ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ได้เจอครึ่งหนึ่งของตัวเองหรือยัง
แสงแดดเวลากระทบกับพื้นทรายทำให้เกิดรูปเงาแปลกๆ งานไปอีกแบบ รูปเงาแต่ละเนินทรายแตกต่างกันไป ทำให้ฟ้าใสจากอารมณ์ที่บูดเริ่มแจ่มใสขึ้น สายลมพัดเอื่อยๆ ทำให้รู้สึกชุ่มชื่นใจอย่างประหลาดแต่อยู่ๆรู้สึกประหลาดก็จะไม่ให้แปลกๆได้อย่างไร ก็นายการิมมองมาด้วยสายตาแทนคำพูดว่าให้ใส่หมวกได้แล้ว
ผู้ชายบ้าอะไรก็ไม่รู้แทนที่จะพูดกลับใช้สายตาพูด แต่ทำไมเราต้องทำตามด้วยถ้าไม่ทำจะมีอะไรหรือเปล่าคิดในใจและมองตอบแปลกท้าทาย แต่สายตาที่มองตอบกลับมาเข้มขึ้นประมาณว่าแน่ใจนะว่าจะไม่ใส่เดี๋ยวจะใส่ให้เองอาจจะมีการทำให้เจ็บตัวก็ได้ ใส่ก็ได้ ไม่ได้ใส่เพราะกลัวหรอก(แต่ก็กลัวนิดหนึ่งนิดหนึ่งจริงๆนะ)
แต่ส่งสายตากลับไปและมองไปบนท้องฟ้าประมาณว่าที่ฉันใส่เพราะเริ่มร้อนต่างหาก เมื่อฟ้าใสใส่หมวกตามที่เค้าบอกแล้วสายตาที่เมื่อกี้แข็งกร้าวกับมีแววตาระยิบๆคล้ายกับว่าจะบอกว่านึกว่าจะแน่ จนทำให้ฟ้าใสอยากหาอะไรปาใส่แต่เจ้าตัวทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ การิม......การิม เราต้องเดินทางอีกไกลไหมแล้วทำไมเรา 2 คนถึงได้เดินช้านักคนอื่น เขาไปไกลแล้วนะเดี๋ยวตามไม่ทัน “ หญิงสาวที่นั่งอยู่ไม่สุขนักเมื่อให้เพื่อนร่วมทางคนอื่นเริ่มที่จะเดินทางเร็วขึ้นในขณะที่ตัวเองเดินเรื่อยๆ
“ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวก็ทัน “ การิมไม่สนใจแต่ก็ขยับม้าให้เร็วขึ้นอีกนิด
“ ถามอะไรก็ช่วยตอบให้หมดหน่อยได้ไหม คนอะไรก็ไม่รู้ ถาม10 คำ ตอบมาได้ คำเดียว “
“ ก็คุณถามมากขี้เกียจตอบ ”
“ โอ๊ย ....อีตาบ้าคนอะไรกวนซะไม่มี “ ฟ้าใสบ่นๆเบา แต่การิมก็ได้ยินได้แต่ยิ้มในใจ ผู้หญิงอะไรงอนเก่งจังแต่ก็น่ารัก
เมื่อทั้งหมดถึงจุดหมายปลายทางที่โอเอซิสที่จะพักค้างคืนแล้วทั้งหมดก็รวมตัวกันและจัดแบ่งที่พักกันโดยจะให้จัดนอนเป็นคู่ ซึ่งฟ้าใสได้พักกับหญิงสาวชาวอาเมริกาชื่อว่าเจน โดยช่วยกันกางเต้นท์ที่ทางไกด์ได้เตรียมให้และให้เวลากับนักท่องเที่ยวเป็นอิสระ แล้วนัดเวลาเจอกันอีกทีตอนประมาณ 6 โมงเย็นเพื่อเตรียมอาหารและเล่นกองไฟโดยจะมีการแสดงของพวกเบดูอินเกี่ยวกับการ้องเพลงและเต้นรำตามแบบเบดูอินให้ดู แต่กลุ่มนักแสดงมาถึงตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว
เมื่อถึงเวลาที่นัดหมายกันแล้วทุกคนก็มารวมตัวกัน    ฟ้าใสก็มารวมกันกับกลุ่มชาวอเมริกาซึ่งเจนได้แนะนำให้รู้จักมีโจ,แฮรี,พอลและแอนนา ซึ่งทุกคนเป็นคนน่ารัก และรู้สึกว่าโจจะมีใจให้กับฟ้าเป็นพิเศษเพราะพายามจะเอาใจฟ้าตลอดเวลาที่นั่งอยู่ด้วย
