คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2
ทั้งสองเดินไปด้วยกันพูดคุยกันไปเรื่อยๆชวนกันดูธรรมชาติรอบๆด้านเพราะป่าจะค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นระยะๆ จากป่าโปร่ง เริ่มหนาตาด้วยต้นไม้สูงใหญ่ อากาศก็เริ่มร้อนขึ้น ธันยธรณ์เตือนให้นีรชาเอาหมวกมาใส่ได้แล้วเพราะแดดเริ่มร้อนขึ้นทุกที ทั้งสองเดินผ่านที่ซำบอนเป็นที่ต่อมาแต่ไม่ได้พักเพราะไม่ห่างจากที่พักครั้งแรกเท่าใดนักก็เลยเดินต่อไปอีกจนถึงซำกกกอกเลยชวนกันนั่งพัก
“เป็นไงบ้างรชา หมดแรงหรือยังยังไม่ถึงครึ่งทางเลยนะสู้ต่อไหวไหม” ธันยธรณ์หันมามองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อและหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้หญิงสาว ซึ่งนีรชาก็ยื่นมือออกมารับไว้อย่างหมดแรง ธันยธรณ์เห็นดังนั้นจึงเช็ดหน้าของหญิงสาวให้เอง
“หมดแรงแล้วซิ ทำเป็นเก่งบอกให้พักก่อนก็ไม่เชื่อเป็นไง...ถ้าเป็นลมไปนะธันไม่ช่วยหรอกปล่อยให้นอนตากแดดไปเลยดีไหม” ธันยธรณ์เช็ดหน้าของหญิงสาวอย่างเบามือ
“ไม่ต้องมาเช็ดให้รชาเลย เช็ดเองก็ได้“นีรชาแย่งผ้าเช็ดหน้าจากมือชายหนุ่มแต่ ธันยธรณ์จับผ้าไว้แน่นทำให้นีรชาเสียหลักถลาตามมาทำให้จมูกของเธอไปกระแทกเข้าที่หน้าอกของชายหนุ่มอย่างแรงนีรชาเจ็บ จนต้องร้องออกมา
“เป็นไรหรือเปล่า ไหนขอดูหน่อยซิว่าเป็นอย่างไรบ้าง “ธันยธรณ์จับคางของหญิงสาวให้เงยขึ้นมาเพื่อจะได้เห็นชัดๆ จมูกของนีรชาเริ่มแดงขึ้นจนอดที่จะหัวเราะเบาๆไม่ได้เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่เป็นไรแล้ว เลยโดนนีรชาหยิกให้อย่างแรงที่ต้นแขนจนร้องออกมาเบาและเอามือไปลูบเบาที่ต้นแขน
“ตัวนิดเดียวทำไมหยิกเจ็บจังเลย...สงสัยจะเขียวเลยมั้งเนี่ย กลับไปคงช้ำทั้งตัวแล้ว เดี๋ยวถูกตีเดียวถูกหยิกเจ็บไปหมด” ธันยธรณ์บ่นออกมาเบาๆ
“ดีสมน้ำหน้า คนเจ็บดันมาหัวเราะ” นีรชาค้อนให้กับชายหนุ่ม
“ก็ดูซิจมูกแดงเป็นตัวตลกขนาดนั้นจะไม่ให้หัวเราะได้อย่างไร”
“แน่มาว่ารชาอีกนะยังไม่เข็ด ใช่ไหม” นีรชายกมือขึ้นทำท่าจะตีแต่ธันยธรณ์รีบลุกขึ้นทันที
“กลัวแล้วจ้า ไม่เอาอีกแล้ว เดี๋ยวไปซื้อน้ำมาให้ดีกว่ารออยู่ที่นี่แล้วกัน เฝ้ากระเป๋าไว้นะ” พูดจบก็เดินไปทางร้านค้าเพื่อจะไปซื้อน้ำให้หญิงสาวดื่ม นีรชามองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินไปแล้วก็ถอนหายใจยาว
รชาจะทนจนกว่าจะกลับได้หรือเปล่านะ ทำไมธันถึงต้องมาทำดีกับรชาถึงขนาดนี้ถ้าเกิดเผลอพูดหรือแสดงอะไรออกไปธันจะทำอย่างไรนะ รชานึกอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนทำให้นึกถึง เพลงที่ตอนนี้มันตรงกับใจมากที่สุด
ชื่นชีวัน เมื่อฉันและเธอชิดใกล้
แต่ไฉนเธอห่างฉันไปทุกที
ช่างไม่มีน้ำใจใยดี ต่อไมตรีสัมพันธ์
เริ่มแต่วันที่เราคบกันคล้ายเพื่อน
แต่ดูเหมือนมีสิ่งเร้าใจไหวหวั่น
ปล่อยให้รุมสุมทรวงนานวัน
เปลี่ยนเป็นฉันรักเธอ
*ไม่เคยเผยความในใจ
หากวันใดเผยใจกลัวเก้อ
