คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1
Trip and Love ตามรอยแห่งรัก
เพราะความรักไม่จำเป็นต้องสื่อด้วยคำพูดเสมอไป
ผมจึงปล่อยให้หัวใจบอกรัก ได้ยินหรือเปล่าว่ามันกำลังกระซิบว่า ผมรักคุณ
กรี๊ง....กรี๊ง.....กริ๊ง.....เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจนทำให้ตกใจ จึงหยิบขึ้นมาดูแล้วก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อรู้ว่าใครโทรมา “ว่าไรจ้ะคุณดาว” นีรชาพูดเสียงเบา
“ ก็ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ทำอะไรอยู่ แล้วนี่อยู่ที่ไหน โทรไปหาที่คอนโดก็ไม่มีคนรับ” เอื้อมดาวถามอย่างสงสัย
“ โห...ดาว...ใจเย็นๆก็ได้พูดเป็นรถไฟด่วนเลยนะ” นีรชาพูดด้วยน้ำเสียงติดเศร้าเล็กน้อย
“ ก็บอกมาก่อนซิว่าอยู่ไหน...”เอื้อมดาวถามเพราะฟังน้ำเสียงแล้วไม่ค่อยสบายใจ
“ อยู่บนรถทัวร์ ”
“รถทัวร์ !!...ไปทำอะไรบนนั้นแล้วจะไปไหน” เอื้อมดาวถามอย่างงงๆ
“ ภูกระดึง” นีรชาตอบเสียงเบา
“ ไปทำไมนะ” เอื้อมดาวถามอย่างกังวล เพราะคนอย่างนีรชานะหรือจะไปขึ้นภูกระดึงเป็นคุณหนูขนาดนั้น
“ ก็อยากไปทำใจก่อนซิไม่อย่างนั้น รชาก็คงไม่กล้าไปงานแต่งของธัน ดาวก็รู้นี่ว่า รชาคิดอย่างไรกับ ธัน” พูดยังไม่ทันจบเสียงโทรศัพท์ก็ขาดหายไปเมื่อมองไปก็เห็นโทรศัพท์ดับสนิท แบตหมดนี่เอง เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้ซิแต่ก็ดีจะได้มีเวลาคิดอะไรคนเดียวบ้าง
หญิงสาวค่อยๆหลับตาลง พลางทบทวนเรื่องราวต่างๆภายในใจ ขอเวลาอีกสักนิดเพื่อจะลบความทรงจำที่เคยมีให้แก่กันและขอพักใจให้คลายเศร้าลงบ้าง จะให้ธรรมชาติของขุนเขามาช่วยลบรอยแผลเล็กๆที่อยู่ในหัวใจ จะได้ไปงานแต่งงานด้วยรอยยิ้มที่แจ่มใสแสดงความยินดีอย่างจริงใจในฐานเพื่อนคนหนึ่งให้ได้ จึงตัดสินใจมาที่นี่ เพราะที่นี่เป็นที่แห่งเดียวซึ่งจะต้องใช้แรงกายแรงใจอย่างมากเพื่อพิชิตยอดภูกระดึงจะได้ไม่มีเวลามานั่งสงสารหรือเสียน้ำตาให้กับตัวเองมากนักและที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เลือกเดินทางมาที่นี่มาจากคำพูดของคนที่รชาคิดถึงอยู่ตลอดเวลา
“รชารู้ไหม ภูกระดึง มาจากคำว่าภู และ กระดึง หรือกระดิ่งนะ” คนคนหนึ่งเคยมาเล่าให้ฟัง ตาเขาเป็นประกายเมื่อยามเล่าถึงสถานที่ที่เขาเพิ่งไปมา “เพราะเมื่อเล่ากันว่าทุกวันพระวันโกนบนยอดเขาสูงจะมีเสียงระฆังดังมาชาวบ้านศรีฐานเล่าขานกันว่าเป็นเสียงระฆังของพระอินทร์ ธันเพิ่งไปเที่ยวที่นี่มาล่ะ”
