ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Manifold Flashpoint จุดประกายหายนะ

    ลำดับตอนที่ #11 : [อมิเลีย] บทที่ 10 - ซิลเวอร์เมน

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ย. 60


    Silvermane


         เอมี่สาบานได้ว่าลิฟต์ของที่นี่มันช้าที่สุด เธอสาบานได้เลยว่าด้วยเสื้อแจ็กเก็ต กางเกงขายาวแล้วก็รองเท้าผ้าใบที่เธอสวมอยู่ เธอวิ่งขึ้นบันได้ยังจะเร็วกว่าลิฟต์นี่อีก

         สองวันก่อนเธอเห็นข่าวทางทีวีที่ว่ามีเหตุระเบิดที่ซานฟรานซิสโกแล้วจู่ๆเอมี่ก็ติดต่อทรอยไม่ได้ วันต่อมาลุงได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลที่แคลิฟอร์เนีย ว่าตอนนี้ทรอยนอนไม่ได้สติอยู่ แน่นอนว่าคืนนั้นเอมี่แทบไม่ได้หลับ เธอนอนลืมตาในห้องเกือบทั้งคืนเพราะที่จะรอถึงเช้าไวๆ

         พี่รู้ข่าวแล้ว กำลังจะขึ้นเครื่อง แล้วเจอกัน

         คลินท์

         โรงพยาบาลซิลเวอร์เมนห่างจากตัวเมืองซานฟรานซิสโกประมาณครึ่งชั่วโมงถ้านั่งรถ และนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานสุดๆเลย

         “เอมี่” ป้าหันมาคุยด้วย “ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย พี่เค้าไม่เป็นอะไรหรอก เชื่อป้าสิ”

         ป้าโจดี้เป็นคนมองโลกในแง่ดีและยิ้มแย้มเสมอ อาจเป็นเพราะป้าเคยทำงานพยาบาลซึ่งความใจดีเป็นส่วนหนึ่งของวิชาชีพ ป้าเป็นผู้หญิงหน้าตาใจดี ผมสีน้ำตาลอ่อน สวมแว่นตา หุ่นค่อนข้างดีสำหรับหญิงวัยหกสิบต้นๆ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ได้ยินเรื่องทรอย ป้ามักหันมาปลอบใจเอมี่ทุกครั้งที่มีโอกาส ซึ่งเอมี่รู้สึกซาบซึ้งมากแต่ก็ไม่มั่นใจว่าป้ากำลังปลอบเธอหรือปลอบตัวเองกันแน่

         “ค่ะ” เอมี่ตอบสั้นๆ ตามองออกไปนอกกระจกอย่างใจลอย

         ป้ามองเอมี่อยู่พักหนึ่งก่อนที่โทรศัพท์จะดึงความสนใจไป ป้าอ่านข้อความที่ถูกส่งมาก่อนเงยหน้าขึ้นบอกสามี

         “ไซม่อน คลินท์ส่งหมายเลขห้องมาแล้ว เขารอเราอยู่”

         ซิลเวอร์เมนตั้งอยู่ชานเมืองซึ่งเอมี่ไม่แปลกใจเลยเมื่อรถเข้าไปในเขตโรงพยาบาล เพราะที่นี่กว้างสุดๆ การก่อสร้างเป็นแบบย้อนยุคสังเกตได้จากทุกอย่างไม่ได้เป็นกระจก ทางเข้ามีรูปปั้นม้าตัวโตกล้ามเป็นมัดสีขาวเงินเหมือนทำจากโลหะ ตัวอาคารรูปร่างเหมือนสำนักงานรัฐบาลหรืออะไรทำนองนี้มากกว่าจะเป็นโรงพยาบาล จนกระทั่งเข้าไปข้างใน ซึ่งทุกอย่างเป็นสีขาวสะอาดและสีเขียวคล้ายกับโรงพยาบาลที่ซีแอตเติลหรือโรงพยาบาลใหญ่ๆทั่วไป ยกเว้นว่าที่นี่ไม่มีคนเจ็บท่าทางดูแย่ให้เห็น คนไข้ทุกคนดูสะอาดสะอ้าน เตียงคนป่วยนั้นเข็นเองได้โดยอัตโนมัติแต่จะมีหมอหรือพยาบาลคอยเดินตามเตียง เฟอร์นิเจอร์หรือข้าวของทุกอย่างจะค่อนกลมมน ไม่มีเหลี่ยมและเป็นสีอ่อนๆ

