ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : chapter 8 ~The only one choice~
                                                                ตำนานแห่งเทอร์เพนไทน์
                                                    ภาค ~เรื่องเล่าของมังกร~
                                                  ตอนที่ 8 ทางเลือกเดียวที่มี
          ซิรูเฟรู้สึกได้ว่าตนถูกจับตามองจากคนเดินเท้าทั่วไปตลอดช่วงเวลาที่เขาเดินทางสู่ตึกผู้อำนวยการ เวเนร่า อาคาเดมี่ โดยเฉพาะเหล่าดรุณีแรกรุ่นที่จับกลุ่มทำเสียงซุบซิบหัวร่อต่อกระซิกกันตามรายทางนั้น เห็นได้ชัดเลยว่ากำลังเพ่งเล็งความสนใจมาที่ตัวเขา โดยที่เขาเองไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
          ตั้งแต่ซิรูเฟถูกเลี้ยงมาโดยดาโวลท์จนกระทั่งปัจจุบัน เขาไม่เคยเรียนรู้การใช้ชีวิตในโลกภายนอกเลย จะมีก็แต่ตอนที่เขาออกเดินทางไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของฮาเดส ซึ่งการรวบรวมข้อมูลอย่างลับๆนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้เขาเจนโลกขึ้นแม้แต่น้อย เขาไม่รู้ด้วยซํ้าว่าสายตาของเหล่าหญิงสาวที่เหม่อมองมาทางเขาอย่างตกตะลึงเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร ไม่รับรู้ถึงความหล่อเหลาคมคายประดุจเทพบุตรของตนที่เป็นตัวชักนำทุกสายตาให้จับจ้องมาที่เขาเลย
          ด้วยร่างกายที่สูงเพรียวพอเหมาะพอดี รวมกับผมยาวสีฟ้าอ่อนที่ถูกถักเป็นเปียอย่างเรียบร้อย บ่งบอกถึงความสุภาพและสุขุมรอบคอบ หากมองลึกเข้าไปในดวงตาก็จะพบกับนัยน์ตาสีฟ้านวลนิ่งที่เปล่งประกายนวลใส แผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกอันลี้ลับชวนให้ค้นหา ทั้งยังบ่งบอกว่าดวงตาคู่นี้ได้ผ่านเรื่องร้อนหนาวมาอย่างโชกโชน เปรียบดั่งบ่อนํ้าอันลํ้าลึกไร้ก้นบึ้ง
        หากพิจารณาทั่วทั้งร่างก็จะพบแต่ความลงตัว ไม่มีองค์ประกอบใดผิดเพี้ยน ซึ่งเข้ารูปอย่างพอดีกันกับชุดคลุมยาวสีฟ้าหม่นขลิบขอบสีทองประดับลวดลายที่เหล่าจอมขมังเวทนิยมสวมใส่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลิกลักษณะท่าทางการเดินที่ถูกฝึกมาอย่างดีนั้น ทำให้เขาดูราวกับเทพบุตรที่จำแลงตัวมา และเป็นสิ่งที่ขับเน้นให้ตัวซิรูเฟยิ่งโดดเด่น เป็นที่น่าจับตามองของคนที่เดินไปมา จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม เหล่าหญิงสาวน้อยใหญ่ถึงพากันจ้องมองไปที่เขาด้วยความหลงไหล ถึงแม้ว่าซิรูเฟเองจะยังไม่รู้ถึงเหตุผลนั้นก็ตาม
          ดูเหมือนว่าราเมาท์สังเกตเห็นถึงสิ่งนี้  เนื่องจากเขาพริ้มตาลงพร้อมกับหันหลังมาตบไหล่ซิรูเฟเบาๆแล้วพูดว่า
\"เนื้อหอมจริงนะ รีบเดินหน่อยก็แล้วกัน\"
แล้วเขาก็หัวเราะในลำคอแล้วเดินนำหน้าซิรูเฟไป ท่ามกลางคนอื่นในกลุ่มที่ดูจะยังไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น
          หลังจากเดินต่อมาไม่นานนัก คณะร่วมทางของซิรูเฟก็หยุดอยู่หน้าตึกที่มีป้ายปักไว้ว่า อาคารผู้อำนวยการ โดยไม่รีรอ เฮลมุทรีบเดินเข้าไปเคาะประตู ซึ่งประตูนั้นก็เปิดผางออกในทันใด ราวกับมีการเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า เมื่อเห็นความเร่งรีบปนอารมณ์เสียของเฮลมุทแล้วทุกคนจึงรีบเดินตามเขาเข้าไปสู่ห้องของผู้อำนวยการ เวเนร่า อาคาเดมี่ ทันที
          ในที่สุดทั้งหมดก็เดินมาถึงห้องผู้อำนวยการ คราวนี้เฮลมุทไม่เคาะประตูแล้ว แต่กลับบิดลูกกลอนประตูพุ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็ว เผยให้เห็นถึงสภาพในห้องที่กว้างขวางสบายตา แม้จะมีกองหนังสือและสิ่งของมากมายวางตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ แต่ก็ถูกจัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย และมีชายคนหนึ่งนั่งประจันหน้ากับพวกเขา รอคอยการมาถึงของพวกเขาอย่างสงบ ชายคนนี้ดูอย่างผิวเผินแล้วน่าจะมีอายุไม่มาก แต่พวกของเฮลมุทรู้ดีว่าเขามีอายุร่วมครึ่งศตวรรษแล้ว เขาชำเลืองมองพวกเฮลมุทที่เร่งรีบเข้ามาด้วยสายตาอันคมกริบพลางกล่าวว่า
\"เฮลมุท ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน เจ้าก็ยังเป็นคนเร่งรีบเหมือนเดิมเลยนะ\"
\"ข้าแค่ไม่อยากให้เวลาอันมีค่าค้องสูญเปล่าเพียงเพราะการเดินทางอย่างเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะเท่านั้นเอง\"
เฮลมุทตอบอย่างไม่สบอารมณ์พลันทำเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูก
\"ข้าเข้าใจ ว่าเวลาที่เราได้รับมีค่าเพียงใด แต่เจ้าก็ควรจะเห็นใจผู้ที่เพิ่งมาเมืองนี้ใหม่ด้วยสิ  เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะหลงทางบ้างเลยหรือ\"
ชายเจ้าของห้องกล่าวอย่างอบอุ่นพลางผายมือไปทางซิรูเฟ ยิ่งทำให้เฮลมุทซึ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว สบถพึมพำในลำคออย่างขุ่นเคือง ก่อนที่จะกล่าวตอบไปว่า
\"ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยเจ้าหนุ่มนี่นักหรอก เขามีพี่เลี้ยงที่แสนจะอบอุ่นและใจดีรายล้อมอยู่ตลอดเวลาทีเดียวละ\"
เขาพูดเชิงประชดพลางขมวดคิ้วมุ่น จดจ้องไปที่ราเมาท์ นีลโด้ และฟอนเทสที่พากันถอนหายใจ ชายเจ้าของห้องเองก็ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย ก่อนที่จะตัดบทว่า
\"เอาละๆ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าผิดเองที่ไม่ดูให้ดีเสียตั้งแต่แรก เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ เรามาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่า ซิรูเฟ\"
\"ขอรับ ท่าน...\"
ซิรูเฟเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าขึ้นได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อของชายคนนี้เลย
\"เรียกข้าว่าเคียร่าเถอะ ข้คิดว่าเจ้าคงรู้ถึงเรื่องของฮาเดสมาบ้างแล้วใช่ไหม จากดาโวลท์น่ะ\"
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ฮาเดส ความทรงจำนับแต่ที่เขาเล่าเรื่องตำนานของฮาเดสที่รวบรวมมาให้อาจารย์ฟังพลันผุดออกมาให้เห็น ฉากนับร้อยฉากปรากฏขึ้นมาในชั่วพริบตา ปลุกให้ทุกอณูในร่างของเขารํ่าร้องอย่างปวดร้าว เขาต้องข่มกลั้นจิตใจ ฝืนตอบออกไปว่า
\"ขอรับ ผู้น้อยพอจะรู้อยู่บ้าง\"
\"ดีแล้ว อะไรๆจะได้ง่ายขึ้น แล้วเจ้ารู้หรือยังว่ามังกรตัวนั้นได้จุติลงมายังดินแดนนี้อีกครั้ง ในร่างของมังกรตัวใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจมากกว่าเดิม\"
สิ้นเสียงของเวียรุส ซิรูเฟพลันเสียวสันหลังวาบ สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว ทำให้เขาเริ่มตื่นเต้นและตอบไปอย่างกระอักกระอ่วนว่า