ในที่สุดเมื่อการเดินทางมาถึงผานกเค้านาฬิกาข้อมือก็บอกเวลาประมาณตี 4 กว่าๆ รถทัวร์ได้จอดให้คนที่จะขึ้นไปภูกระดึงลงตรงหน้าร้าน ”เจ๊กิม” สิ่งแรกที่สัมผัสได้เมื่อลงจากรถก็คือความหนาวเย็นของอากาศ มันทำให้ต้องห่อตัวลงและรีบไปเอาเป้ที่อยู่ใต้ท้องรถซึ่งทุกคนกำลังยืนอออยู่แน่นขนัด เพื่อเอากระเป๋าของแต่ละคน
เมื่อได้เป้แล้วจึงรีบเดินเข้าไปในร้านซึ่งมีคนจำนวนมากกว่าที่คิด บรรยากาศภายในร้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ทุกคนมาจากที่ต่างๆ แต่ก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างเป็นมิตร ทุกคนที่จะขึ้นภูกระดึงได้มารวมตัวกันที่นี่เพื่อทำธุระส่วนตัวล้างหน้าแปรงฟันและซื้อของเล็กๆน้อยๆก่อนที่จะเดินทางกันต่อ หรือบางคนที่ยังนอนไม่เต็มอิ่มก็มานอนพักเอาแรง บ้างก็ท้าทายกันว่าใครจะเป็นคนทำเวลาในการขึ้นให้ถึงยอดภูกระดึงโดยใช้เวลาน้อยที่สุดจะเป็นผู้ชนะ
เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินไปเลือกซื้อของใช้อีกนิดหน่อยและเดินไปจ่ายเงินให้แม่ค้า
“สวัสดีค่ะ...จะขึ้นภูกระดึงหรือคะ” แม่ค้าถามอย่างอารมณ์ดี
“ ค่ะ คนเยอะดีนะคะ...ขายดีอย่างนี้ตลอดหรือเปล่า” นีรชาตอบ
“ ค่ะ ส่วนมากใครที่จะขึ้นภูกระดึงต้องมาลงรถที่นี่ แล้วต่อรถสองแถวทางด้านโน้น” แม่ค้าชี้ไปที่บริเวณจอดรถที่เริ่มมีสองแถวเข้ามาจอดบ้างแล้ว
“ ดีจังเลยคะ ว่าจะถามพอดีว่าถ้าจะไปภูกระดึงจะไปอย่างไรต่อ”
“ พึ่งมาครั้งแรกซิ รถสองแถวจะออกอีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ ภูกระดึงจะเปิดให้ขึ้นประมาณ 6 โมงเช้า ค่ารถก็ไม่แพงคนละ 20 บาท ใครใจร้อนก็เหมาไปได้นะคะคันละ 300 บาทรถก็จะออกให้ทันที”
“ ขอบคุณค่ะแต่คงไม่รีบ รอไปเรื่อยๆก็ได้” นีรชาขอบคุณแม่ค้าและเดินออกจากร้านไปหาที่นั่งอ่านหนังสือรอรถไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลารถออกก็เดินไปขึ้นรถสองแถวและนั่งรอจนคนขึ้นมาเต็มรถ รถก็ออกในที่สุด มองดูคนที่นั่งรถด้วยกัน ใบหน้าของทุกคนมีรอยยิ้มที่แจ่มใส จนทำให้รู้สึกเบิกบานตามไปด้วย
เมื่อรถสองแถวมาจอดที่ภูกระดึงคนในรถก็ทยอยลงจากรถ คนขับแนะนำให้พวกเราไปที่ศูนย์บ้านศรีฐานก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อขอเช่าเต็นท์หรือถ้าใครจองมาแล้วก็ให้บอกกับเจ้าหน้าที่ ณ อาคารที่ติดต่อที่พัก..คนขับรถชี้ให้เห็นตัวอาคาร
นีรชาเดินตามกลุ่มคนข้างหน้าไปแต่ก่อนที่จะเข้าไปถึงตัวอาคารที่ติดต่อที่พักก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อหญิงสาวชะงัก หลับตาลง ไม่อยากจะเชื่อเลย หูเธอคงแว่วไป รู้สึกว่ามีมือหนึ่งมาจับที่ข้อศอกเอาไว้ หญิงสาวหันขวับความรู้สึกในตอนนี้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกตัวแข็งไปหมด เสียงที่เรียกเอาไว้เป็นเสียงของคนที่ไม่คิดว่าจะได้ยินและไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่....เขาเป็นคนที่เธอกำลังจะหนีไปให้ไกลและไม่ต้องการเจอมากที่สุดในตอนนี้
