คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : [อลิสแตร์] บทที่ 9 - ผู้รอดชีวิต
Trigger
ภาษาเยอรมันของอัลเข้าขั้นสนิมเขรอะทีเดียว
โชคดีที่คนประเทศนี้พูดได้หลายภาษา
เขาเพิ่งมาถึงสวิสเซอร์เลนด์ได้ไม่กี่วัน
ทอมมี่ก็โทรมาบ่นใหญ่ว่าที่อเมริกาเกิดเรื่องอีกแล้ว ตอนนี้ที่ TBC วุ่นวายกันสุดๆ
ทอมมี่ถึงขนาดต้องส่งคนอื่นไปอเมริกาแทนอัลเพื่อความรวดเร็ว
ซึ่งเขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร
ก่อนมา อัลทั้งขุดทั้งคุ้ยเรื่องไฟสีฟ้าจากหนังสือ,ทีวีและอินเทอร์เน็ต
ทำที่เขาหาได้ ไฟบ้านี่มีความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์
แต่ไม่มีที่ไหนบอกว่ามันติดขึ้นมาได้เฉยๆ และมีสารเคมีเฉพาะเข้ามาเกี่ยวข้อง
ที่ใกล้เคียงที่สุดคือไฟสีฟ้าจากทองแดง แต่ก็แค่ใกล้เคียง
นอกจากในวีดิโอเกมและภาพยนตร์แล้ว ไม่มีไฟสีฟ้าอมขาวแบบที่เขาเจอเลย
ทั้งทอมมี่และตำรวจถามเขาหลายคำถามเพียงเพื่อจะรู้ว่าอัลเองก็มืดแปดด้านพอกัน
พวกตำรวจยังมีฝ่ายวิทยาศาสตร์ที่จะคอยสนับสนุนว่าอัลไม่รู้เรื่อง แต่ทอมมี่—เขาทำตัวน่าหงุดหงิดทีเดียว
เป็นเวลาสามวันที่อัลต้องนั่งตอบคำถามและฟังทฤษฎีบ้าบอของเขา มีเพียงโซเฟียที่รู้ใจพอจะรู้ว่าอัลไม่ต้องการพูดถึงมันและโชคดีมากที่ชื่อของอัลไม่ได้อยู่ในข่าวด้วย
ชีวิตของเขาจึงยังคงเรียบง่ายกว่าที่คาดคิดไว้มาก
เพื่อให้ตัวเองมีสมาธิ
อัลตัดสินใจรับสายแค่โซเฟียและงดอ่านข่าวชัวร์คราว
เขาทิ้งแล็ปท็อปไว้ที่อังกฤษและใช้เพียงโทรศัพท์และกล้องแฮนดิแคมคู่กาย หลังค้างคืนที่โรงแรมได้หนึ่งคืน
เช้าวันต่อไปเขาจึงเริ่มงานทันที
รีบทำรีบกลับ เขาบอกตัวเองตอนที่กำลังโกนหนวดซึ่งทำให้เขาไม่รู้สึกคุ้นหน้าตัวเองเลย ทั้งอัลและโซเฟียเห็นพ้องกันว่าเขาดูดีที่สุดตอนที่หนวดเครายังไม่หนามาก เมื่อเสร็จธุระในห้องน้ำ อัลคว้าโทรศัพท์มาดูตารางเวลาและที่หมายของเขา
จุดหมายของเขาคือ อพาร์ทเมนท์ของพยานที่ชื่อนิโคล ปาสคาล ชาวอเมริกัน
ซึ่งเธอให้ที่อยู่และขอให้แฟนเธออยู่เป็นเพื่อนระหว่างให้ข้อมูลซึ่งอัลก็ตกลง
จากที่เขาได้ยินมา คนร้ายที่ก่อเหตุบังคับให้คุณปาสคาลให้ความร่วมมือ
ซึ่งไอ้หมอนี่เล่นงานรปภ.ที่ตัวใหญ่กว่าถึงสองคนจนปางตาย
หนึ่งในนั้นมีสิทธิ์เป็นอัมพาตตลอดชีวิต ยังไม่นับกับที่เขา “เล่นกล”
จนมีคนตายอีกหลายศพในสถานที่เดียวกัน ซึ่งทำให้สำนักข่าวต่างๆเรียกไอ้หมอนี่ว่า
“นักเล่นกล”
หลังจัดการกับมื้อเช้า อัลจึงโบกแท็กซี่
ระหว่างทางเขาเช็กของและจัดสูทที่สวมให้ดูเรียบร้อยที่สุดที่เขาจะทำได้
และจัดป้ายชื่อแสดงด้วยให้เด่น ครั้งสุดท้ายที่คุยกันโซเฟียบอกว่าเขาผอมลง
ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณไม่ดีเลยเพราะตลอดชีวิตของเขามีแต่คนบอกว่าเขาควรจะกินให้มากๆ
ตอนที่ส่องกระจกห้องน้ำ อัลก็รู้สึกว่าหน้าเขาซีดแถมขอบตาคล้ำ
แต่คงเป็นเพราะเพิ่งตื่นนอน ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ผมเคยโทรมกว่านี้ตั้งเยอะ อัลบอกทุกคนที่ทักเขาเรื่องสุขภาพ
ให้ตายเถอะ เขายังโทรมไม่ได้เท่าพวกเด็กมัธยมแถวเอเชียเลย
“ถึงแล้วครับ” คนขับบอกเขาด้วยสำเนียงฝรั่งเศส อัลจ่ายค่าโดยสารก่อนสะพายกระเป๋าลงรถ
พบว่าเขาอยู่กลางย่านที่อยู่อาศัย ตึกระฟ้าอยู่รอบทิศทาง ทั้งอาคาร
สิ่งของอย่างม้านั่ง ป้ายรถประจำทาง ทุกอย่างเป็นสีขาวหรือสีอ่อนๆที่ใกล้เคียง
มีก็แต่ป้ายโฆษณาสามมิติที่เปลี่ยนสีอยู่ตลอดเวลาและพุ่มไม้เล็กๆที่ตัดกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ
อัลชินกับสภาพเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้าแบบนี้นานแล้ว
อัลยกโทรศัพท์ขึ้นเช็กหมายเลขห้อง ก่อนเดินเข้าไปในอาคาร ซึ่งที่นี่ก็เหมือนกับอพาร์ทเม้นท์ที่เขาอยู่ ยกเว้นว่าของที่นี่ดูเหมือนว่าทุกอย่างมีกระจกเป็นส่วนประกอบ พื้นและเสาเป็นสีขาว ล็อบบี้ที่นี่ดูเหมือนคลินิกศัลยกรรมมากกว่าอพาร์ทเมนท์
อัลเดินเข้าไปยังลิฟต์ด้านหลังโต๊ะต้อนรับ ก่อนจะกดไปยังชั้น 14 เพลงในลิฟต์เป็นเพลงคลาสสิคที่ฟังสบายกว่าเสียงตื๊ดๆของลิฟต์ที่
TBC มาก เขาเคยร้องเรียนเรื่องนี้ไปหลายหนแต่ก็ไม่มีใครสนใจ
จนกระทั่งลิฟต์เปิดออกเผยให้เห็นทางเดินสีขาวเหมือนกันโซนด้านล่าง ตามทางมีป้ายห้ามสูบบุหรี่แบบโฮโลแกรมที่สลับเป็นป้ายบอกทางหนีไฟได้
“ชั้น 14” เสียงอัตโนมัติของที่นี่เป็นผู้หญิง
แถมยังมีเวอร์ชั่นภาษาเยอรมันและฝรั่งเศสตามด้วยภาษาจีน
เมื่อแน่ใจแล้ว อัลจึงยกมือเคาะประตู ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า
ตามด้วยเสียงปิ๊บๆของระบบล็อก ผู้ที่มาเปิดเป็นหนุ่มใหญ่ชาวเอเชียสวมแว่นท่าทางภูมิฐาน
“คาน อิค อิเนน เฮลเฟน?” เยี่ยม…ภาษาเยอรมันอีกแล้ว
แต่ก็ก่อนที่อัลจะตอบ อีกฝ่ายก็พูดเป็นภาษาอังกฤษชัดแจ๋ว
“ใช่คุณเทอร์เนอร์จากช่อง TBC หรือเปล่าครับ ?” ตาของชายเอเชียกำลังอ่านป้ายนักข่าวที่อัลคล้องคอไว้อยู่
“ครับ” อัลถอนหายใจเบาๆ พลางยื่นมือทักทาย “ผมอลิสแตร์ เทอร์เนอร์
เป็นเกียรติที่ได้พบครับ”
“โธมัส หยาง เป็นเกียรติเช่นกันครับ” เจ้าบ้านจับมือตอบพลางยิ้มตามมารยาท สัญชาตญาณบอกอัลว่าหมอนี่อยากไล่เขากลับไปใจจะขาด “ผมเป็นสามีของนิโคล เธอกำลังรอคุณอยู่”
อัลก้าวเข้าไปในห้อง ซึ่งห้องนี้กว้างกว่าของอัลเล็กน้อย
วิวไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ในความคิดเขาเพราะมีตึกบัง การจัดห้องนั้นดูสะอาดและเป็นระเบียบมาก
เฟอร์นิเจอร์เกือบทุกชิ้นสีไปทางน้ำตาล
เมื่ออัลเข้าไปยังห้องรับแขกก็เห็นตู้โชว์แสดงของที่ระลึกและรางวัลต่างๆ
ที่เด่นที่สุดคงจะเป็นรูปของนายหยางกับสาวผิวสีหน้าตาดีคนหนึ่งซึ่งต้องเป็นนิโคล
ปาสคาลแน่ๆเพราะท่าทางของคนทั้งคู่ในรูปบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นคนรัก โดยมีฉากหลังเป็นเมอร์ไลออนแห่งสิงคโปร์
“ห้องคุณดูสะอาดดีนะครับ”
“ขอบคุณครับ พอดีผมติดนิสัยชอบจัดโน่นวางนี่มาจากแม่”
นายหยางเชิญอัลไปนั่ง “นิโคลคงทำธุระส่วนตัวอยู่ ซักครู่เธอคงจะมา
ไม่ทราบว่าคุณจะทานอะไรรอหรือเปล่าครับ”
“ขอบคุณครับ แต่ผมเพิ่งจะทานมื้อเช้ามา
เดี๋ยวระหว่างนี้ผมจะตรวจดูอุปกรณ์ผมก็แล้วกัน”
“ครับ เดี๋ยวผมขอตัวซักครู่นะครับ” แล้วนายหยางก็จากไป
อัลรูดซิปกระเป๋าเพื่อหาสิ่งที่เขาต้องใช้ กล้องแฮนดิแคม เครื่องบันทึกเสียง ปากกา
สมุด—แบบเป็นเล่มกระดาษและต้องใช้เครื่องมือเขียน
ซึ่งอัลแทบจะแน่ใจว่ามีเขาคนเดียวที่ยังไม่ใช้สมุดบันทึกแบบดิจิตอล คือเป็นแผ่นแข็งใส ทำงานด้วยระบบสัมผัสแบบหนังสือ สะท้อนแสงได้
ที่เด็ดสุดคือเข้ารหัส หมดปัญหาเรื่องกลัวใครมาแอบอ่าน
ซึ่งฟังก์ชั่นหลังทำให้มันขายดีมากในหมู่วัยรุ่น
อัลเคยคิดเล่นๆว่าถ้าคงลามือจากวงการเมื่อไหร่จะเอาสมุดนี้ไปขายให้พิพิธภัณฑ์
บริทิช มิวเซียม พวกนั้นชอบวัตถุโบราณอยู่แล้ว
ระหว่างที่เขาเช็คที่ว่างในเครื่องบันทึกเสียง
นายหยางก็กลับมาพอดีพร้อมกับคู่รักของเขา
“ที่รัก” ชายเอเชียพูดกับหญิงสาว “นี่คือคุณเทอร์เนอร์จากช่อง TBC ที่นัดเราไว้
คุณครับ นี่นิโคล ปาสคาล”
อัลลุกขึ้นจับมือกับปาสคาล
เธอดูสวยน้อยกว่าในรูปเล็กน้อยคงเพราะไม่ได้แต่งหน้า
แต่ก็จัดว่าเป็นผู้หญิงที่ดูดีคนหนึ่ง นิโคล ปาสคาลเป็นสาวอเมริกันผิวสีที่อายุน่าจะใกล้เคียงกับอัล
ผมยาว ดวงตาค่อนข้างโต แต่งกายด้วยเสื้อแขนยาวดูสบายๆ รอยยิ้มอ่อนแรงบนใบหน้าทำให้อัลพอจะรู้ว่าเธออาจยังไม่หายช็อกจากเหตุการณ์นั้น
“สวัสดีค่ะ” เธอพูดพลางเขย่ามือเขาเบาๆ “เชิญนั่งก่อนค่ะ”
“ขอบคุณ” อัลถอดป้ายนักข่าวเก็บไว้ในเสื้อนอกก่อนนั่งลง
“เดี๋ยวผมไปเอาน้ำดื่มมาให้นะครับ” นายหยางยิ้มให้แฟนสาวก่อนเดินออกไป
ปาสคาลนั่งลงบนโซฟาตัวตรงข้ามกับอัลโดยเว้นที่ว่างไว้ทางขวาของเธอ
อัลยกเครื่องบันทึกเสียงขึ้นมา “คุณปาสคาลครับ ระหว่างที่ผมสัมภาษณ์
ผมจะใช้เจ้านี่บันทึกคำพูดของพวกเรา ไม่ทราบว่าคุณขัดข้องหรือเปล่าครับ?”