แต่ฟ้าใสก็ไม่ได้สนใจมากเพราะรู้สึกว่ามีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลา เมื่อหันกับไปก็จะเจอก็สายตาคู่หนึ่งซึ่งทำให้ใจคอไม่ดีเลยเพราะจะแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกเสียวสันหลัง ทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรทำไมตาบ้านั้นต้องมองเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อเรานะ แล้วเราทำไมต้องไปแคร์เขาด้วยนะ สักพักรู้สึกเริ่มเบื่อเลยขอตัวออกไปเดินเล่นแถวชายน้ำ นั่งเล่นสักพักใหญ่ๆก็ได้ยินเสียงคนเดินมานั่งข้างพอหันกลับไปก็เห็นนายโจเดินตามมา
“ ทำไมฟ้ามานั่งคนเดียวตรงนี้ รอผมอยู่ใช่ไหม” พอได้ยินนายโจพูดฟ้าใสก็เลยโมโห
“ พูดให้ดีๆหน่อยนะโจ ทำไมฟ้าจะต้องมารอเธอด้วย หลงตัวเองมากไปหรือเปล่า “
“ อ้าว....ก็เห็นมาคนเดียวคิดว่าจะเหงาและอากาศก็เริ่มหนาวแล้วเราก็จะได้ช่วยทำให้อุ่นไม่ชอบหรือ ไม่ต้องทำเป็นเล่นตัวหรอก ผมเห็นนะแอบส่งสายตาให้เจ้าเบดูอินสกปรกนะอยู่บ่อยๆ ชอบแบบนั้นทำไมไม่บอกจะได้จัดให้
“ พูดจบก็กระโจนเข้า ฟ้าใสตกใจมากจะตะโกนออกไปก็ไม่ถนัดเพราะมือของโจ มา ตะคุบไว้ที่ปาก แล้วก็ผลักให้ฟ้าใสล้มลงนอน ฟ้าใสเสียหลักพยายามแตะ ถีบเข้าที่ท้องของโจ แต่ไม่ถนัดเพราะอยู่ใกล้ตัวเกินไป
แต่สักครู่ร่างที่หนักๆก็รู้สึกปลิวไปตามแรงกระชากของใครบางคน และภาพที่เห็น ร่างของโจกลายเป็นเด็กไปเลยเมื่อเทียบกับร่างของการิม ถ้าแววตาสามารถฆ่าคนได้ปานนี้นายโจคงจะตายไปแล้ว โจก็โดนทั้งแตะและต่อยจนกองไปอยู่กับพื้นอย่างง่ายได้ ฟ้าใสได้แต่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก รู้สึกว่ากลัวและน้ำตามันก็ไหลออกมาเป็นสายไม่หยุด เมื่อการิมเห็นก็รีบเข้ามาประคองฟ้าใส
“ ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม ทำไมออกมาที่นี้คนเดียวมันอันตรายไม่รู้หรือ หรืออยากให้ไอ้นั้นมาหาสมใจหรือยัง “ เสียงของการิมแข็งกร้าว ตะคอกเสียงดังจนฟ้าใสกลัวไปหมด
“ คนบ้า.....คิดว่าช่วยเค้าแล้วจะมาพูดแบบนี้ได้นะ ” เสียงฟ้าใสแหบพร่าจนการิมรู้สึกผิดขึ้นก็เขาโมโหที่ไอ้บ้ามันจะมาทำร้ายฟ้าใส เลยทำให้พูดอะไรไม่คิดแล้วดูฟ้าใสในอ้อมกอดเข้าซิ ทั้งทุบทุกตีเขาจนต้องรีบรวบมือไว้เพราะไม่เช่นนั้นอาจช้ำในตายก็ได้
“ โอ๊ย...ฟ้าใสผมเจ็บนะ ผมขอโทษที่พูดอย่างนั้น นิ่งนะคนดี หยุดร้องไห้ได้แล้ว โน้นอัสซันมาแล้วเดี๋ยวผมให้เขาจัดการไอ้บ้านะก่อน “ พูดจบอัสซันก็เดินเข้า