“ รชา...นีรชา...ใช่จริงๆ” ธันยธรณ์พูดอย่างดีใจ
“ ธัน..นาย...นายมาทำอะไรที่นี่” นีรชาพูดออกไปอย่างตกใจ
“ ถามแปลก..มาที่นี่ก็มาเที่ยวซิ จะให้มาทำอะไรล่ะ” ธันยธรณ์พูดอย่างสบายๆตามนิสัยของเขา
“ แล้วงานแต่งล่ะไม่ต้องไปดูแลหรือถึงมาเที่ยวที่นี่ได้นะ อีกไม่กี่อาทิตย์แล้ว” ฝืนถามออกไปทั้งๆที่ใจเจ็บแปลบขึ้นมา ที่หนีมาเพราะเขา แล้วทำไมต้องมาเจอกันอีก
“ อ้อ ก็ให้เขาจัดการกันไปซิ ถึงวันแต่งก็ค่อยไปไม่เห็นจะยาก....ว่าแต่รชามากับใครละ” ธันยธรณ์แกล้งหันไปมองรอบๆเหมือนมองหาใคร
ความจริงเขารู้อยู่แล้วว่ารชามาคนเดียวเพราะเอื้อมดาวโทรศัพท์มาบอกเขาว่า รชาเข้าใจผิดคิดว่าเขาจะแต่งงานกับพาแก้วในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า ทำให้เธอหนีมาที่นี่เขารีบขับรถตามมาแทบแย่กลัวจะไม่ทัน ที่สำคัญตั้งใจจะมาปรับความเข้าใจและจะมาบอกความในใจให้รับรู้เสียที ทั้งๆที่เขาก็แสดงความรู้สึกออกมากมาย แต่ทำไมรชาถึงไม่เข้าใจ ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมปล่อยโอกาสให้ผ่านไปเด็ดขาด ตอนนี้เขายังไม่อยากพูด เพราะอดที่จะแกล้งเธอไม่ได้เมื่อเห็นหน้สเศร้าของหญิงสาวมันดูน่ารักไปอีกแบบ เขาไม่ค่อยเห็นรชาจะแสดงอารมณ์ใดๆออกมาเลยปกติจะแสดงออกมาเพียงหน้าเดียวคือความนิ่ง ไม่ว่าเขาจะแกล้งจะแหย่อย่างไรก็ตามก็จะนิ่งเฉยเสมอ...จนมันทำให้ติดเป็นนิสัยไปแล้ว เมื่อคิดถึงตอนนี้ดวงตาก็ส่งประกายแววระยับขึ้นมาทันทีพร้อมกับยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
แต่ทำให้คนที่มองมาเข้าใจผิดเพราะคิดว่า ธันยธรณ์คิดเรื่องงานแต่งงานทำให้เขามีความสุข...ก็เลยก้มหน้าแกล้งขยับเป้บนหลังให้เข้าที่ไม่ต้องการให้ธันยธรณ์เห็นแววตาที่ตอนนี้คงจะแสดงอะไรออกไปอย่างชัดเจนกลัวว่าเขาจะลำบากใจในการคบหากันต่อไป
“รชามาคนเดียวนะ...ธันล่ะมากับใคร มากับพาแก้วหรือเปล่า” นีรชาพยายามฝืนพูดออกไปแต่ไม่สบตากับเขา ถ้ารชาเงยหน้าขึ้นอีกนิดจะได้เห็นแววตาที่เต้นระยิบ และใบหน้าที่พยายามฝืนไม่ให้หัวเราะออกมาอย่างมากจนต้องแกล้งไอเพื่อกลบเสียงหัวเราะ
“ เปล่า..มาคนเดียวขับรถมาเมื่อคืนมาถึงที่นี่ตอนเช้าว่าจะหาอะไรกินก่อนค่อยขึ้น พอดีเห็นรชาเลยเข้ามาทัก..ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันจะได้ไม่ต้องเที่ยวคนเดียวไปเป็นเพื่อนกันจะได้ไม่เหงา เดี๋ยวเป็นไกด์พาเที่ยวเอง ธันเคยมาแล้วหลายครั้ง รชาล่ะเคยมาหรือยัง” ธันยธรณ์พูดสบายๆแต่หน้าคนฟังเริ่มสับสน ใจหนึ่งก็อยากเก็บไว้เป็นความทรงจำครั้งสุดท้ายแต่อีกใจก็ไม่อยาก กลัวจะทำใจไม่ได้เมื่อเขาจากไป
