คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทสุดท้าย
ตลอดทางเดินที่จะไปยังผานกแอ่นเต็มไปด้วยหมอกยามเช้าที่ดูสวยสะอาดตา ทิวสนที่ขึ้นริมทางเห็นรำไรท่ามกลางหมอกยามเช้าดูสวยมีเสน่ห์ไปอีกแบบ อากาศก็สดชื่นทำให้อดที่จะสูดหายใจแรงๆเข้าปอดไม่ได้ ถึงแม้อากาศจะหนาวเย็นแต่ความงามตามเส้นทางก็ทำให้ลืมเรื่องความหนาวไปได้ ทั้งสองคนถ่ายรูปกันจนเพลินจนในที่สุดก็มาถึงผานางแอ่นซึ่งมีคนอยู่จำนวนมากต่างจับจองที่นั่งกันเต็มไปหมด
“ โห ทำไมคนเยอะกว่าเมื่อวานที่เราไปที่ผาหมากดูกอีกละธัน” นีรชาหันมาถามเมื่อเห็นจำนวนคน
“จุดเนี่ยเป็นจุดชมพระอาทิตย์ที่สวยที่สุด ใครมาภูกระดึงก็ต้องมาดูพระอาทิตย์ที่นี่ เราไปหาที่นั่งกันเถอะ”
บรรยากาศยามเช้าชั่งเต็มไปด้วยความสดชื่นทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนต้องห่อตัวลงเพราะความหนาวเย็นขนาดว่าใส่เสื้อมา 2 ตัวแล้วยังเย็นไปทั้งตัว แต่แล้วความหนาวเย็นก็ต้องหายไปเพราะภาพที่เห็นตรงหน้าเหมือนมีทะเลสาบสีเงินที่กำลังมีการเคลื่อนตัวน้อยๆคล้ายกับระลอกคลื่นในทะเล แทนที่จะเป็นสายหมอกที่รวมตัวกันอย่างแน่นหนา และแล้วเวลาที่ทุกคนต่างรอคอยก็มาถึงเมื่อลำแสงแรกของรุ่งอรุณกำลังมาเยือนเพื่อให้ความสว่างสดใสแก่โลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง ลำแสงสีทองอร่ามงามจับตา ค่อยๆส่องแสงแรงกล้าเพื่อละลายสายหมอกอย่างช้าๆ และแล้วท้องฟ้าก็กลับกลายเป็นสีทองอร่ามงดงามจับตายิ่งขึ้น เสียงกดชัดเตอร์ดังระรัวเพราะต่างคนต่างอยากเก็บภาพประทับใจนี่ไว้เป็นที่ระลึก ภาพความงามที่ทุกคนสามารถพบเจอกันได้ง่ายๆแต่น้อยคนนักที่จะลุกขึ้นมาดูในยามเช้า ความงามที่จะอยู่คู่กับทุกคนตลอดไป
“รชากลับกันได้แล้วพระอาทิตย์ขึ้นเต็มที่แล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่าจะได้เตรียมตัวลุยต่อ” ธันยธรณ์บอกหญิงสาวที่นั่งมองเหม่อไปดูท้องฟ้าที่ตอนนี้สว่างสดใสหมดแล้ว
“โอ.เค.ลุยต่อ” นีรชาหันมายิ้มและลุกขึ้นยืนอากาศตอนนี้กำลังสบายไม่หนาวเย็นเท่าไรแล้ว
ทั้งสองคนออกจากผานางแอ่น ขากลับธันยธรณ์พากลับอีกทาง เพราะจะได้ไปไหว้พระแก้วที่ลานวัดพระแก้วเป็นจุดที่ทุกคนที่กลับจากดูพระอาทิตย์ขึ้นจะมากราบไหว้เพื่อเป็นเป็นศิริมงคลกับตัว พระองค์สีขาวตัดกับป่าเขียวๆ บริเวณโดยรอบจะเป็นลานหินขนาดใหญ่เห็นดอกหญ้าขึ้นอยู่ตามรอบๆทำให้สวยไปอีกแบบ เมื่อทั้งสองไหว้พระเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็พากันไปทานอาหารเช้าและกลับมาที่เต็นท์เพื่อเก็บของใช้ที่จำเป็นใส่เป้ขนาดเล็กถือไปด้วยก่อนจะเดินทางกันต่อ
“รชาธันให้เลือกนะว่าจะเดินไปทางไหนจะไปทางหน้าผาหรือว่าจะไปทางน้ำตกก่อน”
“ตามใจธันแล้วกัน รชาไปไหนก่อนก็ได้”
“ธันว่าเราไปทางหน้าผาก่อนแล้วกันตอนขากลับค่อยไปทางน้ำตกดีกว่า” ธันยธรณ์พูดแล้วหยิบบุหรี่มาให้นีรชา
“ธันเอามาบุหรี่มาให้รชาทำไมรชาไม่สูบนะ ธันสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไรทำไมรชาไม่เห็นรู้เลย” นีรชาทำหน้างง
“ไม่ใช่ ธันไม่สูบหรอกไม่อยากตายเร็ว แต่ที่เอามาให้รชานะต้องการให้รชาเอาไส้ของบุหรี่มาใส่ไว้ที่รองเท้านะพวกทากจะได้มายุ่งนะไม่อย่างนั้นตอนเข้าป่ามันมาไต่ ที่ขาไม่รู้นะ” ธันยธรร์บอกและหัวเราะเบา
“ก็ไม่บอกนี่ เอามาซิรชาจะได้เอามาใส่ที่รองเท้า” พูดจบก็รีบเอามาใส่รองเท้าทันที
“ไปกันได้แล้ว” ธันยธรณ์บอกเมื่อเห็นนีรชาพร้อมแล้ว
ธันยธรณ์พานีรชาเดินมาที่ลานหินพระพุทธเมตตาบริเวณนี้จะเป็นจุดชมพันธุ์ไม้บนลานหินเช่น กระดุมเงิน เอื้องม้าวิ่ง ที่อยู่ใกล้ที่สุดเพราะห่างจากที่พักไม่ไกลนักและเป็นแหล่งที่ทุกคนจะต้องผ่านก่อนที่จะไปตามจุดต่างๆของภูกระดึง นีรชาถ่ายรูปเก็บภาพดอกไม้เล็กๆเหล่านี้อย่างสุขใจ
