นใต้ดิน ลินช์ก้าวมาข้างหน้า “รถอยู่ทางนี้ ตามผมมา”

         ลินช์นำเขาไปยังที่จอดรถชั้นใต้ดิน มีรถ BMW สีดำจอดรอเขาอยู่ อัลไม่รู้ว่ามีคนอยู่ในรถเจอกระทั่งเขาเปิดประตูทางด้านซ้าย มีสามคนในรถ คนขับผมสีทองสั้นเกรียน ชายผิวสีนั่งข้างคนขับ แล้วก็คนนั่งอยู่เบาะทางขวาสุดผมสีน้ำตาลเรียบแปล้ ทุกคนสวมชุดสูทสีดำหมด

         นี่เราสำคัญขนาดนี้เลยเหรอ?

         “คุณก่อน เชิญเลยครับ” ลินช์ผายมือ อัลไม่มีทางเลือกนอกจากทำตาม แน่นอนว่าลินช์ตามเข้ามานั่งประกบเขา ก่อนรถจะออก

         “จะพาผมไปไหน?

         “ที่ๆเราจะได้คุยกันสะดวกๆ”

         ……โอเค

         รถคันนี้เสียงเบามาก เขาแทบจะไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์หรือรู้สึกว่ารถสั่นเมื่อเครื่องยนต์ทำงาน ภายในรถสว่างมากขึ้นเมื่อออกจากลานจอดรถ เขาสังเกตว่ารถบนถนนว่างลงพอสมควร

         พักใหญ่ที่ไม่มีใครพูดอะไรเลย เหล่าสุภาพบุรุษสายลับต่างจ้องมองไปข้างหน้าเหมือนไม่ได้รับรู้ว่ามีผู้ชายหัวแดงตัวผอมที่กำลังสับสนอยู่ในรถด้วย อัลเหลือบมองคนแล้วคนเล่า ก็ไม่มีใครสนใจหรือพูดอะไรขึ้นมา มีแค่เสียงเพลงคลาสสิคที่เปิดคลอๆไว้

         เขากระแอมเสียงดัง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

         นี่มันอะไรวะ อัลถามตัวเอง จิตวิทยาสายลับงั้นเหรอ

         ความคิดที่ว่ากำลังถูกทดสอบหรือเล่นเกมด้วยทำให้อัลไม่สบายใจมาก ลินช์ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเขาอีกเลยตั้งแต่ขึ้นรถมา ไอ้หมอนี่ลากเขามาจากโซเฟียเพื่อมานั่งตากแอร์รถแล้วก็เล่นเกมห้ามพูดก่อน ซึ่งอัลก็ไม่รู้ว่าพวกนี้ต้องการอะไร จะพาเขาไปที่ไหน แต่คิดดูอีกที นี่อาจเป็นพวกลิ่วล้อที่ส่งมาตัวเขา ไม่ได้รับคำสั่งให้พูดคุยด้วย ซึ่งก็เป็นไปได้ แต่อัลจำไม่ได้ว่าเขาไปทำอะไรหรือตอนไหน เขาถึงได้กลายเป็นบุคคล VIP ของหน่วยสืบราชการลับของรัฐบาล ถ้าจะเป็นเรื่องไฟสีฟ้านั่นก็ไม่ต้องถึงกับส่งเจ้าหน้าที่ถึง 5 คนมาก็ได้

         ที่แน่ๆ เขาไม่คิดว่าตัวเองถูกปองร้าย มันฟังดูบ้าเกินไป

         เยี่ยมมาก อัล เขาคิด คราวนี้แกเอาตัวเองไปเจอกับอะไรอีกล่ะทีนี้

         แต่เมื่อมองไปที่กระจกหลัง อัลมองเห็นตาของสายลับผิวสีที่คอยหันมามองเขาตลอด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรซึ่งนั่นทำให้เขาอึดอัดยิ่งกว่าเดิม แต่ก็พยายามปิดปังเอาไว้ อัลคิดว่าเขาใจเย็นพอที่จะรับมือกับสงครามจิตวิทยาบ้าๆนี่ได้

         เอาสิ ดูซิว่าใครจะหลุดก่อนกัน

         ไม่กี่อึดใจ ลินช์ก็ยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ก่อนจะทำลายความเงียบในที่สุด

         “ยอมรับว่าประสาทคุณแข็งมาก” เขาหันมา ทำให้อัลมองเห็นหน้าตัวเองในเลนส์แว่นอีกครั้ง “ขอโทษจริงๆที่ทำให้รอ”

         “ไม่เป็นไรครับ” หวังว่าไอ้แว่นดำนี่จะรู้ว่าเขาประชด

         “คุณรู้สึกยังไง?” ลินช์พูดด้วยรอยยิ้มน่าเกลียด “ภูมิใจในตัวเอง? ตื่นเต้น? หรือว่ากำลังต้องการความท้าทายใหม่ๆ”

         ขอโทษครับพูดบ้าอะไรของแก? “ผมไม่เข้าใจ คุณกำลังพูดถึงอะไร?

