คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : (os) A F T E R S H A V E
Aftershave
หนึ่งในกลิ่นที่ปาร์คชานยอลคิดว่าเขาจำได้ขึ้นใจ คือกลิ่นอาฟเตอร์เชฟของอี้ฝาน
ชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นกลิ่นติดตัวของอีกฝ่ายที่เขาคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าน้ำหอมผู้ชายที่เจ้าของร่างโปร่งมักจะฉีดในยามเช้าเสียอีก และเป็นกลิ่นที่เรียกได้ว่าชัดเจนในความทรงจำของเขามากที่สุดนับตั้งแต่วันแรกที่ได้เข้ามาทำงานในกองถ่ายภาพยนตร์ในฐานะของช่างกล้อง
อู๋อี้ฝานเป็นผู้ชายที่แก่กว่าเขาสองปี สูงกว่าเขาราวสองเซนติเมตรและเป็นเจ้าของรอยยิ้มสดใสที่คนทั้งกองถ่ายหลงรัก หน้าที่คนเขียนบทภาพยนตร์ของอีกคนทำให้ชานยอลต้องเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างๆ ของหนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งเคียงข้างผู้กำกับอยู่ไกลๆ ผ่านเลนส์กล้องเป็นเวลาร่วมหลายเดือน โดยเฝ้าฝันมาตลอดว่าจะมีสักวันที่จะได้นั่งเคียงข้างอีกฝ่ายบ้าง
แต่วันนั้นก็ยังไม่เคยมาถึง มีเพียงความสัมพันธ์เท่านั้นที่ค่อยๆ ขยับขึ้นจากคนรู้จักมาเป็นเพื่อนสนิท
อี้ฝานเป็นคนง่ายๆ และไม่คิดอะไรมาก เพราะเหตุนี้กระมังถึงได้ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าหลายเรื่องที่ทำนั้นพาให้เขาหวั่นไหว ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เอาหน้าเข้ามาใกล้ หรือว่าการเอาแก้วกาแฟเย็นเฉียบมาแนบกับผิวแก้มของเขา มือบางคู่นั้นที่มักจะเอื้อมมาดึงหน้าเขาเล่น และรอยยิ้มสดใสที่ถูกส่งมา
จนกว่าจะรู้ตัวอีกที ปาร์คชานยอลก็ไม่สามารถหลีกหนีความรู้สึกที่มากกว่าเพื่อนได้เสียแล้ว
“ชานยอลลา คืนนี้จะอยู่ปาร์ตี้ปิดกล้องไหม” คำถามถูกส่งมาพร้อมกับท่อนแขนยาวที่ยกขึ้นพาดไหล่ทำให้เจ้าของชื่อต้องละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นไปมอง รุ่นพี่ที่เขาแอบชอบมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้ากำลังส่งรอยยิ้มสดใสมาให้พลางวาดมือข้างหนึ่งเข้าโอบบ่าของเขาเอาไว้หลวมๆ “รอบนี้มีเปิดฟลอร์เต้นรำด้วยนะ”
ใบหน้าหล่อเหลานั้นยื่นเข้ามาใกล้จนกลิ่นจางๆ ของอาฟเตอร์เชฟที่เขาคุ้นเคยลอยมาให้พอนึกถึง
ชานยอลกระตุกยิ้มจางขึ้นบนริมฝีปากบาง ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลส่ายไปมาน้อยๆ อย่างขบขัน
“ผมไม่ใช่จงอินนะรุ่นพี่ ที่จะสนใจงานเต้นรำน่ะ”
“รอบนี้จงอินไม่เต้นเถอะ เขาบอกว่าจะเป็นคนร้องเพลงประกอบ” คนเป็นรุ่นพี่ยกยิ้มกว้างจนตาหยี “อยู่ด้วยกันเถอะนะชานยอล ฉันจะได้มีเพื่อนกลับบ้านไง”