ธันยธรณ์ก็พาเดินต่อไปอีกจนถึงสระแก้วซึ่งอยู่ในส่วนของต้นน้ำของลำธารสวรรค์ ลักษณะเป็นวังน้ำลึกขนาดไม่กว้างนัก น้ำใสมากจนมองเห็นพื้น หินขาวสะอาด ต่อจากบริเวณสระแก้วมีทางเดินชมธรรมชาติผ่านลานหิน ซึ่งมีดอกหรีดสีม่วงอมน้ำเงินเกสรสีเหลือง ขึ้นอยู่เป็นทุ่งไปจนถึงผานาน้อยซึ่งอยู่อีกไม่ไกล อากาศตอนนี้ก็กำลังสบายๆไปร้อนเท่าใดนักทำให้การเดินไม่ลำบากและได้ดูธรรมชาติข้างทางอย่างสบายใจเพราะตลอดทางที่เดินจะมีดอกหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ธันพารชาเดินไปต่อที่สระอโนดาตซึ่งเป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นักมีต้นสนขึ้นเป็นแนวแน่นขนัด ใกล้ๆกันยังมีลานกินรีที่เป็นสวนหินธรรมชาติที่อุดมไปด้วยพรรณไม้ทั้งพวกกินแมลงอย่างดุสิตา,หยาดน้ำค้าง,หม้อข้าวหม้อแกงลิง หรือพวกเฟินก็มีให้เห็นเช่นกระปรอกสิงห์ บนหินยังมีไลเคน ขึ้นเต็มไปหมด
ธันยธรณ์ก็พาเดินย้อนกลับไปทางหน้าผา ผาแรกที่เดินไปคือผานาน้อยซึ่งตอนนี้แดดแรงขึ้นเรื่อยๆธันยธรณ์จึงเตือนให้นีรชาเอาหมวกมาใส่เพราะเดี๋ยวไม่สบาย เมื่อมาถึงผานาน้อยก็พากันนั่งพักถึงแม้จะแดดร้อนแต่ลมพัดตลอดเวลาทำให้รู้สึกสบายและคล้ายความเหนื่อยได้อย่างรวดเร็ว
“ เป็นอย่างไรบ้างรชา เหนื่อยหรือเปล่า” ธันยธรณ์ถามในขณะที่หยิบน้ำส่งให้หญิงสาวที่นั่งหน้าแดง
“ สนุกดีไม่เหนื่อยเท่าไรหรอก มีดอกหญ้าสวยๆให้ดูเยอะเลยนะถ่ายรูปจนเพลิน สงสัยกลับไปเสียเงินค่าล้างรูปจมเลย” นีรชาบอกชายหนุ่มอย่างแจ่มใส
“ โห ขนาดนั้นเชียวเดี๋ยวไปทางน้ำตกยิ่งสวยเพราะช่วงนี้ใบเมเปิ้ลกำลังสวย ป่านนี้แดงเต็มต้นหมดแล้วมั้ง”
“ อยากเห็นเร็วๆแล้วล่ะ ธันพูดทำให้ยิ่งอยากเห็นความจริงน่าจะไปทางน้ำตกก่อนนะ"
“ ใจร้อนจริง ที่ธันพามาทางหน้าผาก่อนเพราะช่วงบ่ายแดดจะร้อนมาก มาทางนี้ไม่มีที่หลบแดดนะเดี๋ยวรชาจะไม่สบาย ดูซิขนาดนี้ยังหน้ายังแดงเหมือนกุ้งต้มแล้ว” ธันยธรณ์พูดจบก็เอามือยี้หัวนีรชาเบาๆ
“ ไปกันต่อหรือยังธัน รชาอยากเห็นใบเมเปิ้ลเร็วๆนะ” นีรชาถามอย่างอารมณ์ดี
“หายเหนื่อยแล้วหรือเห็นบ่นอยู่ไม่ใช่หรือว่าเหนื่อยจะแย่” ธันยธรณ์ถามยิ้มๆกับความใจร้อนของหญิงสาว
“ แหมๆก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” นีรชายิ้มอย่างอายๆ
“ เดี๋ยวก็ได้รับรองเมเปิ้ลไม่หนีไปไหนหรอก “ ธันยธรณ์พูดแล้วก็ล้มตัวลงนอนเล่น มองขึ้นไปดูที่ท้องฟ้าที่ตอนนี้ฟ้าใสกระจ่างสีฟ้าเข้มดูงามตา เลยชวนนีรชาให้นอนดูด้วยกัน นีรชาตอนแรกก็ไม่ยอมแต่ในที่สุดก็นอนลงดูท้องฟ้าอีกคนเวลาที่มองขึ้นไปท้องฟ้าเห็นกลุ่มเมฆที่ลอยไปมาก็ชี้ชวนกันดูและบอกว่าเป็นรูปอะไรในช่วงนี้นีรชารู้สึกมีความสุขและสบายใจเป็นอย่างมาก
เมื่อทั้งสองพักกันจนหายเหนื่อยแล้วธันยธรณ์ก็ชวนกันไปต่อที่ผาเหยียบเมฆซึ่งเป็นลานหินกว้างมากเดินดูบริเวณนั้นกันซักพักก็พากันเดินไปต่อที่ผาแดง ซึ่งเดินลงจากทางเดินเล็กน้อยก็จะทำให้เห็นวิวที่สวยมาก และสามารถมองเห็นภูเรือกับภูหลวงได้ด้วย ธันยธรณ์ถามว่านีรชาหิวข้าวหรือยังเพราะใกล้จะเที่ยงแล้ว นีรชาส่ายหน้าธันยธรณ์จึงพาเดินไปผาสุดท้ายและเป็นจุดที่ทุกคนที่เดินทางมาขึ้นภูกระดึงต้องการมามากที่สุดนั้นก็คือผาหล่มสัก