เฝ้าคอยแต่หลงละเมอ ยามเมื่อเธอห่างไป
อยากให้เธอได้มองเห็นใจฉันหน่อย
แต่เพียงน้อยคือหนึ่งมิตรเคยชิดใกล้
จะคู่ควรเสมอเธอเพียงใด
สุดแต่ใจของเธอ (ซ้ำ*)
เพลงหนึ่งมิตรชิดใกล้ ของอัสนี-วสันต์
เมื่อทั้งสองพักดื่มน้ำจนหายเหนื่อยก็พากันเดินทางต่อ ทางเดินก็ลำบากขึ้นเรื่อยๆ จุดต่อไปคือพร่าน พรานแป ทั้งสองตัดสินใจไม่พักเดินกันต่อไปจนผ่านซำกกหว้า ธันยธรณ์บอกว่าไปกินข้าวกันที่ซำกกโดนดีกว่า แต่ก็ได้นั่งพักกันเป็นระยะๆ ตลอดทางเพราะเขาไม่ต้องการรีบเร่งอะไร กลัวนีรชาจะไปไม่ไหว
ในที่สุดทั้งสองก็มาพักกินข้าวที่ซำกกโดนที่นี่มีวิวที่สวยที่สุดในจำนวนบรรดาซำทั้งหลาย เมื่อกินข้าวเสร็จก็มาที่จุดชมวิว ลักษณะของจุดชมวิวเหมือนกับได้ยืนอยู่บนหน้าผามองไปได้ไกลสุดสายตาท้องฟ้าสีครามสว่างสดใส เมฆเคลื่อนตัวน้อยๆ เล่นกับสายลมที่พัดอยู่ตลอดเวลา ทำให้คลายความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี มองลงไปข้างล่างต้นไม้แน่นขนัดเสมือนพรมสีเขียวขนาดใหญ่จนอยากจะเดินลงไปนอนเล่น
ธันยธรณ์ขอให้คนแถวนั้นช่วยถ่ายรูปคู่ไว้ เมื่อพักกันจนหายเหนื่อยแล้ว ธันยธรณ์ก็พานีรชาเดินต่อไปอีกจนถึงซำสุดท้ายคือซำกกแคร่ ทางเดินในช่วงนี้ จะเป็นส่วนที่ลำบากที่สุดเพราะเป็นทางชัน บ้างช่วงก็ต้องปีนขึ้นไป ธันยธรณ์จับมือนีรชาและช่วยดึงให้ขึ้นไป จนในที่สุดทั้งสองก็มาถึงหลังแปซึ่งเป็นจุดสุดท้ายของการปีนภูเป็นจุดที่บอกให้รู้ว่าได้มาถึงยอดแล้ว ทุกคนจะมารวมตัวกันเพื่อถ่ายรูปกับป้ายที่มีขนาดใหญ่ว่า “ข้าคือผู้พิชิตภูกระดึง”
“ในที่สุดก็ถึงเสียที เป็นไงบ้างรชา สนุกไหม” หันไปมองหน้าของนีรชาที่บัดนี้มีแต่รอยยิ้ม
“รชาทำได้แล้ว..ในที่สุดก็ถึงเสียที “นีรชาหันไปมองรอบๆ
“ยังไม่ถึงหรอก ต้องเดินไปที่พักอีกประมาณ
“หา!!! ต้องเดินต่ออีกหรือเนี่ย โอ๊ยรชาไม่ไหวแล้วนะ” นีรชาทรุดนั่งลงกับพื้น จนชายหนุ่มอดที่จะหัวเราะไม่ได้กับท่าทางของหญิงสาวที่หมดแรงตรงหน้า
“เอาน่า ไหนๆมาแล้ว เดินอีกนิดเดียว ทางไม่ลำบากเป็นทางเดินเรียบๆ ไม่ได้เป็นทางชันหรือต้องปีนกันอีกแล้วเดินสบายๆ ตอนนี้เรามานั่งพักกันก่อนแล้วค่อยไปถ่ายรูปที่ป้าย จะได้รู้ไงว่าเรามาพิชิตภูกระดึงแล้ว แต่ว่าเราไปนั่งกันตรงโน้นดีกว่ามีร่มอยู่นิดหน่อยตรงนี้มันร้อน“พูดจบก็ฉุดมือนีรชาให้ลุกขึ้นแล้วพาไปนั่งที่ร่มๆ
“ดูหน้าซิ มาธันเช็ดให้สงสัยเอามือที่เปื้อนๆมาเช็ดหน้าซิ ถึงได้ดำไปหมดดูไม่ได้เลย” พูดจบหยิบผ้ามาเช็ดหน้าให้หญิงสาวที่ทำหน้างอเพราะถูกว่า
“ว่าแต่เขาตัวเองก็เหมือนกันแหละ ดูได้ที่ไหน “นีรชาพูด
“งั้นเหรอ เช็ด ให้หน่อยซิมองไม่เห็น” ธันยธรณ์ส่งผ้าเช็คหน้าให้และก้มใบหน้าลงมาจนใกล้ และจ้องหน้าของหญิงสาวด้วยดวงตาที่เป็นประกายสดใสมีแววระยิบระยับไปหมด จนนีรชาหัวใจเต้นแรงและไม่กล้าสบตาด้วยจึงรีบเช็ดหน้าให้อย่างเร็วๆเพราะกลัวว่าธันจะได้ยินเสียงหัวใจที่มันดังมากจนเหมือนจะระเบิดออกมา