ช่างกล้องหนุ่มยังคงแต้มรอยยิ้มที่คล้ายจะปฏิเสธเอาไว้บนกลีบปากบาง แม้ว่าใจจะตอบตกลงไปตั้งแต่วินาทีแรกที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาถามแบบตัวต่อตัว ชานยอลรู้สึกว่าตัวเองออกไปทางโชคดีเสียด้วยซ้ำที่มีห้องพักอยู่ในอาคารเดียวกับรุ่นพี่ที่เขาเฝ้ามอง การได้ไปกลับจากที่ทำงานด้วยกันให้ความรู้สึกเหมือนฝัน และนั่นทำให้ได้อยู่ด้วยกันแทบจะทั้งวัน ยกเว้นเพียงแค่ตอนแยกกันไปพักผ่อน
เหลือบตามองคนถามที่ยังคงจับจ้องมายังเขาด้วยสายตาอ้อนวอน ก่อนจะพยักหน้าตอบรับไปเบาๆ
“ครับ อยู่ก็อยู่”
“นั่นไง ฉันรู้อยู่แล้วว่าชานยอลต้องตอบตกลง นายน่ารักที่สุด” มือบางเอื้อมมาหยิกแก้มของเขาอย่างมันเขี้ยวพร้อมรอยยิ้มกว้างที่พาให้คนมองใจเต้นแรง
อี้ฝานเดินกลับไปเก็บข้าวของภายในกองถ่ายหลังจากพูดคุยกันต่อไม่กี่คำ แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้เขายิ้มไปได้อีกพักใหญ่ รอยยิ้มกว้างของรุ่นพี่ตัวสูงยังคงติดตาและทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าอยากจะเร่งเวลาให้ถึงช่วงค่ำโดยเร็วที่สุด
ก็รุ่นพี่สัญญาเอาไว้นี่นา ว่าจะเต้นรำกับเขาเป็นคนแรก
จังหวะเพลงแผ่วเบาดังคลอไปกับสายลมอ่อนที่พัดผ่าน แสงไฟค่อนข้างมืดคล้ายกับที่เห็นได้ตามงานเต้นรำของวัยรุ่นทั่วไปทำให้รู้สึกประหลาดใจได้ไม่น้อย ปาร์คชานยอลนึกไม่ออกเลยว่าเหตุใดเหล่าผู้ใหญ่ในกองถ่ายภาพยนตร์ที่เพิ่งปิดฉากลงไปถึงได้จัดปาร์ตี้ฉลองปิดงานออกมาแนวอบอุ่น แทนที่จะเป็นการเปิดห้องร้องคาราโอเกะแล้วจิบเหล้าตามประสา
ทุกคนที่เคยร่วมงานกันมาไม่ได้แต่งกายหรูหรา แต่ความผ่อนคลายที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กับครอบครัวนี่แหละ ที่ช่างกล้องหนุ่มคิดว่าเป็นเสน่ห์ของเพื่อนร่วมงานทุกคนในคราวนี้
เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้สูงใกล้กับบาร์เครื่องดื่ม เท้าคางมองรุ่นพี่หลายคนพากันออกไปเต้นรำขับเคลื่อนตามจังหวะเพลงคลาสสิกที่เปิดคลอ ยังมองไม่เห็นตัวของผู้ชายที่ได้ยินมาว่าจะร้องเพลงอย่างคิมจงอิน แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ข้างกายของเขามีใครบางคนอยู่ด้วยกัน
อู๋อี้ฝานขยับตัวลงนั่งข้างเขา พร้อมกับแก้วเครื่องดื่มในมือ ทางนั้นหันมายิ้มทักทายให้เมื่อชายหนุ่มหันไปสบตา จนสุดท้ายก็ต้องเป็นเขาเองที่เลือกจะหลบสายตาเพราะพวงแก้มที่เหมือนจะร้อนขึ้นมา รุ่นพี่ของเขาน่ารักจริงๆ และยิ่งดูมีเสน่ห์กว่าเดิมภายใต้แสงสลัว รอยยิ้มมุมปากนั่นกำลังทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง
และหัวใจเจ้ากรรมก็ยิ่งเต้นแรงเสียยิ่งกว่าเก่า เมื่อมือข้างที่ว่างของอี้ฝานเอื้อมมาประสานเข้ากับอวัยวะอย่างเดียวกันกับของเขา
“รุ่นพี่?”