“ รชาเอาเต็นท์มาหรือเปล่าธันเอามาเอง” ธันยธรณ์หันมาถามเมื่อเห็นนีรชาเงียบไป
“ เปล่า ว่าจะมาขอเช่าเต็นท์ของที่นี่” นีรชาบอก
“ งั้นดี พักด้วยกันก็ได้เต็นท์ที่เอามาด้วย นอนได้ตั้ง 3 คนแบบไม่มีปัญหา รชาก็ตัวนิดเดียวนอนได้สบายมาก” ธันยธรณ์พูดง่ายๆ แต่คนฟังทำหน้าแปลกๆและรีบปฏิเสธออกไป
“ไม่ดีหรอก” นีรชาพูดยังไม่ทันจบ ธันยธรณ์ก็ขัดขึ้นมาก่อน
“ทำไมกลัวหรือไม่เห็นต้องกลัวอะไร อย่างรชานะไม่ทำให้ธันมีอารมณ์ที่จะทำอะไรหรอก” ธันยธรณ์ทำท่ามองสำรวจร่างของหญิงสาวแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ
“ ธัน!!!จะบ้าเหรอ รชาไม่ได้คิดอย่างสักหน่อย รู้ว่าอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกันไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่นได้หรอก แต่แค่กลัวว่าถ้าพาแก้วรู้เข้ามันจะไม่ดี”
“ ไม่เห็นมีไรสักหน่อยคิดมากไปได้ ตกลงตามนี้แหละ เดี๋ยวจะไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่เพื่อติดต่อของกางเต็นท์” ธันยธรณ์พูดและเดินไปที่อาคารติดต่อสถานที่ นีรชาต้องเดินตามไปเพราะธันยธรณ์ได้แย่งเอาเป้ของเธอไปถือแล้ว
“รชารอตรงนี้แหละ เดี๋ยวจะเข้าไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ เสร็จแล้วค่อยไปหยิบเป้ของธันที่รถ จะได้จ้างลูกหาบแบกขึ้นไปพร้อมกัน...เอาไปเองคงไม่ไหวและที่สำคัญเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นด้วย” ธันยธรณ์พูดยิ้มๆ
“พูดฟังดูดีจังนะ พูดตรงๆก็ได้ว่าแก่แล้วแบกไม่ไหวจะเข้าท่ากว่านะ ยอมรับความจริงซะ” นีรชาแกล้งพูด จนธันยธรณ์อดหัวเราะเบาๆไม่ได้และเอามือมาขยี้หัวนีรชาเบาๆก่อนที่จะเดินไป
นีรชาได้แต่มองตามร่างที่สูงใหญ่เดินเข้าไปในอาคาร ทำให้มองเห็นใบหน้าด้านข้างของธันยธรณ์อย่างชัดเจน โครงหน้าได้สัดส่วน จมูกที่โด่งเป็นสันได้รูปสวย ริมฝีปากหนาคู่นั้นมีรอยยิ้มติดอยู่เสมอ ดวงตาที่มองไปข้างหน้ามีความแน่วแน่และมีประกายอย่างคนที่มีความสุข แต่อยู่ๆธันยธรณ์ก็หันกลับมามองเหมือนรู้ว่ามีใครมองอยู่เมื่อเห็นว่านีรชามองอยู่ก็ยิ้มให้และโบกมือก่อนที่จะหายเข้าไปในตัวอาคาร