\"ผู้น้อยเคยคาดการณ์ไว้ว่ามันอาจจะเกิดขึ้น และไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะผู้น้อยไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด ว่าแต่ ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร\"
เวียรุสยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า
\"ก็ตัวดาโวท์นั่นล่ะที่เป็นคนส่งข่าวมาให้เรารู้ ทั้งยังบอกทางเราด้วยว่าจะส่งเจ้าผู้เป็นผู้สืบทอด เหรียญมังกรฟ้า มายังที่นี่ ไม่อย่างนั้น เมื่อวันก่อน เราจะไปช่วยเจ้าจากเมมฟิสที่หน้าเมืองได้อย่างไร\"
          เมื่อได้ฟังแล้ว ซิรุเฟก็นึกประหลาดใจว่าทำไมตนไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ไหนแต่ไรมาอาจารย์ของเขาเป็นคนทึ่รอบคอบมาก จะกระทำกิจธุระใดจะต้องมีการวางแผนล่วงหน้าก่อนทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ของเขาเป็นปราชญ์ผู้เก่งกาจ ไม่แปลกเลยที่จะใช้เวทมนตร์คาถาในการส่งข่าวมาที่เมืองเวเนร่า เพื่อช่วยเหลือซิรูเฟเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ซิรูเฟรู้สึกซาบซึ้งในตัวอาจารย์ของเขา ต้องข่มกลั้นนํ้าตาไม่ให้รินไหล แล้วถามเวียรุสกลับไปว่า
\"ถ้าเกิดว่าฮาเดสกลับมาแล้วจริงๆ พวกท่านจะทำอย่างไร ในยามนี้ผู้วิเศษบาร์ดก็ไม่อยู่แล้ว ยังจะมีใครอีกหรือที่จะสามารถผนึกมันไว้ได้เหมือนเมื่อก่อน
เวียรุสได้ฟังก็หัวเราะในลำคอราวกับได้ยินเรื่องตลกมา สักพักหนึ่งเขาจึงหยุดหัวเราะและกล่าวว่า
\"จริงอยู่ผู้ที่จะผนึกมันได้เหมือนเมื่อก่อนอาจจะไม่มีอีกแล้ว แต่ตอนนี้ เราพบผู้ที่เป็นความหวังของเรา ผู้ที่จะมากำจัดมันให้หายไป ไม่สามารถกลับมายังที่นี้ได้อีกแล้ว\"
\"ใครหรือท่าน\"
\"พวกเจ้า...ทั้งห้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้านี่ล่ะ\"
เมื่อเวียรุสเห็นซิรู้ฟที่ดูจะนิ่งอึ้ง ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว จึงถามซิรูเฟว่า
\"ซิรูเฟ เจ้าเคยได้ยินเรื่องของ คาเลนาส  บ้างไหม\"
\"ท่านหมายถึง อารยธรรมที่ถูกลืม คาเลนอส อย่างนั้นหรือ\"
          เมื่อได้ฟังคำ คาเลนอส สมองของซิรูเฟก็ทบทวนหวนนึกไปถึงข้อความที่เขาเคยอ่านจากหนังสือ บันทึกลับต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องในอารยธรรมโบราณ  ที่ถูกเก็บไว้อย่างมิดชิดในห้องของอาจารย์ของเขา ซึ่งได้บรรยายไว้ว่า
\" คาเลนอส คือชื่อของอารยธรรมโบราณที่ไม่มีใครรู้ว่าถูกสร้างขึ้นโดยใครหรือถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่ อารยธรรมนี้ถูกค้นพบโดยนักผจญภัยอันลือชื่อนาม อารีดัส จากในบันทึกการเดินทางของเขาส่วนสถานที่ตั้งของอารยธรรมนี้ ตัวอารีดัสเก็บไว้เป็นความลับไม่ได้เปิดเผยไว้ แต่คาดว่าน่าจะแบ่งเป็นจุดต่างๆ กระจายอยู่ทั่วอาณาจักรเทอร์เพนไทน์ จากบันทึก อารีดัสได้อ้างไว้ว่า อารยธรรรมนี้เป็นอารยธรรมที่สูงลํ้า มีความเจริญมากกว่าอารยธรรมในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ถึงกับมีคำรํ่าลือว่าเป็นอารยธรรมที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพในยุคปฐมกาล
          หลักฐานเพียงไม่กี่ชิ้นที่อารีดัสใช้ในการอ้างอิงถึงการมีอยู่ของอารยธรรมนี้ก็มี หนังสืออวยพรของเล่าทวยเทพ ภายในเต็มไปด้วยภาษาเทพที่เป็นคำอวยพรในแบบต่างๆ ซึ่งนักบุญ นักบวช และผู้ใช้เวทมนตร์ขาว นำมาศึกษาในการใช้คำอวย เพื่อช่วยในเรื่องของการรักษาโรคร้าย หรือการปัดเป่าคำสาปร้ายให้หมดสิ้นไป
          หลักฐานอีกชิ้นที่อารีดัสพบก็คือ เหรียญมังกรฟ้า ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเหรียญนี้มีพลังอะไร และอารีดัสได้มันมาจากที่ใด แต่จากบันทึกของเขา...
เมื่อหวนนึกถึงตรงนี้ ซิรูเฟก็เพิ่งจะตระหนักรู้เองว่า เหรียญมังกรฟ้าที่เขารับสืบทอดต่อมาจากอาจารย์ของเขานั้น ก็คือหนึ่งในหลักฐานอันลํ้าค่า ของอารยธรรมที่สาบสูญไปนั่นเอง... แต่ยังไม่ทันจะได้คิดต่อ เวียรุสก็ตอบกลับมาว่า
\"ใช่แล้ว มันคืออารยธรรมโบราณที่เป็นปริศนา ในตำราบางเล่มเขียนไว้เช่นนั้น แต่แท้ที่จริงแล้วเราค้นพบแหล่งอารยธรรมเหล่านั้นบ้างแล้วบางส่วน แต่ที่ตั้งของสถานที่เหล่านั้นเป็นเรื่องลับสุดยอด ไม่สามารถให้ใครรู้ได้ เพราะอาจจะส่งผลกระทบถึงความมั่นคงของดินแดนเทอร์เพนไทน์แห่งนี้ และอาจจะส่งผลถึงการขาดสมดุลแห่งธรรมชาติทั้งมวลได้ จึงต้องมีการจัดตั้ง ผู้เฝ้าสถานที่เหล่านั้น สืบทอดต่อกันมาเป็นรุ่นๆ จนมาถึงรุ่นของเด็กทั้งสี่คนที่ยืนอยู่รอบๆตัวของเจ้า\"
เวียรุสหยุดนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะเล่าต่อว่า
\"ส่วนเรื่องที่ว่าสถานที่เหล่านั้นมีความสำคัญอย่างไรนั้น ก็อยู่ตรงที่ แหล่งอารยธรรมเหล่านั้นเป็นที่สิงสถิตของพลังแห่งธรรมชาติอันเก่าแก่โบราณ และเป็นพลังแห่งธาตุที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งเป็นพลังที่เราจะนำมาใช้ชำระล้างให้ จตุรเทพพิทักษ์ กลับมามีพลังงานอันบริสุทธิ์สูงส่งอีกครั้ง เจ้ารู้จักจตุรเทพพิทักษ์ใช่ใหม่ว่าคืออะไร\"
เมื่อเห็นซิรูเฟพักหน้าอย่างเงียบๆ เขาจึงพูดออกไปอีกว่า
\"จตุรเทพพิทักษ์ที่ถูกเรียกออกมาโดยเหล่าสภาผู้ใช้เวทมนตร์ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่ามีจะรวมพลังกันแล้วก็ยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะช่วยพวกเรากำจัดฮาเดสได้ แต่ถ้าหากว่า เราสามารถทำการเจรจาต่อรองกับ พลังงานบริสุทธิ์ของคาเลนอส แล้วขอยืมพลังเหล่านั้นมาให้กับจตุรเทพพิทักษ์ได้ละก็ ข้าเชื่อว่า คราวนี้เราจะสามารถกอบกู้เทอร์เพนไทน์ไว้จากเหล่ามังกรร้ายจากนรกได้\"
ซิรูเฟทำหน้าฉงนแล้วถามขึ้นว่า
\"ท่านหมายความว่า เราจะขอยืมพลังของคาเลนอสมาเพื่อใช้ กำจัด ฮาเดส ใช่ไหม ท่านคิดว่าแค่นั้นจะพอเพียงหรือ แล้วอีกประการหนึ่ง ที่ท่านกล่าวไว้ว่าพวกข้าทั้งห้าคนที่อยู่ข้างหน้าท่านจะช่วยโลกได้ หมายความว่าอย่างไร\"
\"เจ้าคิดว่าพลังบริสุทธ์ของเหล่าทวยเทพนั้นไม่เพียงพอหรือ พลังจากคาเลนอสนี้เป็นพลังดั้งเดิมที่เหล่าเทพช่วยกันสรรสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา และช่วยรักษาสมดุลแห่งสรรพสิ่ง เจ้าลองคิดดูว่าจะต้องใช้พลังมากมายแค่ไหนในการรักษาสมดุลเหล่านี้ไว้ ถ้าเราใช้พลังในทางที่ถูกต้อง เราจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องของจตุรเทพพิทักษ์เกี่ยวอะไรกับเจ้าทั้งห้าคนนั้น ซิรูเฟ เจ้าลองดูที่มือขวาของเพื่อนเจ้าแต่ละคนสิ \"
เมื่อซิรูเฟพิจารณาดูที่มือขวาของแต่ละคนแล้วจึงพบแหวนที่มีสีสันแตกต่างกันออกไป ทั้งสีแดง เขียว ฟ้า และนํ้าตาล แล้วเวียรุสจึงกล่าวต่อว่า
\"แหวนสี่วงนี้คือที่สิงสถิตของจตรุเทพพิทักษ์ทั้งสี่องค์ ซึ่งมีเฉพาะผู้ที่ได้รับเลือก นั่นก็คือตระกูลแต่ละตระกูลที่เป็นผู้เฝ้าอารยธรรมแห่งคาเลนอส เป็นผู้ที่ล่วงรู้ความลับของสถานที่เหล่านั้น และเป็นผู้ที่จะขอยืมพลังของคาเลนอสมา\"