“ไม่หรอกค่ะ”
“ส่วนกล้อง—ผมคิดว่าคงไม่จำเป็นแล้ว งั้นผมขอเก็บนะครับ”
สัญชาตญาณบอกเขาว่าผู้หญิงคนนี้ไม่อยากเป็นข่าวเท่าไหร่
แถมสีหน้าของเธอยังไม่ค่อยสบายใจและดูไม่มั่นใจด้วย
“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ แต่สีหน้าของเธอดูดีขึ้น แสดงว่าเขาเดาถูก
“แล้วก็…” เขาวางปากกาและสมุดไว้ตรงหน้า “เมื่อคุณหยางกลับมา
ผมจะเริ่มทันทีนะครับ” ซึ่งเธอก็พยักหน้าตอบ
ไม่นานนัก หยางก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำ
อัลเอ่ยปากขอบคุณก่อนจิบเล็กน้อยเพื่อให้โล่งคอ
“พวกคุณพร้อมนะครับ” เมื่อทั้งคู่พยักหน้า
อัลจึงเริ่มเปิดเครื่องบันทึกเสียงทันที "เป็นคำถามไม่กี่คำถาม ผมคงใช้เวลาไม่นาน"
“สวัสดีตอนเช้าครับ คุณผู้หญิง” เขาตัดสินใจจะไม่เอ่ยชื่อเธอในบทสนทนา
“สวัสดีค่ะ”
“คุณสบายดีมั้ยครับ หลังเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้”
“ดิฉัน--” เธอตะกุกตะกักเล็กน้อย “ฉันสบายดีค่ะ” ปาสคาลพยายามยิ้มและสบตาเขา อัลจึงทำงานของเขาต่อ
“ขอบคุณที่ตอบรับคำขอของทางช่องเรานะครับ
ซึ่งผมเชื่อว่าคุณคงจะตอบข้อสงสัยที่มีอยู่ได้มากมายทีเดียว”
“ดังที่เราได้ทราบกันนะครับ” อัลเปิดสมุดโน้ต
มือถือปากกาในท่าเตรียมจด ในนั้นมีคำถามที่ทอมมี่เตรียมมาให้ “เหตุสะเทือนขวัญที่สวิสเซอร์แลนด์ถูกยกให้เป็นเหตุก่อการร้ายที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี
ผู้เสียชีวิตสูงเกือบหลักร้อยและหาตัวผู้กระทำผิดรวมถึงแรงจูงใจยังไม่ได้
คุณเป็นคนหนึ่งที่เป็นพยานและผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ไม่ทราบว่าคุณมีความรู้สึกอย่างไรครับ”
“ฉัน—ฉันรู้สึกเสียใจค่ะ เสียใจแทนครอบครัวของผู้เสียชีวิตในวันนั้น” หยางโอบไหล่และมองหน้าคนรักของเขาอย่างเป็นห่วง ปาสคาลจึงพูดต่อ “แต่—อีกใจหนึ่ง—ฉัน--ก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองรอดชีวิตมาได้”
“คุณพอจะจำได้มั้ยครับว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น”
“คิดว่าได้ค่ะ” จากสีหน้าแล้ว อัลรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เธอหลบตาเขา
บีบมือตัวเอง สีบนใบหน้าลดลงเล็กน้อย ก้มหน้าและเหลือบมองหน้าของหยางแบบขอความมั่นใจ
เขาเคยเห็นคนท่าทางแบบนี้เวลาพูดถึงประสบการณ์ร้ายๆที่จำตัวไม่อยากพูดถึงมากเท่าไหร่
“คุณโอเคนะครับ?”
“……ค่ะ” เธอพยักหน้า
“ตอนที่เกิดเรื่อง คุณทำอะไรอยู่ครับ?”
“ฉันกำลังออกจากตึกออกคิวลัส เราเพิ่งเลิกงาน”
เธอกระเถิบเข้าไปหาหยาง “วันนั้นเราต้องอ่านงานจากเอกสารทั้งวัน ฉันกับเพื่อน—เราเหนื่อยมาก
เลยจะรีบกลับไปพักผ่อน”
ตึกออกคิวลัส เวลาเลิกงาน อัลทวนในใจระหว่างจดคำสำคัญลงสมุด
“แล้ว---เราก็เห็นเขา”
“เขา?” อัลเลิกคิ้ว
“คนร้ายเหรอครับ”
“ค่ะ” ปาสคาลก้มมือตัวเอง “เขาดูเหมือนคนทั่วไปจนกระทั่งลงมือ----เขาไม่พกอาวุธเลยด้วยซ้ำ”
คนร้ายปรากฏตัว อัลจดต่อ ซึ่งๆหน้า ไม่มีการซ่อนตัว มาตัวเปล่า
“คนร้ายไม่ได้ปิดปังตัวเอง ผมพูดถูกหรือเปล่า?”
“ค่ะ เขาสวมแค่สูทตัวหนึ่ง”
โอเค ถ้าไอ้หมอนี่ไม่บ้าก็คงเก่งโคตรๆแบบในข่าวลือ “ช่วยเล่าต่อได้มั้ยครับ”
“เขาพยายามเข้ามาในตึก—คนภายนอกจะเข้าได้ก็ต่อเมื่อนัดหมายไว้เท่านั้น”
ปาสคาลพูด “พวกรปภ.เลยหยุดเขาไว้ที่หน้าประตู
เขาทำตัวน่าสงสัยด้วย ตอนนั้น--ฉันเริ่มได้กลิ่นไหม้”
“อะไรนะครับ?”
“ฉันได้กลิ่นไหม้ แบบกลิ่นพลาสติกไหม้”
“ไฟฟ้าลัดวงจรเหรอครับ?”
“คงเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ....พูดตรงๆแล้วฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เธอสูดจมูกพลางเอานิ้วปาด “พระเจ้า—กล้องวงจรปิด—กล้องแถวนั้น—มันเกิดช็อต—หรืออะไรกันแน่ ฉันก็ไม่รู้ ที่แน่ๆมันพัง ฉันสาบานได้ว่าฉันเห็นควันออกมาจากกล้อง ฉ-ฉันไม่รู้จริงๆว่าในเกิดขึ้นได้ยังไง”
กล้องขัดข้อง อัลเพิ่มลงในสมุด
เขาอาจต้องลองคุยกับฝ่ายเทคนิคของช่องข่าวดูแล้วว่าเคสนี้มันเกิดขึ้นได้มั้ย
ถึงเขาจะแน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้โกหก แต่เท่าที่เขารู้
กองทัพมีอุปกรณ์แบบที่เผาวงจรไฟฟ้าจากภายในได้ แต่จากคำบอกเล่าแล้ว
ไอ้หมอนั่นมาตัวเปล่าและไม่มีทางที่ใครต่อใครจะพกอุปกรณ์ทันสมัยเกรดกองทัพไว้ในกางเกงในได้
ต่อให้เป็นเจมส์ บอนด์ก็เถอะ เขาจดเนื้อหาสำคัญต่อ
“พอจะได้มั้ยครับว่าเขารูปร่างยังไง” อัลรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตำรวจ
“เขา—เขาเป็นผู้ชายผิวขาว อายุน่าจะซัก—สามสิบไม่ก็สี่สิบ ผมสีน้ำตาลออกแดง--น่าจะเป็นคนอังกฤษค่ะเพราะสำเนียงพูดเขาออกไปทางนั้น”
สีหน้าเธอแย่ลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพูดถึงไอ้หมอนั่น
โอเค คนอังกฤษ ใส่สูทด้วย
“ประทานโทษนะคะ?” ปาสคาลทักขึ้นมา “เจมส์ บอนด์?”
“อ๋อ” อัลเพิ่งเขียนลงสมุดว่า "คนร้าย = เจมส์ บอนด์" ตามด้วยดอกจันสองตัว
“คือ—เป็นศัพท์เฉพาะของผมน่ะครับ
ที่คุณบอกว่าเขาพูดสำเนียงบริทิช ใส่สูท แถมกล้องวงจรปิดเสียตอนเขาโผล่มา
ถ้าเขียนแบบนั้นมัน—เอ่อ เปลืองหน้ากระดาษ เจมส์
บอนด์น่าจะง่ายกว่า—คุณไม่ว่าอะไรนะครับ?”
“ค่ะ” หญิงสาวสีหน้าดีขึ้น เธอถึงกับเผลอยิ้มน้อยๆด้วยซ้ำ
“เท่าที่ผมรู้มา หมอนี่บังคับให้คุณให้ความช่วยเหลือเขา
ผมพูดถูกหรือเปล่าครับ?” ซึ่งปาสคาลก็พยักหน้าตอบโดยไม่พูดอะไร
“เขาให้คุณทำอะไรครับ?”
“เขาแค่ขอรหัสผ่านเข้าระบบจากฉันค่ะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา
“ข-เขาเรียกฉัน ด้วยชื่อ แต่สาบานได้ว่าฉันไม่เคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อนในชีวิต”
“ครับ” เธอพูดความจริง อัลอาจไม่ใช่นักจับโกหกตัวเก่ง
แต่งานนี้เขาคิดว่าตัวเองไม่พลาด “โอเคครับ คำถามต่อไปอาจไม่ค่อย-ที่จริงแล้วเป็นคำถามที่หัวหน้าผมกำชับมาเป็นพิเศษ คือ…..มันเกี่ยวกับเรื่องที่-รปภ.
พากันยิงตัวตาย ซึ่งผมเข้าใจว่าคุณอาจยังเสียขวัญอย่างมากกับเรื่องนี้
ซึ่งถ้าคุณไม่สบายใจ ผมก็จะไม่ถามต่อ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เราไม่อยากให้คุณมีปัญหากับหัวหน้าคุณ” ถึงตอนนี้นายหยางหันไปมองหน้าคนรักของเขาอย่างไม่สบายใจ
“….ขอบคุณครับ” ขอบคุณจริงๆครับคุณผู้หญิง ถึงจริงๆแล้วผมอยากจะบอกว่าช่างหัวทอมมี่มันก็เถอะ
อัลสาบานได้ว่านายหยางเหลือบมองมาเสี้ยววินาทีหนึ่ง อ่านความหมายได้ว่า ต่อจากนี้ระวังคำพูดที่จะถามแฟนผมด้วย ไม่งั้นผมส่งคุณออกไปแน่
ซึ่งความจริงแล้วคำพูดจริงๆอาจหยาบคายกว่านี้ “เกิดอะไรขึ้นครับตอนนั้น
ทำไมจู่ๆพวกรปภ. ถึงได้ฆ่าตัวตายหมู่?”