         ใช้เวลาไม่นานในการหาลิฟต์

         “เอมี่” ลุงพูด เช่นเดียวกับป้า ลุงไซม่อนสวมแว่นตา เขาเป็นชายวัยทองค่อนข้างเจ้าเนื้อ ผมสีบลอนด์ตอนนี้เป็นสีขาวไปเกือบครึ่งหนึ่ง เขาสวมเสื้อเชิร์ทสีเทาตัวเก่งที่ใส่ไปสอนหนังสือบ่อยๆ “กดกี่ที ลิฟต์มันก็เร็วได้เท่าเดิมนี่แหละ”

         ก็ไอ้ลิฟต์เต่านี่มันช้าสุดๆนี่คะ เธอเกือบพูดออกไปแบบนั้น แต่ก็ทันคิดได้ว่าลุงคงจะเครียดพออยู่แล้ว ซึ่งลิฟต์เจ้ากรรมดูเหมือนจะช้าเป็นสองเท่าเมื่อเธอใช้มัน แล้วก็เป็นเอมี่ที่รู้สึกแบบนี้คนเดียว

         รอก่อนนะทรอย

         เอมี่แทบจะวิ่งออกจากลิฟต์แบบเด็กๆ แต่เมื่อลิฟต์เปิดออก ก็พบว่ามีชายสูงวัยไม่มีฟันหน้าตายิ้มแย้มนั่งรถเข็นรอใช้ลิฟต์ต่อ เธอจึงต้องค่อยๆออกมา พอลิฟต์ปิด ลุงกับป้าแสดงความเร่งรีบเป็นครั้งแรกก่อนจะเดินเร็วๆออกจากลิฟต์หน้าโง่

         “3416 ทางนี้แหละ” ลุงไซม่อนเดินนำเธอกับป้า จนกระทั่งมาถึงห้องที่ว่า ลุงจึงเคาะประตูก่อนเข้าไปข้างใน ห้องคนป่วยของที่นี่เป็นสีขาวเช่นกัน เฟอร์นิเจอร์กลมมนยกเว้นเตียงคนป่วย บริเวณหัวเตียงมีสิ่งดูเหมือนแผ่นหนาๆสีขาวมุกทอดลงจากเพดานมาถึงพื้น แสดงการเต้นชีพจรและข้อมูลอื่นๆซึ่งเรืองแสงมาจากพื้นผิวเรียบๆ ตรงผนังปลายเตียงเป็นแผ่นทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าสีเทาอ่อนๆและแทบจะไม่มีรอยต่อกับผนัง  เป็นโทรทัศน์นั่นเอง

         “ไงพ่อ” คลินท์รออยู่แล้ว เขากอดลุงและป้า ก่อนจะหันมาหาเอมี่ “ไม่เป็นไรนะ เอมี่”

         เป็นสิ เธอคิดพลางสวมกอดพี่ชายซึ่งเขาตบหลังเธอเบาๆ คลินท์ผอมลงเล็กน้อยจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ขอบตาเขาเป็นสีคล้ำ หนวดเคราค่อนข้างดกเหมือนไม่ได้โกนมาเดือนเศษๆ เมื่อแยกออกมาเธอเห็นรอยช้ำเล็กๆตามข้อนิ้วของเขาด้วย แจ็กเก็ตสีน้ำตาลที่เขาสวมมีโลโก้ของแม็กนัสปักที่อกขวา

         “นิดหน่อยน่ะ” คลินท์พูดเมื่อรู้ว่าเธอมองรอยช้ำเขาอยู่ แต่เอมี่ไม่ได้สนใจมากนัก เธอกำลังมองพี่ชายอีกคนที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ซึ่งเอมี่ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี

         เธอคิดว่าทรอยจะต้องเสียโฉมหรือพิการ ไม่ก็มีบาดแผลใหญ่ๆน่าเกลียด แต่เปล่าเลย ทรอยยังดูเหมือนเดิม เขายังเป็นพี่ชายตัวผอม จมูกค่อนข้างยาว ผมสีน้ำตาลหยักศก เป็นคนละสีกับเธอซึ่งเอมี่ได้ผมสีทองมาจากแม่ ชุดคนป่วยทำให้ทรอยดูผอมยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ชายตัวล่ำอย่างคลินท์ยืนอยู่ข้างเตียง แต่เธอถึงกับใจเสียเมื่อหน้าอกของทรอยดูราวกับมันไม่ได้กระเพื่อม มือขวาของเขามีผ้าพันไว้ค่อนข้างหนา แต่สัญญาณชีวิตที่หัวเตียงบอกว่าเขายังไม่ตาย

         “ลูกคุยกับหมอหรือยัง” ป้าสูดน้ำมูก พลางกุมมือขวาไร้สติของทรอยเอาไว้

         “ผมมาถึงตอนหมอเข้ามาเช็กพอดี” คลินท์ขยับเข้าไปข้างๆผู้เป็นแม่ “หมอบอกว่าทางซานฟรานฯส่งทรอยมาที่นี่ เพราะอะไรเขาไม่ได้บอก แล้วก็อย่างที่แม่เห็นว่าตามตัวทรอยไม่มีบาดแผลน่าเป็นห่วงเลย แต่เขากลับไม่ได้สติ อวัยวะกับระบบก็ถือว่ายังทำงาน พูดตรงๆนะแม่ ทรอยไม่เหมือนคนโดนระเบิดเลย ถึงพวกกู้ภัยจะเจอตัวเขาในรัศมีทำลายผมหมายถึง ระยะที่ระเบิดทำงาน”

         “พระเจ้า” ลุงอุทาน

         “แล้วถ้าเกิดทรอยไม่มีรอยขีดข่วนอะไร ทำไมเขาไม่ยอมฟื้นล่ะ” เอมี่ถาม ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันฟังดูโง่แค่ไหน

         “ถามได้ดี เอมี่ แต่นั่นแหละคือปัญหา” คลินท์พูดก่อนถอนหายใจ “เคสที่ใกล้เคียงที่สุดคือ โดนดูดด้วยไฟฟ้าแรงสูง แต่ก็อย่างที่บอก ทรอยไม่ได้มีรอยไหม้หรือแผลเลย”

         เอมี่ทิ้งตัวลงที่โซฟาใกล้ๆ ทรอยหมดสติแล้วก็อาจตายได้ โดยที่แม้แต่หมอยังบอกไม่ได้ว่าเขาไปโดนอะไรมา ตอนนี้เธอรู้สึกถึงความว่างเปล่า เอมี่ควรจะดีใจที่ว่าทรอยยังไม่ตายหรือเสียใจที่ว่าเขาอาจต้องนอนแบบนี้ไปจนตลอดชีวิต

         เธออยากจะบอกให้พี่ชายเธอลุกขึ้นมา แต่มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเจ้าตัวไม่ได้ยิน

         บ้าเอ๊ย เอมี่ทั้งปาดทั้งขยี้ตา พอรู้สึกว่าข้อนิ้วเธอเปียกก็กลับยิ่งรู้สึกแย่ รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้นอกจากดูเฉยๆ จากนั้นก็มีใครนั่งลงข้างๆ แต่เอมี่ไม่ได้หันไปมอง เธอไม่ได้ขัดขืนเมื่อถูกดึงไปโอบ

         “แล้วลูกล่ะ เป็นยังไงบ้าง?” ป้านั่นเอง

         “ผมสบายดี” คลินท์ตอบ “แค่ล้าจากนั่งเครื่องนิดหน่อย พวกนั้นให้ผมลาเต็มที่ห้าวันเต็ม ไม่ต้องห่วงผมหรอกแม่”

         “แค่ห้าวันเองเหรอ?