บริเวณผาหล่มสักนี้มองเห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาสลับซับซ้อนในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์และเป็นจุดหนึ่งที่จะชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างชัดเจนและงดงามมาก ถ้าจะดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักต้องเตรียมเสื้อกักหนาวและไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางเดินกลับที่พักด้วย โดยจะใช้เวลาเดินกลับประมาณ 2 3 ชั่วโมงและจุดที่เป็นจุดน่าสนใจมากที่สุดของผาหล่มสักคือลานหินกว้างที่มีต้นสนต้นหนึ่งขึ้นชิดริมผา ใกล้กับชะง่อนหินที่ยื่นออกไปในอากาศทางทิศใต้เป็นจุดที่คนขึ้นภูกระดึงมักจะมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ธันยธรณ์พานีรชาไปถ่ายที่ชะง่อนหินเก็บไว้เป็นจำนวนมากและพากันไปทานอาหารบริเวณนั้นเพราะมีร้านค้าหลายร้านที่ให้บริการ
“ เป็นไงบ้างสวยสมกับที่อยากมาหรือเปล่า” ธันยธรณ์ถามในขณะที่นั่งกินข้าวกันในร้านแห่งหนึ่ง
“ สวยมากสมกับความลำบากที่จะขึ้นมาเลยเห็นอย่างนี้แล้วค่อยหายเหนื่อยหน่อย” นีรชาพูดยิ้ม
“ ดีแล้วละที่รชาชอบ “ ธันยธรณ์พูดยิ้มๆ
“ ธันแล้วทำไมไม่อยู่รอพระอาทิตย์ตกหรือ”
“ ไม่หรอกเพราะจะกลับลำบากนะดูที่ผาหมากดูกก็ได้ไม่ลำบากเท่าไรที่สำคัญไม่ไกลด้วยกลับง่ายกว่า”
“ ดีจ้ะ รชาก็ไม่ชอบเท่าไรที่จะเดินกลับมืดๆขนาดนั้นมันน่ากลัวนะ”
“ อ้าวธันก็คิดว่ารชาไม่กลัวเสียอีกเห็นเมื่อวานเดินกลับไม่บ่นสักคำ” ธันยธรณ์ทำหน้าสงสัย
“ แหมมันไม่ไกลนี่ถ้าให้เดินมืดไกลๆอย่างนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน” นีรชาพูดเบาจะให้บอกความจริงได้อย่างไรว่าที่ไม่กลัวก็เพราะมีธันยธรณ์เดินด้วยต่างหากละ
“ แหมไอ้เราก็คิดว่าเก่ง” ธันยธรณ์หัวเราะให้กับนีรชาที่ตอนนี้หน้าแดงไปหมด
“ เดี๋ยวเดินเล่นแถวนี้อีกสักพักแล้วกันค่อยไปต่อ” ธันยธรณ์ตัดบทเมื่อเห็นรชากินอิ่มแล้ว
“ ธันตรงโน้นเขามีอะไรกันหรือทำไมคนเข้าแถวยาวขนาดนั้น” นีรชาชี้ให้ธันดู
“ อ้อ ห้องน้ำนะรชาจะไปเข้าหรือเปล่า” ธันยธรณ์หันไปถาม
“ โห ทำไมคนเข้าแถวกันเยอะขนาดนั้นล่ะแต่ไปเข้าหน่อยก็ดี ธันรอรชาตรงหน้าผาก็ได้นะแถวยาวขนาดนี้รอนานแน่ ไม่ต้องรอที่นี่หรอก ธันจะได้ไปถ่ายรูปเล่นจะได้ไม่เบื่อ ” นีรชาบอกและเดินไปห้องน้ำ
เมื่อทั้งสองออกจากผาหล่มสักก็ประมาณบ่ายโมงกว่าธันยธรณ์ก็พาเดินไปทางน้ำตกสภาพป่าเปลี่ยน ไปทันทีเพราะทางหน้าผาจะมีแต่ต้นไม้เล็กๆ แต่ทางไปน้ำตกสภาพป่าจะเป็นป่าทึบที่มีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมดต้นไม้ก็มีขนาดใหญ่ทางเดินก็จะแคบเดินไม่สะดวกเหมือนกับทางเดินที่หน้าผา ถึงแม้ว่าแดดจะร้อนแต่ต้นไม้ใหญ่ก็ช่วยกรองแสงแดดทำให้ไม่ร้อนเท่าไรนัก ตลอดทางธันยธรณ์ก็จะชวนดูต้นไม้และนกที่มีอยู่เต็มไปหมดเดินกันเรื่อยๆไม่รีบร้อนพูดคุยกันจนทำให้เพลิน
ในเส้นทางที่จะมาน้ำตกถ้ำใหญ่นี้มีทางเดินบางช่วงที่เลียบข้างลำห้วยเล็กๆจะมีต้นเมเปิ้ลอยู่เป็นระยะๆตลอดทางเดินจะเห็นใบเมเปิ้ลสีแดงที่ร่วงหล่นเกลื่อนพื้นป่าเต็มไปหมดเหมือนจะลุกไหม้ได้แต่ก็ยังคงความชุ่มชื่นของป่าไม้ ลำธารสายน้ำที่ไหลผ่านสะท้อนใบไม้สีแดงดั่งลำธารลาวา เสียงน้ำไหลเซอะผ่านแก่งหินทำให้จิตใจสงบอย่างบอกไม่ถูกเหมือนเราได้ล่วงล้ำมาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต้องห้าม
“ ธัน สวยจังไม่เสียใจเลยที่ได้มีโอกาสได้มาที่นี่” นีรชานั่งพักเหนื่อยบริเวณรอบน้ำตกถ้ำใหญ่ซึ่งแม้ตอนนี้น้ำจะไม่มากเท่าใดนักแต่ความงามก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย สีเขียวก็ต้นไม้และโขดหินที่ตัดกับสีแดงของเมเปิ้ล ทำให้นีรชาถ่ายรูปเก็บไว้ได้ไม่เบื่อ
“ อืมแต่เห็นเมื่อกี้ใครบ่นนะว่าไม่น่ามาเลยเหนื่อยก็เหนื่อยไม่ถึงเสียที” ธันยธรณ์กล่าวล้อๆ
“ ไม่ได้บ่นรชาถามต่างหากว่ายังไม่ถึงอีกหรือ” นีรชาเถียงเบาๆ
“ โห..อย่างนั้นเขาไม่ได้เรียกว่าถามแล้วเพราะเห็นถามทุกๆ 5 นาที” ธันยธรณ์หัวเราะเบา