“เสร็จแล้ว เอาหน้าธันออกไปได้แล้วเหม็นเหงื่อจะตาย” นีรชารีบพูดและขยับหนี
“โห..ว่าธันเหม็นหรือไม่นะ “ธันยธรณ์ก้มลงดมตัวเองอย่างไม่แน่ใจว่ามีกลิ่นตัวหรือเปล่าแต่พอเงยหน้ามองไปที่นีรชาที่กำลังหัวเราะเบาๆอยู่ก็อดหัวเราะไม่ได้
“หลอกกันเนี่ย” ธันยธรณ์พูดจบก็ดึงนีรชาเขามาใกล้และแกล้งยกแขนขึ้นให้นีรชาดมเสียเลย หญิงสาวพยายามผลักออกและหัวเราะจนหมดแรง
“โอ๊ย ธันพอแล้วรชาหัวเราะจนเหนื่อยแล้วนะเดียวขาดใจตายกันพอดี”
“สม อยากว่าดีนักเป็นไงหอมไหม”
“พอแล้ว ไม่เหม็นก็ได้ปล่อยเถอะ”นีรชาพูดไปหัวเราะไปจนจะขาดใจธันยธรณ์ถึงได้ปล่อย เพราะเห็นหน้าของหญิงสาวแดงไปหมดเนื่องจากหัวเราะมากเกินไป จึงหันไปหยิบน้ำดื่มมาให้
“เอาดื่มน้ำก่อนเดียวได้ขาดใจตายจริงๆหรอก ดูซิยังไม่เลิกหัวเราะอีก” ธันยธรณ์ส่ายหน้า
“ไปถ่ายรูปกันที่ป้ายดีกว่าจะได้เอาไปอวดเพื่อนๆว่าเราขึ้นภูกระดึงได้สำเร็จ” ธันยธรณ์ชวนนีรชาลุกขึ้นเมื่อนั่งพักกันจนหายเหนื่อยแล้ว
ทั้งสองคนเดินไปที่ป้ายขนาดใหญ่ถ่ายรูปกันอย่างสนุก ธันยธรณ์ไปขอให้เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งช่วยถ่ายรูปคู่ให้เสร็จ ก็วิ่งมาที่นีรชายืนอยู่
“ยืนชิดกันหน่อยครับพี่ “เด็กหนุ่มตะโกนบอกมาเมื่อถ่ายรูปแรกที่อยู่คนละฝั่งป้ายไปแล้ว
“ได้เลยน้อง “ธันยธรณ์ตะโกนบอกเดินเข้ามาเอามือมากอดไหล่นีรชาดึงให้มาชิดเพิ่มขึ้นอีกหน่อย นีรชาในตอนแรกก็ตกใจเพราไม่คิดว่าธันยธรณ์จะเข้ามาชิดและกอดไหล่แบบนี้
“พี่ผู้หญิงยิ้มหน่อยครับเดี๋ยวรูปไม่สวยนะ แต่พี่ผู้ชายไม่ต้องยิ้มมากขนาดนั้นก็ได้” เด็กหนุ่มล้ออย่างสนุกทำให้ธันยธรรณ์อดที่จะขึงตาส่งมาให้ไม่ได้
“ ทะลึ่งแล้วไอ้น้อง รีบถ่ายเลยแต่ถ้าถ่ายไม่ดีมีเรื่องนะ” ธันนธรณ์พูดอย่างอารมณ์ดีและกระชับมือแน่นขึ้นนีรชาเงยหน้าขึ้นมองพอดีกับธันยธรณ์ก้มมามองพอดีและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ เรียบร้อยแล้วนะครับ มองกันอยู่ได้ทำให้คนเขาอิจฉานะครับ” เด็กหนุ่มร้องตะโกนพร้อมหัวเราะอย่างสนุก ทำให้ทั้งสองคนต่างพากันเขิน นีรชารีบขยับตัวออกจากอ้อมแขน ธันยธรณ์ได้แต่ถอนหายใจเบาๆก่อนที่จะเดินไปที่เด็กหนุ่มหน้าทะเล้นที่กำลังรออยู่
“ ขอบใจมากน้องชาย” ธันยธรณ์ขอบใจและขยิบตาให้ พลางหันไปทางนีรชาถามว่าจะไปกันต่อเลยหรือเปล่า
“จ้ะ..ไปกันต่อเลยถ้าเหนื่อยตรงไหนก็พักตรงนั้นแล้วกัน”
“ใส่หมวกด้วยละ ช่วงนี้แดดจะร้อนมากไม่มีที่ให้หลบแดดหรอก” ธันยธรณ์พูดจบก็นำหน้าพานีรชาเดินกันต่อ
“เป็นอย่างไรบ้างรชา ร้อนมากหรือเปล่า ดื่มน้ำไหม “ธันยธรร์หันไปถามรชาเมื่อพากันเดินไปได้พักใหญ่ๆ
“พอไหวแต่อีกไกลหรือเปล่าธัน “นีรชาถามด้วยความเหนื่อยอากาศก็ร้อนมากไม่มีที่หลบแดดเลย
“อีกไม่ไกลหรอกรชา ทนหน่อยพอถึงที่พักก็สบายแล้ว นั่งเล่นนอนเล่นก็ได้ เย็นๆธันจะพาไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก รับรองสวยไม่แพ้ที่ผาล่มสักแน่นอน “
“แล้วมันไกลไหมเนี่ยไอ้ผาหมากดูกของธันนะ แค่เนี่ยรชาก็จะไม่ไหวแล้ว” นีรชาบ่นเสียงอ่อย