         “โจดี้….ลูกทำงานให้เอกชนนะ” ลุงตอบ “กว่าเขาจะกลับ ตอนนั้นทรอยคงฟื้นแล้วแหละ”

         เอมี่สูดน้ำมูกก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น คลินท์ยืนอยู่ข้างหน้าเธอนี่เอง เขานั่งยองๆเพื่อไม่ให้ยืนค้ำหัวแล้วก็เพื่อจะสบตาเอมี่ตรงๆ ดวงตาเขาเป็นสีฟ้าเหมือนกับลุง

         “ร้องให้เหรอ?” เขาถาม ถ้าเป็นเมื่อก่อนหรือสถานการณ์อื่น เอมี่คงจะแก้ตัวหรือไม่ก็หาว่าเขาตาฝาด แต่ตอนนี้เธอกลับไม่พูดอะไรไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย และถ้าเขายังมีสติ ทรอยคงจะบอกว่าพระอาทิตย์ต้องขึ้นทางตะวันตกแหงๆถ้าเอมี่ร้องให้หรือเสียใจ ชั่วขณะหนึ่งที่เอมี่เกิดมีความคิดแบบเด็กๆว่าทรอยจะลุกพรวดขึ้นมาล้อเธอ

         “พี่จะไม่บอกหรอกว่า “อย่างน้อย เอมี่ก็ยังเหลือพี่อยู่” ” คลินท์พยายามยิ้มให้เธอรู้สึกสบายใจ แต่นั่นทำให้เขาดูงี่เง่าขึ้น “พวกเขายังอยู่กันครบ พี่ ลุง ป้า แล้วก็ทรอย เขาไม่เป็นอะไรหรอก เหมือนกับทุกทีแหละ สุดท้ายทุกอย่างมันก็ออกมาเรียบร้อย”

         “ใครบอกว่าฉันร้องให้?

         คลินท์ยิ้มน้อยๆ เขาวางมือบนบ่าเธอเบาๆก่อนหันไปหาผู้เป็นพ่อ “หนังสือพิมพ์อยู่ตรงนั้นนะพ่อ พ่อคงอยากจะอ่าน”

         “พ่อพลาดอะไรหรือเปล่า?” ปกติลุงไซม่อนจะเปิดโทรทัศน์ดูข่าวทุกเช้า ซึ่งพฤติกรรมนี้สืบต่อมาถึงคลินท์ด้วย “ต้องเป็นเรื่องแย่ๆใช่มั้ย?

         “ไม่มีใครเรื่องดีหรือที่สร้างสรรค์มาลงหน้าหนึ่งหรอกพ่อ เห็นพาดหัวหรือยัง?

         “ระเบิด?” ลุงเดินเข้าไปหาภรรยาของเขา “คุณมาอ่านนี่สิ”

         “ไม่ล่ะ ไซม่อน” ป้าปฏิเสธเสียงอ่อน เธอยังคงมองทรอยอยู่เช่นเดิม 

         ลุงถอนหายใจก่อนจะเดินไปอีกด้านของเตียงคนไข้ เป็นเวลาพักหนึ่งที่ไม่มีใครพูดอะไรเลย จนกระทั่งลุงวางหนังสือพิมพ์ลง สีหน้าดูวิตก

         “พ่อคิดว่ารุ่นลูกคงไม่ได้เห็นอะไรแบบสมัยพ่อเด็กๆ” ลุงพูด ตาจ้องมองแผงแสดงสัญญาณชีพจร “คิดว่าเรื่องก่อการร้ายมันตกยุคไปแล้วซะอีก”

         “แล้วลูกจะ

         “ทำที่จำได้ ตามตัวผู้ก่อการร้ายไม่ใช่งานพวกผมนะแม่” ตอนนี้เป็นคลินท์ที่นั่งลงข้างๆเอมี่ ขณะที่ป้าโจดี้ลุกขึ้นไปยืนข้างๆลุง “ยกเว้นว่ามันจะกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ตอนนั้นแหละที่ทหารรับจ้างอย่างผมจะได้ออกโรง ถ้ามีคนจ่ายนะถ้าไม่มี ผมก็คงลากลับมาเล่นแบล็กแจ็คกับเพื่อนเก่าแถวบ้านเรานี่แหละ”

         เขาพูดราวกับกำลังจะไปออกค่ายลูกเสือมากกว่าไปรบ คลินท์พูดบ่อยๆว่างานที่แม็กนัสฯไม่อันตรายเท่ากับตอนที่ประจำการในกองทัพแคนาดา แต่เอมี่มั่นใจว่าเขาโกหก “พี่อย่าพูดให้เราเป็นห่วงสิ”

         “โทษที แต่พี่หมายความตามที่พูดจริงๆนะ โดยเฉพาะตรงไพ่แบล็กแจ็ค--” 

