ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Manifold Flashpoint จุดประกายหายนะ

    ลำดับตอนที่ #12 : [อลิสแตร์] บทที่ 11 - หลังฝุ่นจาง

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 60


    Aftershock


         อัลเกลียดงานศพ

         ท้องฟ้าสดใส ไม่มีเมฆ เหมาะแก่การพาลูกหลานออกมาข้างนอก เล่นจานร่อนกับหมา หรือหาอะไรทานกับคนรัก แต่เขากลับสวมสูทสีดำ ยืนไว้อาลัยแก่ผู้ที่จากไป

         ไม่ใช่แค่เขา ทั้งเกาะกำลังไว้ทุกข์ การสูญเสียครั้งนี้กระทันหันเกินไป รอบๆตัวเขามีทั้งคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาในออฟฟิศ ทั้งผู้ประกาศ ช่างภาพทั้งสังกัด TBC และตากล้องอิสระ แล้วก็หลายๆคนที่อัลเคยเห็นหน้าในทีวีแต่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว ภรรยาและลูกชายวัยรุ่นของทอมมี่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด ทั้งคู่คุยกับอัลสองสามคำถามเมื่อรู้ว่าเขาเป็นคนคุยกับทอมมี่เป็นคนสุดท้ายก่อนเขาจะโดนระเบิด จากนั้นอัลจึงปล่อยให้เป็นเรื่องคนในครอบครัวได้ปลอบใจกัน

         “แฟนแกเป็นยังไงบ้าง” ดไวท์จากทีมข่าวกีฬายืนอยู่ข้างๆถาม

         “ก็เพิ่งฟื้นได้ไม่กี่วัน ขอบใจที่ถาม” เขาตอบเสียงเบา “มีแผลใหญ่ตรงขา อีกหน่อยคงหาย แล้วแกล่ะ มีคนที่รู้จักเป็นอะไรบ้างมั้ย?

         “พี่ฉันบอกว่าจะพาเด็กๆไปเดินเล่นแถวสวนไฮด์พาร์ค” ดไวท์ถอนหายใจ “ได้ยินว่ามีระเบิดใกล้ๆน่ะตกใจแทบแย่ โทรไปอีกทีถึงได้รู้ แม่พี่เขยฉันที่เคมบริดจ์ไม่ค่อยสบาย เลยพาหลานๆออกไปเยี่ยม สรุปแล้วไม่มีใครเป็นอะไร แค่ช็อกหน่อยๆ”

         “โล่งใจล่ะสิ”

         “เออ ก็หลานฉันน่ารักทั้งนั้นนี่หว่า ยังไงก็ขอให้แฟนแกหายไวๆละกัน”

         “ขอบใจพวก” อัลพยักหน้า

         ไม่มีใครพูดอะไรอีกเมื่อพิธีเริ่ม มีเสียงสะอื้นเบาๆมาจากด้านหน้า บนพื้นนั้นเป็นหญ้าสีเขียวสดดูมีชีวิตชีวา ขณะที่ใต้ผืนหญ้านี้มีร่างไร้ชีวิตของใครหลายคนฝังอยู่และทอมมี่กำลังจะเป็นหนึ่งในนั้น

         ใครจะไปคิดว่าความคิดสุดท้ายเกี่ยวกับเพื่อนและหัวหน้าของเขา จะเป็นเรื่องที่อัลเรียกทอมมี่เป็นหัวหน้าเฮงซวยที่ทำให้เขาไม่ได้พักผ่อนหรือคิดเรื่องบันเทิงสมอง อัลแอบนึกสงสัยเล็กๆว่าเขาจะรู้สึกยังไงถ้าคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดกับทอมมี่จะเป็นคำด่าหรือตำหนิ

         อย่างไรก็ตาม ระหว่างเขากับทอมมี่นั้นมันเป็นการบอกลาที่ห่วยแตกสิ้นดีสำหรับคนที่เรียกกันว่าเพื่อน แต่ชีวิตมันต้องเดินต่อไป

         เมื่อๆเหล่าญาติทยอยกันจากไปหลังจากไว้อาลัยเรียบร้อยแล้ว อัลจึงเดินเข้าไปหาหลุมศพเพื่อล่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย

         โธมัส คาร์ลตัน พาร์ค

         2001-2046

         ชั่วขณะหนึ่งที่อัลนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี เขาเกลียดงานศพ เขาคิดคำอำลาไม่เก่ง

         เอาล่ะ ขอพูดกับแกเหมือนตอนที่แกยังมีชีวิตก็แล้วกัน

         ถึงแกจะเป็นหัวหน้าที่ห่วยแตก แต่แกเป็นเพื่อนที่เจ๋งมากว่ะเขารู้ดีว่าทอมมี่คงไม่มีทางได้ยิน ขอให้ไปสู่สุขคตินะพวก

         ขณะที่เดินกลับออกมา อัลไม่คาดคิดว่าสุสานที่มีคนเยอะขนาดนี้ ป้ายหลุมศพใหม่ๆตั้งอยู่กระจัดกระจายบนพื้นหญ้าสีเขียว และทุกๆวันจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนผู้เสียชีวิตที่ยังไม่แน่นอน ระเบิดนั้นทำลายย่านไนท์บริดจ์ไปเกือบทั้งแถบ แถมยังทิ้งหลุมกว้างเกือบ 50 หลา ความลึกนั้นไม่ทราบ ตอนนี้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะหลุมนั่น ร่างผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินหลักล้านปอนด์หายไปในพริบตา พื้นที่โดยเฉพาะโดยเฉพาะแถวสวนสาธารณะนั้นถูกปิดแบบไม่มีกำหนดสำหรับพลเรือน นั่นคือทั้งหมดที่ออกข่าว อัลได้ยินมาว่ารัฐบาลตั้งศูนย์ชั่วคราวขึ้นแถวนั้น

         เขาต้องรอรถโดยสารค่อนข้างนานทีเดียว เพราะเส้นทางเดินรถทั้งบนดินและใต้ดินนั้นเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ทั้งเมืองอยู่ในสภาวะเศร้าสลด หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างเขามีดวงตาบวมแดงทั้งสองข้าง ลูบศีรษะลูกชายตัวเล็กท่าทางไร้เดียงสาอย่างใจลอย เด็กคนนั้นหันมายิ้มให้อัลทำให้เขายิ้มน้อยๆตอบกลับไป แม่เด็กเหมือนไม่สังเกตด้วยซ้ำว่ามีคนนั่งลงข้างๆ

         "ใครก็ตามที่ทำเนี่ย โคตรขี้ขลาดเลยว่ะ" อัลจำได้ว่าได้ยินคนพูดแบบนี้เมื่อตอนเกิดเหตุใหม่ๆ "ชกใต้เข็มขัดชัดๆ ไอ้ลูกหมาพวกนั้นมันต้องหวังเอาชีวิตคนบริสุทธิ์"

         อัลเห็นด้วยอย่างหนึ่ง ไอ้สารเลวที่ทำเรื่องนี้หวังเอาชีวิตคน

         เขาอาจไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายมีอาชีพ แต่ถ้าเขาจะทำอะไรที่จะเขย่าขวัญคนบนเกาะอังกฤษหรือทั้งโลก เขาจะระเบิดสิ่งที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ทิ้งซะเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเขาเอาจริง ซึ่งในลอนดอน ก็มีหลายจุด ไม่ว่าจะหอนาฬิกาองค์ราชินี, รัฐสภา, หรือพระราชวังที่ไหนซักแห่ง

         นอกจากคนตายแล้วยังมีคนเจ็บ เมื่อเขามาถึงที่โรงพยาบาล ที่นี่วุ่นวายยิ่งกว่าสถานีรถไฟช่วงเร่งด่วน อัลต้องคอยหลีกทางให้เตียงคนไข้หรือพยาบาล แล้วลิฟต์ตัวที่เขาใช้นั้นต้องหยุดแทบทุกชั้นเพื่อให้คนเข้าออก กว่าจะถึงชั้น 6 ซึ่งเป็นที่หมายของอัล

