ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) adorable ღ l chankris

    ลำดับตอนที่ #3 : (os) A F T E R S H A V E

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ค. 58


     



     Aftershave
      
    THE GIRL IN : L






    หนึ่งในกลิ่นที่ปาร์คชานยอลคิดว่าเขาจำได้ขึ้นใจ คือกลิ่นอาฟเตอร์เชฟของอี้ฝาน

     

    ชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นกลิ่นติดตัวของอีกฝ่ายที่เขาคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าน้ำหอมผู้ชายที่เจ้าของร่างโปร่งมักจะฉีดในยามเช้าเสียอีก และเป็นกลิ่นที่เรียกได้ว่าชัดเจนในความทรงจำของเขามากที่สุดนับตั้งแต่วันแรกที่ได้เข้ามาทำงานในกองถ่ายภาพยนตร์ในฐานะของช่างกล้อง

     

    อู๋อี้ฝานเป็นผู้ชายที่แก่กว่าเขาสองปี สูงกว่าเขาราวสองเซนติเมตรและเป็นเจ้าของรอยยิ้มสดใสที่คนทั้งกองถ่ายหลงรัก หน้าที่คนเขียนบทภาพยนตร์ของอีกคนทำให้ชานยอลต้องเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างๆ ของหนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งเคียงข้างผู้กำกับอยู่ไกลๆ ผ่านเลนส์กล้องเป็นเวลาร่วมหลายเดือน โดยเฝ้าฝันมาตลอดว่าจะมีสักวันที่จะได้นั่งเคียงข้างอีกฝ่ายบ้าง

     

    แต่วันนั้นก็ยังไม่เคยมาถึง มีเพียงความสัมพันธ์เท่านั้นที่ค่อยๆ ขยับขึ้นจากคนรู้จักมาเป็นเพื่อนสนิท

     

    อี้ฝานเป็นคนง่ายๆ และไม่คิดอะไรมาก เพราะเหตุนี้กระมังถึงได้ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าหลายเรื่องที่ทำนั้นพาให้เขาหวั่นไหว ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เอาหน้าเข้ามาใกล้ หรือว่าการเอาแก้วกาแฟเย็นเฉียบมาแนบกับผิวแก้มของเขา มือบางคู่นั้นที่มักจะเอื้อมมาดึงหน้าเขาเล่น และรอยยิ้มสดใสที่ถูกส่งมา

     

    จนกว่าจะรู้ตัวอีกที ปาร์คชานยอลก็ไม่สามารถหลีกหนีความรู้สึกที่มากกว่าเพื่อนได้เสียแล้ว


     

     

     

    “ชานยอลลา คืนนี้จะอยู่ปาร์ตี้ปิดกล้องไหม” คำถามถูกส่งมาพร้อมกับท่อนแขนยาวที่ยกขึ้นพาดไหล่ทำให้เจ้าของชื่อต้องละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นไปมอง รุ่นพี่ที่เขาแอบชอบมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้ากำลังส่งรอยยิ้มสดใสมาให้พลางวาดมือข้างหนึ่งเข้าโอบบ่าของเขาเอาไว้หลวมๆ “รอบนี้มีเปิดฟลอร์เต้นรำด้วยนะ”

     

    ใบหน้าหล่อเหลานั้นยื่นเข้ามาใกล้จนกลิ่นจางๆ ของอาฟเตอร์เชฟที่เขาคุ้นเคยลอยมาให้พอนึกถึง

     

    ชานยอลกระตุกยิ้มจางขึ้นบนริมฝีปากบาง ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลส่ายไปมาน้อยๆ อย่างขบขัน

     

    “ผมไม่ใช่จงอินนะรุ่นพี่ ที่จะสนใจงานเต้นรำน่ะ”

     

    “รอบนี้จงอินไม่เต้นเถอะ เขาบอกว่าจะเป็นคนร้องเพลงประกอบ” คนเป็นรุ่นพี่ยกยิ้มกว้างจนตาหยี “อยู่ด้วยกันเถอะนะชานยอล ฉันจะได้มีเพื่อนกลับบ้านไง”

     

    ช่างกล้องหนุ่มยังคงแต้มรอยยิ้มที่คล้ายจะปฏิเสธเอาไว้บนกลีบปากบาง แม้ว่าใจจะตอบตกลงไปตั้งแต่วินาทีแรกที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาถามแบบตัวต่อตัว ชานยอลรู้สึกว่าตัวเองออกไปทางโชคดีเสียด้วยซ้ำที่มีห้องพักอยู่ในอาคารเดียวกับรุ่นพี่ที่เขาเฝ้ามอง การได้ไปกลับจากที่ทำงานด้วยกันให้ความรู้สึกเหมือนฝัน และนั่นทำให้ได้อยู่ด้วยกันแทบจะทั้งวัน ยกเว้นเพียงแค่ตอนแยกกันไปพักผ่อน

     