“ การิมเกิดอะไรขึ้น ผมได้ยินเสียงก็รีบเดินมาดู “ สิ่งที่เขาเห็นคือเจ้าชายกำลังประคองกอดคุณฟ้าใสอย่างห่วงแหนและกำลังเช็คน้ำตาให้ดูอ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกับเจ้าชายของเขาเลย
“ อัสซัสพานายคนนั้นไปให้พ้นตาข้าไม่อย่านั้นมันอาจจะตายได้ส่งกลับไปเลยนะ “ เขารับคำและรีบพาร่างที่สลบไปแล้วรีบออกไป
“ไม่เป็นไรแล้วนะฟ้าใส ดีขึ้นหรือยัง อยู่ที่นี่ก่อนนะจะได้สบายใจขึ้น ถ้ากลับไปสภาพนี้เดี๋ยวคนสงสัยและถามอะไรให้วุ่นวาย “ การิมพูดพยายามตรวจดูว่าฟ้าใสได้รับอันตรายหรือเปล่า
“ ไม่เป็นแล้วค่ะ ขอบคุณคุณการิมมากนะค่ะ ” หญิงสาวค่อยๆขยับออกจากโอบกอดของชายหนุ่ม การิมก็ไม่ได้ว่าอะไร (แต่เสียดายนะ ก็ออกจะหอมขนาดนี้) นั่งสักพักการิมก็เห็นแววตาของฟ้าใสเหม่อลอยออกไป มันทำให้เขาใจไม่ดี เลยหาเรื่องมาคุยด้วยฟ้าใสจะได้ไม่ต้องคิดมาก
“ ฟ้าใสคุณอยากได้ฟังนิทานก่อนนอนไหม” ชายหนุ่มหันมาถามและยิ้มนิดทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนลงมากที่เดียวเมื่อเทียบกับเมื่อกี้ หญิงสาวหันหน้ามามองและพยายามยิ้มให้น้อยๆ
“ กาลครั้งหนึ่ง ณ. ดินแดนแห่งทะเลทรายมี แม่และลูกชายคู่หนึ่ง แม่ของเด็กน้อยพาเด็กน้อยมาเที่ยวที่ทะเลทรายและแวะพักที่โอเอซิลแห่งหนึ่ง เด็กชายจำได้ว่ามันเป็นคืนที่สวยที่สุดเมื่อเรามองออกไปทางทะเลทราย 
แสงจันทร์ได้อาบไล้ผืนทรายทำให้ทะเลทรายดูเหมือนเคลือบไว้ด้วยทองและมีสายลมอ่อนๆทำให้ชื่นใจ และพอเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ผืนฟ้าก็สีดำสนิทและมีดวงดาวมากมายจนนับถ้วน แล้วแม่เขาก็ถามเด็กชายว่า
ลูกรู้ไหมบนท้องฟ้าสมัยก่อนไม่ได้มีดวงดาวมากขนาดนี้หรอก ลูกชายตอบไม่ได้ แม่จึงเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนโลกของเราไม่ดวงดาวแต่มีดวงจันทร์ที่เป็นคู่รักกัน ซึ่งรักกันมากไม่เคยทะเลาะกันมีแต่ความรักที่มอบให้กันททั้งสองคนเปรียบเหมือนคนๆคนเดียวกันเป็นครึ่งหนึ่งของกันและกัน
ทั้งสองให้สัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่จะเกิดอะไรขึ้น วันหนึ่งสวรรค์แจ้งข่าวมาบอกว่า บัดนี้ลมได้หายไปจากโลก หากหาไม่เจอมีหวังโลกของเราคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่นอน สรรค์จึงให้ดวงจันทร์ผู้เป็นสามีออกตามหาเจ้าลมกลับมา