         ตึกผู้ป่วยชั้น 6 นั้นเงียบกว่าข้างล่างมากทีเดียว แต่เขายังเห็นทั้งหมอ พยาบาลและบุคคลอื่นๆเดินกันไปมาตามทางเดิน

         แล้วอัลก็มาถึงห้องของโซเฟีย วันนี้มีช่อดอกไม้สามสี่ช่อวางอยู่หัวเตียง ม่านที่หน้าต่างถูกกางไว้เพื่อรับแสงของวันฟ้าสดใส

         “ไง” เธอทักเมื่อเขาปิดประตู

         โซเฟียยังดูสวยเหมือนเดิม ถึงตอนนี้เธอเป็นสาวหน้าสดผู้เพิ่งรอดตายมาหมาดๆ ผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำค่อนข้างเป็นระเบียบซึ่งเขาแน่ใจว่าเธอแอบลุกมาหวีผม ใบหน้าของเธอมีแผลเล็กๆสองสามแห่ง ดวงตาสีเทายังน่ามองเช่นเดิม ผ้าพันแผลรอบหน้าผาก แล้วก็แขนทั้งสองข้างที่มีแผลเล็กๆเช่นกัน ต้นขาขวาของเธอโดนทิ่มด้วยเศษเหล็ก เขาจำได้ว่าตอนเธอได้สติเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นเขาแทบจะเต้นรำด้วยความดีใจและการที่ได้ยกภูเขาออกจากอก โซเฟียเองก็เสียขวัญกับเรื่องที่เกิดขึ้น วันแรกเธอไม่ตลกด้วยตอนที่เขาบอกว่าแผลจะทำให้เธอดูเซ็กซี่ แต่ความสุขอยู่ได้ไม่นานเมื่อดไวท์โทรมาบอกว่าพวกกู้ภัยเจอทอมมี่แล้ว ซึ่งที่สิ่งกู้มาได้นั้นคงจะพอทำพิธีฝังศพ บางครอบครัวไม่ได้แม้แต่เศษกระดูกของผู้ตายมาฝังด้วยซ้ำ

         “ฉันเสียใจจริงๆ” เธอบอก “ทอมมี่เป็นเพื่อนคุณมานาน”

         “ถ่ายทอดเชื้อบ้าให้ผมด้วย” อัลถอดเสื้อนอก ก่อนนั่งลงข้างเตียงแฟนสาว “ผมโอเคดี ทอมมี่เป็นเพื่อนผมมานาน สอนอะไรให้ผมเยอะแยะ ถ้าไม่มีเขาป่านนี้ผมอาจต้องไปนั่งเทียนเขียนข่าวซุบซิบดาราก็ได้”

         “แน่ใจนะว่าคุณไม่เป็นอะไรจริงๆ”

         “ก็….” อัลยอมจำนนกับสายตาเจ้าหล่อน “ยังช็อกนิดหน่อยโอเค ไม่นิดหน่อย แต่พอรู้ว่าคุณแค่บาดเจ็บ ผมน่ะโล่งอกขึ้นเยอะ เกือบสติแตกตอนที่ผมได้ยินเรื่องครั้งแรก ผมใจหายเหมือนกันตอนที่รู้ว่าทอมมี่เป็นอะไร”

         “คุณน่ะต้องพักบ้างนะ” โซเฟียยิ้ม แผลเล็กๆทำให้เธอสวยขึ้นอย่างประหลาด “ฉันยังอยู่ตรงนี้ถ้าคุณต้องการ”

         อัลลุกขึ้นจุมพิตที่หน้าผากเธอเบาๆ ก่อนที่เธอขอให้เขาหยิบหนังสือการ์ตูนที่หัวเตียงมาให้ เธอกลายเป็นแฟนคลับของ 'ฟีนอมินอลแมน' หลังจากที่ในห้องมีเพียงหนังสือการ์ตูนให้อ่าน แอบเนิร์ดเหมือนกันแฮะ