\"แล้วทำไมท่านจะต้องรวมข้าเข้าไปด้วยเล่า\"
\"เพราะเจ้าคือกุญแจสำคัญที่จะไขความลับทั้งมวลของคาเลนอสน่ะสิ ในตอนนี้ เจ้า คือผู้สืบทอดเหรียญและพลังมังกรฟ้าโดยชอบธรรม และพลังจากเหรียญมังกรฟ้าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะสามารถพาเพื่อนของเจ้าทั้งสี่คนเชื่อมต่อถึงพลังงานบริสุทธิ์เหล่านั้นและขอยืมมาใช้ได้ ดังนั้นภารกิจครั้งนี้จึงไม่อาจบรรลุได้ถ้าหากขาดเจ้าไป เจ้าเข้าใจหรือยัง\"
เวียรุสปล่อยให้ซิรูเฟนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า
\"ภารกิจนี้เป็นสิ่งที่เราไม่อาจชักช้าได้ ขณะนี้พวกมันเตรียมตัวแล้วที่จะทำลาย ผนึก หรือกำแพงในตราที่กักพวกมันไว้ในภูเขาครีเอาเชียส และมีความเป็นไปได้สูงมากว่าพวกมันจะบุกออกมาในคืนนี้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่พลังแห่งมนตราเบาบางที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากให้พวกเจ้ารีบออกเดินทางไปยังอารยธรรมคาเลนอสตามจุดต่างๆให้เร็วที่สุด เรื่องนี้ เพื่อนของเจ้าทั้งสี่คนได้รับทราบและตกลงใจที่จะปฏิบัติภารกิจนี้แล้ว ทุกสิ่งที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเจ้าเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น เจ้าพร้อมหรือยัง ซิรูเฟ\"
ซิรูเฟนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งด้วยความมึนงงและสับสน จนกระทั่งเวียรุสกระแอมไอซิรูเฟจึงรู้สึกตัวแล้วตอบกลับไปอย่างละล้าละลังว่า
“เข้าใจขอรับ แต่ ถ้าหากว่าท่านจะให้ผู้น้อยปฏิบัติภารกิจนี้คงต้องขอคิดดูอีกที”
“ทำไมล่ะ หรือว่าเจ้าไม่อยากช่วยเหลือดินแดนมาตุภูมิของเจ้า”
“มันก็ไม่เชิงขอรับ ทว่าผู้น้อย ยังไม่แน่ใจนัก เท่าที่ฟังดูมันเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน ผู้น้อยเลยยังไม่แน่ใจว่าจะแบกรับภาระนี้ไหวหรือไม่ ท่านมีทางเลือกอื่นอีกหรือเปล่าขอรับ”
“ถ้าหากว่าแม้แต่เจ้าเองที่เป็นศิษย์ของนักปราชญ์ในตำนานยังทำไม่สำเร็จแล้วล่ะก็” เวียรุสถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “ก็คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะช่วยเราได้”
“แต่ ผู้น้อยคงไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น แม้ว่าผู้น้อยจะเป็นศิษย์มีอาจารย์ แต่ท่านก็ไม่เคยถ่ายทอดวิชาความรู้เชิงปฏิบัติเลย ข้าได้เรียนรู้เพียงทฤษฎี จึงทำให้ผู้น้อยยังอ่อนต่อโลกอยู่มาก เกรงว่าจะเป็นตัวถ่วงของกลุ่ม ทำให้ปฏิบัติภารกิจล่าช้าขึ้น ซึ่งกว่าจะบรรลุภารกิจมันก็คงจะสายเกินการณ์ไปแล้ว ท่านหาคนอื่นแล้วเอาเหรียญมังกรฟ้านี้ไปแทนไม่ดีกว่าหรือ”
ซิรูเฟกล่าวพลางล้วงเหรียญขึ้นมาจากในเสื้อคลุม แล้วยื่นส่งให้กับเวียรุส ทว่าเวียรุสเห็นแล้วกลับส่ายหน้าพลางกล่าวว่า
“เหรียญนี้จะยอมรับเฉพาะผู้เป็นนายที่แท้จริงที่ได้รับสืบทอดพลังมาเท่านั้น ไม่มีประโยชน์หรอกที่จะทำเช่นนั้น ข้าคงจะถูกไฟแผดเผาจนไหม้เกรียมเป็นแน่หากว่าข้าพยายามที่จะนำเหรียญไปจากตัวเจ้า ยอมรับในฝีมือของเจ้าเองเถิด ข้าได้ยินไอลาธเล่ามาว่าตอนที่เจ้าปะทะกับเมมฟิส เจ้าสามารถอัญเชิญจิตวิญญาณของเทพเจ้าได้ด้วยตัวเอง ซึ่งคนที่สามารถจะอัญเชิญวิญญาณเทพมาได้แบบเต็มตัวเช่นนี้มีน้อยมากแบบจำนวนได้ นั่นเป็นการแสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมเพียงใด
          เชื่อข้าเถิด หน้าที่นี้ไม่มีใครอีกแล้วที่จะทำมันได้นอกจากเจ้า จากนี้ไป วันเวลาข้างหน้าจะดำเนินต่อไปเช่นไร ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าแล้ว แต่ไม่ว่าผลมันจะออกมาล้มเหลวหรือสำเร็จอย่างไรข้าก็ไม่โทษว่าเจ้า เพียงแค่เจ้าตัดสินใจเท่านั้น ซิรูเฟ ”
แม้ว่าเวียรุสจะไม่ได้พูดเชิงบังคับให้ซิรูเฟทำก็ตาม แต่ก็ทำให้ซิรูเฟรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก ถึงกับทำให้เขานิ่งคิดเหม่อลอยไปนานจนเวียรุสพูดต่อไปว่า
“อย่าลืมว่าที่อาจารย์ของเจ้าได้ถ่ายทอดพลังของเหรียญมาให้เจ้า นั่นหมายถึงว่าเขาเชื่อในตัวเจ้าและต้องการให้เจ้ารับหน้าที่นี้  แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าที่จะเลือก ข้าบอกเจ้าแล้ว เร็วเข้าเถิด เวลาของเรามีไม่มากแล้ว เจ้าจะรับหน้าที่นี้หรือไม่”
เมื่อเวียรุสกล่าวจบ ซิรูเฟก็หลับตานิ่งพร้อมกับถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง จนในที่สุดก็ตอบว่า
“ขอรับ ถ้าหากว่าท่านเชื่อมั่นในตัวผู้น้อย ผู้น้อยก็จะพยายามอย่างเต็มที่ขอรับ”
“ดี หากเจ้าเตรียมตัวพร้อมเมื่อไหร่ ก็ขอให้บอกเพื่อนที่อยู่ข้างหลังของเจ้า พวกเขาจะพาเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มเดินทางเพื่อปฎิบัติภารกิจในทันที ขอขอบใจเจ้าจากใจจริง ถ้าหากว่าเจ้าปฏิบัติภารกิจนี้เสร็จสิ้นแล้ว เจ้าจะได้เป็นนักปราชญ์แน่นอน เอาล่ะ พวกเจ้าไปเตรียมตัวกันได้แล้ว เชิญ”
กล่าวแล้วเวียรุสก็ยิ้มให้กับซิรูเฟ ซึ่งซิรูเฟเองก็ยิ้มตอบพลางคำนับตัวอย่างนอบน้อม ก่อนที่จะเดินตามเพื่อนที่อยู่ข้างหลังทั้งสี่คนออกไปจัดข้าวของเดินทางให้พร้อม
    ขณะที่ทั้งห้ากำลังเดินออกมาจากตัวอาคารอำนวยการ พวกเขาก็พบกับเหตุการณ์ภายนอกที่เรียกความสนใจของทุกคนให้ไปรวมกัน มันเป็นเหตุการณ์ของการปะทะกันระหว่างมนุษย์ที่เป็นยามรักษาความปลอดภัย กับมนุษย์ครึ่งม้าที่ดูจะมีพละกำลังมากมายเหลือเกิน มากขนาดที่ว่าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษาตามจุดต่างๆกว่าสิบนายก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งสิ่งมีชีวิตตนนี้ให้สงบลงได้ ต้องเรียกเหล่าอาจารย์ผู้ขมังเวทที่ทำการสอนอยู่วิ่งลงมาช่วยลงอาคมระงับการเคลื่อนไหวของมนุษย์ครึ่งม้านี้กันอย่างโกลาหล
\"หลีกไป เจ้าพวกมนุษย์ ข้าต้องรีบส่งสารที่ได้รับมอบมาแก่คนผู้หนึ่ง\"
เจ้าของร่างคนครึ่งม้านี้กล่าวยังเดือดดาลพร้อมกับพยายามยกสองขาหน้าชูขึ้นเป็นเชิงว่าพร้อมที่จะกระทืบเท้าทั้งสองใส่ผู้ที่ขวางทางมันให้จมดินลงไป จนหลายคนต้องพากันถอยห่างออกไปด้วยความตระหนกในระยะที่ขาของมันฟาดไม่ถึง หลังจากนั้นสักพักก็มีอาจารย์คนหนึ่งได้สติเดินเข้าไปในระยะอันตรายแล้วเอ่ยปากถามว่า
\"สาร? สารอันใด จากใคร และเจ้าต้องการที่นำมันไปแจ้งแก่ผู้ใด\"
\"ข้าต้องการที่จะส่งสารนี้ให้แก่ผู้สืบทอดโดยชอบธรรมของดาโวลท์ ปราชญ์แห่งแฮลลา ส่วนเนื้อหาของสารนั้นพวกเจ้าไม่มีสิทธิ์รู้ ถ้าหากว่าเจ้ารู้จักคนที่จ้าพูดถึงอยู่แล้วล่ะก็ ช่วยนำข้าไปหาเขาหรือไม่ก็ให้เขามาหาข้าโดยด่วน เรื่องราวไม่อาจชักช้าไปกว่านี้ได้อีกแล้ว\"