         “ผมนึกว่าพวกเรา” ลินช์บุ้ยใบ้ไปทางพรรคพวกสายลับคนอื่นๆ “กับพวกของคุณน่ะ…..รู้ใต๋กันหมดไส้หมดพุงแล้วซะอีก ไม่มีเหตุผลที่ต้องเล่นละครกันแล้ว”

         “คุณว่าไงนะ?” อัลขมวดคิ้ว

         ลินช์ถอนหายใจเป็นเชิงประชด “ไม่เอาน่า ไม่รู้จริงๆเหรอว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่?

         “โอเค ฟังนะ” อัลเริ่มจะไม่ตลกด้วย “มีระเบิดกลางเมือง คนตายเป็นเบือซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเพื่อนสนิทผมเอง แฟนผมคนที่ผมกำลังเฝ้าอยู่ เธอบาดเจ็บ ซึ่งจริงๆด้วยผมควรจะอยู่กับเธอ แต่ผมไม่ เพราะอะไรรู้มั้ย? คุณเรียกผมมานี่แล้วก็ไม่ได้บอกอะไรอีก ช่วยบอกผมทีซิว่าผมกำลังทำอะไรอยู่?

         รอยยิ้มของลินช์ดูบิดเบี้ยวและน่าเกลียดกว่าเดิม “คุณนี่เก่งนะ”

         “ขอบใจ” อัลประชดเป็นรอบที่สอง เขาเริ่มไม่สนแล้วว่าไอ้หมอนี่จะเป็นใคร “คราวนี้คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าต้องการอะไรจากผม”

         “ก็ได้” รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าโง่ๆของลินช์ “….ก็ได้”

         สายลับล้วงเอาอะไรบางอย่างออกมาจากเสื้อ เป็นตลับแบนๆสีขาวเงินอันหนึ่ง เมื่อเขาเปิดตลับออก เผยให้เห็นสิ่งที่ดูเหมือนเลนส์กลมๆเป็นมัน เครื่องฉายภาพแบบมือนี่เอง อัลรู้แค่ว่ามีใช้แค่ในกองทัพเท่านั้น

         “เริ่มจากคำถามง่ายๆก็แล้วกัน” ลินช์พูด ก่อนกดฉาย ซึ่งภาพสีปรากฏเป็นภาพสามมิติสีฟ้าแสดงรายละเอียดตั้งแต่ส่วนอกขึ้นไปของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาประมวลผลไม่นานจึงแสดงภาพที่สมบูรณ์ออกมา

         “คุณจำชายคนนี้ได้มั้ย?

         อัลหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะที่มองดูโฮโลแกรมพลางทวนความจำ มันเป็นภาพของชายคนหนึ่ง จากริ้วรอยแล้วจะน่าอยู่ในช่วงวัยกลางคน รูปร่างค่อนข้างท้วม ใบหน้าเกลี้ยงไร้หนวดเครา ทรงผมค่อนข้างภูมิฐาน อัลรู้สึกคุ้นหน้าชายคนนี้ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน เขามองอยู่นานจนกระทั่งความทรงจำแล่นเข้ามาในหัว

         อัลเคยเจอผู้ชายคนนี้ ในสภาพเลือดท่วมตัวและกำลังจะตาย ก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นลูกไฟสีฟ้าขนาดใหญ่

         “ใช่” อัลตอบ “แน่นอนว่าผมจำได้ เพราะนี่ไม่ใช่เหรอ พวกคุณถึงตามตัวผม”

         “เยี่ยมเลย พูดอีกก็ถูกอีก” ลินช์ปิดตลับโฮโลแกรม “อย่างน้อยความจำคุณก็ยังทำงานได้ปกติ ผู้ชายคนนี้เป็น...คนของเรา ซึ่งเราเรียกเขาว่า "ไซเฟอร์" ก่อนตายเขาบอกอะไรคุณมั้ย?

         “ไม่….เขาไม่ได้พูดอะไรกับผม คราวนี้จะบอกผมได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น?

         “ไม่เหรอ?…ค่อยโล่งใจหน่อย” ลินช์พูดขึ้นหลังจ้องหน้าของอยู่นาน “เห็นได้ชัดว่ามีใครพยายามตัดกำลังพวกเรา แล้วเราก็กำลังหาตัวว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลัง ใครที่กล้าเล่นงานคนของเรา ซึ่งเพราะคุณแท้ๆ งานนี้เลยง่ายกว่าที่คิด”

         “ผมต้องรู้สึกเป็นเกียรติมั้ย?