         เพื่อนคุณล่ะ เป็นยังไงบ้างเขาแกะหมากฝรั่งรสมินท์โยนเข้าปาก

         ดูเหมือนจะมีแต่ฉันคนเดียวที่เจ็บตัวจนได้นอนโรงบาลโซเฟียตอบโดยที่ไม่ละสายตาไปจากหนังสือการ์ตูน “พอดี กุสตาฟแฟนของเดนิสน่ะ เขาอยู่ตรงนั้นด้วยแล้วก็ห้ามเลือดเป็น ถ้าไม่ได้เขาฉันอาจแย่ก็ได้”

         “เยี่ยม ว่างๆแนะนำให้ผมรู้จักหมอนั่นด้วย เผื่อว่างๆจะได้ชวนไปหาเบียร์ดื่มเป็นการขอบคุณซะหน่อย โดยเฉพาะตอนเรื่องพวกนี้มันสงบลง”

         “ไม่ชวนเขาไปแทงสนุ๊กฯด้วยล่ะ”

         “ไม่เอา” อัลส่ายหน้า “ผมไม่ใจร้ายขนาดนั้น พ่อหนุ่มไวกิ้งได้ร้องให้กลับบ้านแหงๆ”

         “โอเค” เธอตอบเสียงสูง

         “อารมณ์ดีขึ้นเยอะนี่คุณ” เขาหยิบการ์ตูนมาอ่านบ้าง หมอโรงบาลนี้อ่านดูมนัคเคิลด้วยเว้ย “ไม่ได้ห่วงเรื่องแผลเป็นแล้วเหรอ?

         “พอดีฉันถามหมอตอนที่คุณยังไม่เข้ามาน่ะ” โซเฟียลูบผ้าพันแผลที่หน้าผากเบาๆ “หมอบอกว่ามันจะหายไปเองได้โดยไม่ต้องรักษาอะไร ยกเว้นแผลที่ขาต้องใช้เวลาหน่อยถ้าจะให้ไม่มีแผลเป็นเลย ยกเว้นว่าจะใช้วิธีรักษาใหม่ ซึ่งราคามันก็ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่”

         “ผมก็เสียดายเหมือนกันถ้าขาสวยๆมันเกิดมีรอย--

         “ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลย” โซเฟียหันมาหาเขา

         “อาชีพของคุณคือทำตัวสวยๆไม่ใช่เหรอ”

         “อาชีพของฉันมันเป็นศิลปะ อัล” เธอตอบ “รูปร่างหน้าตามันก็ส่วนหนึ่ง เอาเป็นว่าไว้คุยกันใหม่ตอนที่ฉันดีขึ้นกว่านี้นิดหน่อยแล้วกัน”

         “ครับผม” อัลหันไปอ่านการ์ตูนต่อ ซึ่ง 'หมัดทมิฬ ดูมนัคเคิล' กำลังเล่นงานพวกลิ่วล้อหน้าโง่ ก่อนจะโดนซัดโดยคู่ปรับที่ชื่อ 'สตีลแชงค์' วายร้ายแข้งเหล็กที่ชอบทำเสียงแปลกเวลาเตะคน “ยังไงผมก็ชอบคุณอยู่ดี”

         “ฉันลืมถาม เรื่องที่คุณไปสวิสฯน่ะ เป็นยังไงบ้าง”

         เขาหยุดชะงักตอนที่ดูมฟิสต์ต่อยเสยคางใส่เจ้าวายร้ายจนตัวลอย

         “ก็ได้เรื่องนิดหน่อย” อัลเพิ่งจะบอกว่าไม่เป็นไรอยู่เมื่อกี้ แต่ตอนนี้อัลชักไม่แน่ใจ “ผมไปสัมภาษณ์พยานคนหนึ่ง เธอบอกว่าเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นเต็มสองตา ที่เราๆเห็นรายงานใน CNN หรือ BBC น่ะไม่ได้โม้เลย ตัดเนื้อหาบางส่วนออกด้วยซ้ำ ถ้าไม่งั้นโดนด่ากระจายว่านั่งเทียน”

         “คุณเชื่อที่พยานคนนั้นพูดเหรอ?