\"ไม่มีคนที่เจ้าต้องพูดถึงในสถานที่แห่งนี้หรอก เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังรุกลํ้าเขตหวงห้ามของเราเหล่ามนุษย์อยู่ กลับไปเถิด ข้าไม่อาจให้เจ้ารุกลํ้าเขตแดนของเราได้มากไปกว่านี้อีกแม้แต่ก้าวเดียว ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้ายนะ เซนทอร์!(คำที่มนุษย์ใช้เรียกมนุษย์ครึ่งม้า)\"
          กล่าวแล้วอาจารย์คนนี้ก็ล้วงไม้เท้าออกมาจากเสื้อคลุมแล้วปักมันลงตั้งตรงกับพื้น ประจันหน้ากับผู้มาเยือนที่กำลังโกรธเกรี้ยวอย่างไม่กลัวเกรง ซิรูเฟมองดูสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างตื่นตระหนก แต่ยังไม่ทันที่เขาเริ่มรวบรวมเสียงเพื่อตะโกนออกไปว่าเขาคือผู้สืบทอดโดยชอบธรรมของดาโวลท์ เซนทอร์ตัวนั้นก็กู่ร้องดุจดั่งเสียงของม้าพยศแล้วพุ่งเข้าประทะกับอาจารย์ผู้นั้นทันที
          หลังจากนั้นพริบตาเดียวก็เกิดแสงจ้าสว่างวาบจากใจกลางของการปะทะกันเมื่อครู่นี้ ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว พื้นหินอ่อนที่รองรับการระเบิดแตกกระจุยกระจาย ฝุ่นผงปลิวว่อนก่อให้เกิดควันคละคลุ้งไปทั่ว ทำให้ผู้ที่เฝ้ามองเหตุการณ์ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในไม่ช้าควันที่ลอยฟุ้งขึ้นมาจากการระเบิดก็เจือจางลง
          บริเวณพื้นที่เป็นใจกลางของการปะทะแหว่งหายไปจนเกิดหลุมขนาดใหญ่ มีร่างสามร่างยืนอยู่ที่ใจกลางนั้น สองร่างแรกนั้นเป็นของอาจารย์และเซนทอร์ ส่วนอีกร่างที่ยืนคั่นกลางจากการปะทะของทั้งสองเป็นร่างของชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาวสะอาดผมสีบลอนด์ในวัยทำงาน มือทั้งสองของเขาคว้าไม้เท้าของอาจารย์และจับขาหน้าข้างหนึ่งของเซนทอร์ไว้ได้ หลังจากนั้นสักพักเขาจึงค่อยๆปล่อยมือที่ยึดจับไว้อย่างนุ่มนวลแล้วกล่าวว่า
\"มีเรื่องอะไรกันหรือฟรานเซส ถึงได้ทำเรื่องรุนแรงกับผู้มาเยือนเช่นนี้\"
\"เคียร่า เจ้านี่บุกรุกเข้ามาในเขตแดนของมนุษย์เรา ที่ข้าทำก็แค่เพียงขับไล่มันออกไปเท่านั้นเอง\"
\"แล้วเจ้าจะไม่ถามจุดประสงค์ของเขาเสียก่อนหรือว่าเขามาทำไม\"
\"เจ้านี่บอกว่ามาส่งสารให้แก่ผู้สืบทอดของดาโวลท์ มันเป็นเรื่องตลกใช่ไหมล่ะ เพราะว่าดาโวลท์น่ะ...\"
เคียร่าใช้สายตาที่เกรี้ยวกราดคมกริบบอกเป็นในๆให้อาจารย์คนนั้นหยุดพูด เปิดโอกาสให้ไครฟว์ซึ่งกำลงโมโหตะคอกอย่างฉุนเฉียวว่า
\"ถ้าหากว่าไม่ใช่สารของคนรู้จักที่ฝากไว้ก่อนจะสิ้นชีวิตแล้ว่ะก็ ต่อให้เอาอะไรมาฉุดลากข้า ก็จะไม่มาเหยียบที่นี่เป็นอันขาด!\"
ซิรูเฟรู้สึกได้ว่าหลังขอของเขาเริ่มเย็นเฉียบ สารก่อนตายอย่างนั้นหรือ เขาคิดอย่างตกตะลึง
\"อะไรนะ...ดาโวลท์...เสียชีวิตแล้ว อย่างนั้นหรือ...\"
นํ้าเสียงของเคียร่าเองก็ดูจะตื่นตระหนกไม่น้อยไปกว่าซิรุเฟเลย เมื่อไครฟว์เห็นว่ารอบข้างพากันเงียบสงบลงอย่างฉับพลันจึงสบโอกาสกล่าวออกไปว่า
\"ใช่แล้ว ข้าเป็นคนฝังสังขารของเขาด้วยมือข้องข้าเอง...\"
แล้วจึงถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่อไปว่า
\"เอาละ ทีนี้พวกเจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าข้าจะฝากสารนี้ไว้ให้แก่ใคร\"
เคียร่า ซึ่งดูเหมือนว่าเพิ่งจะหายจากอาการตกใจ รับคำอย่างเหนื่อยล้าว่า
\"อืม เขาอยู่ที่นี้แล้ว เด็กหนุ่มในชุดสีฟ้าตรงนั้น คือ ซิรูเฟ อาเวลอน ผู้สืบทอดอันชอบธรรมจากดาโวลท์ ปราชญ์แห่งแฮลลา ท่านตรวจสอบดูเอาเองก็แล้วกันว่าใช่หรือไม่\"
          กล่าวพลางโค้งคำนับแล้วชักนำฟรานเชสให้ล่าถอย เปิดทางเดินให้แก่ไครฟว์เดินไปหาซิรูเฟได้สะดวก ทำให้ตอนนี้ทุกสายตาพากันมองไปยังซิรูเฟเป็นจุดเดียว ซิรุเฟเองก็เพิ่งรุ้สึกตัว เห็นมนุษย์ครึ่งม้าเมื่อครู่นี้มุ่งหน้ามาทางเขาอย่างรวดเร็วจนเขาแทบอุทานออกมา ไม่ทันไรเซนทอร์นั้นก็ย่างเท้ามาอยู่ที่เบื้องหน้าของซิรูเฟแล้วหยุดเท้าลงพลางกล่าวว่า
\"เจ้าคือ ซิรูเฟ อาเวลอน ใช่ไหม\"
ซิรูเฟตอบรับด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ไครฟว์จดจ้องมาซิรูเฟอย่างครุ่นคิดพิจารณา ราวกับจะมองทะลุเข้าไปในจิตใจของเขากไม่ปาน จากนั้นสักพักเขาจึงกล่าวว่า
\"ที่ตรงนี้ไม่เหมาะแก่การพูดคุย ขึ้นมาบนหลังของข้าก่อนก็แล้วกัน\"
แล้วไครฟว์ก็ยย่อสองขาหลังลงให้ซิรุเฟขึ้นไปนั่งได้ง่ายขึ้น ซิรูเฟขึ้นนึ่งบนหลังไครฟว์อย่างลนลาน แล้วก็ต้องอุทานออกมาในที่สุด เมื่อไครฟว์ห้อทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันตั้งตัว
          หลังจากนั้นไม่นาน ภาพคงกลุ่มคนที่พากันจับตามองเขาเมื่อครู่ก็เลือนหายไป ทัศนียภาพอันวิจิตรตระการตาของเมืองเวเนร่าถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง ที่แท้ไครฟว์พาเขามายังป่าประหลาดที่ไม่กี่วันมานี้ทำให้เขาเกือบต้องทิ้งร่างไว้โดยไม่มีใครรู้ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาได้พบพานมาก็ทำให้เขาขนลุกซู่และตัวสั่นกึกกักด้วยความหวาดกลัว ไครฟว์เองก็ดูจะรู้ดีว่าซิรูเฟกำลังขวัญเสีย จึงชะงักฝีเท้าไปแล้วค่อยๆย่างไปยังพุ่มไม้ใหญ่อันร่มรื่นที่อยู่เบื้องหน้าพร้อมกับกล่าวว่า
\"ไม่ต้องกลัว ที่ข้าพาเจ้ามาที่นี่ไม่ได้คิดทีจะทำอันตรายเจ้าหรอก ป่าคือบ้านของข้า ข้ารุ้ดีว่าที่แห่งนี้มีอะรบ้าง ฉะนั้นไม่ต้องกลัวไป เมื่อมีข้าอยู่ที่แห่งนี้ปลอดภัยที่สุดแล้วในการบอก สาร ที่ดาโวลท์ทิ้งไว้ให้แก่เจ้า\"
ซิรูเฟรู้สึกว่าจิตใจของเขาสงบลงอย่างประหลาด ทั้งยังนึกได้ถึงข้อความที่อาจารย์บอกแก่เขาไว้ในฝันถึงผู้ส่งสารคนนี้ จึงรุ้สึกว่างใจแล้วปลอดโปร่งโลงสบายขึ้น จึงยิ้มให้แก่ไครฟว์แล้วกล่าวว่า
\" สารอะไรหรือที่อาจารยได้ทิ้งไว้ให้แก่ข้า ข้าคิดว่ามีอะไรที่ข้าต้องรู้มากมายเลยทีเดียว ข้าพอจะถามอะไรท่านบางอย่างได้ไหม\"
\"ได้สิ ถามมาได้เลยหากว่ามันไม่เกินความสามารถของข้า\"
\"คือ...ข้าอยากจะรู้ว่า...\"
ไม่ทันที่เขาจะเปิดปากถามได้ สองมือของไครฟว์ลันเข้ามาปิดปากของซิรูเฟไว้แล้วกระซิบบอกด้วยความตื่นตระหนกว่า
\"ขอโทษนะซิรูเฟ ตอนนี้ข้ายังให้เจ้าถามอะไรไม่ได้ เจ้าต้องรีบไปหลบหลังพุ่มไม้ตรงนั้น แล้วพยายามอย่าเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็น สิ่งนั้นกำลังมา... ข้าจะล่อมันออกไปให้ไกลที่สุด เมื่อไกลพอแล้วข้าจะส่งสัญญาณเรียกพวกในเมืองมาช่วย เมื่อได้ยินสัญญาณจากข้าแล้วจึงจะออกมาจากพุ่มไม้ได้ ถ้าหากว่าเราโชคดีพวกที่อยู่ในเมืองก็จะมาช่วยทันเวลา แล้วเราก็จะรอด แต่ถ้าไม่ละก็...คงต้องเสี่ยงกันหน่อยละ เอาละ มันเข้ามาใกล้แล้ว รีบเข้าไปซ่อนตัว เร็ว!\"
ฟังจากนํ้าเสียงขอไครฟว์ท่ปกติเย่อหยิ่งไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด กลับกล่าวด้วยความตื่นตระหนกเช่นนี้ ทำให้ซิรุเฟกระโจนปรี่เข้าไปในพุ่มไม้ด้วยความเร่งรีบ และรอคอย สิ่งที่กำลังคืบคลานเข้ามาพวกเขาอย่างหวาดหวั่น...