ฝ่ายจันทร์ภรรยาได้แต่อ้อนวอนอละร้องไห้ราวใจจะขาดไม่อยากให้จันทร์สามีไป แต่จันทร์สามีไม่สามารถขัดคำสั่งสรรค์ได้จึงต้องไปแต่ให้สัญญากับจันทร์ภรรยาว่าจะรีบกลับมาหาแน่นอน จันทร์สามีได้เดินทางตามหาสายลม เป็นเวลาหลายเดือนแต่ก็พบถามใครก็ไม่มีใครเห็นหาจนเหนื่อยและล้าลงจนพลังแสงสว่างลดลงทำให้เขาหมดสติไปในที่สุด
ทางฝ่ายดวงจันทร์ผู้เป็นภรรยา เห็นสามีของตนหายไปหลายวันก็เริ่มออกตามหา นางตามหาสามีอยู่ 2 3 วัน ก็รู้สึกเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง นางจึงคิดว่าหากนางหาอยู่เพียงลำพังคงจะไม่เจอแน่ นางจึงระเบิดตัวเองให้เป็นเสี่ยงๆ แล้วประดับอยู่ทั่วฟ้า หวังว่าจะหาดวงจันทร์สามีเจอสักวัน นางดวงจันทร์กลายเป็นดวงดาวพร่างพรายอยู่บนท้องฟ้าจนถึงปัจจุบัน ส่วนดวงจันทร์สามีหลังจากที่สลบไสลไปหลายวัน ก็รู้สึกสดชื่นตื่นขึ้นมาเพราะสายลมอ่อนๆ
ที่กระทบตัวนั่นเอง สายลมไม่ได้หายไปไหน เขาตกลงมาจากสวรรค์ แล้วหาทางกลับไม่เจอเท่านั้นเอง ดวงจันทร์รีบชวนสายลมกับสู่ท้องฟ้าเบื้องบน เมื่อทันทีที่ดวงจันทร์กลับขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาก็ไม่พบดวงจันทร์ภรรยาของเขา แต่กลับกลายเป็นดวงดาวพร่างพรายอยู่บนท้องฟ้าแทน
“ดวงจันทร์ภรรยาข้า เจ้าอยู่ไหน ข้ากลับมาแล้ว” สามีตะโกนเรียกภรรยา
“ ข้าอยู่นี่ๆ....” เสียงของดวงจันทร์ภรรยากึกก้องอยู่ทั่วท้องฟ้า ดวงจันทร์สามีก็เข้าใจทันทีว่าบัดนี้ภรรยาของเขาได้ระเบิดตัวเองเป็นดวงดาวเสียแล้ว
แม้ว่าดวงจันทร์ภรรยาจะเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้จันทร์สามีลดความรักที่มีอยู่ได้เลย และทั้งสองก็ยังได้อยู่ร่วมกันไปตลอดกาล
พอเรื่องที่เล่าจบเด็กชายก็บอกแม่ว่าสงสารดวงจันทร์และดวงดาวจังเลย แม่เลยตอบว่าไม่ต้องสงสารทั้งคู่หรอกเพราะถึงแม้ดวงจันทร์ภรรยาได้กลายเป็นดวงดาวแล้วแต่ทั้งสองก็ยังรักกันอยู่และได้อยู่ด้วยกันตลอดไปเพราะทั้งคู่เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
เด็กชายยิ้มและถามว่าเหมือนแม่กับพ่อใช่ไหมที่เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน แม่ตอบอย่างเต็มใจว่าใช่แม่เป็นครึ่งหนึ่งของพ่อเพราะแม่รักพ่อและพ่อก็เป็นครึ่งของแม่เพราะพ่อก็รักแม่เหมือนกัน เหลือแต่ลูกเมื่อโตขึ้นลูกก็จะเจออีกครึ่งหนึ่งเหมือนกัน เด็กชายมองหาแม่และถามแม่ว่าและลูกจะรู้ได้อย่างไรว่าจะพบครึ่งหนึ่งของลูก แม่ก็ตอบลูกว่า..... ลูกจะรู้ได้ด้วยตัวเอง”  พูดจบก็มองคนฟัง