         “โลกนี้มันมีอะไรที่ทำให้พื้นที่กลางเมืองหายไปกลายเป็นหลุมเบ้อเริ่มได้อยู่เหรอ” ลุงว่า คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างเป็นกังวล

         “อะไรนะคะ?” เอมี่โพล่งขึ้น

         “ก็ในหนังสือพิมพ์นี่บอกว่า ระเบิดที่ลอนดอนน่ะทิ้งหลุมเบ้อเริ่มไว้กลางเมือง” ลุงยกหนังสือพิมพ์ขึ้นให้ดู พาดหัวสะท้อนแสงทำให้เอมี่อ่านได้อย่างชัดเจน

         ลอนดอนพังพินาศ ผู้เสียชีวิตทะลุหลักร้อย

         เท่าที่ผมรู้ ไม่มีนะพ่อ” คลินท์ส่ายหน้า "ถ้ามีผมก็ยังไม่เคยเห็น"

         “หนูเดาว่าเมืองคงไม่ได้เละแบบในพาดหัว….ใช่มั้ย?

         “ใช่ นั่นเป็นข่าวดีล่ะ” ลุงมีท่าทางอ่อนล้า “ข่าวร้ายคือคนที่ตายเป็นร้อยๆน่ะ ไม่ได้เป็นการใส่ไข่ ตอนนี้ทั้งเมืองเข้าภาวะวิกฤต ไม่สิ ทั้งประเทศป่านนี้คงตื่นตัวแล้ว”

         “ไซม่อน” ป้าหันมาหาสามี “แล้วเพื่อนคุณที่

         “ไว้ผมจะโทรหาทีหลัง” แววตาหลังแว่นของลุงดูเศร้า “ตอนนี้หลานผมทั้งคนนอนโคม่าอยู่ เพื่อนผมคงรอได้ ขอพระเจ้าคุ้มครองพวกเขาเถอะ”

         ทั้งห้องเงียบไปพักใหญ่ มีเพียงเครื่องช่วยชีวิตเท่านั้นที่ยังส่งเสียง

         “ที่รัก” ลุงทำลายความเงียบขึ้น “ผมว่าเราออกไปข้างนอกดีกว่าจริงๆแล้ว ผมอยากคุยกับคุณหน่อย ให้เด็กๆเขาอยู่ด้วยกันซักพัก

         ป้าโจดี้พยักหน้า เธอแตะใบหน้าของทรอยเบาๆก่อนจะเดินตามลุงออกไปข้างนอกห้อง เหลือเพียงเอมี่กับพี่ๆ คงจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีใครนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง

         “หมอบอกอะไรพี่อีกมั้ย ?” เอมี่ถาม “อะไรก็ได้”

         “หมอบอกว่าเคสของทรอยมัน….พิเศษ” คลินท์มองไปยังทรอยสลับกับหน้าจอแสดงชีพจร “พิเศษยังไงพี่ไม่รู้ หมอพูดเหมือนทรอยไม่เหมือนผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ ซึ่งพี่ไม่เห็นซักคนเลย”

         “หมายความว่ายังไง ไม่เห็นซักคน”

         “ก็มีแค่ทรอยถูกย้ายมาที่นี่ ทั้งที่ในข่าวบอกว่ามีคนสูญหายอีกเยอะ” พี่ชายตอบ “อ้อ แล้วเธอรู้จักเพื่อนของทรอยที่ชื่อ “จอช” บ้างมั้ย ?

         เท่าที่จำได้ ทรอยมีเพื่อนซี้อยู่หลายคนทีเดียว ทั้งเพื่อนที่เคยเล่นดนตรีด้วยกันแล้วก็แก๊งสมัยไฮสคูล คนที่รวยๆงั้นเหรอ? น่าจะชื่อเคนหรือไม่ก็คีธ คนสวมแว่นท่าทางเนิร์ดๆหน่อยชื่อว่าจอน ส่วนคนหัวทองๆท่าทางกวนส้นก็ชื่อโอลิเวอร์ คนที่จอชเหรอ?

         “เท่าที่รู้ ฉันไม่เคยเห็นเพื่อนทรอยที่ชื่อจอชเลย พี่ถามทำไม?