สิ่งที่กำลังคืบคลานเข้ามาคืออะไร และมีจุดประสงค์ใดกันแน่...
to the next chapter! 
                                                    ภาค ~เรื่องเล่าของมังกร~
                                                  ตอนที่ 8 ทางเลือกเดียวที่มี
          ซิรูเฟรู้สึกได้ว่าตนถูกจับตามองจากคนเดินเท้าทั่วไปตลอดช่วงเวลาที่เขาเดินทางสู่ตึกผู้อำนวยการ เวเนร่า อาคาเดมี่ โดยเฉพาะเหล่าดรุณีแรกรุ่นที่จับกลุ่มทำเสียงซุบซิบหัวร่อต่อกระซิกกันตามรายทางนั้น เห็นได้ชัดเลยว่ากำลังเพ่งเล็งความสนใจมาที่ตัวเขา โดยที่เขาเองไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
          ตั้งแต่ซิรูเฟถูกเลี้ยงมาโดยดาโวลท์จนกระทั่งปัจจุบัน เขาไม่เคยเรียนรู้การใช้ชีวิตในโลกภายนอกเลย จะมีก็แต่ตอนที่เขาออกเดินทางไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของฮาเดส ซึ่งการรวบรวมข้อมูลอย่างลับๆนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้เขาเจนโลกขึ้นแม้แต่น้อย เขาไม่รู้ด้วยซํ้าว่าสายตาของเหล่าหญิงสาวที่เหม่อมองมาทางเขาอย่างตกตะลึงเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร ไม่รับรู้ถึงความหล่อเหลาคมคายประดุจเทพบุตรของตนที่เป็นตัวชักนำทุกสายตาให้จับจ้องมาที่เขาเลย
          ด้วยร่างกายที่สูงเพรียวพอเหมาะพอดี รวมกับผมยาวสีฟ้าอ่อนที่ถูกถักเป็นเปียอย่างเรียบร้อย บ่งบอกถึงความสุภาพและสุขุมรอบคอบ หากมองลึกเข้าไปในดวงตาก็จะพบกับนัยน์ตาสีฟ้านวลนิ่งที่เปล่งประกายนวลใส แผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกอันลี้ลับชวนให้ค้นหา ทั้งยังบ่งบอกว่าดวงตาคู่นี้ได้ผ่านเรื่องร้อนหนาวมาอย่างโชกโชน เปรียบดั่งบ่อนํ้าอันลํ้าลึกไร้ก้นบึ้ง
        หากพิจารณาทั่วทั้งร่างก็จะพบแต่ความลงตัว ไม่มีองค์ประกอบใดผิดเพี้ยน ซึ่งเข้ารูปอย่างพอดีกันกับชุดคลุมยาวสีฟ้าหม่นขลิบขอบสีทองประดับลวดลายที่เหล่าจอมขมังเวทนิยมสวมใส่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลิกลักษณะท่าทางการเดินที่ถูกฝึกมาอย่างดีนั้น ทำให้เขาดูราวกับเทพบุตรที่จำแลงตัวมา และเป็นสิ่งที่ขับเน้นให้ตัวซิรูเฟยิ่งโดดเด่น เป็นที่น่าจับตามองของคนที่เดินไปมา จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม เหล่าหญิงสาวน้อยใหญ่ถึงพากันจ้องมองไปที่เขาด้วยความหลงไหล ถึงแม้ว่าซิรูเฟเองจะยังไม่รู้ถึงเหตุผลนั้นก็ตาม
          ดูเหมือนว่าราเมาท์สังเกตเห็นถึงสิ่งนี้  เนื่องจากเขาพริ้มตาลงพร้อมกับหันหลังมาตบไหล่ซิรูเฟเบาๆแล้วพูดว่า
\"เนื้อหอมจริงนะ รีบเดินหน่อยก็แล้วกัน\"
แล้วเขาก็หัวเราะในลำคอแล้วเดินนำหน้าซิรูเฟไป ท่ามกลางคนอื่นในกลุ่มที่ดูจะยังไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น
          หลังจากเดินต่อมาไม่นานนัก คณะร่วมทางของซิรูเฟก็หยุดอยู่หน้าตึกที่มีป้ายปักไว้ว่า อาคารผู้อำนวยการ โดยไม่รีรอ เฮลมุทรีบเดินเข้าไปเคาะประตู ซึ่งประตูนั้นก็เปิดผางออกในทันใด ราวกับมีการเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า เมื่อเห็นความเร่งรีบปนอารมณ์เสียของเฮลมุทแล้วทุกคนจึงรีบเดินตามเขาเข้าไปสู่ห้องของผู้อำนวยการ เวเนร่า อาคาเดมี่ ทันที
          ในที่สุดทั้งหมดก็เดินมาถึงห้องผู้อำนวยการ คราวนี้เฮลมุทไม่เคาะประตูแล้ว แต่กลับบิดลูกกลอนประตูพุ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็ว เผยให้เห็นถึงสภาพในห้องที่กว้างขวางสบายตา แม้จะมีกองหนังสือและสิ่งของมากมายวางตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ แต่ก็ถูกจัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย และมีชายคนหนึ่งนั่งประจันหน้ากับพวกเขา รอคอยการมาถึงของพวกเขาอย่างสงบ ชายคนนี้ดูอย่างผิวเผินแล้วน่าจะมีอายุไม่มาก แต่พวกของเฮลมุทรู้ดีว่าเขามีอายุร่วมครึ่งศตวรรษแล้ว เขาชำเลืองมองพวกเฮลมุทที่เร่งรีบเข้ามาด้วยสายตาอันคมกริบพลางกล่าวว่า
\"เฮลมุท ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน เจ้าก็ยังเป็นคนเร่งรีบเหมือนเดิมเลยนะ\"
\"ข้าแค่ไม่อยากให้เวลาอันมีค่าค้องสูญเปล่าเพียงเพราะการเดินทางอย่างเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะเท่านั้นเอง\"
เฮลมุทตอบอย่างไม่สบอารมณ์พลันทำเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูก
\"ข้าเข้าใจ ว่าเวลาที่เราได้รับมีค่าเพียงใด แต่เจ้าก็ควรจะเห็นใจผู้ที่เพิ่งมาเมืองนี้ใหม่ด้วยสิ  เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะหลงทางบ้างเลยหรือ\"
ชายเจ้าของห้องกล่าวอย่างอบอุ่นพลางผายมือไปทางซิรูเฟ ยิ่งทำให้เฮลมุทซึ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว สบถพึมพำในลำคออย่างขุ่นเคือง ก่อนที่จะกล่าวตอบไปว่า
\"ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยเจ้าหนุ่มนี่นักหรอก เขามีพี่เลี้ยงที่แสนจะอบอุ่นและใจดีรายล้อมอยู่ตลอดเวลาทีเดียวละ\"
เขาพูดเชิงประชดพลางขมวดคิ้วมุ่น จดจ้องไปที่ราเมาท์ นีลโด้ และฟอนเทสที่พากันถอนหายใจ ชายเจ้าของห้องเองก็ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย ก่อนที่จะตัดบทว่า
\"เอาละๆ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าผิดเองที่ไม่ดูให้ดีเสียตั้งแต่แรก เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ เรามาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่า ซิรูเฟ\"
\"ขอรับ ท่าน...\"
ซิรูเฟเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าขึ้นได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อของชายคนนี้เลย
\"เรียกข้าว่าเคียร่าเถอะ ข้คิดว่าเจ้าคงรู้ถึงเรื่องของฮาเดสมาบ้างแล้วใช่ไหม จากดาโวลท์น่ะ\"
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ฮาเดส ความทรงจำนับแต่ที่เขาเล่าเรื่องตำนานของฮาเดสที่รวบรวมมาให้อาจารย์ฟังพลันผุดออกมาให้เห็น ฉากนับร้อยฉากปรากฏขึ้นมาในชั่วพริบตา ปลุกให้ทุกอณูในร่างของเขารํ่าร้องอย่างปวดร้าว เขาต้องข่มกลั้นจิตใจ ฝืนตอบออกไปว่า
\"ขอรับ ผู้น้อยพอจะรู้อยู่บ้าง\"