         คราวนี้ทั้งรถหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่ชวนให้รู้สึกตลกหรือมีอารมณ์ร่วม ไม่มีความขบขันอยู่ในน้ำเสียงของพวกนี้เลย

         “คุณนี่ตลกได้ไม่เลิกนะ ผมยกให้เลย” รอยยิ้มน่าเกลียดของลินช์กลับมาอีก ซึ่งดูเย็นชาขึ้นกว่าเดิมภายใต้แว่นดำนั่น “เดาว่าคุณยังตื่นเต้นกับชัยชนะครั้งล่าสุดอยู่สินะ”

         “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร” อัลตอบเสียงเรียบๆ จ้องเข้าไปในดวงตาหลังแว่นดำอย่างไม่ยอมจำนน เขาเล่นมาพอแล้ว คราวนี้ทั้งคนขับทั้งคนนั่งข้างมองกระจกหลัง สายตาของพวกนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เป็นมิตร แต่ลินช์ยังคงยิ้มอยู่

         “ผมจะบอกอะไรให้นะ” ลินช์พูดเสียงเย็น “ไม่มีใครแหยมกับผมแล้วมาตีหน้าเซ่อได้หรอก”

         ให้ตายเถอะเว้ย “งั้นก็บอกมาซิว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร ให้ตายสิ”

         พูดได้แค่นั้น อัลก็หายใจไม่ออกและถูกกดลงไปด้านหลัง มือของใครซักคนที่แข็งเหมือนโลหะกำรอบคอเขาไว้ ตาทั้งสองข้างเบิกโพลงด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าจะโดนเล่นไม้นี้ เขาดิ้นสุดแรงและเตะเท้าอย่างเอาเป็นเอาตายแต่ดูเหมือนลินช์จะไม่สนใจ

         “เป็นไรไป ไม่เก่งแล้วเหรอ” ตอนนี้สายตาเขาเริ่มพร่ามัวแล้ว ฝอยน้ำลายกระเด็นออกมาจากการดิ้นรนและพยายามด่าไอ้ลูกหมาตรงหน้าด้วยคำที่เจ็บที่สุดเท่าที่จะนึกได้ “แน่มากนะ ที่เดินลอยชายตัวเปล่าๆ เข้ามาหาพวกเรา มั่นใจมากหรือไงว่าพอแกเก็บไซเฟอร์ได้แล้วจะจัดการฉันได้ ไอ้มนุษย์หน้าโง่”

         ใครวะ? คำพูดของอัลจุกอยู่ในลำคอ ตอนนี้เขาเริ่มหมดแรงแล้ว ตอนนี้ลินช์กลายเป็นแค่เงามืดๆ คำพูดเยาะเย้ยเหมือนลอยมาจากก้นหลุมลึก

         โซเฟีย ผม….ผมขอโทษ……

         ก่อนเขาจะสั่งลาจบ อากาศก็เทเข้ามาในปอดอีกครั้งพร้อมกับความเจ็บปวดที่คอลดลง อัลหอบหายใจอย่างเอาเป็นเอาตายแต่มือที่บีบคอเขาไว้แค่คลายลงเท่าให้ สายตาหรือการได้ยินเขาเริ่มกลับมาที่ละน้อย

         “ถ้าคิดว่าเราจะบีบคอแกให้ตายไปเฉยๆน่ะ คิดใหม่ได้เลย” ใบหน้าลินช์บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ “แกทำไว้แสบมากนะ ไอ้ตัวยุ่ง เล่นเอาพวกเราหัวปั่นไปทั้งสัปดาห์”

         “ฉันไปทำอะไรตอนไหนวะ” เขาพยายามแกะมือที่กำรอบคอ แต่สายลับอีกคนที่อยู่ทางขวาไม่ปล่อยเขาง่ายๆ จริงๆแล้ว อัลไม่คิดว่าไอ้พวกนี้เป็นคนของรัฐบาลอีกต่อไปแล้ว “พวกแกเป็นใคร?