“ไม่ไกลหรอกห่างจากที่พักประมาณ 2 กิโลเอง”
“หาต้องเดินอีกหรือเนี่ย....รู้อย่างนี้ไปที่อื่นดีกว่า เฮ้อ” นีรชาบ่นเบาๆ
“นั่นซิ...ธันก็สงสัยเหมือนกันว่ารชาเลือกมาที่นี่ทำไม รชาไม่ใช่คนที่สมบุกสมบันเท่าไร” ธันยธรณ์มองหน้าหญิงสาวที่แดงระเรื่อจากความร้อน
“มันเป็นความฝันนะเห็นในรูปดูแล้วมีแต่ที่สวยๆ พระอาทิตย์ยามเย็นและตอนเช้าสวยมาก” นีรชาบอกเสียงใส
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องบ่นใกล้จะถึงแล้ว พักสักหน่อยกินข้าวแล้วค่อยไปต่อ ถึงตอนนั้นรชาก็มีแรงไปต่อแล้ว” ธันยธรณ์ยื่นมือไปให้นีรชาจับแล้วดึงมือเพื่อกระตุ้นให้เดินเร็วขึ้น
ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงจุดที่พัก ธันยธรณ์ให้นีรชานั่งรออยู่แล้วก็เดินไปติดต่อขอรับเป้คืนที่จุดนัดรับของที่ลูกหาบเอาขนของขึ้นมาก่อนแล้ว ธันยธรณ์มองหาเจ้าเก่งที่ขนของขึ้นมาให้ เก่งเห็นก็รีบเดินตรงมาหาทันที
“สวัสดีครับพี่รูปหล่อแล้วแฟนพี่ละไปไหนแล้วทิ้งไว้ตรงไหนเดียวผมจะไปรับให้ก็ได้นะ” เก่งทำหน้าทะเล้น
“แหม...ทะลึ่งนะเรา พี่ให้นั่งรออยู่ตรงโน้นหมดแรง เดินไม่ไหวแล้ว” ธันชี้ไปทางที่นีรชานั่งรออยู่
“ทำไมพี่ไม่อุ้มพี่คนสวย เป็นผมหน่อยไปได้จะแบกขึ้นมาเลย น่ารักขนาดนั้น “เก่งทำท่างทะเล้น
“ฮะๆๆๆ แนะนำดีนะเรา พูดมากไปแล้วมาดูของดีกว่าพี่จะได้จ่ายเงินที่เหลือให้และจะแถมพิเศษให้ด้วยถ้าข้าวของพี่ไม่เสียหาย เราจะได้กลับบ้านซะที อีก 2วันประมาณสัก 9.00 โมงเช้ามารับพี่แล้วกันจะได้ให้ช่วยหาบของลงไปอีก”ธันยธรณ์พูด
“ได้ครับพี่สุดหล่ออีก 2 วันผมจะมารอพี่ที่นี่นะครับ”
“ฮืมม์ ได้” ธันยธรณ์ตรวจดูข้าวของเรียบร้อยแล้วก็แบกเป้ของตัวเองกับของนีรชาเดินไปหาหญิงสาวที่นั่งรออยู่ด้านนอก เมื่อมาถึงนีรชาก็จะช่วยถือของธันยธรณ์บอกว่าไม่ต้องและพาเดินไปหาจุดที่จะกางเต็นท์ ธันยธรณ์เลือกบริเวณที่คนกางเต็นท์ไม่มากนัก
“เอาแถวนี้แล้วกันนะรชา ไม่ไกลจากห้องน้ำมากนักแต่ก็ไม่ใกล้เท่าไร กลิ่นห้องน้ำจะได้ไม่มารบกวนและคนไม่ต้องเดินผ่านไปผ่านมาให้วุ่นวายด้วย” ธันยธรณ์อธิบาย
“จ้ะ อย่างไรก็ได้ไม่เป็นปัญหา ธันจะให้ช่วยอะไรหรือเปล่าแต่รชากางเต็นท์ไม่เป็นนะแต่ถ้าบอกวิธีก็จะช่วย”
“ไม่ต้องหรอก ธันทำคนเดียวได้ไม่ลำบากอะไรรชานั่งพักก่อนก็ได้ตรงโน้นนะ จะได้ไม่ต้องมาตากแดดเดี๋ยวจะไม่สบาย หรือไม่ก็ไปอาบน้ำก่อนจะได้สบายตัว อีกสักพักอากาศจะหนาวจนทำให้อาบน้ำไม่ได้นะ” ธันยธรณ์ยิ้มให้และก็หยิบเอาเต็นท์ออกมากาง
“ดีเหมือนกันงั้นรชาไปอาบน้ำก่อนนะ” นีรชาหยิบข้าวของที่จะใช้ เดินไปทางห้องน้ำที่มีกลุ่มคนกำลังเข้าแถว
“จ้ะ กลับมารับรองธันกางเต็นท์เสร็จแน่นอน” ธันยธรณ์ตะโกนบอกตามหลังหญิงสาวและก้มหน้าก้มตาทำงาน
เมื่อนีรชาเดินกลับมาด้วยความสดชื่นเพราะได้อาบน้ำจนทำให้รู้สึกสบายตัว เดินมาถึงก็เห็นธันยธรณ์กางเต็นท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่พักของทั้งสองคนมีต้นไม้ไม่ใหญ่มากอยู่ข้างๆ ธันยธรณ์กำลังเอาเชือกฟางที่เตรียมมาผูกเป็นราวตากผ้าง่ายๆ