“ไม่ได้ถามบ่อยขนาดนั้น ก็แค่อยากรู้ว่าทำไมเดินตั้งนานไม่ถึงเสียทีต่างหาก” นีรชาค้อนให้ธันยธรณ์ที่เอาแต่หัวเราะ
“ แน่ยังไม่เลิกหัวเราะรชาอีกนะ...เดี๋ยวเถอะ” นีรชาส่งค้อนให้อีกและลุกขึ้นเดินไปถ่ายรูปอีกมุมหนึ่ง
ธันได้แต่ส่ายหน้าให้กับความเป็นเด็กของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นอีกมุมหนึ่งที่เขาไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก รชาไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมาง่ายๆ เห็นอย่างนี้ก็อดยิ้มคนเดียวไม่ได้และมองตามร่างบางไปตลอดเวลา ถ้ารชาหันมามองสักนิดจะเห็นว่าธันมีความรู้สึกอย่างไรเพราะมันได้แสดงออกมาทางสายตาอย่างชัดเจน
เมื่อนีรชาถ่ายรูปจนพอใจแล้วจึงชวนธันยธรณ์เดินทางต่อไปเดินไปอีกสักพักก็ไปถึงน้ำตกโผนพบซึ่งเป็นการตั้งชื่อให้เกีย ติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปื้ยนโลกคนแรกของชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก ลักษณะน้ำตกมี 8 ชั้น สูงประมาณ 30 เมตรเป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสวยงามไม่น้อยแต่ถ้ามาหน้าหนาวนี่น้ำจะไม่ค่อยมีจึงทำให้ความงามลดลงแต่ก็ทิวทัศน์รอบด้านก็สวยไม่แพ้กัน
ธันยธรณ์ก็พาเดินต่อไปจนในที่สุดก็มาถึงน้ำตกเพ็ญผาหินรูปโค้ง ใบเมเปิ้ลที่อยู่บริเวณริมน้ำตกจะร่วงหล่นลอยไปตามผิวน้ำยามแดดยามเย็นสาดส่องผ่านลงมาจะเป็นสีแดดจัดตัดกับสีเขียวขจีของตะไคร่น้ำตามโขดหินทำให้ดูสวยงามไปอีกแบบทั้งสองคนนั่งเล่นที่นี้สักพักก็เดินทางต่อเพราะตอนนี้เริ่มจะเย็นแล้วและที่สำคัญอากาศก็เริ่มจะเย็นลงเรื่อยๆ ธันยธรณ์กลัวว่าหมอกจะลงมา ทำให้เดินกลับลำบากขึ้นจึงพานีรชาเดินทางต่อไปจนถึงน้ำตกวังกวางซึ่งเป็นน้ำตกที่อยู่ ใกล้กับที่พักมากที่สุดในบรรดาน้ำตกบนภูกระดึง ลักษณะน้ำตกเป็นผาหินสูง
เมื่อทั้งสองพักกันจนหายเหนื่อยแล้วจึงพากันเดินกลับที่พักธันยธรณ์พากลับไปที่เต็นท์ก่อนเพราะจะได้ไปเตรียมตัวอาบน้ำก่อนที่จะไม่สามารถอาบน้ำได้เพราะอากาศเริ่มเย็นลงแล้ว นีรชารีบไปอาบน้ำก่อนที่จะไปกินข้าว นีรชาที่อาบน้ำเสร็จแล้วก็กำลังนั่งอยู่ในเต็นท์นั่งนวดขาอยู่ธันยธรณ์ก็เดินเข้ามาพอดี
“ เป็นไรรชาเมื่อยมากหรือ” ธันยธรณ์ถามด้วยความเป็นห่วงที่เห็นนีรชานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่
“ตะคริว มันขึ้นขารชาน่ะ .....ปวดจังเลย” นีรชาพูดเบาเพราะกำลังปวดอย่างมาก ธันยธรณ์ได้ยินดังนั้นก็ รีบคุกเข่าข้างๆหญิงสาวและช่วยบีบแรงๆให้หญิงสาวร้องลั่นด้วยความเจ็บ
“ธัน จับเบาหน่อยซิ รชาเจ็บ” นีรชาน้ำคลอ
“ทนเอาหน่อย เดี๋ยวก็หาย” ธันยธรณ์ช่วยนวดให้เบาๆ เมื่อเห็นว่าตะคริวค่อยๆหายจึงหันไปหยิบยามานวดเบาๆซ้ำอีกที่
“เป็นอย่างไรบ้างดีขึ้นหรือยัง”ธันยธรณ์ถามเสียงเบา แต่มือก็ยังนวดไปเรื่อยๆ
“ดีขึ้นแล้วจ้ะ ธันไม่ต้องนวดแล้วละเดี๋ยวรชานวดเองก็ได้” นีรชาบอกพยายามจะชักเท้าออกจากตักของชายหนุ่ม
“ดื้ออีกแล้ว ธันนวดให้มันจะเป็นอะไรละนั่งเฉยๆเถอะ” ธันยธรณ์ไม่ปล่อยและนวดต่อไปจนเสร็จ
“ขอบคุณนะรชามาเป็นตัวยุ่งของธันน่าดูเลยแทนที่ธันจะได้เที่ยวสนุกๆกับต้องมาคอยดูแลรชา” นีรชาพูดเมื่อเห็นธันยธรณ์นวดเสร็จแล้วและค่อยๆชักเท้ากลับ
“ไม่เห็นจะยุ่งเลยดีออกไม่เหงาดีมีคนพูดให้ฟังตลอดทาง” ธันยธรณ์พูดยิ้มๆ
“มาหาว่ารชาพูดมากซิ แต่รชาว่าธันนั่นแหละเป็นคนพูดไม่ใช่รชาสักหน่อย” นีรชาค้อนให้
“รู้สึกมาเที่ยวนี่รชาค้อนเก่งขึ้นนะ” ธันยธรณ์พูด
“แน่ว่าเขาอีกแล้ว ไม่พูดด้วยแล้วไปดีกว่า” นีรชาขยับจะลุกออกจากเต็นท์
“ไปก็ไปหิวข้าวแล้วซิ รู้ทันหรอกนะ” ธันยธรณ์ยักคิ้วให้
“ คนบ้า “ นีรชาว่าเบาๆและเดินไปจากเต็นท์ปล่อยให้คนที่ถูกว่านั่งหัวเราะอยู่คนเดียว