“ ฟ้าใสละ ได้เจอครึ่งหนึ่งของตัวเองหรือยัง “ เวลาถามคนถามแววตาอ่อนโยน ในสายตานั้นบอกอะไรมากมายมันทำให้คนฟังรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เลยแกล้งหาว และกล่าวขอตัวก่อน พอรับหลังคนฟังการิมก็ได้แต่ยิ้มวันนี้ให้หนีไปก่อนแต่วันหลังอย่าคิดหนีเด็ดขาดฟ้าใส พูดจบการิมก็นอนลงบนพื้นและเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ผู้ชายบ้าอะไรก็ไม่รู้แทนที่จะพูดกลับใช้สายตาพูด แต่ทำไมเราต้องทำตามด้วยถ้าไม่ทำจะมีอะไรหรือเปล่าคิดในใจและมองตอบแปลกท้าทาย แต่สายตาที่มองตอบกลับมาเข้มขึ้นประมาณว่าแน่ใจนะว่าจะไม่ใส่เดี๋ยวจะใส่ให้เองอาจจะมีการทำให้เจ็บตัวก็ได้ ใส่ก็ได้ ไม่ได้ใส่เพราะกลัวหรอก(แต่ก็กลัวนิดหนึ่งนิดหนึ่งจริงๆนะ)
แต่ส่งสายตากลับไปและมองไปบนท้องฟ้าประมาณว่าที่ฉันใส่เพราะเริ่มร้อนต่างหาก เมื่อฟ้าใสใส่หมวกตามที่เค้าบอกแล้วสายตาที่เมื่อกี้แข็งกร้าวกับมีแววตาระยิบๆคล้ายกับว่าจะบอกว่านึกว่าจะแน่ จนทำให้ฟ้าใสอยากหาอะไรปาใส่แต่เจ้าตัวทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ การิม......การิม เราต้องเดินทางอีกไกลไหมแล้วทำไมเรา 2 คนถึงได้เดินช้านักคนอื่น เขาไปไกลแล้วนะเดี๋ยวตามไม่ทัน “ หญิงสาวที่นั่งอยู่ไม่สุขนักเมื่อให้เพื่อนร่วมทางคนอื่นเริ่มที่จะเดินทางเร็วขึ้นในขณะที่ตัวเองเดินเรื่อยๆ
“ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวก็ทัน “ การิมไม่สนใจแต่ก็ขยับม้าให้เร็วขึ้นอีกนิด
“ ถามอะไรก็ช่วยตอบให้หมดหน่อยได้ไหม คนอะไรก็ไม่รู้ ถาม10 คำ ตอบมาได้ คำเดียว “
“ ก็คุณถามมากขี้เกียจตอบ ”
“ โอ๊ย ....อีตาบ้าคนอะไรกวนซะไม่มี “ ฟ้าใสบ่นๆเบา แต่การิมก็ได้ยินได้แต่ยิ้มในใจ ผู้หญิงอะไรงอนเก่งจังแต่ก็น่ารัก
เมื่อทั้งหมดถึงจุดหมายปลายทางที่โอเอซิสที่จะพักค้างคืนแล้วทั้งหมดก็รวมตัวกันและจัดแบ่งที่พักกันโดยจะให้จัดนอนเป็นคู่ ซึ่งฟ้าใสได้พักกับหญิงสาวชาวอาเมริกาชื่อว่าเจน โดยช่วยกันกางเต้นท์ที่ทางไกด์ได้เตรียมให้และให้เวลากับนักท่องเที่ยวเป็นอิสระ แล้วนัดเวลาเจอกันอีกทีตอนประมาณ 6 โมงเย็นเพื่อเตรียมอาหารและเล่นกองไฟโดยจะมีการแสดงของพวกเบดูอินเกี่ยวกับการ้องเพลงและเต้นรำตามแบบเบดูอินให้ดู แต่กลุ่มนักแสดงมาถึงตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว
เมื่อถึงเวลาที่นัดหมายกันแล้วทุกคนก็มารวมตัวกัน    ฟ้าใสก็มารวมกันกับกลุ่มชาวอเมริกาซึ่งเจนได้แนะนำให้รู้จักมีโจ,แฮรี,พอลและแอนนา ซึ่งทุกคนเป็นคนน่ารัก และรู้สึกว่าโจจะมีใจให้กับฟ้าเป็นพิเศษเพราะพายามจะเอาใจฟ้าตลอดเวลาที่นั่งอยู่ด้วย