ธันทำไมถึงจะต้องมาเจอกันที่นี่ด้วย ไม่รู้หรือว่ารชาจะเป็นอย่างไร จะมาสร้างความเจ็บปวดอะไรให้อีก ใจหนึ่งก็อยากจะหนีไปให้ไกลๆแต่อีกใจมันไม่ยอมจะคอยที่จะวิ่งตามอยู่อย่างนี้ ทั้งๆที่รู้ดีว่าไม่มีทางที่จะวิ่งตามได้ทัน แต่ก็ยังจะดิ้นรนหาเรื่องให้ตัวเองอยู่อีก จะทำอย่างไรดีจะหนีหรือจะสู้ ค่อยๆหลับตาลงช้าๆแล้วก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะขอฉวยโอกาสที่จะได้อยู่กับคนที่เรารักเป็นครั้งสุดท้ายและจะเก็บเวลาแห่งความสุขไว้ในหัวใจตลอดไป ขอโทษนะพาแก้ว รชาขอแค่ช่วงนี้เท่านั้น ต่อไปรชาจะไม่เข้าไปรบกวนแก้วกับธันอีกเลย
“สวัสดีครับ...คือผมจะมาขอติดต่อขอเช่าที่กางเต็นท์นะครับ” ธันยธรณ์พูดและยิ้มให้กับเจ้าหน้าที่
“สวัสดีครับ จะพักกี่คืนและกี่คน คุณเอาเต็นท์มาเองใช่ไหม” เจ้าหน้าที่ยิ้มตอบ
“ครับ..มีเต็นท์มาเอง มากัน 2 คนจะนอน 2 คืนครับ”
” ค่าขอใช้สถานที่กางเต็นท์คิดที่ 30 บาท / คน / คืนนะครับ ทั้งหมด120 บาท เช่าถุงนอนด้วยหรือเปล่า”
“ไม่ครับมีแล้ว...ชำระเงินที่นี่เลยหรือเปล่า”
“ ครับ จ่ายที่นี่เลยแล้วทางอุทยานขอเชิญคุณและเพื่อนเข้าร่วมโครงการอาสาสมัครพิทักษ์ภูกระดึงด้วยนะครับ เพื่อช่วยกันเก็บขยะที่พวกคุณนำขึ้นและขยะที่พบเห็นตามแหล่งท่องเที่ยวจุดต่างๆ ซึ่งเป็นขยะที่ย่อยสลายไม่ได้ตามธรรมชาติ นำลงมาทิ้งที่เชิงเขา ไม่ต่ำกว่าคนละ
“แล้วผมกับเพื่อนจะไปสมัครนะครับ” ธันยธรณ์พูดจบก็หยิบเงินชำระค่าเช่าที่สำหรับกางเต็นท์
เมื่อธันยธรณ์ออกมาจากอาคารและเดินไปเอาเป้ที่รถกลับมา ก็เห็นนีรชากำลังพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกกับเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ในตอนนี้นีรชาปล่อยตัวตามสบายดูเป็นธรรมชาติน่ารักมาก จนเขาอดใจไม่ได้จึงหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปเพื่อเก็บเอาไว้ ดวงตาที่เศร้าหมองเมื่อครู่กับเปล่งประกายออกมาทำให้ดวงตาดูแวววาวไปหมด จมูกรับริมฝีปากได้รูปสวย ยิ่งตอนนี้มีรอยยิ้มระบายอยู่ด้วยก็เพิ่มความงามขึ้นไปอีก เมื่อเขาถ่ายรูปเสร็จก็เห็นเด็กในกลุ่มหันมองเขาแล้วก็สะกิดเรียกเพื่อนให้หันมามองด้วย เขาจึงเดินเข้าไปหาแต่ไม่รู้ว่าเด็กๆพูดอะไรกับนีรชาบ้าง ใบหน้าของหญิงสาวจึงแดงขึ้นมาจนทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้ นีรชาหันไปดุเด็กที่รู้สึกจะเป็นหัวโจกประจำกลุ่มและฟาดไปที่แขนทีหนึ่ง
“ ไปก่อนนะพี่...เดี๋ยวไปเจอกันข้างบนไม่อยากเป็นก้างขวางคอใครแถวนี้” เจ้าหัวโจกประจำกลุ่มพูดอย่างสนุกๆแล้วพากันเดินไปที่ซุ้มจำหน่ายบัตรค่าธรรมเนียมในการขอขึ้นเขาแต่ไม่วายหันมาโบกมือให้กับเขาด้วย
“ รู้จักกันหรือรชา....” ธันยธรณ์ถามเมื่อเดินมาถึงนีรชาที่นั่งอยู่ก่อน
“ เปล่าหรอกค่ะ เด็กๆเห็นว่านั่งอยู่คนเดียวเลยเดินมาคุยด้วยเท่านั้นแกคิดว่ามาคนเดียวเลยจะมาชวนไปด้วยกัน....” นีรชาพูดยิ้ม