    เหลือบตามองคนถามที่ยังคงจับจ้องมายังเขาด้วยสายตาอ้อนวอน ก่อนจะพยักหน้าตอบรับไปเบาๆ

     

    “ครับ อยู่ก็อยู่”

     

    “นั่นไง ฉันรู้อยู่แล้วว่าชานยอลต้องตอบตกลง นายน่ารักที่สุด” มือบางเอื้อมมาหยิกแก้มของเขาอย่างมันเขี้ยวพร้อมรอยยิ้มกว้างที่พาให้คนมองใจเต้นแรง

     

    อี้ฝานเดินกลับไปเก็บข้าวของภายในกองถ่ายหลังจากพูดคุยกันต่อไม่กี่คำ แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้เขายิ้มไปได้อีกพักใหญ่ รอยยิ้มกว้างของรุ่นพี่ตัวสูงยังคงติดตาและทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าอยากจะเร่งเวลาให้ถึงช่วงค่ำโดยเร็วที่สุด

     

    ก็รุ่นพี่สัญญาเอาไว้นี่นา ว่าจะเต้นรำกับเขาเป็นคนแรก

     

     
     

     
     

    จังหวะเพลงแผ่วเบาดังคลอไปกับสายลมอ่อนที่พัดผ่าน แสงไฟค่อนข้างมืดคล้ายกับที่เห็นได้ตามงานเต้นรำของวัยรุ่นทั่วไปทำให้รู้สึกประหลาดใจได้ไม่น้อย ปาร์คชานยอลนึกไม่ออกเลยว่าเหตุใดเหล่าผู้ใหญ่ในกองถ่ายภาพยนตร์ที่เพิ่งปิดฉากลงไปถึงได้จัดปาร์ตี้ฉลองปิดงานออกมาแนวอบอุ่น แทนที่จะเป็นการเปิดห้องร้องคาราโอเกะแล้วจิบเหล้าตามประสา

     

    ทุกคนที่เคยร่วมงานกันมาไม่ได้แต่งกายหรูหรา แต่ความผ่อนคลายที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กับครอบครัวนี่แหละ ที่ช่างกล้องหนุ่มคิดว่าเป็นเสน่ห์ของเพื่อนร่วมงานทุกคนในคราวนี้

     

    เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้สูงใกล้กับบาร์เครื่องดื่ม เท้าคางมองรุ่นพี่หลายคนพากันออกไปเต้นรำขับเคลื่อนตามจังหวะเพลงคลาสสิกที่เปิดคลอ ยังมองไม่เห็นตัวของผู้ชายที่ได้ยินมาว่าจะร้องเพลงอย่างคิมจงอิน แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ข้างกายของเขามีใครบางคนอยู่ด้วยกัน

     

    อู๋อี้ฝานขยับตัวลงนั่งข้างเขา พร้อมกับแก้วเครื่องดื่มในมือ ทางนั้นหันมายิ้มทักทายให้เมื่อชายหนุ่มหันไปสบตา จนสุดท้ายก็ต้องเป็นเขาเองที่เลือกจะหลบสายตาเพราะพวงแก้มที่เหมือนจะร้อนขึ้นมา รุ่นพี่ของเขาน่ารักจริงๆ และยิ่งดูมีเสน่ห์กว่าเดิมภายใต้แสงสลัว รอยยิ้มมุมปากนั่นกำลังทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง

     

    และหัวใจเจ้ากรรมก็ยิ่งเต้นแรงเสียยิ่งกว่าเก่า เมื่อมือข้างที่ว่างของอี้ฝานเอื้อมมาประสานเข้ากับอวัยวะอย่างเดียวกันกับของเขา

     

    “รุ่นพี่?”

     

    “นายขอฉันเต้นรำไว้ไม่ใช่หรือไง แล้วเราจะนั่งรออะไรล่ะ” พูดพลางก็วางแก้วเครื่องดื่มสีใสลง แล้วหันมาคว้ามือของเขาเอาไว้ทั้งสองข้างแทน ชานยอลพบว่าตัวเองกำลังถูกฉุดให้ลุกจากเก้าอี้ ก่อนจะก้าวเข้าไปในพื้นที่เต้นรำกลางห้องด้วยกันกับคนข้างกาย ยืนมองหน้ากันอยู่สักพักอย่างเงียบเชียบ จนได้ยินเพียงเสียงหัวใจที่ดังก้องอยู่ในหู

     

    อู๋อี้ฝานส่งยิ้มจางให้น้อยๆ มือบางคว้ามือข้างหนึ่งของเขาขึ้นมา

     

    “ฉันให้นายเลือกว่าอยากจะเต้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง” น้ำเสียงของผู้พูดดูเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่อีกฝ่ายจะรู้บ้างไหมนะว่าทำให้หัวใจของช่างกล้องคนนี้เต้นแรงมากแค่ไหน ชานยอลรู้สึกว่ามือของเขากำลังสั่นตอนที่เลื่อนมันไปวางบนแผ่นหลังของคนตรงหน้าแทนคำตอบ

     