\"ดีแล้ว อะไรๆจะได้ง่ายขึ้น แล้วเจ้ารู้หรือยังว่ามังกรตัวนั้นได้จุติลงมายังดินแดนนี้อีกครั้ง ในร่างของมังกรตัวใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจมากกว่าเดิม\"
สิ้นเสียงของเวียรุส ซิรูเฟพลันเสียวสันหลังวาบ สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว ทำให้เขาเริ่มตื่นเต้นและตอบไปอย่างกระอักกระอ่วนว่า
\"ผู้น้อยเคยคาดการณ์ไว้ว่ามันอาจจะเกิดขึ้น และไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะผู้น้อยไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด ว่าแต่ ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร\"
เวียรุสยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า
\"ก็ตัวดาโวท์นั่นล่ะที่เป็นคนส่งข่าวมาให้เรารู้ ทั้งยังบอกทางเราด้วยว่าจะส่งเจ้าผู้เป็นผู้สืบทอด เหรียญมังกรฟ้า มายังที่นี่ ไม่อย่างนั้น เมื่อวันก่อน เราจะไปช่วยเจ้าจากเมมฟิสที่หน้าเมืองได้อย่างไร\"
          เมื่อได้ฟังแล้ว ซิรุเฟก็นึกประหลาดใจว่าทำไมตนไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ไหนแต่ไรมาอาจารย์ของเขาเป็นคนทึ่รอบคอบมาก จะกระทำกิจธุระใดจะต้องมีการวางแผนล่วงหน้าก่อนทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ของเขาเป็นปราชญ์ผู้เก่งกาจ ไม่แปลกเลยที่จะใช้เวทมนตร์คาถาในการส่งข่าวมาที่เมืองเวเนร่า เพื่อช่วยเหลือซิรูเฟเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ซิรูเฟรู้สึกซาบซึ้งในตัวอาจารย์ของเขา ต้องข่มกลั้นนํ้าตาไม่ให้รินไหล แล้วถามเวียรุสกลับไปว่า
\"ถ้าเกิดว่าฮาเดสกลับมาแล้วจริงๆ พวกท่านจะทำอย่างไร ในยามนี้ผู้วิเศษบาร์ดก็ไม่อยู่แล้ว ยังจะมีใครอีกหรือที่จะสามารถผนึกมันไว้ได้เหมือนเมื่อก่อน
เวียรุสได้ฟังก็หัวเราะในลำคอราวกับได้ยินเรื่องตลกมา สักพักหนึ่งเขาจึงหยุดหัวเราะและกล่าวว่า
\"จริงอยู่ผู้ที่จะผนึกมันได้เหมือนเมื่อก่อนอาจจะไม่มีอีกแล้ว แต่ตอนนี้ เราพบผู้ที่เป็นความหวังของเรา ผู้ที่จะมากำจัดมันให้หายไป ไม่สามารถกลับมายังที่นี้ได้อีกแล้ว\"
\"ใครหรือท่าน\"
\"พวกเจ้า...ทั้งห้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้านี่ล่ะ\"
เมื่อเวียรุสเห็นซิรู้ฟที่ดูจะนิ่งอึ้ง ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว จึงถามซิรูเฟว่า
\"ซิรูเฟ เจ้าเคยได้ยินเรื่องของ คาเลนาส  บ้างไหม\"
\"ท่านหมายถึง อารยธรรมที่ถูกลืม คาเลนอส อย่างนั้นหรือ\"
          เมื่อได้ฟังคำ คาเลนอส สมองของซิรูเฟก็ทบทวนหวนนึกไปถึงข้อความที่เขาเคยอ่านจากหนังสือ บันทึกลับต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องในอารยธรรมโบราณ  ที่ถูกเก็บไว้อย่างมิดชิดในห้องของอาจารย์ของเขา ซึ่งได้บรรยายไว้ว่า
\" คาเลนอส คือชื่อของอารยธรรมโบราณที่ไม่มีใครรู้ว่าถูกสร้างขึ้นโดยใครหรือถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่ อารยธรรมนี้ถูกค้นพบโดยนักผจญภัยอันลือชื่อนาม อารีดัส จากในบันทึกการเดินทางของเขาส่วนสถานที่ตั้งของอารยธรรมนี้ ตัวอารีดัสเก็บไว้เป็นความลับไม่ได้เปิดเผยไว้ แต่คาดว่าน่าจะแบ่งเป็นจุดต่างๆ กระจายอยู่ทั่วอาณาจักรเทอร์เพนไทน์ จากบันทึก อารีดัสได้อ้างไว้ว่า อารยธรรรมนี้เป็นอารยธรรมที่สูงลํ้า มีความเจริญมากกว่าอารยธรรมในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ถึงกับมีคำรํ่าลือว่าเป็นอารยธรรมที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพในยุคปฐมกาล
          หลักฐานเพียงไม่กี่ชิ้นที่อารีดัสใช้ในการอ้างอิงถึงการมีอยู่ของอารยธรรมนี้ก็มี หนังสืออวยพรของเล่าทวยเทพ ภายในเต็มไปด้วยภาษาเทพที่เป็นคำอวยพรในแบบต่างๆ ซึ่งนักบุญ นักบวช และผู้ใช้เวทมนตร์ขาว นำมาศึกษาในการใช้คำอวย เพื่อช่วยในเรื่องของการรักษาโรคร้าย หรือการปัดเป่าคำสาปร้ายให้หมดสิ้นไป
          หลักฐานอีกชิ้นที่อารีดัสพบก็คือ เหรียญมังกรฟ้า ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเหรียญนี้มีพลังอะไร และอารีดัสได้มันมาจากที่ใด แต่จากบันทึกของเขา...
เมื่อหวนนึกถึงตรงนี้ ซิรูเฟก็เพิ่งจะตระหนักรู้เองว่า เหรียญมังกรฟ้าที่เขารับสืบทอดต่อมาจากอาจารย์ของเขานั้น ก็คือหนึ่งในหลักฐานอันลํ้าค่า ของอารยธรรมที่สาบสูญไปนั่นเอง... แต่ยังไม่ทันจะได้คิดต่อ เวียรุสก็ตอบกลับมาว่า
\"ใช่แล้ว มันคืออารยธรรมโบราณที่เป็นปริศนา ในตำราบางเล่มเขียนไว้เช่นนั้น แต่แท้ที่จริงแล้วเราค้นพบแหล่งอารยธรรมเหล่านั้นบ้างแล้วบางส่วน แต่ที่ตั้งของสถานที่เหล่านั้นเป็นเรื่องลับสุดยอด ไม่สามารถให้ใครรู้ได้ เพราะอาจจะส่งผลกระทบถึงความมั่นคงของดินแดนเทอร์เพนไทน์แห่งนี้ และอาจจะส่งผลถึงการขาดสมดุลแห่งธรรมชาติทั้งมวลได้ จึงต้องมีการจัดตั้ง ผู้เฝ้าสถานที่เหล่านั้น สืบทอดต่อกันมาเป็นรุ่นๆ จนมาถึงรุ่นของเด็กทั้งสี่คนที่ยืนอยู่รอบๆตัวของเจ้า\"
เวียรุสหยุดนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะเล่าต่อว่า
\"ส่วนเรื่องที่ว่าสถานที่เหล่านั้นมีความสำคัญอย่างไรนั้น ก็อยู่ตรงที่ แหล่งอารยธรรมเหล่านั้นเป็นที่สิงสถิตของพลังแห่งธรรมชาติอันเก่าแก่โบราณ และเป็นพลังแห่งธาตุที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งเป็นพลังที่เราจะนำมาใช้ชำระล้างให้ จตุรเทพพิทักษ์ กลับมามีพลังงานอันบริสุทธิ์สูงส่งอีกครั้ง เจ้ารู้จักจตุรเทพพิทักษ์ใช่ใหม่ว่าคืออะไร\"
เมื่อเห็นซิรูเฟพักหน้าอย่างเงียบๆ เขาจึงพูดออกไปอีกว่า
\"จตุรเทพพิทักษ์ที่ถูกเรียกออกมาโดยเหล่าสภาผู้ใช้เวทมนตร์ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่ามีจะรวมพลังกันแล้วก็ยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะช่วยพวกเรากำจัดฮาเดสได้ แต่ถ้าหากว่า เราสามารถทำการเจรจาต่อรองกับ พลังงานบริสุทธิ์ของคาเลนอส แล้วขอยืมพลังเหล่านั้นมาให้กับจตุรเทพพิทักษ์ได้ละก็ ข้าเชื่อว่า คราวนี้เราจะสามารถกอบกู้เทอร์เพนไทน์ไว้จากเหล่ามังกรร้ายจากนรกได้\"
ซิรูเฟทำหน้าฉงนแล้วถามขึ้นว่า