กลางดึกนีรชาค่อยๆลุกขึ้นจากถุงนอน โอ๊ยทำไมมันหนาวจังเลยเบื่อที่สุดทำไมต้องอยากห้องน้ำตอนนี้ด้วยนะ กลัวก็กลัวทำไมมันมืดอย่างนี้นีรชามองออกไปข้างนอก ธันเก็บไฟฉายไว้ไหนนะ นีรชานั่งคุกเข่าข้างๆธันยธรณ์เพื่อมองหาไฟฉาย เห็นไฟฉายอยู่อีกด้านหนึ่งจึงเอื้อมมือไปเพื่อจะหยิบไฟฉายแต่อยู่ๆเสียงธันยธรณ์ก็ดังขึ้นถามว่าทำอะไร นีรชาตกใจจนสะดุ้งสุดตัว ทำให้เสียหลักล้มทับลงบนร่างชายหนุ่ม
“ โอ๊ย รชาจะทำอะไรธันนะ” ธันยธรณ์แกล้งร้องโวยวาย
“จะบ้าหรือธันใครจะไปทำอะไรละ รชาจะหยิบไฟฉายต่างหาก” นีรชาอดหมั่นไส้ชายหนุ่มที่แกล้งร้องโวยวายจนตกใจไปหมด
“ ก็ไม่บอกคิดว่ารชาจะมาลักหลับธันนะซิ เดี๋ยวเสียความบริสุทธิ์หมด” ธันยธรณ์ทำสะบัดสะบิ้ง
“ พูดดีๆนะ รชาไม่บ้าถึงขนาดนั้นหรอกคิดอะไรลามก” นีรชาหมั่นไส้เลยฟาดไปที่แขนอย่างแรง
“ แหม ก็ตื่นขึ้นมาเห็นรชากำลังมาก้มๆเงยๆอยู่บนตัวอย่างนี้ ก็นึกว่าจะมาปล้ำเขานะซิ” ธันยธรณ์ทำเสียงเล็กเสียงน้อยและทำท่างหวงเนื้อหวงตัว
“บ้าจริงธันเนี่ย“ นีรชาหน้าแดงและค้อนให้ชายหนุ่ม
“ ล้อเล่นน่า แล้วรชาจะเอาไฟฉายไปทำอะไรละ” ธันยธรณ์เห็นนีรชางอนแล้วลุกจะไปใส่รองเท้าเพื่อจะออกไปข้างนอกก็เลยเปลี่ยนท่าที ไม่เล่นแล้ว
“ รชาจะไปห้องน้ำนะ เลยจะมาหยิบไฟฉายนะ” นีรชาพูดเบา
“ อ้าวแล้วทำไมไม่ปลุกธันละ จะไปคนเดียวได้อย่างไรมืดๆอย่างนี้” ธันยธรณ์ลุกขึ้นเพื่อจะไปเป็นเพื่อน
“ ไม่เป็นไรหรอกใกล้แค่นี้เองรชาไปคนเดียวได้ ธันนอนต่อเถอะ” นีรชาค้านแต่ธันยธรณ์ไม่ฟัง หยิบรองเท้าขึ้นมาใส่และออกไปนอกเต็นท์ก่อน
“ โอ๊ยหนาวจังเลย รชาใส่เสื้ออีกตัวนะข้างนอกหนาวมากเลย” ธันยธรณ์บอกเสียงสั่นๆ
“ เอานี้ “ นีรชาส่งเสื้อคลุมให้ธันยธรณ์อีกตัวเพราะชายหนุ่มใส่เสื้อแขนยาวเพียงตัวเดียวเวลาเข้านอนไม่รู้ว่านอนได้อย่างไรหนาวจะตายใส่เสื้อแค่ตัวเดียว
“ ขอบใจจ้ะ ไปได้” ธันยธรณ์คว้ามือของหญิงสาวไว้และเดินนำหน้า
“ทีหลังนะจะไปไหนก็เรียกธันละเป็นผู้หญิงไปคนเดียวมันอันตรายเข้าใจไหม” ธันยธรร์หันมาทำเสียงดุใส่
“ แหม ก็เห็นธันนอนกำลังสบายไม่อยากกวนนะ แล้วห้องน้ำก็อยู่ไม่ไกลด้วย” นีรชาพูดเสียงเบา
“ ไม่เป็นไรหรอก ปลุกได้ไม่ได้ลำบากอะไรเลยแต่ถ้ารชามาคนเดียวแล้วเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นธันก็แย่นะซิ ดูแลรชาแค่นี้ยังไม่ได้เลยแล้วจะไปทำอะไรได้” ธันยธรณ์พูดเสียงเบาแต่มั่นคงทำให้นีรชาอึ้งจนพูดไปออกจนไปถึงห้องน้ำ
เมื่อนีรชาเดินออกมาจากห้องน้ำเห็นธันยธรณ์กำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ผืนฟ้าเป็นสีดำสนิทถูกแต่งแต้มด้วยความสว่างสดใสของดวงดาวมากมาย เป็นภาพที่งดงามมาก
“ โห รชาไม่เคยเห็นดวงดาวที่ไหนมากขนาดนี้มาก่อน สวยจังเลย” นีรชาพูดเสียงเบา
“ ใช่ สวยมากเลย ธันชอบ ดวงดาวที่สดใสเป็นประกายดูทีไรก็ไม่เคยเบื่อ” ธันยธรณ์พูดแต่ไม่ได้มองที่ท้องฟ้าแต่กำลังมองมาที่หน้าของหญิงสาวที่กำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าและกำลังยิ้มอย่างมีความสุข
“ ธันชอบดาวดวงไหนหรือรชาเห็นว่าสวยไปหมดเลย” นีรชาถามแต่ยังเงยหน้าดูท้องฟ้าอยู่
“ ตรงหน้าธันนี่แหละ ดวงดาวที่ส่องประกายสดใสตลอดเวลาไม่ว่าจะธันจะไปทางไหนจะอยู่ใกล้หรือไกลจากดาวดวงน้อย ดาวดวงนี้ก็อยู่ในใจธันเสมอไม่เคยออกจากตรงนี้เลย” ธันยธรณ์บอกเสียงเบาแต่มั่นคง