         “อย่ามาทำไก๋!” ลินช์ตะคอก อัลคิดว่าตัวเองคงตาฝาดเพราะมีประกายสีแดงๆปรากฏหลังแว่นดำ “เลิกกวนส้นแล้วบอกมาใครส่งแกมา”

         เวรเอ๊ย พูดไม่เรื่องหรือไงวะ เขาคิดแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะเห็นได้ชัดว่าพวกนี้มันบ้า ยังไม่นับที่หนึ่งในนั้นกำคอเขาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน แล้วอัลต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเขาโดนบีบคอเข้าอีกที เท้าของเขาถีบเบาะหน้ารัวๆ ขณะที่มือทั้งสองพยายามคว้าใบหน้าของไอ้สารเลวที่กำลังจะฆ่าเขา

         “จะบอกอะไรให้นะ” เสียงของลินช์ล่องลอยมา “ที่แกทำไปมันก็แค่ซื้อเวลาเท่านั้นแหละ ดูที่เกิดขึ้นกับเมืองนี้สิ แล้วมันจะเกิดขึ้นกับทั้งโลกนี้ พอถึงตอนนั้น ต่อให้มีพวกแกกี่คนก็หยุดเราไม่ได้หรอก ดีใจไว้ซะที่แกช่วยยืดเวลาของเพื่อนมนุษย์ชั้นต่ำไว้ แต่จำใส่สมองของแกไว้เลย นี่มันแค่งานตัดริบบิ้นเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่โชว์ของจริงมาเมื่อไหร่….จะไม่มีหน้าไหนช่วยแกได้ ทุกอย่างที่แกเห็น….ทุกอย่างที่แกรู้จัก….มันจะตกไปอยู่กับคนที่คู่ควรกับมัน แล้วที่แกจะทำได้ก็แค่ขอความเมตตาเท่านั้น”

         เขาไม่รู้เรื่องซักนิดว่าไอ้เวรนี่กำลังพล่ามเรื่องอะไร การถูกบีบคอไม่ได้ช่วยให้สมองเขาทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นเลย อัลเริ่มสำลัก มือไม้อ่อนลงอีกครั้ง แต่ก่อนที่เขาจะแย่ลง มือที่รอบคอก็ปล่อยออก แต่อัลหมดแรงเกินกว่าจะทำอะไรนอกจากหายใจเอาอากาศแล้วก็นวดคอ

         “ฉันไม่รู้นะว่าแกทำยังไงถึงจัดการไซเฟอร์ได้หรือมันปากโป้งบอกอะไรแกไปบ้าง แต่ไม่สำคัญแล้วตอนนี้” ลินช์ยังพล่ามไม่เลิกแล้วก็ดูสภาพแกสิ…”

         “ฉันเป็นแค่นักข่าวเว้ย ไอ้ระยำ..” อัลสำลัก “ฉันไม่รู้จักไซฟงไซเฟอร์อะไรทั้งนั้--

         เขาทันได้เห็นแค่ตอนที่กำปั้นของลินช์เข้ามาใกล้ๆหน้าของเขาเท่านั้น หน้าของอัลสะบัดเหมือนถูกฟาด ความเจ็บปวดแผ่จากกลางใบหน้าออกไปตามร่างกาย ความรู้สึกเหมือนของเหลวไหลออกมาจากจมูกมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด ก่อนที่อีกหมัดจะอัดเข้ามาครั้งซึ่งคราวนี้ปากของเขาได้รสเลือดเต็มๆ

         ไอ้ลูกหมา…..ให้ตายเถอะ….เจ็บชิบเป๋ง….

         “ยังตอแหลไม่เลิก....ไหนดูซิว่าแกแน่แค่ไหน” อัลได้ยินลินช์พูดขณะที่หน้าเขายังเต้นตุบๆด้วยความเจ็บปวด สายตาของเขายังพอมองเห็นภาพตรงหน้า กำปั้นของลินช์มีเลือดของเขาเปื้อนอยู่ ไอ้สารเลวมองหน้าเขาสลับกับเลือดบนมืออย่างป่าเถื่อน ก่อนที่มันจะเลียเอาเลือดของอัลจากมือตัวเอง

         ไอ้ตัวน่ารังเกียจ….

         ลินช์หลับตาอยู่ซักพัก อัลสาบานว่าเขาตาไม่ได้ฝาดเมื่อเห็นเส้นเลือดปูนโปนที่ลำคอและขยับของไอ้ตัวกินเลือด มันดูผิดธรรมชาติแถมเป็นสีม่วงหน้าเกลียด แต่พอมันลืมตาขึ้นมา เส้นเลือดก็หายไป แทนที่ด้วยสีหน้าตกตะลึง

         “ไม่ใช่!” ลินช์หันไปพูดกับพรรคพวก “ไอ้มนุษย์นี่ไม่ได้จัดการไซเฟอร์ มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราเป็นใคร แต่ทำไมร่องรอยสุดท้ายของไซเฟอร์ชี้มาที่มัน”

         เราโดนหลอกเหรอ?” จู่ๆไอ้คนขับก็โพล่งขึ้นมา “ถ้างั้นผีมือใคร?