“สงสัยจะคิดว่าเป็นรุ่นเดียวกันมั้งเลยมาชวน” ธันยธรณ์พูดยิ้ม นีรชาตัวเล็กๆทำให้ดูเหมือนเด็กเล็กๆ
“ธันว่ารชาเป็นเด็กหรือ....” นีรชาค้อนให้เพราะมันรู้สึกเป็นปมด้อย ทุกคนจะชอบแกล้งว่ามาตลอดโดยเฉพาะเพื่อนสนิทของเธอยายเอื้อมดาวกับปลายฟ้าที่ชอบว่าเป็นเด็กที่ไม่ยอมโตเสียที
“เปล่าไม่ได้ว่าสักหน่อย แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง” ธันยธรณ์อดที่จะแหย่เล่นไม่ได้รชาหน้างอเพราะไม่ชอบให้ใครว่าเป็นเด็ก....รชาหันมามองหน้าและฟาดไปที่แขนอย่างแรง จนชายหนุ่มร้องเสียงดัง
“โอ๊ย ตัวก็นิดเดียวแต่ทำไมมือหนักจัง ดูซิแดงเลย” ธันยธรณ์เอาแขนให้ดูรอยซึ่งตอนนี้แดงขึ้นอย่างเห็นชัดจนคนตีเริ่มหน้าเสียและเอามือมาลูบเบาๆให้อย่างตกใจ แต่เจ้าตัวกลับยิ้มเมื่อเห็นว่านีรชาเป็นห่วงเขา จริงๆแล้วก็ไม่เจ็บอะไรหรอกแต่เขาเป็นคนผิวขาวจึงทำให้เห็นรอยแดงได้ง่าย
“ ธัน รชาขอโทษเจ็บมากไหม...เดี๋ยวเอายาหม่องมาทาให้นะ” นีรชาหันจะไปหยิบกระเป๋าใบเล็กที่ตั้งใจจะถือขึ้นภูกระดึงไปเอง แต่ชายหนุ่มรีบคว้ามือของหญิงสาวไว้
“ไม่ต้องหรอกไม่เป็นอะไรมาก....ไปจ้างลูกหาบกันดีกว่า...เดี๋ยวจะพาไปกินข้าวจะได้มีแรงเดินขึ้นถ้าสายแดดมันจะร้อน มีหมวกมาด้วยหรือเปล่าเอาติดไปด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรจริงๆหรือ” นีรชาถามอย่างเป็นห่วงธันยธรณ์ส่ายหน้าและก้มลงหยิบเป้ขึ้นมาแล้วพากันเดินไปที่กลุ่มลูกหาบเพื่อติดต่อให้ช่วยขนของขึ้นไป
“สวัสดีครับ ....พี่สองคนจะให้ผมช่วยถือของขึ้นภูกระดึงหรือเปล่า..รับรองผมจะถือให้อย่างดีเลย” ลูกหาบถามขึ้นเมื่อเห็นว่าหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังเดินมา
“ไหวหรือน้อง....ถ้าไหวก็เอา “ธันยธรณ์ถามต่อเพราะเห็นว่าลูกหาบคนนี้ยังดูเด็กอยู่อายุคงไม่เกิน 14 ปี
“ไหวครับ...ผมตัวเล็กก็จริงนะครับแต่แข็งแรง” พูดจบก็เบ่งกล้ามให้ดู นีรชาเห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้กับท่าทางของลูกหาบคนนี้
“จ้ะ..พี่เชื่อแล้วไม่ต้องโชว์ขนาดนั้นก็ได้ แต่พี่เห็นแต่ก้างนะกล้ามยังไม่เห็น ตกลงพี่จ้างน้องแล้วกันชื่ออะไรจ้ะ คิดราคาค่าจ้างอย่างไร” นีรชาพูดยิ้มๆ
“ผมชื่อเก่งครับ คิดราคากิโลกรัมละ 10 บาทครับแต่ถ้าบริการดีไม่มีผิดพลาดพี่จะให้เพิ่มก็ได้ ถือว่าเป็นค่าขนมไปโรงเรียนก็แล้วกันนะครับ”
“ฮืมม์ เก่งสมชื่อ....ได้ถ้าเราขนของให้พี่ไม่มีผิดพลาดพี่จะให้เพิ่ม” ธันยธรณ์อดที่จะหัวเราะไม่ได้
“ขอบคุณครับ...พี่สุดหล่อ....รับรองผมจะดูแลของพี่กับแฟนให้ดีที่สุด” เก่งพูดยิ้มๆ นีรชาหน้าแดงและจะพูดแก้ตัวแต่ธันยธรณ์รั้งเอาไว้และหันไปยิ้มกับเก่ง