รชาสะดุดกับคำพูดของธันจึงมองหน้าของชายหนุ่ม ทำให้เห็นดวงตาที่มองมาด้วยความรักและห่วงใย มีคนเคยบอกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ แต่แล้วสิ่งที่เห็นกัลป์ความเป็นจริงที่รับรู้ รชาควรจะเชื่อสิ่งไหนดี มันอาจเป็นเพียงการตีความเข้าข้างตัวเอง 2 3 วันที่ผ่านมารชาแสดงความรู้สึกให้ธันรับรู้มากไปใช่ไหม พรุ่งนี้เรื่องทั้งหมดจะจลลงแล้วแต่ทำไมถึงต้องทำร้ายกันด้วย ปล่อยไว้ให้เป็นความทรงจำที่ดีไม่เหรือ ไม่ต้องมาแสดงความสงสารอย่างนี้ เมื่อคิดดังนี้น้ำตาค่อยไหลออกมา
“ ธันทำไมต้องทำอย่างนี้ ทำร้ายรชาแค่นี้ยังไม่พออีกหรือต้องการให้รชาเจ็บขนาดไหนถึงจะพอใจ” นีรชาพูดเสียงสะอื้นและกลับตัววิ่งหนีโดยเร็ว
“รชา รชาฟังธันก่อนซิ“ ธันยธรณ์วิ่งตามหญิงสาวไป ทางมืดๆทำให้หญิงสาวสะดุดล้มลง ธันยธรณ์รีบวิ่งไปทันที
“รชาเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บมากไหม “ ธันยธรณ์ถามอย่างเป็นห่วง แต่นีรชาพยายามปัดมือชายหนุ่มออก
“ไม่ต้องมายุ่งกับรชา ไปให้พ้น ปล่อยรชา ปล่อย“ นีรชาเริ่มร้องไห้และพยายามขยับหนี จนชายหนุ่มต้องเอื้อมมือมาจับไหล่ก่อนดึงตัวเข้ามากอดและคอยปลอบหญิงสาวให้คลายความเศร้าลง
เมื่อนีรชาเริ่มรู้สึกตัวจะลุกขึ้น ธันยธรณ์ไม่ยอมกอดร่างบางไว้แน่น
“รชา ฟังธันก่อนนะแล้วจะทำอย่างไรกับธันก็ได้ ยอมทุกอย่างขอเพียงฟังธันก่อนได้ไหม” ธันยธรณ์ถามเสียงจริงจังแต่นีรชายังนั่งนิ่ง
“ว่าอย่างไร ฟังธันก่อนได้ไหมถ้าไม่ฟังก็จะกอดไว้อย่างนี้จนกว่าคนอื่นจะตื่นขึ้นมาเห็นเรานั่งกอดกันอย่างนี้ ธันไม่อายหรอกนะ แต่รชาจะอายไม่รู้ด้วย” ธันยธรณ์พูดเบาๆ หญิงสาวหน้างอลงอีกแต่ฝ่ายชายก็ไม่ยอมปล่อยจนในที่สุดนีรชาก็พยักหน้าน้อยๆ
“อย่างนี้ค่อยน่ารักหน่อย ไปนั่งคุยกันในเต็นท์ดีกว่านะเพราะตรงนี้มันหนาว” ธันยธรณ์ขยับตัวลุกและมือก็พยุงให้หญิงสาวลุกตาม แต่แรงปวดแปลบที่ขาทำให้เธอถึงกับเซและร้องออกมาเบาๆ
ด้วยความเป็นห่วง ธันยธรณ์เห็นดังนั้นจึงก้มลงช้อนร่างบางขึ้นมาแนบอก นีรชาออกแรงดิ้นแต่เสียงขู่ที่
ตามมาว่าจะโยนทิ้งพร้อมกับท่าทางเอาจริงของเขาทำให้นีรชารีบคว้าคอเขาไว้แน่น ทำให้ธันยธรณ์อดยิ้มออกมาไม่ได้ แต่พอสบตาดุๆ ของเธอเขาก็ต้องรีบหุบยิ้มทันที ขายาวๆ ของเขาเดินตรงไปที่เต้นท์โดยมีเธอแนบอก ร่างสูงค่อยๆ วางร่างบางลงเพื่อพยุงให้เธอได้เดินเข้าไปในเต้นท์ ซึ่งทันทีที่เข้าไปในเต้นท์นีรชาก็รีบขยับหนีไปมุมหนึ่งพร้อมกับหันหน้าหนี ธันยธรณ์ไม่ยอมง่ายๆ เขาเข้าไปนั่งใกล้พร้อมกับมือที่เอื้อมไปคว้าไหล่บางให้หันกลับมามองเขา
“เอาละเรามาพูดกันดีๆนะ ธันกำลังจะแต่งงาน” ธันยธรณ์พูดแต่นีรชาก้มหน้าลงจนชายหนุ่มต้องเอามือไปจับคางของหญิงสาวขึ้นให้มองหน้า ดวงตาของนีรชาในตอนนี้เริ่มมีน้ำตาคลอๆอยู่ซึ่งเห็นได้ชัด
“ธันจะแต่งงานกับเจ้าสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น คนที่ธันคอยมองมาตลอดไม่เคยหันไปมองใครทีไหน คนที่คอยเป็นห่วงไม่ว่าเธอจะไปทางไหนไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกลก็จะขอตามไปทุกที่ เวลาที่เธอคนนั้นมีเรื่องเดือดร้อนอะไร ก็จะอยู่ข้างๆเสมอ แต่ทำไมเธอคนนั้นไม่เคยเข้าใจเลยนะว่าหัวใจของธันนะอยู่ที่ใคร ไม่เคยรับรู้ว่าธันคิดอย่างไร การกระทำทั้งหมดที่แสดงออกมายังไม่ชัดอีกหรือ ความรักไม่จำเป็นต้องสื่อด้วยคำพูดเสมอไป ธันจึงปล่อยให้หัวใจบอกรักรชา รชาได้ยินหรือเปล่าว่ามันกำลังกระซิบว่า ผมรักคุณ “ ธันยธรณ์สบตากับนีรชาด้วยสายตาที่แน่วแน่มั่นคงในทุกคำพูด มีผลทำให้ใบหน้าของนีรชาในตนอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาช้าๆ ธันยธรณ์ค่อยๆใช้นิ้วมือเช็ดน้ำตาของหญิงสาวเบาๆ
“รชาเชื่อธันหรือเปล่า“ ธันยธรณ์ถามเสียงเบานีรชาได้แต่พยักน้อยๆ ธันยธรณ์ยิ้มและดึงร่างบางเขามากอด
“ก็ไหนพาแก้วโทรมาบอกว่าจะแต่งงานกับธันละ“ นีรชาถามเสียงสะอื้นน้อยๆ