         ก็เออสิ ไอ้หน้าโง่เอ๊ย กูไม่รู้เรื่อง

         “ไม่….ไม่ใช่แน่ๆ” ลินช์มองออกไปนอกกระจกอย่างกระวนกระวาน “นี่ไม่น่าจะใช่กับดัก ไม่งั้นไอ้สารเลวอับราฮัมกับพวกของมันคงโผล่มาแล้ว เลือดของไอ้มนุษย์นี่ก็ไม่ได้บอกว่ามันร่วมมือกัน”

         “มันอาจแค่ต้องการให้เราแสดงตัวออกมา” ไอ้คนที่ล็อกตัวเขาไว้พูดบ้าง “หรือว่าจะเป็นพวก

         “อย่ามาเพ้อเจ้อ!” ลินช์ตะคอก ถึงจะใส่แว่นดำแต่อัลคิดว่าหมอเหลือบมองเพดานรถ ก่อนจะหันกลับมาหาอัล

    อัลกลัวหรือเปล่า…..ใช่ เขากลัวว่าต้องมาตายเพราะเรื่องงี่เง่าที่เขาไม่เข้าใจ กลัวว่าเขาจะไม่ได้เห็นพ่อกับแม่หรือแม้กระทั่งโซเฟียอีก แต่ตอนนี้เขาก็โมโหเช่นกัน

         “ไป..ตาย..ซะ..ไอ้” อัลพูดอย่างยากลำบากเพราะเลือดแล้วก็ปากที่ยังเจ็บอยู่ แต่ทุกคำพูดนั้นมาจากใจล้วนๆ แถมยังถุยเลือดใส่หน้าของไอ้สารเลวตรงหน้าเพื่อแสดงความจริงใจ

         ลินช์ถอดแว่นออก ตาของไอ้หมอนี่เป็นสีน้ำตาลไหม้ “แกพูดว่าอะไรนะ ?

         “กูบอกว่าไปตาย....” เขาพูดได้แค่นั้น ก็มีแสงสว่างมาจากหน้ารถ เหมือนมีรถคันใหญ่เปิดไฟสูงเข้ามา แสงสีขาวนั่นกลืนทุกอย่างในสายตาของอัล ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นสีดำ ตามด้วยเสียงกระแทกดังสนั่นและเสียงกระจกแตก ร่างของอัลถูกเขย่าไปมาอย่างควบคุมไม่ได้ หูแทบพังจากเสียงโลหะครูดพื้น

         แต่เขากลับยังมีสติแล้วก็เห็นกระจกที่แตกออกและพื้นถนนเบื้องหน้า อัลไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองว่าพวกเลวนั่นจะเป็นยังไง เขาคลานออกมาเท่าที่แขนทั้งสองข้างจะเร็วได้ เมื่อรู้สึกว่าเขาพ้นออกมาจากซากรถแล้วจึงพยายามลุกขึ้น แต่ความเจ็บปวดที่ขาซ้ายนั้นคาดไม่ถึงจนต้องร้องลั่นและกลับลงไปฟุบกับพื้นอีกครั้ง อัลหอบหายใจอย่างทรมานขณะที่ความเจ็บปวดจากขาซ้ายแล่นตรงเข้าสมอง สายตาถึงกับพร่ามัวไปชั่วขณะ

         เยี่ยม ขาดันมาหักอีก เขาคิดอย่างขมขื่น ความรู้สึกเปียกๆที่หน้านั้นคงมาจากทั้งเลือดทั้งเหงื่อ หัวเขาคงแตกแน่ๆ เมื่อถ่มเลือดออกจากปากก็เห็นฟันซี่หนึ่งออกมาด้วย ส่วนโทรศัพท์ก็พบว่ามันพังไปเรียบร้อยจึงทำได้แค่โยนอดีตโทรศัพท์ที่ตอนนี้เป็นแค่เศษขยะทิ้ง วันนี้มันหายนะชัดๆ 

         อัลข่มความเจ็บปวดเต็มที่ก่อนลากตัวเองออกห่างจากรถ พยายามมองรอบๆเพื่อดูว่าเขาอยู่ที่ไหน

         ถึงสายตาจะพร่ามัวแต่อัลคิดว่าเขาอยู่ในที่ๆเปลี่ยว ไม่มีคน เพราะมันเงียบเป็นป่าช้า ใกล้ๆมีป้ายที่โดนพ่นสีทับจนอ่านไม่ออก ห่างออกไปอีกมีรถสนิมกินจอดเรียงนับไม่ถ้วน ท้องฟ้าตอนนี้เป็นสีเทาๆทั้งที่ตอนเช้ายังฟ้าเปิด