“อ้าวมาแล้วหรือ คนเยอะไหมที่ห้องน้ำนะ...เอาผ้าเปียกๆมาตากไว้ที่นี่เลยแล้วกัน “
“จ้ะ ธันรอบคอบจัง รชากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรกับผ้าเปียกแบบนี้ คนยังไม่ค่อยเยอะเท่าไรหรอกแต่คิดว่าอีกไม่นานคงเยอะนะเพราะที่เดินผ่านมาเห็นกำลังตั้งเต็นท์กันอยู่พอเสร็จคงไปห้องน้ำกันเป็นแถว”
“งั้นธันรีบไปดีกว่าไม่อย่างนั้นคงต้องรอนานแน่ รชาเอาของเข้าไปเก็บในเต็นท์เลยนะ”พูดจบก็เดินไปทางห้องน้ำ
รชาก็เก็บของเข้าเต็นท์และจัดวางของให้เรียบร้อยแล้วเดินออกมานั่งเล่นอยู่หน้าเต็นท์ อากาศตอนนี้ก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ พักสักธันยธรณ์ก็เดินกลับมา
“เป็นไงบ้างธันหนาวเปล่า รชาว่าอากาศเริ่มเย็นแล้วนะ โชคดีที่ธันบอกให้ไปอาบน้ำก่อนไม่อย่างนั้นอาจได้ซักแห้งแน่” นีรชาซึ่งในตอนนี้เอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่แล้วเพราะอากาศเริ่มเย็นลง
“ก็ยังไม่หนาวเท่าไรหรอกแต่อีกสักพักรับรองว่าเย็นมาก พอพระอาทิตย์ตกดินเมื่อไรนะจะนั่งสั่นเลยแหละพูดที่เป็นไอเลยนะ อยู่กรุงเทพไม่มีทางหรอก แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะแต่ละคนที่มาพักที่นี่จะก่อไฟกัน เดี๋ยวนี้ทางอุทยานห้ามก่อไฟแล้ว” ธันยธรณ์อธิบายให้นีรชาฟังในขณะที่เอาผ้าไปตาก
“อ้าวทำไมละธันเขาถึงไม่ให้ก่อไฟ” นีรชาถาม
“อ้อ...มันอาจทำให้ไหม้ได้นะแล้วที่สำคัญนะคนที่มามักจะไปเก็บกิ่งไม้มาก่อไฟนะซิ บ้างคนเล่นไปตัดต้นไม้เลย เขาก็เลยสั่งห้ามแต่ถ้าใครจะทำอาหารกินกันเองก็ต้องเอาเตาปิกนิกมาใช้แทน แต่ถ้าไม่ได้เอามาก็ไปเช่าที่ร้านค้าก็ได้แต่ธันว่าซื้อกินง่ายกว่าเยอะ”
“นั่นซิ เห็นด้วยซื้อกินง่ายกว่า พูดถึงรชาก็เริ่มหิวแล้วละ กินเมื่อกลางวันนิดเดียวเหนื่อยมากไปทำให้กินไม่ลงแต่ตอนนี้เริ่มหิวแล้วละ” นีรชาพูดพลางเอามือลูบท้อง
“เอาซิ เดียวธันหยิบกระเป๋าก่อน กินเสร็จแล้วว่าจะพาไปดูพระอาทิตย์ตกดินแล้วกัน ไปนั่งเล่นที่ผาหมากดูกก่อนก็ได้จะได้ถ่ายรูปไว้ก่อนที่แสงจะหมด” ธันยธรณ์เข้าไปในเต็นท์และหยิบของออกมาใส่เป้เล็กๆของเขาก่อนจะออกมาสมทบกับนีรชาที่นั่งเล่นอยู่ข้างนอก
“ไปได้แล้ว เดี๋ยว เป็นลมไปจะเดือดร้อนธันเปล่าๆ” ธันยธรณ์ยื่นมือไปให้นีรชาจับเพื่อจะฉุดให้ลุกขึ้น
ทั้งสองเดินไปที่ร้านอาหารที่มีอยู่มากมาย หาอะไรกินกันง่ายๆเมื่อเรียบร้อยก็พากันเดินไปที่ผาหมากดูก ซึ่งก็มีกลุ่มคนเริ่มทยอยเดินกันไปเรื่อยๆ
“คนไปดูพระอาทิตย์ตกเยอะเหมือนกันนะธัน” นีรชาถามขณะที่เดินมาถึงผาหมากดูกและหาที่นั่งกันเรียบร้อยแล้วตอนนี้อากาศเย็นลงเรื่อยๆจนรู้สึกหนาวจนต้องกอดอกเอาไว้
“อากาศดีจริงๆนะรู้สึกสดชื่นจังเลย รชาว่าไหม” ธันยธรณ์หันไปมองรชาที่นั่งข้างๆเห็นรชากำลังกอดอกอยู่