แต่ฟ้าใสก็ไม่ได้สนใจมากเพราะรู้สึกว่ามีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลา เมื่อหันกับไปก็จะเจอก็สายตาคู่หนึ่งซึ่งทำให้ใจคอไม่ดีเลยเพราะจะแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกเสียวสันหลัง ทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรทำไมตาบ้านั้นต้องมองเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อเรานะ แล้วเราทำไมต้องไปแคร์เขาด้วยนะ สักพักรู้สึกเริ่มเบื่อเลยขอตัวออกไปเดินเล่นแถวชายน้ำ นั่งเล่นสักพักใหญ่ๆก็ได้ยินเสียงคนเดินมานั่งข้างพอหันกลับไปก็เห็นนายโจเดินตามมา
“ ทำไมฟ้ามานั่งคนเดียวตรงนี้ รอผมอยู่ใช่ไหม” พอได้ยินนายโจพูดฟ้าใสก็เลยโมโห
“ พูดให้ดีๆหน่อยนะโจ ทำไมฟ้าจะต้องมารอเธอด้วย หลงตัวเองมากไปหรือเปล่า “
“ อ้าว....ก็เห็นมาคนเดียวคิดว่าจะเหงาและอากาศก็เริ่มหนาวแล้วเราก็จะได้ช่วยทำให้อุ่นไม่ชอบหรือ ไม่ต้องทำเป็นเล่นตัวหรอก ผมเห็นนะแอบส่งสายตาให้เจ้าเบดูอินสกปรกนะอยู่บ่อยๆ ชอบแบบนั้นทำไมไม่บอกจะได้จัดให้
“ พูดจบก็กระโจนเข้า ฟ้าใสตกใจมากจะตะโกนออกไปก็ไม่ถนัดเพราะมือของโจ มา ตะคุบไว้ที่ปาก แล้วก็ผลักให้ฟ้าใสล้มลงนอน ฟ้าใสเสียหลักพยายามแตะ ถีบเข้าที่ท้องของโจ แต่ไม่ถนัดเพราะอยู่ใกล้ตัวเกินไป
แต่สักครู่ร่างที่หนักๆก็รู้สึกปลิวไปตามแรงกระชากของใครบางคน และภาพที่เห็น ร่างของโจกลายเป็นเด็กไปเลยเมื่อเทียบกับร่างของการิม ถ้าแววตาสามารถฆ่าคนได้ปานนี้นายโจคงจะตายไปแล้ว โจก็โดนทั้งแตะและต่อยจนกองไปอยู่กับพื้นอย่างง่ายได้ ฟ้าใสได้แต่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก รู้สึกว่ากลัวและน้ำตามันก็ไหลออกมาเป็นสายไม่หยุด เมื่อการิมเห็นก็รีบเข้ามาประคองฟ้าใส
“ ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม ทำไมออกมาที่นี้คนเดียวมันอันตรายไม่รู้หรือ หรืออยากให้ไอ้นั้นมาหาสมใจหรือยัง “ เสียงของการิมแข็งกร้าว ตะคอกเสียงดังจนฟ้าใสกลัวไปหมด
“ คนบ้า.....คิดว่าช่วยเค้าแล้วจะมาพูดแบบนี้ได้นะ ” เสียงฟ้าใสแหบพร่าจนการิมรู้สึกผิดขึ้นก็เขาโมโหที่ไอ้บ้ามันจะมาทำร้ายฟ้าใส เลยทำให้พูดอะไรไม่คิดแล้วดูฟ้าใสในอ้อมกอดเข้าซิ ทั้งทุบทุกตีเขาจนต้องรีบรวบมือไว้เพราะไม่เช่นนั้นอาจช้ำในตายก็ได้
“ โอ๊ย...ฟ้าใสผมเจ็บนะ ผมขอโทษที่พูดอย่างนั้น นิ่งนะคนดี หยุดร้องไห้ได้แล้ว โน้นอัสซันมาแล้วเดี๋ยวผมให้เขาจัดการไอ้บ้านะก่อน “ พูดจบอัสซันก็เดินเข้า
“ การิมเกิดอะไรขึ้น ผมได้ยินเสียงก็รีบเดินมาดู “ สิ่งที่เขาเห็นคือเจ้าชายกำลังประคองกอดคุณฟ้าใสอย่างห่วงแหนและกำลังเช็คน้ำตาให้ดูอ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกับเจ้าชายของเขาเลย