         ไม่รู้ว่าเขามาที่สุสานรถนี่ได้ยังไง แต่อัลไม่สนใจ เขากำลังมองรอบๆเพื่อหาคนช่วย แล้วเขาก็เห็น

         ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ตรงหน้าเข้าพอดี แต่ก่อนหน้านี้อัลไม่คิดว่ามีใครอยู่ตรงนั้น เขามองไม่เห็นหน้าเธอ แต่เขามองเห็นรูปร่างที่น่าจะเป็นผู้หญิงสวมเสื้อโค้ทสีนำตาล เมื่อเธอเดินมาใกล้ๆเขาเห็นเธอใส่รองเท้าหนังด้วย เธอดูไม่แปลกใจที่เห็นคนแปลกหน้าในสภาพยับเยินกับรถหรูที่กลายเป็นเศษเหล็ก แต่นี่ไม่ใช่เวลามาสงสัย

         “เรียกตำรวจ” เขาพูดอย่างลำบาก “ช่วยผม..

         แล้วอัลก็ได้ยินเสียงโลหะกระแทกพื้น เขาพลิกตัวกลับไปมองอย่างยากลำบาก

         ต้องล้อกันเล่นแน่ๆ

         ลินช์ยืนห่างจากเขาไปไม่กี่หลาโดยด้านหลังเป็นซากรถที่นั่งมากำลังมีไฟลุก ไม่มีรอยขีดข่วนอะไรเลยนอกจากสูทเปื้อนๆกับมือและหน้าที่ยังมีเลือดเขาติดอยู่ ผมสีเข้มที่เคยเป็นทรงโง่ๆตอนนี้หลุดมาปรกหน้าผาก สองตาลุกโชน….ลุกโชนจริงๆ เหมือนไฟสีส้มๆที่เอาไว้แต่งต้นคริสต์มาส

         ไอ้ห่านี่มันเป็นตัวอะไรวะ?

         จู่ๆ คำพูดของลินช์ก็แว็บเข้ามาในหัวเขา ไอ้มนุษย์หน้าโง่

         “วิ่ง” อัลพยายามบอกผู้หญิงคนนั้น แต่ตอนนั้นเองที่ลินช์ดูเหมือนจะเห็นว่าไม่ได้มีแค่อัลที่อยู่ตรงนั้น ความโกรธที่แสดงออกความเป็นความตกใจ ตามด้วยความกลัว พริบตาหนึ่งอัลคิดว่าลินช์กำลังจะก้าวถอยหลัง

         “พอได้แล้ว”

         อัลได้ยินผู้หญิงคนนั้นพูดก่อนที่จะมีเสียงชวนสยดสยอง ศีรษะของลินช์สะบัดไปด้านหนึ่งอย่างเร็วและแรงจนดัง “กร๊อบ!” แล้วร่างของเขาจะล้มลงเมื่อหุ่นชักถูกตัดเชือก อัลคิดว่าเขาเห็นควันจางๆออกมาจากตาและปากของลินช์ตอนที่กระดูกคอเขาหักสะบั้น

         ตอนนั้นเองร่างกายเขาเริ่มไม่ไหวแล้ว อัลล้มลงนอนแผ่กับพื้นแข็งๆ ใบหน้าอันเลือนรางของหญิงสาวที่ช่วยชีวิตเขาไว้เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนที่ความมืดจะปกคลุม

         แต่แล้วอัลก็รู้สึกแสบตาเหมือนมีใครเอาไฟฉายมาส่องหน้าตอนที่กำลังนอน ตามด้วยความรู้สึกหมดแรงและปวดเมื่อยตามตัวเล็กน้อยซึ่งอย่างหลังทำให้อัลมั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่

         อะไรวะ? เขาถามตัวเองขณะที่พยายามลุกขึ้น มือข้างที่ยันตัวขึ้นสัมผัสกับสิ่งที่คล้ายกับผ้านุ่มๆ เมื่อลืมตาขึ้นอัลก็รู้สึกว่าคุ้นกับที่นี่เหลือเกิน

         เขาอยู่บนเตียงสีขาวสะอาดซึ่งใหญ่พอสำหรับสองคน พื้นเป็นลายหินอ่อนสีเทาเข้มตัดกับเพดานสีขาวครีม ถัดจากปลายเตียงมีโทรทัศน์จอเว้ารุ่นเดียวกับที่เขาซื้อมาไว้ที่อพาร์ทเมนท์ ม่านแง้มรับแสงพอให้ห้องสว่าง โต๊ะเครื่องแป้งที่การจัดวางดูเหมือนของโซเฟียมาก แล้วก็หลอดไฟรูปวงรีเหมือนกับที่โซเฟียเป็นคนเลือกมาใส่อพาร์ทเมนท์ พอหันไปหัวเตียงก็เห็นกรอบรูปเล็กๆ ในนั้นมีรูปอัลกับโซเฟียซึ่งมีเมืองโตเกียวยามราตรีเป็นฉากหลัง ในรูปนั้นอัลชูสองนิ้วไว้หลังศีรษะของแฟนสาว ซึ่งเขาชอบทำบ่อยๆตอนถ่ายรูปคู่