“ก็พาแก้วเขาจะแต่งกับธันจริงๆนะซิแต่เป็นคนละธันกันนะ แฟนแก้วเขาชื่อธันยธรเป็นหนุ่มโคราชไม่ใช่หนุ่มกรุงเทพ ธันกับแก้วก็เป็นเพื่อนกันเท่านั้นไม่เคยคิดอะไรกันเลย ที่แก้วพูดถึงธันบ่อยๆนะไม่ไช่ธันคนนี้เสียหน่อย ธันคนนี้ในหัวใจมีเพียงแต่นีรชาคนเดียวเท่านั้น“ ชายหนุ่มพูดและกอดร่างบางแน่นขึ้นอีก ทำให้ใบหน้าของนีรชาหน้าแดงขึ้นมาทันทีจนชายหนุ่มอดที่ก้มลงหอมแก้มแดงนั้นไม่ได้
“ แล้วทำไมธันต้องโกหกด้วยละว่าจะแต่งงานตอนที่มาเจอกันที่ข้างล่างนะ” นีรชาหันมาเอาเรื่องเมื่อเริ่มคลายความเศร้าลงไปแล้วและคิดได้ว่าชายหนุ่มแกล้งตนเอง
“ อ้าว ธันไม่ได้บอกว่าจะแต่งเสียหน่อย รชาถามแต่ว่างานแต่งไม่ไปดูแลหรือ ธันบอกว่าไม่ไปให้พวกเขาดูกันเอง จะไปยุ่งได้อย่างไรละจริงเปล่า มันไม่ใช่งานธันเนี่ยแต่ถ้าเป็นงานของเรารับรองธันจะดูแลอย่างดี รชาไม่ต้องเหนื่อยอะไรเลยเป็นแค่เจ้าสาวที่ยืนยิ้มอย่างเดียว” ธันยธรณ์บอกหน้าตายนีรชาหมั่นไส้หยิกเต็มแรง
“ นี่ แกล้งรชาใช่ไหมไม่รู้หรือว่ารชาเสียใจแค่ไหน“ นีรชาตีแขนอีกทีให้หายแค้น
“ โอ๊ย พอแล้วไม่ทำอีกแล้วจ้า กลัวแล้ว ถ้าแต่งงานกันไปมีหวังธันใส่เสื้อแขนสั้นไม่ได้แน่” ธันยธรณ์พูดไปลูบไปที่ตรงโดนหยิกโดนตี
“ใครบอกว่าจะแต่งงานด้วยมิทราบ”นีรชาพยายามผลักร่างชายหนุ่มออกแต่ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
“อ้าว ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ ถ้าไม่แต่งกับธันแล้วรชาจะแต่งกับ ดีไม่แต่งใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็จะกอดไว้อย่างนี้แหละไม่มีวันปล่อยเด็ดขาดจนกว่ารชาจะรับปากว่าจะแต่งงานกับธัน” ธันกอดร่างบางแน่นขึ้นไปอีกและก้มลงหอมแก้มหญิงสาวอย่างแรง
“เอาซิไม่แต่งหรือจะกอดจะหอมอยู่อย่างนี้แหละ”ธันยธรณ์พูดไปหอมแก้มหญิงสาวไปด้วย
“ธัน พอแล้วไม่เอาแล้ว แต่งแล้ว”นีรชาพยายามก้มหนีแต่ไม่พ้น
“พูดดีๆซิแล้วจะปล่อย เช่นธันจ๋ารชารักธันจะแต่งงานกับธันเพียงคนเดียว”ธันยธรณ์ให้รชาพูดตามแต่นีรชานิ่ง
“ไม่ยอมพูดใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นธันไม่หอมแก้มแล้วนะแต่จะจูบเลยทีนี่”ธันกอดแน่นขึ้นและก้มลงที่จะจูบปากของหญิงสาวแทนแก้มที่เขาหอมจนช้ำไปหมดแล้ว
“ ก็ได้ๆๆๆ รชาจะแต่งงานกับธัน”นีรชาพูดเร็วๆ
“ไม่เอาพูดดีๆ หวานด้วยพูดใหม่ ธันจ๋ารชารักธันจะแต่งงานกับธันเพียงคนเดียว ต้องพูดอย่างนี้”ธันยธรณ์ย้ำและมองหน้าหญิงสาวและจะก้มลงมาอีกจนทำให้รชารีบพูดอย่างเร็ว
“รชารักธันและจะแต่งงานกับธันเพียงคนเดียว”นีรชาหน้าแดงไปหมด
“แหม พูดไม่เห็นหวานเลยแต่ไม่เป็นไรวันนี้ปล่อยไปก่อนแต่ถ้าแต่งงานกันแล้วเห็นทีต้องฝึกกันใหม่เสียแล้ว แต่ตอนนี้ขอมัดจำก่อนนะ”พูดจบธันก็ก้มลงมาจูบริมฝีปากบางอย่างที่ต้องการถ่ายทอดความรักทั้งหมดลงไปให้รชาได้รับรู้ความรู้สึกของเขาและจะได้เลิกระแวงในตัวเขาอีกต่อไป
บทส่งท้าย
นีรชาในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์กำลังยืนอยู่บนเวทีคู่กับธันยธรณ์ที่อยู่ในชุดสูทสีขาวเช่นกัน กำลังกล่าวขอบคุณแขกที่มาในงานแต่งงานของทั้งคู่โดยที่มือของชายหนุ่มจับมือของหญิงสาวไว้ตลอดเวลาเมื่อกล่าวขอบคุณเสร็จ พิธีกรก็หันมาถามว่าเจ้าบ่าวเจอกับเจ้าสาวอย่างไรและมีความประทับใจอะไรในตัวเจ้าสาว
“ผมเจอกับรชาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายแล้วครับ ครั้งแรกที่เจอ ผู้หญิงอะไรอย่างกับตัวนิ่ม ไม่ว่าจะแกล้งอะไรก็เฉย จะว่าอะไรก็เฉย แต่กลายเป็นสิ่งที่ดึงผมให้มาเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว พอมารู้ตัวอีกครั้งก็ถอนตัวถอนใจไม่ได้แล้ว สิ่งที่รชาทำให้ผมประทับใจก็คือความอ่อนหวานและความอบอุ่น เวลาที่อยู่ใกล้ๆแล้วมีความสุขถึงแม้ว่าบางครั้งจะอบอุ่นจนร้อนก็ตาม” ธันยธรณ์หันมายิ้มให้กับนีรชาซึ่งตอนนี้ยิ้มขุ่นๆและอดที่จะส่งค้อนมาให้ไม่ได้
“แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจเด็ดขาดผมขอสัญญาต่อหน้าทุกคนว่าจะดูแลดวงใจดวงนี้ของผมให้ดีที่สุด” ธันยธรณ์พูดพร้อมกับยิ้มให้กับนีรชาอย่างจริงใจ ดวงตามั่นคงและเพิ่มแรงบีบมือลงไปเหมือนกับสัญญาว่าจะทำตามที่พูดอย่างแน่นอน
“ เอาละครับฟังความในใจของเจ้าบ่าวแล้วมาฟังทางเจ้าสาวบ้างว่าเจอกันครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้างครับ” พิธีกรพูดอย่างอารมณ์ดี
“รชาเจอกับธันครั้งแรกรู้สึกว่าผู้ชายอะไรชอบมาแกล้งเราเรื่อยจนทำให้รู้สึกรำคาญ อยากจะหาอะไรตีให้หายบ้าบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ทำให้รู้ว่าเขาจะคอยอยู่ข้างๆเราตลอด เวลารชามีปัญหาอะไรก็จะคอยช่วยเหลือ ถึงแม้ว่าบ้างครั้งจะช่วยแบบแปลกๆไปนิดหนึ่งก็ตาม แต่รชาก็ดีใจที่มีธันอยู่ข้างๆเสมอ ชีวิตที่เหลือของรชาก็ขอให้อยู่ในความดูแลของธันตลอดไปค่ะ และรชาขอบคุณแขกผู้มีเกรียติทุกท่านนะค่ะที่มาในงานของเรา ถ้าผิดพลาดอะไรก็โทษธันนะค่ะเพราะเขาไม่ยอมให้รชาช่วยงานอะไรเลยนอกจากบอกว่าให้รชายืนยิ้มเฉยๆ ขอบคุณค่ะ” นีรชาหันไปยิ้มกับเจ้าบ่าวที่ต่อนี้ยิ้มกว้างขึ้น
“ เอาละครับได้ยินเจ้าบ่าวเจ้าสาวพูดความในใจกันแล้ว เพื่อนๆก็คงอยากเห็นเจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาวเพื่อเป็นพยานว่าจะรักกันตลอดไปแล้วใช่หรือเปล่าครับ” พิธีกรพูด
เสียงเพื่อนของทั้งธันยธรณ์และนีรชาต่างตะโกนและตบมือกันใหญ่เพื่อเชียร์เป็นการใหญ่ ธันยธรณ์รอจังหวะอยู่แล้วจึงหอมแก้มนีรชาอย่างรวดเร็วจนพิธีกรอดแซวไม่ได้ว่ายังไม่ได้ให้หอมเลย เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนเป็นการใหญ่ นีรชาหน้าแดงไปหมดพิธีกรเลยให้หอมใหม่ธันยธรณ์จึงหอมอีกครั้งท่ามกลางเสียงเชียร์
“ เอาละครับเมื่อเจ้าบ่าวหอมแล้วก็ต้องฝ่ายเจ้าสาวบ้างที่ต้องหอมไม่อย่างนั้นจะเป็นการลำเอียงจริงหรือเปล่าพวกเรา” พิธีกรถามเพื่อนๆอีก ก็ได้รับเสียงเชียร์เหมือนกัน นีรชาจึงต้องหอมแก้มธันยธรณ์ที่ยื่นหน้ามารออย่างเต็มที่ นีรชาหอมแก้มอย่างอายๆ แต่พิธีกรแกล้งบอกว่าไม่เห็นขออีกรอบเพื่อนๆก็ช่วยกันตะโกนอีกรอบๆ อย่างสนุกสนานแต่นีรชาจะไม่ยอม ธันยธรณ์เลยหอมแทนเรียกเสียงหัวเราะได้อีกจากเพื่อนๆ
“ ที่นี่ถึงเวลาที่เราจะทำการค้นหาว่าใครจะเป็นเจ้าสาวคนต่อไปแล้ว” พิธีกรบอกและเพื่อนเจ้าสาวนำช่อบูเก้มาให้เจ้าสาวเพื่อทำการโยนกับบรรดาเพื่อนๆที่ยังเป็นสาวโสด
“สาวๆคนไหนที่รู้ตัวว่ายังโสดมาที่หน้าเวทีได้แล้วครับจะได้รู้ว่าใครจะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป” พิธีกรเชิญสาวๆในงาน เพื่อนๆก็พากันออกมาบริเวณหน้าเวที นีรชาเห็นปลายฟ้าดึงเอื้อมดาวออกมาด้วยแต่สีหน้าของเอื้อมดาวแสดงให้เห็นว่าเขินๆ
“นีรชา โยนดอกไม้มาให้ทางนี้นะฟ้ารออยู่ “เสียงของปลายฟ้าดังกว่าเพื่อน
“งั้นรับให้ดีๆนะฟ้า“นีรชาตะโกนบอกปลายฟ้าขณะหันหลังให้กลุ่มเพื่อนๆแล้วโยนดอกไม้ให้ เอื้อมดาวรับอย่างไม่ได้ตั้งใจเพราะมัวแต่เหม่ออยู่ แต่พอรับดอกไม้ได้แล้วเพื่อนๆก็เข้าไปแสดงความยินดีกันทุกคน นีรชาหันไปมองเจ้าบ่าวที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆต่อจากนี้ไปคงไม่ต้องตามหาที่พักใจที่ไหนแล้วเพราะรชาได้พบที่พักใจของตัวเองแล้ว เพื่อนๆละค่ะได้พบที่พักใจอย่างรชาหรือยัง
ข้อมูลสถานที่ภูกระดึงได้มาจากอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
www.dnp.go.th/parkreserve/ asp/style2
ความคิดเห็น