“ อัสซัสพานายคนนั้นไปให้พ้นตาข้าไม่อย่านั้นมันอาจจะตายได้ส่งกลับไปเลยนะ “ เขารับคำและรีบพาร่างที่สลบไปแล้วรีบออกไป
“ไม่เป็นไรแล้วนะฟ้าใส ดีขึ้นหรือยัง อยู่ที่นี่ก่อนนะจะได้สบายใจขึ้น ถ้ากลับไปสภาพนี้เดี๋ยวคนสงสัยและถามอะไรให้วุ่นวาย “ การิมพูดพยายามตรวจดูว่าฟ้าใสได้รับอันตรายหรือเปล่า
“ ไม่เป็นแล้วค่ะ ขอบคุณคุณการิมมากนะค่ะ ” หญิงสาวค่อยๆขยับออกจากโอบกอดของชายหนุ่ม การิมก็ไม่ได้ว่าอะไร (แต่เสียดายนะ ก็ออกจะหอมขนาดนี้) นั่งสักพักการิมก็เห็นแววตาของฟ้าใสเหม่อลอยออกไป มันทำให้เขาใจไม่ดี เลยหาเรื่องมาคุยด้วยฟ้าใสจะได้ไม่ต้องคิดมาก
“ ฟ้าใสคุณอยากได้ฟังนิทานก่อนนอนไหม” ชายหนุ่มหันมาถามและยิ้มนิดทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนลงมากที่เดียวเมื่อเทียบกับเมื่อกี้ หญิงสาวหันหน้ามามองและพยายามยิ้มให้น้อยๆ
“ กาลครั้งหนึ่ง ณ. ดินแดนแห่งทะเลทรายมี แม่และลูกชายคู่หนึ่ง แม่ของเด็กน้อยพาเด็กน้อยมาเที่ยวที่ทะเลทรายและแวะพักที่โอเอซิลแห่งหนึ่ง เด็กชายจำได้ว่ามันเป็นคืนที่สวยที่สุดเมื่อเรามองออกไปทางทะเลทราย 
แสงจันทร์ได้อาบไล้ผืนทรายทำให้ทะเลทรายดูเหมือนเคลือบไว้ด้วยทองและมีสายลมอ่อนๆทำให้ชื่นใจ และพอเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ผืนฟ้าก็สีดำสนิทและมีดวงดาวมากมายจนนับถ้วน แล้วแม่เขาก็ถามเด็กชายว่า
ลูกรู้ไหมบนท้องฟ้าสมัยก่อนไม่ได้มีดวงดาวมากขนาดนี้หรอก ลูกชายตอบไม่ได้ แม่จึงเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนโลกของเราไม่ดวงดาวแต่มีดวงจันทร์ที่เป็นคู่รักกัน ซึ่งรักกันมากไม่เคยทะเลาะกันมีแต่ความรักที่มอบให้กันททั้งสองคนเปรียบเหมือนคนๆคนเดียวกันเป็นครึ่งหนึ่งของกันและกัน
ทั้งสองให้สัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่จะเกิดอะไรขึ้น วันหนึ่งสวรรค์แจ้งข่าวมาบอกว่า บัดนี้ลมได้หายไปจากโลก หากหาไม่เจอมีหวังโลกของเราคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่นอน สรรค์จึงให้ดวงจันทร์ผู้เป็นสามีออกตามหาเจ้าลมกลับมา
ฝ่ายจันทร์ภรรยาได้แต่อ้อนวอนอละร้องไห้ราวใจจะขาดไม่อยากให้จันทร์สามีไป แต่จันทร์สามีไม่สามารถขัดคำสั่งสรรค์ได้จึงต้องไปแต่ให้สัญญากับจันทร์ภรรยาว่าจะรีบกลับมาหาแน่นอน จันทร์สามีได้เดินทางตามหาสายลม เป็นเวลาหลายเดือนแต่ก็พบถามใครก็ไม่มีใครเห็นหาจนเหนื่อยและล้าลงจนพลังแสงสว่างลดลงทำให้เขาหมดสติไปในที่สุด