“หนาวหรือรชา เอาเสื้อธันไปใส่อีกตัวไหม” ธันยธรณ์หยิบเสื้อออกจากเป้ที่เตรียมมาส่งให้กับรชา
“ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวธันก็หนาว เอาไว้ใส่เองดีกว่า” นีรชาพูดช้าๆมองไปที่ท้องฟ้า
ความงามของท้องฟ้าในตอนนี้ดูมีเสน่ห์และมีมนต์ขลังอย่างประหลาด ท้องฟ้าได้กลายเป็นสีส้มอมแดงหรือชาวบ้านเรียกกันว่าผีตากผ้าอ้อม ดูนวลตาทำให้จิตใจพลอยสงบและรู้สึกสบาย จนไม่อาจละสายตาไปไหนได้ สายลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว จนอดที่จะสั่นไม่ได้เมื่อเวลาลมพัดมาทีหนึ่ง ทำให้คนที่นั่งข้างๆอดเป็นห่วงไม่ได้
“ธันว่ารชาใส่เสื้อดีกว่านะ “พูดจบธันยธรณ์ก็เอาเสื้อคลุมให้กับร่างบางที่นั่งมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าไปในกี่ไม่กี่นาทีข้างหน้าแล้ว
“ธันไม่หนาวหรือถ้าเอามาให้รชานะ” นีรชาหันมามองหน้าคนที่กำลังใส่ให้อย่างอ่อนโยน
“ธันนะชอบอากาศหนาว ไม่เหมือนรชาหรอกนั่งแป๊บเดียวเองปากซีดแล้วดูซิ”
“ขอบคุณนะ” นีรชาพูดเบาๆ
“ทำไมต้องมาขอบคุณเรื่องเล็กๆน้อยๆด้วยละไม่เห็นมีอะไรเลย ธันเองก็ไม่ได้หนาวซักหน่อย แต่ถ้าหนาวจะมาเอาคืนแล้วกันนะ” ธันยธรณ์พูดแบบสบายๆและนั่งลงตรงข้างๆ
มองดูที่ท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับไปในไม่ช้าและหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายรูปอย่างตั้งใจและหันไปถ่ายรูปนีรชาขณะที่กำลังเผลอ
“เอาอีกแล้วนะ ทำไมชอบถ่ายตอนที่รชาเผลอนักนะ ถ้ารูปออกมาน่าเกลียด นะธันตาย” นีรชาทำเสียงจริงจัง
“น่ากลัวซะไม่มีเลยนะ อย่างรชานะจะทำอะไรได้ตัวนิดเดียวยังไม่ถึงครึ่งของธันเลย” ธันยธรณ์หัวเราะแต่แล้วก็ต้องหยุดหัวเราะกะทันหันเพราะมือเล็กๆของสาวน้อยตรงหน้าหยิกอย่างเต็มแรงที่ต้นแขนข้างเดิมที่พึ่งโดนหยิกตอนเมื่อช่วงเย็น
“โอ๊ย!! ไม่เอาแล้วกลัวแล้วจ๋า ลืมไปว่ารชามือหนักหยิกเจ็บจะตายไป” เอามือลูบบริเวณที่ถูกหยิบไปมา
“สม ไหนบอกว่าไม่กลัวไง” นีรชาหันไปยิ้มๆให้
“สงสัยต่อไปคงลายไปทั้งตัวแน่ ถ้าแต่งงานกัน” ธันยธรณ์พูดเบาๆทำให้นีรชาได้ยินไม่ถนัด
“ธันพูดอะไรนะรชาได้ยินไม่ถนัด” นีรชาถามอย่างงง
“ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อยแค่บ่นว่าเจ็บเฉยๆ” ธันยธรณ์รู้ตัวว่าเผลอพูดไปก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไปถ่ายรูปกันตรงโน้นดีกว่านะ จะได้เก็บหลายๆมุม” ธันยธรณ์ลุกขึ้นและดึงหญิงสาวให้ลุกตาม
“ไม่ได้ยินก็แล้วไปแต่อย่าให้รู้นะว่าอะไร ไม่อย่างนั้นต้องโดนหนักกว่าเก่าแน่” นีรชาหันมาคาดโทษ ธันยธรณ์รีบยกมือขึ้นเสมอบ่าเหมือนประกาศยอมแพ้
ทั้งสองคนผลัดกันถ่ายรูปอย่างสนุกสนานและก็ขอให้คนบริเวณนั้นช่วยถ่ายรูปคู่ให้จนพอใจก็พากันมานั่งเล่น เพื่อดูพระอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าส่องแสงสีส้มอมแดงฉาบไปทั่วขอบฟ้าและเริ่มอ่อนแสงลงทุกขณะเมื่อความมืดเริ่มคืบคลานเขามาทดแทนลมก็พัดแรงขึ้นเลยๆจนทวีความหนาวเย็นเพิ่มมากขึ้น