“ฉันอยู่ตรงนั้น…” ปาสคาลเว้นช่วงไปพักใหญ่ “คุณต้องว่าฉันบ้าแน่ๆ….จู่ผู้ชายคนนั้นก็ทำให้พวกรปภ.เชื่อฟังเขา ข-เขาแค่ดีดนิ้ว…แล้วพวกรปภ.ก็เล็งปืนมาทางเรา ฉันรู้สึกกลัว—ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครกล้าทำอะไรทั้งนั้น
พอเขาเรียกชื่อฉัน—ฉันตกใจมากแต่ก็ไม่มีทางเลือก
หลังจากที่เขาดาวน์โหลดข้อมูลมาได้แล้ว เขาก็กลับออกไป พอจะพ้นประตู—พระเจ้า…..เขาก็ดีดนิ้วอีกครั้ง
คราวนี้พวกนั้นออกเอาปืนสอดเข้าใต้…แล้วเสียงปืนก็ดัง…”
หญิงสาวพูดต่อไม่ออก แม้แต่อัลเองก็รู้สึกว่าพอได้ฟังรายละเอียดแล้ว
เรื่องนี้สยองขึ้นเป็นสิบเท่าและเพิ่มความงุนงงอีกร้อยเท่า ปกติแล้วอัลจะซักต่อ
แต่เขากลับคิดไม่ออกว่าจะถามอะไรต่อ ได้แค่กลืนน้ำลายแล้วจดต่อเงียบๆ
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมคนที่เรียกไอ้หมอนี่ว่า “นักเล่นกล”
ชายสวมสูทพูดสำเนียงบริทิชที่สะกดจิตคนได้ด้วยปลายนิ้ว นอกจากเป็นโศกนาฏกรรมแล้ว
นี่ยังเป็นเหตุโจรกรรมข้อมูลที่อุกอาจครั้งหนึ่งที่เดียวหรืออาจอุกอาจที่สุดเลยก็ว่าได้
โอเค อัล ทำตัวเป็นมืออาชีพไว้ อย่างน้อยเป็นสุภาพบุรุษหน่อยก็ดี
“ผมคิดว่า—นั่นคงจะพอแล้วสำหรับผม”
“ผมก็ว่าอย่างนั้น” นายหยางพูด
อัลแพ็คของกลับลงกระเป๋าด้วความรู้สึกพิกล
เขาขอบคุณทั้งสองสำหรับเวลาอันมีค่าและน้ำดื่ม
ซึ่งนายหยางตามลงไปส่งเขาถึงข้างล่าง เพราะว่าจะได้คุยกับอัลเป็นการส่วนตัว
“ขอบคุณนะครับที่ไม่ได้บีบคั้นเธอจนเกินไป” หยางพูดขณะทั้งคู่ลงลิฟต์
“แล้วก็ขอโทษจริงๆที่เราทำให้คุณผิดหวัง”
“อะไรนะครับ?”
“ผมดูออกนะครับ” ชายหนุ่มถอนหายใจ “ตอนเธอเล่าให้ผมฟังครั้งแรก
ลึกแล้วผมก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว นิโคลอาจจะ---ไม่สิ
เธอเสียขวัญมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็เหมือนคุณ ผมรู้ว่าคุณอาจไม่เชื่อ
หรือไม่ก็ก็งุนงงอย่างที่สุด แต่ผมบอกได้เลย ทั้งนิโคล ทั้งผมรวมถึงคุณด้วย
เราทุกคนต่างก็ตกใจและงงกับเรื่องนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องจริง
ซึ่งโหดร้ายอย่างที่สุด”
คราวนี้จู่ๆเรื่องไฟสีฟ้าดันแว็ปเข้ามาในหัวอีกครั้งพร้อมกับนักเล่นกลโรคจิตนั่นอีก
อัลกล่าวคำอำลานายหยางก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กตารางเวลา ก่อนที่จะเขารู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว
โทรศัพท์ก็ดังเสียก่อน
ทอมมี่… อัลขมวดคิ้ว ไอ้เวรนี่ต้องโทรทวงงานแหงๆ
อัลชั่งใจระหว่างกดสายทิ้งหรือคิดคำพูดเจ็บๆไว้รับสาย
พนักงานและคนสวิสฯที่ล็อบบี้เริ่มหันมามองทำให้อัลตัดสินใจเลือกอย่างหลัง
ถึงพักนี้ทอมมี่จะทำตัวน่าหงุดหงิดแค่ไหน หมอนั่นก็ยังเป็นหัวหน้าเขาอยู่ดี
“ฮัลโหล” อัลทักเสียงห้วน
“หวัดดี อัล” ทอมมี่ตอบกลับมา มีเสียงแทรกในโทรศัพท์ “ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิศ ทางแกเป็นไงบ้าง ทุกอย่างโอเคมั้ย?” กะแล้วเชียว