“นายขอฉันเต้นรำไว้ไม่ใช่หรือไง แล้วเราจะนั่งรออะไรล่ะ” พูดพลางก็วางแก้วเครื่องดื่มสีใสลง แล้วหันมาคว้ามือของเขาเอาไว้ทั้งสองข้างแทน ชานยอลพบว่าตัวเองกำลังถูกฉุดให้ลุกจากเก้าอี้ ก่อนจะก้าวเข้าไปในพื้นที่เต้นรำกลางห้องด้วยกันกับคนข้างกาย ยืนมองหน้ากันอยู่สักพักอย่างเงียบเชียบ จนได้ยินเพียงเสียงหัวใจที่ดังก้องอยู่ในหู
อู๋อี้ฝานส่งยิ้มจางให้น้อยๆ มือบางคว้ามือข้างหนึ่งของเขาขึ้นมา
“ฉันให้นายเลือกว่าอยากจะเต้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง” น้ำเสียงของผู้พูดดูเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่อีกฝ่ายจะรู้บ้างไหมนะว่าทำให้หัวใจของช่างกล้องคนนี้เต้นแรงมากแค่ไหน ชานยอลรู้สึกว่ามือของเขากำลังสั่นตอนที่เลื่อนมันไปวางบนแผ่นหลังของคนตรงหน้าแทนคำตอบ
รุ่นพี่หนุ่มยังคงยิ้ม มือข้างหนึ่งแตะลงที่บ่าของเขา ก่อนจะประสานมืออีกข้างเข้าด้วยกัน
กลิ่นบางเบาของอาฟเตอร์เชฟที่คุ้นเคยยังคงพาชายหนุ่มให้นึกถึงวันแรกที่ได้พบกัน
เสียงเพลงที่ดังก้องไปทั่วห้องคล้ายว่าจะไม่ได้ผ่านเข้าในโสตประสาทแม้แต่น้อย ชานยอลรู้สึกว่าโลกของเขามีเพียงความเงียบงัน ได้ยินเพียงแค่เสียงหัวใจของตนเองที่ดังกึกก้องไปทั่วในขณะที่สายตาจับจ้องไปยังคนตรงหน้า มันยิ่งกว่าความฝันเสียอีกที่มีคนที่แอบปลื้มมาโดยตลอดอยู่ในอ้อมแขน ยิ้มให้กัน สบตากัน
รู้สึกเหมือนโลกนี้ไม่มีใครอีก นอกจากเขาเพียงแค่สองคน
รถประจำทางเที่ยวสุดท้ายในยามดึกเงียบเชียบไร้ผู้คน ชานยอลสังเกตว่านอกจากเขากับรุ่นพี่อี้ฝานที่มักจะกลับบ้านด้วยกันเสมอแล้ว ก็มีเพียงชายชรากับวัยรุ่นอีกเพียงแค่สองคนเท่านั้นบนรถเมล์สายนี้ แสงสีของเส้นทางถูกดูดกลืนด้วยยามวิกาลที่เงียบสงบ และบนคันรถก็ไร้เสียงพูดคุยใดๆ นอกจากเสียงของเขาสองคน
เรื่องจิปาถะมากมายถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน แม้จะเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ในงานเลี้ยงปิดกองถ่ายภาพยนตร์แล้ว หากชานยอลก็รู้สึกว่าเขากับอี้ฝานมีเรื่องพูดกันอย่างไม่รู้จบ อีกฝ่ายมักจะเล่าเรื่องสมัยอยู่มหาวิทยาลัย วีรกรรมแปลกๆ ที่เคยทำ วิชาที่ลงเรียน รวมถึงเรื่องรักครั้งเก่า
หัวใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความอาลัยของคู่สนทนาที่เหม่อมองไปเบื้องหน้า มันอาจเป็นความเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ชานยอลก็รู้สึกว่าเขาไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นมองใครนอกไปจากเขาเพียงคนเดียว
เขาเพียงคนเดียว เหมือนตอนที่เต้นรำด้วยกัน
กลิ่นอ่อนๆ ของอาฟเตอร์เชฟที่คุ้นเคยมานาน พร้อมกับน้ำหนักที่กดลงบนบ่าทำให้ต้องเหลือบตาไปมอง ก่อนก้อนเนื้อในอกของช่างกล้องหนุ่มวัยยี่สิบต้นจะแทบหยุดเต้นเมื่อระลึกขึ้นได้ว่ารุ่นพี่อี้ฝานเอนศีรษะมาซบพิงเข้ากับไหล่ แพขนตายาวที่อยู่ใกล้จนเกินไปทำให้หวั่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
อยากจะเอื้อมมือไปเขี่ยความยาวนั้นเล่น แต่ก็รู้ดีว่ามันไม่เหมาะสม
“ขอยืมไหล่หน่อยนะชานยอล” เสียงของอีกคนเอ่ยขึ้นเบาๆ เป็นเชิงขออนุญาตตามหลังการกระทำ ซึ่งชานยอลก็ไม่คิดจะขัดอะไร ชายหนุ่มทำเพียงแค่เอนศีรษะลงพิงบนกลุ่มผมสีอ่อนของอีกคน ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า
กลิ่นของอาฟเตอร์เชฟยังคงติดจมูก เหมือนเป็นเครื่องบ่งบอกว่าเจ้าของนั้นอยู่ยังคงนั่งอยู่ไม่ห่าง
ปาร์คชานยอลชอบในกลิ่นของมันมาตลอด จนคิดว่าสิ่งนี้บ่งบอกถึงตัวอี้ฝานได้ดีกว่าน้ำหอมที่อีกฝ่ายใช้ทุกวันในยามเช้า มันเป็นกลิ่นที่เรียกได้ว่าชัดเจนในความทรงจำของเขามากที่สุด
เพราะอาฟเตอร์เชฟที่อี้ฝานใช้ เตือนความจำได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้รุ่นพี่หนุ่มกำลังอยู่ใกล้กับเขามากเพียงไร
:: TALK ::
กลิ่นอาฟเตอร์เชฟไม่ได้หาตามฟิคง่ายๆ นะ!!
ความคิดเห็น