“จะนั่งดูดาวต่อหรือเปล่า” ธันยธรณ์ถามนีรชาที่กำลังมองไปข้างหน้าอย่างเพลินๆ
“ไม่แล้วละกลับกันเถอะอากาศเย็นมากขนาดนี้ขืนนั่งต่อมีหวังธันแข็งตาย” นีรชามองหน้าของชายหนุ่ม
“บอกว่าไม่หนาว” ธันยธรณ์พยายามพูดให้หญิงสาวสบายใจแต่นีรชาเอื้อมมือมาจับที่มือของชายหนุ่ม
“นี่นะไม่หนาวดูซิ มือเย็นขนาดนี้ ไปกันเถอะกลับกันดีกว่าเดี๋ยวไม่สบายแล้วมันจะยุ่ง” นีรชาดึงมือชายหนุ่มขึ้น
“เอากลับก็กลับ คนก็เริ่มทยอยกลับกันแล้ว” ธันยธรณ์หันไปหยิบเป้และหยิบไฟฉายขึ้นมา
“ธันรอบคอบจังเลยดูซิเอาไฟฉายมาด้วย คิดว่าจะเดินกันมืดๆเสียอีก” นีรชายิ้ม
ธันยธรณ์หันไปจับมือหญิงสาวแน่นและพาเดินไปด้วยกันนีรชาตอนแรกว่าจะดึงมือออกแต่ธันยธรณ์ไม่ยอมปล่อย
“จับมือไว้ มันมืดมองไม่เห็นพวกรากไม้เดียวล้มลงไปขาเจ็บจะลำบาก” ธันยธรณ์หันมาบอก
“แหมๆ เห็นรชาซุ่มซ่ามไปได้” นีรชาสะบัดเสียงเล็กน้อย
“ไม่ได้เห็นแต่ระวังไว้ดีกว่าไปเถอะ อีกอย่างนะจะได้อุ่นด้วย ไหนรชาบอกว่ามือของธันเย็นไม่ใช่หรือ”
ทั้งคู่พากันเดินไปไม่รีบร้อน อากาศหนาวเย็นลงเรื่อยๆ หมอกเริ่มจับตัวกันหนาขึ้นทำให้มองไม่เห็นทางเดิน และกลุ่มคนที่เดินนำหน้าก็มองไม่เห็น
รชามองไปรอบๆเห็นแต่หมอกขาวเต็มไปหมดทำให้รู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่ดีที่มีมือของคนที่เธอรักและไว้ใจจับกุมไว้แน่น มันทำให้อบอุ่นและคลายความกลัวลงได้ อยากจะจับมือนี้ไว้ตลอดไป แต่แล้วความรู้สึกก็ต้องสะดุดลงเพราะรู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนี้ ทำให้รู้สึกเกลียดตัวเองเหลือเกิน ที่อยากจะทอดเวลาไปอีกให้นานแสนนานหรือไม่ก็อยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ เหลือเวลาอีกเพียงเล็กน้อยแล้วซิที่จะได้อยู่ด้วยกัน ต่อไปคงไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธันอีกแล้ว
“เดินดีๆนะไม่เห็นทางอย่างนี้ จับมือธันไว้แน่นก็ได้ถ้ากลัวล้มนะ” ธันยธรณ์บอกเสียงอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรหรอกธันเดินดีๆแล้วกันระวังด้วยไม่ต้องห่วงรชาหรอก” นีรชาพูดเบาๆ อากาศเย็นลงเรื่อยๆแถมลมแรงอีกต่างหากทำให้หนาวเพิ่มขึ้น
“ธันหนาวเปล่าเอาเสื้อคืนไปเถอะ อากาศเย็นขนาดนี้” นีรชาถามเสียงเบา
“ไม่เป็นไรหรอกเดียวก็ถึงแล้ว รชาใส่ไปเถอะไม่ต้องห่วงเดินอย่างนี้ก็ไม่หนาวหรอก”
“ไม่หนาวอะไรรชาได้ยินเสียงฟันกระทบกันแล้วนะ” นีรชาไม่ฟังเสียง หยุดเดินแล้วถอดเสื้อคืนชายหนุ่มทันทีแต่ชายหนุ่มไม่ยอมรับจึงใส่ให้เอง
“อย่าดื้อซิ ถ้าไม่ใส่แล้วไม่สบายจะเดือดร้อนกันหมดและที่สำคัญใกล้ งานแต่งแล้วนะ”นีรชาพูดเสียงเบา
“รชา ธันไม่ได้” ธันยธรณ์กำลังจะพูดแต่นีรชาขัดขึ้นมาก่อน
“ไม่ต้องพูดแล้ว ยิ่งยืนเฉยๆยิ่งหนาว” นีรชาตัดบทมองหน้าธันยธรณ์นิ่ง
ชายหนุ่มได้แต่ถอนใจและส่ายหน้าน้อยๆเดี๋ยวค่อยบอกก็ได้ธันยธรณ์บอกตัวเองเบาๆ แล้วถ้าบอกไปแล้วจะเป็นอย่างไรบ้างนะเนี่ย จะโกรธขนาดไหนไม่หน้าเลยไอ้ธันหาเรื่องแท้ๆ เอื้อมดาวก็เตือนแล้วว่าเวลานีรชาโกรธจะเป็นอย่างไรไม่ยอมเชื่อ เห็นอย่างนี้แล้วพูดไม่ออกจริงๆตายแน่งานนี้ “ไอ้ธันนะไอ้ธัน”