เขาสูดหายใจเข้าก่อนกลืนคำพูดเสียดสีลงคอ “ก็เรียบร้อยดี
คุณผู้หญิงที่เห็นเหตุการณ์บอกทุกอย่างที่เธอจำได้ ถึงจะยังช็อกอยู่ก็เถอะ”
“แกหมายความว่าไงวะ กำลังช็อก?” นั่นไง
“ฟังนะ ทอมมี่” อัลเกือบเรียกเขาว่าไอ้ตัวงี่เง่า
“คุณผู้หญิงคนนี้เขาเพิ่งเห็นคนระเบิดหัวตัวเอง ฉันไม่คิดว่านักวิจัยที่อยู่แต่ในแล็ปกับออฟฟิศจะได้เห็นอะไรแบบนี้บ่อยๆหรอก
หรือแม้แต่แกเองก็เถอะ อ้อ แล้วไอ้นักเล่นกลอะไรนั่นของแกน่ะ
มันเก่งอย่างที่ข่าวลือบอกเลย ไว้กลับไปเดี๋ยวจะเล่าเวอร์ชั่นเต็มให้ฟัง”
“อืมมมม” มีเสียงเหมือนใครเคาะอะไรจากปลายสาย
“ที่โทรมาเนี่ยไม่ได้จะโทรมาเร่งงานหรืออะไรทั้งนั้น โอเค อัล ฉันรู้เว้ยพักนี้ฉันทำตัวงี่เง่า แต่ให้ตายเถอะว่ะ ตั้งแต่ทำงานสายนี้มา
ก็มีตอนนี้แหละที่อะไรๆมัน—เอ่อ-พีคสุดๆ ระเบิดเอย
ก่อการร้ายเอย…”
ทอมมี่ยังพล่ามต่อขณะที่อัลอยากถามกลับใจจะขาดว่าคนอื่นๆก็โดนแบบเขาด้วยหรือเปล่า
เมื่อคิดว่าบทสนทนาไม่น่าจะจบง่าย เขาจึงนั่งลงบนที่นั่งสีขาวสะอาดที่ใกล้สุด
“เออนี่” ทอมมี่เปลี่ยนเรื่อง “รู้สึกว่าเรื่องรปภ.ที่ตายเราจะต้องกลับมาตั้งหลักว่ะ”
“ว่าไงนะ?” จะว่าไปทอมมี่ไม่เคยบอกว่ากำลังตามเรื่องนี้อยู่
แต่ช่างมันเถอะ
“คืองี้” อัลได้ยินเสียงกรอบแกรบมาจากปลายสาย “แหล่งข่าว—ลับสุดยอดของฉันกระซิบมาว่าพวกตำรวจสากลน่ะไม่ชันสูตรศพต่อแล้ว
อีกไม่กี่วันคงจะให้ข่าวกับสื่อ แต่ก็ไม่พ้นว่ายิงตัวตายหรอก”
“ก็ตอนแรก พวกนั้นก็ยิงตัวตายเอง ไม่ใช่เหรอ?” อัลขมวดคิ้ว
“แกกำลังจะบอกว่าคนเป็นสิบๆเกิดตาฝาดเห็นคนฆ่าตัวตายพร้อมกันงั้นเหรอ?”
“ไอ้นิสัยปากไวเมื่อไหร่จะหายซักทีวะ แกเนี่ย” ทอมมี่ตอกกลับ
“อย่างที่บอกว่าแหล่งข่าวของฉันน่ะ ลับสุดยอด เขาบอกว่าผลชันสูตรน่ะยิงตัวตายจริง
แต่มันมีอะไรมากกว่านั้นเว้ย คือไอ้ผลชันสูตรน่ะ ในศพที่ยิงตัวตาย
ขอย้ำว่าเฉพาะพวกที่ยิงตัวตาย ตรวจเจอสารกำมะถันในร่างว่ะ”
“กำมะถัน?” อัลนึกถึงสมัยเรียนวิทยาศาสตร์…
“ถ้าแกจะเถียงว่ากำมะถันมันก็เจอได้ในร่างกายคนทั่วไป
หุบปากแล้วฟังก่อน” ทอมมี่พูด “กำมะถันที่เจอเนี่ย มันเยอะ…เยอะโคตรๆเท่าที่เคยเจอในร่างกายคน
เหมือนมีใครเอาไปโปรยเล่นในเนื้อเยื่อหรือเส้นเลือดแก บางศพนะเว้ย
เจอผงกำมะถันจางๆในโพรงจมูกด้วย ถ้าจำไม่ผิด สารกำมะถันส่วนใหญ่ที่เจอจะอยู่ที่สมองว่ะ
โดยเฉพาะตรงเทเลนเซฟาลอน--”
“ทอมมี่” อัลพูดห้วนๆ “ขอภาษาคน”
เมื่อไหร่กันที่มันกลายเป็นนักชีววิทยา
“โทษที เนื้อสมองน่ะ” อัลได้ยินเสียงกรอบแกรบอีกแล้ว
ทอมมี่น่าจะอ่านจากกระดาษให้เขาฟัง “สรุปคือ
ตอนนี้งงกันทั้งบางว่ากำมะถันพวกนั้นมันมาได้ยังไง ตอนนี้เลยเถียงๆกันในห้องแล็ป
ส่วนศพคงเก็บไว้ไม่ได้เหมือนกัน ได้ยินมาว่าหนึ่งในศพเริ่มปล่อยแก๊สไข่เน่าออกมา
เวรจริงๆ คราวนี้ซวยกันทั้งคนผ่าคนทำข่าว สาบานได้เลย
ถ้ามีเรื่องพรรค์นี้เกิดที่อังกฤษ มีหวังเราได้--”
จู่ๆสายก็ตัดไป
โถ ไอ้หัวหน้าเฮงซวย
“ทอมมี่?” อัลพยายามเรียก “ทอมมี่?”