         คลินท์เอื้อมมือไปที่บริเวณที่วางของข้างเตียง เอมี่เพิ่งสังเกตว่ามีการ์ดอวยพรใบหนึ่งวางอยู่

         “ตอนพี่มาถึง ก็เจอนี่วางอยู่” เขายื่นการ์ดให้เอมี่

         เป็นการ์ดอวยพรที่พับเป็น 2 ชั้นแต่ไม่มีร่องรอยถูกแกะ ตรงมุมล่างขวามีลายเซ็นเล็กๆกำกับไว้ อ่านได้ว่า

         “โจชัว?” เวอร์ชั่นเต็มของ “จอช” สินะ

         เอมี่ส่ายหน้า พลางยื่นการ์ดคืนให้คลินท์ “ไม่คุ้นเลย”

         “ช่างมันเถอะ” คลินท์วางการ์ดกลับที่เดิม “เอาเป็นว่าพี่ไม่ใช่คนแรกที่มาเยี่ยม โจชัวคนนี้อาจเป็นเพื่อนใหม่ของทรอยที่ซานฟรานฯก็ได้”

         เอมี่มองไปที่ใบหน้าของทรอย สีเลือดบนใบหน้านั้นเป็นสัญญาณเดียวที่พอจะบอกได้ง่าเขายังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ตอนนี้ เสียงหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวซึ่งทำให้เอมี่รู้สึกโกรธจนอยากเขกหัวตัวเองแรงๆ เธอเคยได้ยินว่าเมื่อเราเห็นคนรู้จักที่กำลังจะตาย ภาพเก่าๆมันจะโผล่เข้ามาในหัวแบบอัตโนมัติ ซึ่งทันใดนั้นเอง สมองเจ้ากรรมก็ดันนึกถึงสมัยที่เขายังอยู่บ้านหลังเดียวกัน ทรอยนั่งเกาหัวอยู่หน้าคอมกับสมุดโน้ตที่เขาเอามาจากเพื่อนของเพื่อน หรือที่เวลาที่เขาพยายามปรับสายกีต้าร์และให้คนที่ไม่มีความรู้ทางดนตรีอย่างเอมี่บอกว่าเสียงใช้ได้หรือเปล่า และหลายเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาหน้าบูดเป็นก้นแมวเมื่อแผนเส้นทางนักดนตรีของเขากับเพื่อนล้มลง หรือตอนที่เธอขว้างลูกเบสบอลพลาดไปโดนเป้ากางเกงทรอยโดยมีเสียงหัวเราะของคลินท์เป็นฉากหลัง (ซึ่งโชคดีของทรอยที่มันเป็นลูกหลุดมือ)

         “ไม่เอาน่า เอมี่” เธอพยายามกระซิบเพื่อไม่ให้คลินท์ได้ยิน “เรื่องบ้าๆตามอินเทอร์เน็ตมันเชื่อได้ที่ไหนล่ะ”

         “จะบอกอะไรพี่เหรอ?เวร ตะกี้เห็นเงียบไปตั้งนาน

         “เปล่า….พอดีแค่….ไม่มีไรหรอก” คลินท์ขมวดคิ้วเป็นเชิงสงสัยแต่เขาก็แค่ยักไหล่เมื่อเอมี่ไม่พูดอะไรต่อ

         “พี่ถามตรงๆนะ คิดว่าเขาจะไม่ฟื้นเหรอ?

         เอมี่จ้องดูสัญญาณชีวิตของทรอยอย่างใจลอยอยู่ซักพักเธอจึงตอบ “ฉันแค่……ไม่มั่นใจฉันหมายถึง ฉันก็อยากให้เขาฟื้นไวๆ แต่พอมองดูแล้ว มันก็ยาก….

         คลินท์ถอนหายใจ “ก็เราทั้งสองคนนี่แหละ จำที่ลุงพูดได้มั้ย?