“บ่นอะไรธัน ไปได้แล้ว” นีรชามองอย่างงงเพราะเห็นธันยธรณ์เอาแต่ส่ายหัวและถอนหายใจยาว
“ไปก็ไปเดินเร็วๆแล้วกันจะได้หายหนาว” ธันยธรณ์จับมือนีรชาเดินต่อ
“ธันตื่นได้แล้ว ไหนบอกว่าจะต้องตื่นแต่เช้าไงถ้าจะไปดูพระอาทิตย์ รชาอุตสาห์ไปห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว จนกลับมายังไม่ยอมลุกอีก” นีรชาบ่นและเขย่าร่างชายหนุ่มอย่างแรงให้ลุกขึ้น
“ ฮืมม์ ลุกแล้ว ทำไมมันเช้าไวจังเลย พึ่งได้นอนเองนะ” ธันยธรณ์บ่นเบา
“อะไร เมื่อคืนก็นอนหัวค่ำไม่ใช่หรือทำไมบอกว่าพึ่งนอน” นีรชาถามอย่างงงเพราะเห็นธันยธรณ์ก็นอนพร้อมตนซึ่งหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายเนื่องจากความเหนื่อยและเพลียจากการขึ้นเขา
เมื่อคืนกลับจากผาหมากดูก แล้วต่างก็เข้านอนกันเลยเพราะเหนื่อยจากการเดินมาทั้งวัน ถึงแม้ว่าจะนอนเต็นท์เดียวกันแต่ก็นอนห่างเพราะธันยธรณ์ก็เอาเป้มากันกลาง และต่างคนก็นอนในถุงนอนของตนเอง
“อ้อ คือว่าธันรู้สึกว่าเหมือนพึ่งได้นอนนะแล้วยังดูมืดๆอยู่นะไม่มีไรหรอก ขอไปห้องน้ำก่อนนะ” ธันยธรณ์รีบบอกและลุกออกจากเต็นท์ไปเลย
เกือบไปแล้วจะบอกได้อย่างไรล่ะว่าเขาเกร็งไปหมดที่ได้นอนใกล้ๆ จนทำให้นอนไม่หลับที่สำคัญนะเขาแอบมองดูรชานอนเหมือนเป็นไอ้โรคจิตเลย แต่เขาไม่อาจจะถอนสายตาออกจากร่างบางได้เลย นีรชาตอนนอนหลับเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆทำให้เขามองเพลินกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เล่นเอาดึกแต่พอจะนอนกับคิดอะไรเรื่อยเปื่อยและหาวิธีที่จะพูดอย่างไรดีเพื่อไม่ให้รชาโกรธ พึ่งจะหลับเมื่อใกล้ๆเช้านี้เอง
“ใส่เสื้อไปหลายๆตัวนะเพราะอากาศเย็นมากเลย” ธันยธรณ์บอกเมื่อเข้ามาในเต็นท์
“รู้แล้วจ้ะ อากาศหนาวจังเลย ดีนะที่รชาเอาเสื้อกักหนาวมาหลายตัว”
“ข้างนอกหมอกหนามากแต่สวย ที่เราจะเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นนะเขาเรียกว่าผานกแอ่นจะเป็นจุดดูพระอาทิตย์ที่สวยที่สุดบนภูกระดึง” ธันยธรณ์อธิบายขณะเก็บของลงเป้ให้เรียบร้อย
“เราไปกันก่อนกลับมาค่อยหาอะไรกินและไปเที่ยวต่อ” ธันยธรณ์บอกและพาหญิงสาวออกจากเต็นท์
“โอ๊ยหนาวจัง ดูซิพูดทีเป็นไอเลย” นีรชาพูดเบาและลองเป่าปากแรงๆจนไอขึ้นและก็อดหัวเราะไม่ได้
“เฮ้อ ไม่คิดเลยว่ารชาจะเล่นเป็นเด็กๆแบบนี้” ธันยธรณ์หันมายิ้มให้กับนีรชาที่กำลังเป่าปากเล่น
“แหม ก็ที่กรุงเทพไม่เคยหนาวขนาดนี้สักทีเนี่ย นานๆจะได้มีโอกาสเล่นแบบนี้สักที” นีรชาค้อนให้กับชายหนุ่ม
“รู้สึกว่ารชามาที่ภูกระดึงเนี่ยจะงอนเก่งขึ้นนะ เมื่อก่อนไม่เห็นงอนอย่างนี้เลยแต่ก็น่ารักไปอีกแบบนะ ไปกันได้แล้วเดี๋ยวพระอาทิตย์ขึ้นพอดีไม่ได้ดูกัน” ธันยธรณ์ชวนเดินไปตามทางที่กลุ่มคนเริ่มเดินทยอยไปดูพระอาทิตย์
ความคิดเห็น