         “จริงๆแล้ว ผมไม่อยากเชื่อเท่าไหร่” หมากฝรั่งเริ่มจืดแล้ว “แต่ก็ต้องเชื่อ กึ๋นผมบอกว่าเธอไม่ได้โกหก เราโกหกตัวเองไม่ได้นี่”

         “สรุปว่าคนร้ายเป็นนักเล่นกลแบบในข่าวจริงๆเหรอ?” โซเฟียขยับตัวให้อยู่ในท่าสบายๆ “โลกทุกวันนี้มันน่ากลัวเนอะ”

         “คงงั้นแหละ” เขานึกสงสัยว่าถ้าเรื่องมันยังไม่จบ ที่ไหนจะเป็นรายต่อไป อัลกลับไปอ่านการ์ตูนต่อแต่รู้สึกว่าโซเฟียกำลังมองเขาอยู่

         “ถ้าเกิดคุณไม่สบายใจเกี่ยวกับอะไร พูดให้ฉันฟังก็ได้นะ”

         ขอบใจ แต่ผมไม่อยากทำเสียบรรยากาศ มันเป็นงานผม ผมขอรับผิดชอบเอง

         “ตอนนี้ยัง แต่ขอบใจมาก โซเฟีย” อัลเลื่อนหน้าหนังสือต่อไป “ไว้ผมเจออะไรสนุกๆกว่านี้ เดี๋ยวผมมาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน”

         นี่อาจไม่ใช่ช่วงที่หนักหนาที่สุดในชีวิต แต่ช่วงเดือนที่ผ่านมา อัลพบว่าเขาเข้าไปเกี่ยวเนื่องกับเรื่องแปลกๆ แล้วทั้งหมดเป็นเรื่องอัปมงคลหรือใกล้เคียง ตอนแรกเขาตามเรื่องคนถูกไฟสีฟ้าครอกซึ่งเขามาเจอจังๆกับตัวเอง ต่อมาเขารับงานเป็นข่าวสะเทือนขวัญและลงเอยที่อัลต้องมาปวดหัวกับคนที่สั่งให้คนอื่นยิงตัวเองตายได้ แล้วก็มาคราวนี้อีกที่ใกล้ๆบ้านเขานี่เอง เขาคำพูดของนิโคล ปาสคาลได้ เขาเองก็รู้สึกเสียใจแทนครอบครัวของทอมมี่หรือใครก็ตามที่เสียชีวิตในวันนั้น แต่ขณะเดียวกันเขาก็ดีใจสุดๆที่คนรักของเขาไม่เป็นอะไรที่ร้ายแรงถึงชีวิต

         ในหนังสือก็มาถึงตอนที่วายร้ายเจ้าปัญหาโดนพระเอกอย่างดูมนัคเคิลอัดเสียจนเสียความมั่นใจ หมอนั่นตะโกนใส่หน้าฮีโร่ที่กำลังยิ้มสะใจอยู่ว่า “บังเอิญเรอะ? เป็นไปไม่ได้!!!

         บังเอิญจริงๆ เขาก็กำลังคิดแบบนี้อยู่พอดี มื่อรู้สึกว่าตัวการ์ตูนกำลังเล่นกับหัวเขา อัลจึงเลิกอ่านก่อนวางมันกลับที่เดิม คายหมากฝรั่งจืดๆใส่กระดาษห่อ กะว่าจะเอามันไปทิ้ง

         “เดี๋ยวผมขอตัวแปบนึงนะ” อัลลุกขึ้น ก่อนเดินออกไปข้างนอก มองหาตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติแล้วก็ถังขยะ เขาเดินอยู่ซักพักถึงเจอสิ่งที่ต้องการ เขากดซื้อโคล่ามาขวดหนึ่งแบบไม่ต้องคิด ก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง โซเฟียไม่ได้อ่านการ์ตูนแล้ว

         พักนี้เขารู้สึกว่าอารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย อัลดื่มโคล่าเข้าไปอึกใหญ่จนรู้สึกแสบ แต่มันก็มาพร้อมความรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา

         คุณแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร?” โซเฟียถามพลางเลิกคิ้ว

         “ขอผมเถอะ ไม่ได้ดื่มน้ำอัดลมมาเป็นชาติแล้ว” อัลตอบ โซเฟียไม่พูดอะไรต่อแต่เธอพยักหน้า

         รู้ทันตลอด….