         ไม่ใช่แค่คุ้น นี่มันห้องนอนของเขาเองต่างหาก แต่เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

         เมื่อลุกขึ้นจากเตียงได้เขาถึงรู้ว่าเสื้อผ้าที่สวมมีแค่กางเกงขาสั้นตัวเดียว อัลจำได้เขายับเยินแค่ไหนจึงเดินตรงไปที่ห้องน้ำเพื่อส่องกระจกดูความเสียหาย

         “เฮ่ย” เขาจับหน้าตัวเองเหมือนไม่อยากเชื่อหลังเห็นสภาพตัวเองในกระจก ก่อนหน้านี้เขามั่นใจว่าตัวเองจมูกหัก ฟันหักอย่างน้อยหนึ่งซี่ หัวแตกอย่างน้อยหนึ่งแผลหรือถึงขั้นหน้าแหก แต่เงาสะท้อนที่เขาเห็นนั้นครับเป็นใบหน้าที่ไม่มีแม้แต่รอยเท่าแมวข่วน ฟันก็อยู่ครบ จริงอยู่ที่ตอนนี้หน้าเขาซีดเหมือนคนอดนอนแล้วก็ขอบตาค่อนข้างคล้ำ แต่ก็แค่นั้น…..ไม่มีร่องรอยไหนเลยที่จะบอกได้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง

         เดี๋ยวนะ อัลก้มลงมองขาเมื่อนึกได้ว่าตัวเองเพิ่งเดินมา เหมือนเดิม….ไม่มีร่องรอยว่ากระดูกขาซ้ายของเขาเป็นอะไรไป ไม่มีแผล ไม่มีเฝือกหรือผ้าพันอะไรทั้งสิ้น มีแค่ขนหน้าแข้ง แน่นอนว่าเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้กระทั่งตอนเขายกขาขึ้นเพื่อความแน่ใจ

         อัลล้างหน้าหลายรอบจนหนังหน้าแทบหลุดออกมากับฝ่ามือ เขายืนค้ำอ่างล้างหน้าอยู่นานเท่าไหร่นั้นก็ไม่ทราบขณะคำถามระเบิดขึ้นในหัวเขาเหมือนพลุในคืนส่งท้ายปี เกิดอะไรขึ้นหลังเขาหมดสติ? ลินช์ไอ้ลูกไม่มีแม่นั่นมันเป็นตัวอะไรและต้องการอะไรจากเขา? ไซเฟอร์คือใครหรือมีความพิเศษยังไง? และที่สำคัญ ผู้หญิงในเสื้อโค้ทที่เขาเห็นนั้นเป็นใคร?…เธอมาจากไหน?

         เพื่อให้แน่ใจว่าเขายังอยู่ครบสามสิบสอง อัลสำรวจทั้งมือ,ใบหน้า,ท่อนแขน,หน้าอก,ท้อง….ทุกส่วนเท่าที่เขาจะดูได้ แต่แล้วผิวหนังตรงบริเวณหลังก็เย็นขึ้นมากะทันหันจนอัลต้องอุทานออกมาด้วยความรู้สึกเหมือนถูกจี้ด้วยแท่งน้ำแข็ง    

         อัลหันหลังให้กระจกเพื่อจะได้เห็นชัดๆ อัลจำได้ว่าตัวเองไม่เคยสักลายและไม่มีรอยอะไรบนหลังเขามาก่อน แต่ตอนนี้เขากลับเห็นสิ่งที่ดูคล้ายกับรอยสักสีดำรูปดาวห้าแฉกในวงกลมอยู่ที่บริเวณด้านล่างท้ายทอยของเขา ขนาดน่าจะใหญ่กว่าเหรียญสองปอนด์เล็กน้อย เขามองมันอยู่นานเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด แล้วก็เห็นว่าที่เขาเห็นเป็นวงกลมนั่นดูเหมือนเป็นอักขระแปลกๆขนาดจิ๋วที่รวมกันเป็นวงกลมต่างหาก มันคงจะสวยดีถ้ามันอยู่บนแผ่นกระดาษหรือผิวหนังคนอื่น อักขระพวกนั้นดูค่อนข้างประณีตที่เดียว