“ไปเอาตาชั่งมาได้แล้ว จะได้รู้ว่าหนักเท่าไรจะได้จ่ายเงินให้” ธันยธรณ์พูดกับเก่ง เก่งก็รีบเดินไปที่กลุ่มลูกหาบทันทีและนำตาชั่งมาชั่งน้ำหนัก
“พี่สุดหล่อครับพี่ต้องซื้อบัตรที่ติดสัมภาระด้วยนะครับใบละ 2 บาทเอง”
“ได้...คิดเงินมาเลยว่าเท่าไร”
“ครับพี่จ่ายให้ผมครึ่งหนึ่งก่อนแล้วพอขึ้นไปแล้วค่อยจ่ายให้อีกครึ่งหนึ่งตอนที่รับของครับ...ตอนกลับพี่จะให้ผมช่วยขนอีกไหมครับ” เก่งถามเสียงใส
“ได้ถ้าเราถือดีพี่จะให้ขนตอนกลับด้วย” ธันยธรณ์พูดอย่างอารมณ์ดี
เมื่อจ่ายเงินกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาก็พานีรชาไปทานข้าวและก็จัดการทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนที่จะขึ้นภูกระดึง จึงพากันไปที่ซุ้มจ่ายค่าธรรมเนียมซึ่งจ่ายเงินคนละ 20 บาทแต่เขาอดที่แหย่ไม่ได้ว่าความจริงรชาควรจ่ายแค่ 10 บาทนะเพราะเป็นเด็กพูดจบก็รีบหนีมือของหญิงสาวทันที จนนีรชาอดที่จะยิ้มไม่ได้และเดินตามไป
“รชาไหวหรือเปล่าถ้าเหนื่อยก็บอกได้นะไปกันแบบเรื่อยๆไม่ต้องรีบร้อน” ธันยธรณ์ถามเมื่อเดินกันได้สักพักใหญ่ๆ เขามองหน้าแดงก่ำของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
“ ไม่เป็นไร ยังพอไหวอยู่เดินไปอีกหน่อยก็ได้ เอาให้ไปถึงซำแฮกก่อนค่อยพักก็ได้ ธันบอกว่ามีที่พักไม่ใช่หรือ” นีรชาพูดเบาๆเพราะเหนื่อยจนไม่มีแรงจะพูดอะไรแล้ว
“จ้ะ...มีที่พักและร้านขายอาหารมีน้ำแข็งใสด้วยนะ” ธันยธรณ์พยายามชวนคุยไปเรื่อยๆ โชคดีที่อากาศช่วงนี้ยังไม่ร้อนเท่าไร เขาชวนนีรชาดูสภาพป่าที่เดินผ่านไปเรื่อยๆและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นระยะๆ
“อยากรู้จริงๆว่าใครเป็นคนตั้งชื่อซำนะรู้สึกใจจะตรงกับความรู้สึกของรชาตอนนี้จังเลยซำแฮก เล่นเอาหอบแฮกๆเลยกว่าจะไปถึงได้นะ”นีรชาบ่นไปเรื่อยๆ
“น่าอีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว...ดูซิเห็นไหมมีคนอายุมากกว่ารชาอีกไม่เห็นเขาบ่นเลย” ธันยธรณ์ชี้ไปให้นีรชาดูคนแก่ที่กำลังนั่งสบายอยู่บนเก้าอี้ที่ทำขึ้นเพื่อให้ลูกหาบแบกขึ้นไป
“บ้า...อย่างนั้นเขาจะเหนื่อยได้อย่างไร มีคนแบกขนาดนั้น แต่รชาไม่กล้านั่งหรอกกลัวตก เขาไม่กลัวหรือ” นีรชามองตามแล้วได้แต่ส่ายหน้าที่เห็นชายสูงอายุนั่งยิ้มอยู่และมีลูกหรือหลานก็ไม่รู้เดินตามค่อยระวังให้
“คงไม่กลัวมั้งไม่อย่างนั้นจะกล้านั่งหรือ...รชาเงยหน้าหน่อย” พูดไม่ทันจบก็ถ่ายรูปของนีรชาทันที
“ ธัน...ถ่ายรูปอะไรตอนนี้ละ มันไม่สวยนะรอให้ตั้งท่าก่อนซิ รูปออกมาจะได้สวยๆ” นีรชาพูดอย่างโมโห