         “ถ้าพักนี้ผมทำอะไรให้คุณไม่สบายใจ ผมขอโทษนะ สารภาพว่าช่วงนี้ผมอารมณ์มันขึ้นๆลงๆ” เขาถอนหายใจ วางมือที่ข้างเตียง “งานที่ผมทำบางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแบ่งปันหรือชวนให้สบายใจเท่าไหร่ แต่เอาเป็นผมว่าถ้าผมเหนื่อยหรือท้อจนอยากให้มีคนมากอด อย่าปฏิเสธผมนะ”

         “แล้วฉันเคยทำแบบนั้นเหรอ?” ดวงตาของโซเฟียจ้องเข้าไปในตาของอัล เขารู้สึกว่าเธอกำมือเขาไว้ “อย่าเพิ่งร้องนะ

         อัลหัวเราะเบาๆ “ผมจะพยายาม”

         “แย่จังที่หมอสั่งงดอาหารเครื่องดื่มที่ไม่ใช่ของโรงพยาบาลจัดให้” เธอมองไปที่ขวดโคล่าที่เหลือครึ่งเดียว “ฉันว่าเราทั้งคู่ไมได้ดื่มน้ำอัดลมนานแล้วนะ”

         “ของคุณนานกว่า” อัลเลิกคิ้ว “ลดน้ำหนักไง จำไม่ได้เหรอ”

         “คุณก็….คราวหน้าก็อย่าเอามาดื่มใกล้ๆสิ”

         อัลไม่สนใจ เขายกขวดโคล่าขึ้นมา ขยับปากเป็นคำว่า “ระเบียบวินัย” ซึ่งโซเฟียหันหน้าหนี

         “โอเค โอเค ผมไม่ล้อคุณแล้ว” อัลยกมือเป็นเชิงขอโทษ แต่เขายังไม่จบ “ไว้ออกจากโรงบาลเมื่อไหร่ ผมจะซื้อมาใส่ตู้เย็นเยอะๆเลย อย่าแอบมาเปิดกินตอนดึกๆแล้วกัน”

         “หุบปากไปเลย”

         แต่ก่อนที่อัลจะทันได้พูดอะไรต่อ ก็มีเสียงเคาะประตู

         “เดี๋ยวผมขอตัวนะ”

         เมื่อเปิดประตู เขาก็พบว่ามีคนสี่คนยืนอยู่หน้าประตู คนแรกเป็นหมอหญิงวัยใกล้เคียงกับเขา คนต่อมาเป็นหนุ่มใหญ่สวมสูทสีดำแว่นดำท่าทางภูมิฐาน สองคนที่เหลือแต่งกายด้วยชุดตำรวจ คนหนึ่งศีรษะล้านส่วนอีกคนมีผมสีเข้มตัดสั้น ซึ่งเขาดูคุ้นหน้าตำรวจคนที่ศีรษะไม่ล้าน

         “ห้องนี้แหละค่ะ” หมอพูดกับชายสวมสูท

         “สวัสดีครับ” ตำรวจผมสั้นยื่นมือทักทาย “ผม เจ้าหน้าที่เนวิลล์ วินเทอร์ส คุณคงจำผมได้”

         โอ๊ะโอ....

         อัลเขย่ามือเขาตอบพลางพยายามนึกว่าเขาเคยเจอวินเทอร์สที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า แล้วเขาก็นึกออก ตอนนั้นวินเทอร์สกับอัลพยายามห้ามเลือดชายแปลกหน้าคนหนึ่ง ก่อนที่ร่างของชายคนนั้นจะถูกไฟสีฟ้าเผาจนเหลือแค่เถ้า

         “ครับ” เขามองไปยังคนอื่นๆที่มากับวินเทอร์ส “มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ คุณตำรวจ”

         “ถ้างั้นคุณคือคนที่ช่วยจ่าวินเทอร์สปฐมพยาบาลชายไม่ทราบชื่อคนหนึ่ง ใช่มั้ย” ตำรวจหัวล้านพูด อัลคิดว่านี่คงเป็นผู้บังคับบัญชา “ก่อนจะเกิดเหตุ---ไม่คาดคิดขึ้น”

         อัลลังเลไปพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจว่าโกหกไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

         “ครับ ผมเอง”

         “ก่อนอื่น ผมเสียใจที่ต้องรบกวนเวลาของคุณนะครับ” ตำรวจคนเดิมพูด “แต่เราคิดว่าคุณที่เคยพบกับเหตุการณ์ที่แปลกประหลาด อาจมีข้อมูลที่พอจะช่วยเหลือเราได้ เพราะฉะนั้นผมขอรบกวนเวลาส่วนตัวของคุณซักครู่ หวังว่าคุณจะสะดวกนะครับ”

         นี่ไม่ใช่คำขอ อัลรู้ จ่าวินเทอร์สนั้นมองเขาด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย เห็นได้ชัดว่าทั้งเขาและนายตำรวจคนนี้อยู่ผิดที่ผิดเวลาทั้งคู่

         “ได้ครับ” อัลตอบอย่างเสียไม่ได้ เมื่อเหลือบไปมองด้านในห้อง โซเฟียมีท่าทางสงสัยปนห่วงใย “ประชาชนต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนี่ จริงมั้ย?”

         เกรงว่าจะไม่ใช่แค่ตำรวจนครบาลที่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณนะครับ คุณเทอร์เนอร์ชายสวมสูทที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น อัลขนลุกเมื่อไอ้หมอนี่พูดชื่อเขาออกมา “หน่วยงานที่ใหญ่กว่านี้รับประกันว่าเราจะไม่ทำให้เวลาอันมีค่าของคุณต้องสูญเปล่า”

         SIS เหรอ ? เขาคิดในใจ ซึ่งนั่นไม่ชวนให้สบายใจเอาซะเลย

         ชายสวมสูทนั้นยิ้มที่มุมปากเหมือนอ่านใจเขาได้ ใบหน้าของอัลสะท้อนอยู่ในเลนส์แว่นอย่างไม่น่าดู 

         “ขอเวลาผมสักครู่ได้มั้ย” อัลจ้องกลับไปที่ดวงตาใต้แว่นดำถึงแม้จะมองเห็นแค่เงาสะท้อนของหน้าตัวเอง

         “ครับ โปรดรักษาเวลาด้วย”

         “ขอบคุณ” เขาตอบสั้นๆ ก่อนปิดประตู

         “ฉันเห็นตำรวจ” โซเฟียมีท่าทางสงสัย ซึ่งก็สมควรอยู่ “มีอะไรหรือเปล่า”

         “คืออย่างงี้” เขาหยิบเสื้อนอกจากเก้าอี้มาสวม “ผมดันอยู่ผิดที่ผิดเวลา ไปเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็นเข้า แล้วก็มีตำรวจมาหาถึงที่ แล้วก็เรียกผมไปคุยด้วย คงใช้เวลาไม่นานหรอก” อัลจงใจไม่กล่าวถึงผู้ชายชุดดำ ซึ่งจากประสบการณ์ของเขา พวกนี้เป็นสัญลักษณ์ของความซวยที่รุนแรงยิ่งกว่ากระจกแตกหรือแมวดำ 13 ตัว

         “มันเกี่ยวกับงานที่คุณทำหรือเปล่า ฉันหมายถึง--

         “เปล๊า” อัลตอบเสียงสูง ก่อนหัวเราะในลำคอ “จริงๆ ไม่เกี่ยวเลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรด้วยซ้ำ”

         โซเฟียมองหน้าของอยู่พักหนึ่งอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ ก่อนที่เธอจะพยักหน้า

         “ทำตัวดีๆล่ะ คุณยิ่งไม่ถูกโรคกับสถานีตำรวจ”

         เยี่ยม ไว้จะเล่าให้ฟังตอนคุณหายดีนะ พอหันหลังให้แฟนสาว อัลพ่นลมออกจากปากเบาๆอย่างโล่งใจและพยายามทำตัวให้เป็นปกติก่อนเปิดประตู 

         พวกนั้นยังยืนอยู่ท่าเดิมเหมือนถูกหยุดเวลาไว้ตอนที่ประตูปิด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×