         อะไรวะนั่น…. เขากลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ

         อัลต้องหาอะไรดื่มซักหน่อย ถ้าเป็นของแรงๆหน่อยจะดีมาก

         เขาเดินออกไปจากห้องน้ำ มือยังลูบตรงที่เป็นรอยสักเมื่อกับว่าหนังตรงนั้นจะหลุดออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ ในตู้เย็นนั้นมีแค่น้ำผลไม้,โยเกิร์ต,นมแล้วก็น้ำอัดลมกระป๋องอีกเล็กน้อยซึ่งอัลลืมไปแล้วว่าซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาค้นตู้เย็นจนรู้สึกหนาวเพราะสวมแค่กางเกงตัวเดียว ในที่สุดเขาก็จนสิ่งที่มองหาก่อนจะปิดตู้เย็น

         เสียงกระป๋องเบียร์เปิดนั้นเหมือนจะทำให้เขาตื่นตัวขึ้นมาบ้าง แต่จังหวะที่อัลกำลังยกเบียร์ขึ้นจรดปาก เขาก็ดันเหลือบไปเห็นแสงแดงๆจากโทรศัพท์อัตโนมัติที่วางอยู่อีกมุม

         “คุณมีข้อความหนึ่งข้อความ” เขาเห็นเลขหนึ่งสีแดงอยู่บนหน้าจอแสดง เขาจึงกดฟังข้อความพลางยกเบียร์ดื่มอึกแรก

         “อัล” โซเฟียนั่นเอง “นี่ฉันเองนะ ฉันพยายามโทรหาคุณแต่ว่าติดต่อคุณไม่ได้เลยตั้งแต่คุณออกจากโรงพยาบาลไป….คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? ถ้าเกิดคุณกลับถึงบ้านแล้วได้ยินข้อความนี้ก็ให้โทรกลับด้วย….ฉัน

         ไม่ต้องคิดซ้ำสอง อัลวางกระป๋องเบียร์ลงก่อนยกหูโทรศัพท์ขึ้นก่อนกดเบอร์ลงไป ไม่นานเธอก็รับสาย

         “โซเฟีย” เขากระแอมเมื่อได้ยินว่าตัวเองเสียงแหบแค่ไหน “นี่ผมเองนะ”

         “อัล? ขอบคุณพระเจ้าคุณหายไปไหนมา” เสียงของเธอเหมือนเสียงสวรรค์ อัลยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้าเมื่อเขาได้ยินโซเฟียตอบกลับ

         “พอดีผม….ผม” เขาลูบผิวตรงรอยสัก “ผมพวกนั้นเขาไม่ให้ผมติดต่อใครน่ะ แล้วก็…..โทรศัพท์ผมหายขอโทษจริงๆ ผมน่าจะรีบติดต่อคุณหลังเรื่องจบ”

         “ฉันเป็นห่วงแทบแย่” เขาได้ยินเธอถอนหายใจ “คุณรู้มั้ยว่าตั้งสองวันที่คุณหายไปเฉยๆ ฉันโทรหาดไวท์ เพื่อนคุณที่ออฟฟิศก็บอกว่าไม่เห็นคุณเข้ามาทำงาน ใครก็ติดต่อคุณไม่ได้ แล้วคุณทำยังไงให้โทรศัพท์หายล่ะ?

         ว่าไงนะ สองวัน?

         ผมหายไปสองวันเหรอ?” เขาถามอย่างไม่เชื่อ กำหูโทรศัพท์แน่นจนรู้สึกลื่นๆจากเหงื่อที่ฝ่ามือ

         “ใช่…..ทำไมเหรอ?”

         เปล่า…”

         อัล?”

         คือ--พวกนั้นสอบผมซะเข้มเลย ตอนนี้ผมต้องการพักผ่อน….มากด้วยอัลพยายามไม่นึกถึงเรื่องบนรถหรือตอนที่ลินช์ตาลุกวาวเป็นสัตว์ประหลาด “ไว้พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปหาคุณนะ เตรียมที่วางให้ดอกไม้ช่อโตๆเลย---ผมขอโทษนะที่คุยนานกว่านี้ไม่ได้….ผมเหนื่อยจริงๆ”

         “…..ถ้างั้นช่วงนี้คุณดูแลตัวเองด้วยนะ” โซเฟียพูด “ฉันรักคุณ”

         “ผมก็รักคุณ”

         แล้วเธอก็วางสายไป อัลจึงลากตัวเองไปทีโซฟารับแขกตัวที่สบายที่สุด พยายามทำให้ตัวเองหายหมดแรง เพราะเขามีคำถามที่ต้องไปหาคำตอบ……หลายคำถามซะด้วย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×