“ถ่ายอย่างนี้ดีออกเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องตั้งท่าจะได้รู้ไงว่าคนสวยถ่ายอย่างไรก็สวย...” ธันยธรณ์ทำท่ามองหน้าก่อนจะพูดต่อว่า “แต่ถ้าคนไม่สวยจะทำอย่างไรก็ไม่สวยหรอก” พูดจบก็หัวเราะเสียงดัง
“ว่ารชาอีกแล้วไม่สวยบ้างก็ให้รู้ไป...คอยดูนะจะไปทำสวยให้ดู” นีรชางอน เดินหนีธันยธรณ์ทันทีแต่ได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายดังลั่นไปหมด
ธันยธรณ์เดินแหย่รชาไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถึงซำแฮกที่มีผู้คนกำลังพักอยู่จำนวนหนึ่งบริเวณร้านค้า..ซึ่งเป็นเพิงพักง่ายๆ มุงด้วยใบจากและที่นั่งเป็นไม้ยาวๆ ร้านค้าก็ไม่มีอะไรขายมากนัก มีคนกำลังนั่งทานอาหารและพูดคุยกันสนุกสนานหรือไม่ก็จับกลุ่มนั่งพักตามที่ต่างๆเพื่อจะชมวิวและพักให้หายเหนื่อย
“รชาหิวหรือเปล่าจะกินอะไรไหม” ธันยธรณ์ถามและจะพาไปนั่งในร้าน
“ไม่หิวหรอกพึ่งกินจะหิวได้อย่างไร เราไปหาที่นั่งเล่นตรงโน้นดีกว่าจะได้ดูวิวและถ่ายรูปภาพสวยๆไปให้ยายดาวดู จะได้อิจฉาเล่นๆ” นีชราดึงมือและพาไปตรงที่มุมหนึ่งที่แดดไม่ร้อนมากนักเพราะมีร่มเงาของต้นไม้และเอากล้องถ่ายรูปยื่นให้ธันเพื่อจะได้ถ่ายรูป
“โอ.เค. ไปตั้งท่าซะจะได้ถ่ายให้ “ธันยธรณ์พูดจบก็ถ่ายเลยไม่รอให้นีรชาตั้งท่าด้วยซ้ำ
“เอาอีกแล้วนะ ให้รู้ตัวก่อนซิค่อยถ่าย เฮ้อแต่ละรูปจะดูได้ไหมเนี่ย” นีรชาบ่น
“ไม่เห็นเป็นไรไม่ชอบก็ไม่ต้องเก็บไว้ ธันจะเป็นคนเก็บเอง” ธันยธรณ์มองยิ้มๆคนฟังได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ
“ธันจะเก็บไว้ทำไมในเมื่อมันไม่มีประโยชน์อะไรต่อไปก็ต้องเอาไปทิ้งเพราะแก้วอาจจะเข้าใจผิดได้”
“เข้าใจผิดอะไรแก้วก็รู้เนี่ยว่าธันกับรชาเป็นอะไรกันจะมาว่าทำไม คิดมากไปได้” ธันยธรณ์พูดแบบสบายๆแต่ดวงตามีแววขบขันจนต้องแกล้งก้มหน้าลงเก็บกล้องเพราะไม่อยากให้นีรชาเห็นว่าเขาพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ เลยไม่ได้เห็นสายตาของนีรชาที่ส่งมาเป็นแววตัดพ้อแต่พอธันยธรณ์เงยหน้าขึ้นมา นีรชาก็หันหลังให้และเดินไปนั่งบนโขดหินก้อนหนึ่งและหันไปดูวิวเบื้องหน้าเขาจึงเดินตามมานั่งข้างๆ
“เป็นไร เงียบไปเลย” ธันยธรณ์หันมามองหน้าของรชาที่เศร้าลง จนเขารู้สึกผิดและจะขอโทษที่แกล้งกำลังจะพูดแต่รชาขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกเพียงแต่รชากำลังมองดูท้องฟ้าอยู่นะ ดูซิเหมือนอยู่ใกล้ๆเลยแต่ทำอย่างไรก็ไปไม่ถึงเสียที”
“รชา ธัน “ ธันยธรณ์กำลังจะบอกเรื่องที่นีรชาเข้าใจผิด แต่แล้วจู่ๆก็มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นตะโกนเรียกเพื่อขอร้องให้ไปช่วยถ่ายรูปให้ ธันยธรณ์หันไปก็ยิ้มๆแล้วก็ลุกขึ้นไปที่กลุ่มเด็กๆ
ความคิดเห็น