บ้าเอ๊ย เขานั่งรอ รอแล้วรออีกจนเวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที
ทอมมี่ก็ยังไม่โทรมา
ช่างหัวแกเหอะ ไปตายที่ไหนก็ไปซะ อัลเดินออกไปด้านนอก
ตอนนี้รถราบางตาลงมาก มีแต่ผู้คนและสัตว์เลี้ยงตามฟุตบาท เขากดเบอร์โซเฟียขึ้น
เผื่อเสียงเธอจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น แต่เขาก็ผิดหวัง
“รับสิ คนสวย” เขากระซิบเป็นรอบที่สิบสี่ “เวรเอ๊ย!” แล้วอัลก็ยอมแพ้
เขามองหาแท็กซี่ด้วยความเซ็งอย่างถึงที่สุด แต่ไม่กี่อึดใจ แท็กซี่มาจอดตรงหน้าพอดี
อัลบอกจุดหมายซึ่งก็คือโรงแรมที่พัก ซักพักโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อหยิบออกมาดูว่าใครโทรมาก็พบว่าเบอร์นี้เขาไม่ค่อยคุ้นเอาเสียเลย
“สวัสดีครับ”
ปลายสายมีเสียงวุ่นวายเหมือนสนามรบผสานกับเสียงไซเรนซึ่งฟังแล้วไม่สบายใจอย่างที่สุด
ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงสำเนียงลอนดอน
“เบอร์แฟน—โซเฟีย--คะ?” ฟังเหมือนผู้หญิงคนนี้แทบจะตะโกนใส่โทรศัพท์ “คุณ--ยินมั้ย?”
“ครับ…เบาเสียงหน่อยนะครับ” อัลรู้สึกไม่สบายใจเลย
“ผมได้ยินแล้ว มีอะไรเหรอครับ?”
“ตอนนี้—ลอนดอน—คุณพระช่วย----” ถึงเสียงของเธอไม่ชัดเจนเพราะเสียงรบกวน ทำให้ได้ยินแค่บางคำเท่านั้น
แต่นั่นก็พอจะทำให้อัลเย็นไปทั่วไขสันหลัง “เรา---มี-คนเจ็บ---โซเฟีย—คุณต้อง--”
จากนั้นก็เป็นเสียงกุกกักก่อนที่สายจะตัดไป
โซเฟีย
“ขอโทษครับ” เขาพูดกับคนขับ พยายามทำตัวให้ดูปกติ
แต่สัมผัสแมงมุมของเขากำลังวุ่นเป็นสนามรบย่อมๆ “รบกวนช่วยเปิดวิทยุหน่อย
จะได้มั้ยครับ?”
“วิทยุเหรอครับ?” คนขับเลิกคิ้วพลางมองหน้าอัลผ่านกระจกมองหลัง
เขาเป็นชายผมบลอนด์เกือบขาว ตาสีฟ้าปรือเหมือนหมาแก่ตัวโตๆ
“ครับ ขอเป็นคลื่นที่เป็นข่าวภาษาอังกฤษ”
คนขับมองกระจกอยู่พักใหญ่จนอัลแทบเอื้อมมือไปเปิดวิทยุเอง
แต่สุดท้ายคนขับก็กดปุ่มเปิดวิทยุจนได้ ซึ่งคลื่นล่าสุดเป็นข่าวพอดี
แต่เป็นภาษาเยอรมัน แล้วคนขับก็ไม่ได้สนใจเปลี่ยนคลื่นตามที่เขาขอ
แต่เขากลับตั้งใจฟังข่าวนั้นมาก แล้วซักพักหน้าของคนขับก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“คุณครับ?” อัลถาม
“ครับ!”
“มีอะไรเหรอครับ” ลางสังหรณ์ชักไม่ค่อยดีแล้ว
“ข่าวด่วนน่ะครับ” คนขับกลับไปให้ความสนใจกับท้องถนน
ซึ่งท่าทางดูร้อนใจมาก “มีระเบิดขึ้นที่ใจกลางเมือง ร้ายแรงมาก
ไม่ถึงชั่วโมงนี้เอง ข่าวบอกว่าตำรวจกำลังประเมินจำนวนคนเจ็บกับคนตาย
ผมมีญาติในลอนดอนด้วย ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นอะไรหรือเปล่า”
….ลอนดอน
อัลรู้สึกเหมือนร่างเขาเป็นตัวต่อที่กำลังพังครืนลงมา
หัวใจแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ความคิดทุกอย่าง ทั้งฟ้าสีฟ้า, รปภ. และทอมมี่ พลันหายไปจากสมอง แทนที่ด้วยความกลัวแล้วก็ใบหน้าของโซเฟีย
อัลโยนทิ้งค่าโดยสารไว้ที่เบาะตอนถึงโรงแรมโดยที่ไม่รอเอาเงินทอนก่อนวิ่งสุดชีวิตไปที่ลิฟต์ เขาต้องกลับไปก่อนที่จะสายเกินไป
ความคิดเห็น