         “พ่อพี่สอนเราตั้งหลายอย่าง” จริงๆแล้วสำหรับทรอยและเอมี่ ลุงกับป้านี่ก็เป็นเหมือนพ่อแม่แท้ๆ เท่าที่จำความได้ เธอก็อยู่ในบ้านของลุงไซม่อนแล้ว

         “มีพ่อเป็นครูก็แบบนี้แหละ” คลินท์มีรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้า “ที่พี่หมายถึงก็เป็นอันนี้จงหวังถึงเรื่องที่ดีที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็ให้เตรียมตัวกับเรื่องเลวร้ายที่สุดเช่นกัน”

         เอมี่ยังคงจ้องมองที่แผงแสดงสัญญาณชีวิต ทั้งชีพจร ความดัน แล้วก็อะไรก็มิอะไรบนนั้นค่อนข้างสม่ำเสมอ และเรืองแสงสีเขียว สีแห่งชีวิต เธอเคยได้ยินในสารคดีเกี่ยวกับศิลปินซึ่งเธอไม่ได้สนใจมาก แต่ก็พอได้ยินผ่านๆหู

         นี่เราหัดเป็นคนซึมเศร้าแล้วก็อ่อนไหวตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย…..

         “ไม่น่าเชื่อว่าพี่จำที่ลุงพูดได้ด้วย”

         “นั่นไง” พี่ชายหัวเราะพรืด “เอมี่คนเดิมกลับมาแล้ว”

         “เปล่า คือถ้าพี่ไม่พูดฉันคงลืมไปแล้ว” เธอยิ้มตอบ “ขอบใจนะ”

         “ยินดีที่ได้รับใช้ สาวน้อย”

         แวบหนึ่งคำพูดของป้าก็แล่นเข้ามาในหัว พวกเด็กผู้ชายน่ะเขาไม่ได้อายุมากขึ้นหรอก แค่ตัวใหญ่ขึ้นเฉยๆ โดยเฉพาะเด็กผู้ชายบ้านนี้

         “หัวเราะอะไร”

         “เปล่า” เธอจงใจทำสีหน้าล้อเลียน “แค่นึกถึงที่ป้าเคยพูดกับฉันน่ะ”

         “ไม่ได้เสียใจแล้วเหรอ”

         “ก็ยังนิดหน่อย” เอมี่หันกลับไปมองทรอยอีกครั้ง ในความรู้สึกของเธอ ตอนนี้เขาดูเหมือนแค่กำลังนอนหลับอยู่ “แต่เราก็ยังอยู่กันครบนี่ ทรอยยังไม่จากเราไปไหนนี่”

         "มันต้องอย่างนี้สิ”

         “ว่าแต่พี่เถอะ” เธอมองไปที่ขอบตาคล้ำๆของคลินท์ “ดูแลตัวเองบ้าง ถ้ายังเป็นแบบนี้ พี่คงไม่ต้องหาชุดฮาโลวีนแล้ว เดินเฉยๆคนเขาคงว่าพี่แต่งเป็นผีดิบแหงๆ”

          “อันนี้แรงแฮะ” เขาแค่กระพริบตา “แวบนึงพี่คิดว่าแม่พี่เข้าสิงซะแล้ว”

         ความมืดมน ความขุ่นมัวในหัวเธอเริ่มเบาบางลงแล้ว คลินท์ลุกออกไปสูดอากาศที่ริมหน้าต่าง ขณะที่เอมี่ยังคงนั่งอยู่ข้างๆทรอย เป็นเวลานานหลายนาทีที่ไม่มีใครพูดอะไรแต่ความอึดอัดไม่สบายใจก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีกแล้ว เอมี่หยิบมือขวาที่มีผ้าพันของทรอยขึ้นมาพาดบนอกเจ้าตัวแต่ก็เปลี่ยนใจวางมือเขาไว้ข้างตัวเหมือนเดิม แล้วจู่ความเหนื่อยจากการเดินทางก็ถ่วงให้หนังตาเธอหนักขึ้น

         เด็กสาวเอามือป้องปากขณะหาวพลางยกมืออีกข้างขึ้นมาดูนาฬิกา

         13.48 . 13 สิงหาคม 

         ซักงีบคงไม่เป็นไรหรอกน่า เอมี่คิดเมื่อฟุบศีรษะลงบนแขน ด้วยความเงียบและความเหนื่อยล้า มันใช้เวลาไม่นานที่เธอจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

         ถึงจะหวังลึกๆว่าเมื่อเธอตื่นขึ้นมา ทรอยก็จะตื่นด้วย แต่เอมี่รู้ดี 

         บางทีความจริงมันก็ไม่ได้ง่ายแบบความหวัง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×