\"ท่านหมายความว่า เราจะขอยืมพลังของคาเลนอสมาเพื่อใช้ กำจัด ฮาเดส ใช่ไหม ท่านคิดว่าแค่นั้นจะพอเพียงหรือ แล้วอีกประการหนึ่ง ที่ท่านกล่าวไว้ว่าพวกข้าทั้งห้าคนที่อยู่ข้างหน้าท่านจะช่วยโลกได้ หมายความว่าอย่างไร\"
\"เจ้าคิดว่าพลังบริสุทธ์ของเหล่าทวยเทพนั้นไม่เพียงพอหรือ พลังจากคาเลนอสนี้เป็นพลังดั้งเดิมที่เหล่าเทพช่วยกันสรรสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา และช่วยรักษาสมดุลแห่งสรรพสิ่ง เจ้าลองคิดดูว่าจะต้องใช้พลังมากมายแค่ไหนในการรักษาสมดุลเหล่านี้ไว้ ถ้าเราใช้พลังในทางที่ถูกต้อง เราจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องของจตุรเทพพิทักษ์เกี่ยวอะไรกับเจ้าทั้งห้าคนนั้น ซิรูเฟ เจ้าลองดูที่มือขวาของเพื่อนเจ้าแต่ละคนสิ \"
เมื่อซิรูเฟพิจารณาดูที่มือขวาของแต่ละคนแล้วจึงพบแหวนที่มีสีสันแตกต่างกันออกไป ทั้งสีแดง เขียว ฟ้า และนํ้าตาล แล้วเวียรุสจึงกล่าวต่อว่า
\"แหวนสี่วงนี้คือที่สิงสถิตของจตรุเทพพิทักษ์ทั้งสี่องค์ ซึ่งมีเฉพาะผู้ที่ได้รับเลือก นั่นก็คือตระกูลแต่ละตระกูลที่เป็นผู้เฝ้าอารยธรรมแห่งคาเลนอส เป็นผู้ที่ล่วงรู้ความลับของสถานที่เหล่านั้น และเป็นผู้ที่จะขอยืมพลังของคาเลนอสมา\"
\"แล้วทำไมท่านจะต้องรวมข้าเข้าไปด้วยเล่า\"
\"เพราะเจ้าคือกุญแจสำคัญที่จะไขความลับทั้งมวลของคาเลนอสน่ะสิ ในตอนนี้ เจ้า คือผู้สืบทอดเหรียญและพลังมังกรฟ้าโดยชอบธรรม และพลังจากเหรียญมังกรฟ้าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะสามารถพาเพื่อนของเจ้าทั้งสี่คนเชื่อมต่อถึงพลังงานบริสุทธิ์เหล่านั้นและขอยืมมาใช้ได้ ดังนั้นภารกิจครั้งนี้จึงไม่อาจบรรลุได้ถ้าหากขาดเจ้าไป เจ้าเข้าใจหรือยัง\"
เวียรุสปล่อยให้ซิรูเฟนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า
\"ภารกิจนี้เป็นสิ่งที่เราไม่อาจชักช้าได้ ขณะนี้พวกมันเตรียมตัวแล้วที่จะทำลาย ผนึก หรือกำแพงในตราที่กักพวกมันไว้ในภูเขาครีเอาเชียส และมีความเป็นไปได้สูงมากว่าพวกมันจะบุกออกมาในคืนนี้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่พลังแห่งมนตราเบาบางที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากให้พวกเจ้ารีบออกเดินทางไปยังอารยธรรมคาเลนอสตามจุดต่างๆให้เร็วที่สุด เรื่องนี้ เพื่อนของเจ้าทั้งสี่คนได้รับทราบและตกลงใจที่จะปฏิบัติภารกิจนี้แล้ว ทุกสิ่งที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเจ้าเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น เจ้าพร้อมหรือยัง ซิรูเฟ\"
ซิรูเฟนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งด้วยความมึนงงและสับสน จนกระทั่งเวียรุสกระแอมไอซิรูเฟจึงรู้สึกตัวแล้วตอบกลับไปอย่างละล้าละลังว่า
“เข้าใจขอรับ แต่ ถ้าหากว่าท่านจะให้ผู้น้อยปฏิบัติภารกิจนี้คงต้องขอคิดดูอีกที”
“ทำไมล่ะ หรือว่าเจ้าไม่อยากช่วยเหลือดินแดนมาตุภูมิของเจ้า”
“มันก็ไม่เชิงขอรับ ทว่าผู้น้อย ยังไม่แน่ใจนัก เท่าที่ฟังดูมันเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน ผู้น้อยเลยยังไม่แน่ใจว่าจะแบกรับภาระนี้ไหวหรือไม่ ท่านมีทางเลือกอื่นอีกหรือเปล่าขอรับ”
“ถ้าหากว่าแม้แต่เจ้าเองที่เป็นศิษย์ของนักปราชญ์ในตำนานยังทำไม่สำเร็จแล้วล่ะก็” เวียรุสถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “ก็คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะช่วยเราได้”
“แต่ ผู้น้อยคงไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น แม้ว่าผู้น้อยจะเป็นศิษย์มีอาจารย์ แต่ท่านก็ไม่เคยถ่ายทอดวิชาความรู้เชิงปฏิบัติเลย ข้าได้เรียนรู้เพียงทฤษฎี จึงทำให้ผู้น้อยยังอ่อนต่อโลกอยู่มาก เกรงว่าจะเป็นตัวถ่วงของกลุ่ม ทำให้ปฏิบัติภารกิจล่าช้าขึ้น ซึ่งกว่าจะบรรลุภารกิจมันก็คงจะสายเกินการณ์ไปแล้ว ท่านหาคนอื่นแล้วเอาเหรียญมังกรฟ้านี้ไปแทนไม่ดีกว่าหรือ”
ซิรูเฟกล่าวพลางล้วงเหรียญขึ้นมาจากในเสื้อคลุม แล้วยื่นส่งให้กับเวียรุส ทว่าเวียรุสเห็นแล้วกลับส่ายหน้าพลางกล่าวว่า
“เหรียญนี้จะยอมรับเฉพาะผู้เป็นนายที่แท้จริงที่ได้รับสืบทอดพลังมาเท่านั้น ไม่มีประโยชน์หรอกที่จะทำเช่นนั้น ข้าคงจะถูกไฟแผดเผาจนไหม้เกรียมเป็นแน่หากว่าข้าพยายามที่จะนำเหรียญไปจากตัวเจ้า ยอมรับในฝีมือของเจ้าเองเถิด ข้าได้ยินไอลาธเล่ามาว่าตอนที่เจ้าปะทะกับเมมฟิส เจ้าสามารถอัญเชิญจิตวิญญาณของเทพเจ้าได้ด้วยตัวเอง ซึ่งคนที่สามารถจะอัญเชิญวิญญาณเทพมาได้แบบเต็มตัวเช่นนี้มีน้อยมากแบบจำนวนได้ นั่นเป็นการแสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมเพียงใด
          เชื่อข้าเถิด หน้าที่นี้ไม่มีใครอีกแล้วที่จะทำมันได้นอกจากเจ้า จากนี้ไป วันเวลาข้างหน้าจะดำเนินต่อไปเช่นไร ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าแล้ว แต่ไม่ว่าผลมันจะออกมาล้มเหลวหรือสำเร็จอย่างไรข้าก็ไม่โทษว่าเจ้า เพียงแค่เจ้าตัดสินใจเท่านั้น ซิรูเฟ ”
แม้ว่าเวียรุสจะไม่ได้พูดเชิงบังคับให้ซิรูเฟทำก็ตาม แต่ก็ทำให้ซิรูเฟรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก ถึงกับทำให้เขานิ่งคิดเหม่อลอยไปนานจนเวียรุสพูดต่อไปว่า
“อย่าลืมว่าที่อาจารย์ของเจ้าได้ถ่ายทอดพลังของเหรียญมาให้เจ้า นั่นหมายถึงว่าเขาเชื่อในตัวเจ้าและต้องการให้เจ้ารับหน้าที่นี้  แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าที่จะเลือก ข้าบอกเจ้าแล้ว เร็วเข้าเถิด เวลาของเรามีไม่มากแล้ว เจ้าจะรับหน้าที่นี้หรือไม่”
เมื่อเวียรุสกล่าวจบ ซิรูเฟก็หลับตานิ่งพร้อมกับถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง จนในที่สุดก็ตอบว่า
“ขอรับ ถ้าหากว่าท่านเชื่อมั่นในตัวผู้น้อย ผู้น้อยก็จะพยายามอย่างเต็มที่ขอรับ”
“ดี หากเจ้าเตรียมตัวพร้อมเมื่อไหร่ ก็ขอให้บอกเพื่อนที่อยู่ข้างหลังของเจ้า พวกเขาจะพาเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มเดินทางเพื่อปฎิบัติภารกิจในทันที ขอขอบใจเจ้าจากใจจริง ถ้าหากว่าเจ้าปฏิบัติภารกิจนี้เสร็จสิ้นแล้ว เจ้าจะได้เป็นนักปราชญ์แน่นอน เอาล่ะ พวกเจ้าไปเตรียมตัวกันได้แล้ว เชิญ”
กล่าวแล้วเวียรุสก็ยิ้มให้กับซิรูเฟ ซึ่งซิรูเฟเองก็ยิ้มตอบพลางคำนับตัวอย่างนอบน้อม ก่อนที่จะเดินตามเพื่อนที่อยู่ข้างหลังทั้งสี่คนออกไปจัดข้าวของเดินทางให้พร้อม