ทางฝ่ายดวงจันทร์ผู้เป็นภรรยา เห็นสามีของตนหายไปหลายวันก็เริ่มออกตามหา นางตามหาสามีอยู่ 2 3 วัน ก็รู้สึกเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง นางจึงคิดว่าหากนางหาอยู่เพียงลำพังคงจะไม่เจอแน่ นางจึงระเบิดตัวเองให้เป็นเสี่ยงๆ แล้วประดับอยู่ทั่วฟ้า หวังว่าจะหาดวงจันทร์สามีเจอสักวัน นางดวงจันทร์กลายเป็นดวงดาวพร่างพรายอยู่บนท้องฟ้าจนถึงปัจจุบัน ส่วนดวงจันทร์สามีหลังจากที่สลบไสลไปหลายวัน ก็รู้สึกสดชื่นตื่นขึ้นมาเพราะสายลมอ่อนๆ
ที่กระทบตัวนั่นเอง สายลมไม่ได้หายไปไหน เขาตกลงมาจากสวรรค์ แล้วหาทางกลับไม่เจอเท่านั้นเอง ดวงจันทร์รีบชวนสายลมกับสู่ท้องฟ้าเบื้องบน เมื่อทันทีที่ดวงจันทร์กลับขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาก็ไม่พบดวงจันทร์ภรรยาของเขา แต่กลับกลายเป็นดวงดาวพร่างพรายอยู่บนท้องฟ้าแทน
“ดวงจันทร์ภรรยาข้า เจ้าอยู่ไหน ข้ากลับมาแล้ว” สามีตะโกนเรียกภรรยา
“ ข้าอยู่นี่ๆ....” เสียงของดวงจันทร์ภรรยากึกก้องอยู่ทั่วท้องฟ้า ดวงจันทร์สามีก็เข้าใจทันทีว่าบัดนี้ภรรยาของเขาได้ระเบิดตัวเองเป็นดวงดาวเสียแล้ว
แม้ว่าดวงจันทร์ภรรยาจะเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้จันทร์สามีลดความรักที่มีอยู่ได้เลย และทั้งสองก็ยังได้อยู่ร่วมกันไปตลอดกาล
พอเรื่องที่เล่าจบเด็กชายก็บอกแม่ว่าสงสารดวงจันทร์และดวงดาวจังเลย แม่เลยตอบว่าไม่ต้องสงสารทั้งคู่หรอกเพราะถึงแม้ดวงจันทร์ภรรยาได้กลายเป็นดวงดาวแล้วแต่ทั้งสองก็ยังรักกันอยู่และได้อยู่ด้วยกันตลอดไปเพราะทั้งคู่เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
เด็กชายยิ้มและถามว่าเหมือนแม่กับพ่อใช่ไหมที่เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน แม่ตอบอย่างเต็มใจว่าใช่แม่เป็นครึ่งหนึ่งของพ่อเพราะแม่รักพ่อและพ่อก็เป็นครึ่งของแม่เพราะพ่อก็รักแม่เหมือนกัน เหลือแต่ลูกเมื่อโตขึ้นลูกก็จะเจออีกครึ่งหนึ่งเหมือนกัน เด็กชายมองหาแม่และถามแม่ว่าและลูกจะรู้ได้อย่างไรว่าจะพบครึ่งหนึ่งของลูก แม่ก็ตอบลูกว่า..... ลูกจะรู้ได้ด้วยตัวเอง”  พูดจบก็มองคนฟัง
“ ฟ้าใสละ ได้เจอครึ่งหนึ่งของตัวเองหรือยัง “ เวลาถามคนถามแววตาอ่อนโยน ในสายตานั้นบอกอะไรมากมายมันทำให้คนฟังรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เลยแกล้งหาว และกล่าวขอตัวก่อน พอรับหลังคนฟังการิมก็ได้แต่ยิ้มวันนี้ให้หนีไปก่อนแต่วันหลังอย่าคิดหนีเด็ดขาดฟ้าใส พูดจบการิมก็นอนลงบนพื้นและเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น