    รุ่นพี่หนุ่มยังคงยิ้ม มือข้างหนึ่งแตะลงที่บ่าของเขา ก่อนจะประสานมืออีกข้างเข้าด้วยกัน

     

    กลิ่นบางเบาของอาฟเตอร์เชฟที่คุ้นเคยยังคงพาชายหนุ่มให้นึกถึงวันแรกที่ได้พบกัน

     

    เสียงเพลงที่ดังก้องไปทั่วห้องคล้ายว่าจะไม่ได้ผ่านเข้าในโสตประสาทแม้แต่น้อย ชานยอลรู้สึกว่าโลกของเขามีเพียงความเงียบงัน ได้ยินเพียงแค่เสียงหัวใจของตนเองที่ดังกึกก้องไปทั่วในขณะที่สายตาจับจ้องไปยังคนตรงหน้า มันยิ่งกว่าความฝันเสียอีกที่มีคนที่แอบปลื้มมาโดยตลอดอยู่ในอ้อมแขน ยิ้มให้กัน สบตากัน

     

    รู้สึกเหมือนโลกนี้ไม่มีใครอีก นอกจากเขาเพียงแค่สองคน

     

     



     

    รถประจำทางเที่ยวสุดท้ายในยามดึกเงียบเชียบไร้ผู้คน ชานยอลสังเกตว่านอกจากเขากับรุ่นพี่อี้ฝานที่มักจะกลับบ้านด้วยกันเสมอแล้ว ก็มีเพียงชายชรากับวัยรุ่นอีกเพียงแค่สองคนเท่านั้นบนรถเมล์สายนี้ แสงสีของเส้นทางถูกดูดกลืนด้วยยามวิกาลที่เงียบสงบ และบนคันรถก็ไร้เสียงพูดคุยใดๆ นอกจากเสียงของเขาสองคน

     

    เรื่องจิปาถะมากมายถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน แม้จะเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ในงานเลี้ยงปิดกองถ่ายภาพยนตร์แล้ว หากชานยอลก็รู้สึกว่าเขากับอี้ฝานมีเรื่องพูดกันอย่างไม่รู้จบ อีกฝ่ายมักจะเล่าเรื่องสมัยอยู่มหาวิทยาลัย วีรกรรมแปลกๆ ที่เคยทำ วิชาที่ลงเรียน รวมถึงเรื่องรักครั้งเก่า

     

     

    หัวใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความอาลัยของคู่สนทนาที่เหม่อมองไปเบื้องหน้า มันอาจเป็นความเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ชานยอลก็รู้สึกว่าเขาไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นมองใครนอกไปจากเขาเพียงคนเดียว

     

    เขาเพียงคนเดียว เหมือนตอนที่เต้นรำด้วยกัน

     

    กลิ่นอ่อนๆ ของอาฟเตอร์เชฟที่คุ้นเคยมานาน พร้อมกับน้ำหนักที่กดลงบนบ่าทำให้ต้องเหลือบตาไปมอง ก่อนก้อนเนื้อในอกของช่างกล้องหนุ่มวัยยี่สิบต้นจะแทบหยุดเต้นเมื่อระลึกขึ้นได้ว่ารุ่นพี่อี้ฝานเอนศีรษะมาซบพิงเข้ากับไหล่ แพขนตายาวที่อยู่ใกล้จนเกินไปทำให้หวั่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

     

    อยากจะเอื้อมมือไปเขี่ยความยาวนั้นเล่น แต่ก็รู้ดีว่ามันไม่เหมาะสม

     

    “ขอยืมไหล่หน่อยนะชานยอล” เสียงของอีกคนเอ่ยขึ้นเบาๆ เป็นเชิงขออนุญาตตามหลังการกระทำ ซึ่งชานยอลก็ไม่คิดจะขัดอะไร ชายหนุ่มทำเพียงแค่เอนศีรษะลงพิงบนกลุ่มผมสีอ่อนของอีกคน ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า

     

    กลิ่นของอาฟเตอร์เชฟยังคงติดจมูก เหมือนเป็นเครื่องบ่งบอกว่าเจ้าของนั้นอยู่ยังคงนั่งอยู่ไม่ห่าง

     

    ปาร์คชานยอลชอบในกลิ่นของมันมาตลอด จนคิดว่าสิ่งนี้บ่งบอกถึงตัวอี้ฝานได้ดีกว่าน้ำหอมที่อีกฝ่ายใช้ทุกวันในยามเช้า มันเป็นกลิ่นที่เรียกได้ว่าชัดเจนในความทรงจำของเขามากที่สุด

     

     

    เพราะอาฟเตอร์เชฟที่อี้ฝานใช้ เตือนความจำได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้รุ่นพี่หนุ่มกำลังอยู่ใกล้กับเขามากเพียงไร















     

    :: TALK ::

    กลิ่นอาฟเตอร์เชฟไม่ได้หาตามฟิคง่ายๆ นะ!! 😂😂


     

     
    seven dwarf.
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×