    ขณะที่ทั้งห้ากำลังเดินออกมาจากตัวอาคารอำนวยการ พวกเขาก็พบกับเหตุการณ์ภายนอกที่เรียกความสนใจของทุกคนให้ไปรวมกัน มันเป็นเหตุการณ์ของการปะทะกันระหว่างมนุษย์ที่เป็นยามรักษาความปลอดภัย กับมนุษย์ครึ่งม้าที่ดูจะมีพละกำลังมากมายเหลือเกิน มากขนาดที่ว่าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของสถานศึกษาตามจุดต่างๆกว่าสิบนายก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งสิ่งมีชีวิตตนนี้ให้สงบลงได้ ต้องเรียกเหล่าอาจารย์ผู้ขมังเวทที่ทำการสอนอยู่วิ่งลงมาช่วยลงอาคมระงับการเคลื่อนไหวของมนุษย์ครึ่งม้านี้กันอย่างโกลาหล
\"หลีกไป เจ้าพวกมนุษย์ ข้าต้องรีบส่งสารที่ได้รับมอบมาแก่คนผู้หนึ่ง\"
เจ้าของร่างคนครึ่งม้านี้กล่าวยังเดือดดาลพร้อมกับพยายามยกสองขาหน้าชูขึ้นเป็นเชิงว่าพร้อมที่จะกระทืบเท้าทั้งสองใส่ผู้ที่ขวางทางมันให้จมดินลงไป จนหลายคนต้องพากันถอยห่างออกไปด้วยความตระหนกในระยะที่ขาของมันฟาดไม่ถึง หลังจากนั้นสักพักก็มีอาจารย์คนหนึ่งได้สติเดินเข้าไปในระยะอันตรายแล้วเอ่ยปากถามว่า
\"สาร? สารอันใด จากใคร และเจ้าต้องการที่นำมันไปแจ้งแก่ผู้ใด\"
\"ข้าต้องการที่จะส่งสารนี้ให้แก่ผู้สืบทอดโดยชอบธรรมของดาโวลท์ ปราชญ์แห่งแฮลลา ส่วนเนื้อหาของสารนั้นพวกเจ้าไม่มีสิทธิ์รู้ ถ้าหากว่าเจ้ารู้จักคนที่จ้าพูดถึงอยู่แล้วล่ะก็ ช่วยนำข้าไปหาเขาหรือไม่ก็ให้เขามาหาข้าโดยด่วน เรื่องราวไม่อาจชักช้าไปกว่านี้ได้อีกแล้ว\"
\"ไม่มีคนที่เจ้าต้องพูดถึงในสถานที่แห่งนี้หรอก เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังรุกลํ้าเขตหวงห้ามของเราเหล่ามนุษย์อยู่ กลับไปเถิด ข้าไม่อาจให้เจ้ารุกลํ้าเขตแดนของเราได้มากไปกว่านี้อีกแม้แต่ก้าวเดียว ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้ายนะ เซนทอร์!(คำที่มนุษย์ใช้เรียกมนุษย์ครึ่งม้า)\"
          กล่าวแล้วอาจารย์คนนี้ก็ล้วงไม้เท้าออกมาจากเสื้อคลุมแล้วปักมันลงตั้งตรงกับพื้น ประจันหน้ากับผู้มาเยือนที่กำลังโกรธเกรี้ยวอย่างไม่กลัวเกรง ซิรูเฟมองดูสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างตื่นตระหนก แต่ยังไม่ทันที่เขาเริ่มรวบรวมเสียงเพื่อตะโกนออกไปว่าเขาคือผู้สืบทอดโดยชอบธรรมของดาโวลท์ เซนทอร์ตัวนั้นก็กู่ร้องดุจดั่งเสียงของม้าพยศแล้วพุ่งเข้าประทะกับอาจารย์ผู้นั้นทันที
          หลังจากนั้นพริบตาเดียวก็เกิดแสงจ้าสว่างวาบจากใจกลางของการปะทะกันเมื่อครู่นี้ ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว พื้นหินอ่อนที่รองรับการระเบิดแตกกระจุยกระจาย ฝุ่นผงปลิวว่อนก่อให้เกิดควันคละคลุ้งไปทั่ว ทำให้ผู้ที่เฝ้ามองเหตุการณ์ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในไม่ช้าควันที่ลอยฟุ้งขึ้นมาจากการระเบิดก็เจือจางลง
          บริเวณพื้นที่เป็นใจกลางของการปะทะแหว่งหายไปจนเกิดหลุมขนาดใหญ่ มีร่างสามร่างยืนอยู่ที่ใจกลางนั้น สองร่างแรกนั้นเป็นของอาจารย์และเซนทอร์ ส่วนอีกร่างที่ยืนคั่นกลางจากการปะทะของทั้งสองเป็นร่างของชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาวสะอาดผมสีบลอนด์ในวัยทำงาน มือทั้งสองของเขาคว้าไม้เท้าของอาจารย์และจับขาหน้าข้างหนึ่งของเซนทอร์ไว้ได้ หลังจากนั้นสักพักเขาจึงค่อยๆปล่อยมือที่ยึดจับไว้อย่างนุ่มนวลแล้วกล่าวว่า
\"มีเรื่องอะไรกันหรือฟรานเซส ถึงได้ทำเรื่องรุนแรงกับผู้มาเยือนเช่นนี้\"
\"เคียร่า เจ้านี่บุกรุกเข้ามาในเขตแดนของมนุษย์เรา ที่ข้าทำก็แค่เพียงขับไล่มันออกไปเท่านั้นเอง\"
\"แล้วเจ้าจะไม่ถามจุดประสงค์ของเขาเสียก่อนหรือว่าเขามาทำไม\"
\"เจ้านี่บอกว่ามาส่งสารให้แก่ผู้สืบทอดของดาโวลท์ มันเป็นเรื่องตลกใช่ไหมล่ะ เพราะว่าดาโวลท์น่ะ...\"
เคียร่าใช้สายตาที่เกรี้ยวกราดคมกริบบอกเป็นในๆให้อาจารย์คนนั้นหยุดพูด เปิดโอกาสให้ไครฟว์ซึ่งกำลงโมโหตะคอกอย่างฉุนเฉียวว่า
\"ถ้าหากว่าไม่ใช่สารของคนรู้จักที่ฝากไว้ก่อนจะสิ้นชีวิตแล้ว่ะก็ ต่อให้เอาอะไรมาฉุดลากข้า ก็จะไม่มาเหยียบที่นี่เป็นอันขาด!\"
ซิรูเฟรู้สึกได้ว่าหลังขอของเขาเริ่มเย็นเฉียบ สารก่อนตายอย่างนั้นหรือ เขาคิดอย่างตกตะลึง
\"อะไรนะ...ดาโวลท์...เสียชีวิตแล้ว อย่างนั้นหรือ...\"
นํ้าเสียงของเคียร่าเองก็ดูจะตื่นตระหนกไม่น้อยไปกว่าซิรุเฟเลย เมื่อไครฟว์เห็นว่ารอบข้างพากันเงียบสงบลงอย่างฉับพลันจึงสบโอกาสกล่าวออกไปว่า
\"ใช่แล้ว ข้าเป็นคนฝังสังขารของเขาด้วยมือข้องข้าเอง...\"
แล้วจึงถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่อไปว่า
\"เอาละ ทีนี้พวกเจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าข้าจะฝากสารนี้ไว้ให้แก่ใคร\"
เคียร่า ซึ่งดูเหมือนว่าเพิ่งจะหายจากอาการตกใจ รับคำอย่างเหนื่อยล้าว่า
\"อืม เขาอยู่ที่นี้แล้ว เด็กหนุ่มในชุดสีฟ้าตรงนั้น คือ ซิรูเฟ อาเวลอน ผู้สืบทอดอันชอบธรรมจากดาโวลท์ ปราชญ์แห่งแฮลลา ท่านตรวจสอบดูเอาเองก็แล้วกันว่าใช่หรือไม่\"
          กล่าวพลางโค้งคำนับแล้วชักนำฟรานเชสให้ล่าถอย เปิดทางเดินให้แก่ไครฟว์เดินไปหาซิรูเฟได้สะดวก ทำให้ตอนนี้ทุกสายตาพากันมองไปยังซิรูเฟเป็นจุดเดียว ซิรุเฟเองก็เพิ่งรุ้สึกตัว เห็นมนุษย์ครึ่งม้าเมื่อครู่นี้มุ่งหน้ามาทางเขาอย่างรวดเร็วจนเขาแทบอุทานออกมา ไม่ทันไรเซนทอร์นั้นก็ย่างเท้ามาอยู่ที่เบื้องหน้าของซิรูเฟแล้วหยุดเท้าลงพลางกล่าวว่า
\"เจ้าคือ ซิรูเฟ อาเวลอน ใช่ไหม\"
ซิรูเฟตอบรับด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ไครฟว์จดจ้องมาซิรูเฟอย่างครุ่นคิดพิจารณา ราวกับจะมองทะลุเข้าไปในจิตใจของเขากไม่ปาน จากนั้นสักพักเขาจึงกล่าวว่า
\"ที่ตรงนี้ไม่เหมาะแก่การพูดคุย ขึ้นมาบนหลังของข้าก่อนก็แล้วกัน\"
แล้วไครฟว์ก็ยย่อสองขาหลังลงให้ซิรุเฟขึ้นไปนั่งได้ง่ายขึ้น ซิรูเฟขึ้นนึ่งบนหลังไครฟว์อย่างลนลาน แล้วก็ต้องอุทานออกมาในที่สุด เมื่อไครฟว์ห้อทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันตั้งตัว
          หลังจากนั้นไม่นาน ภาพคงกลุ่มคนที่พากันจับตามองเขาเมื่อครู่ก็เลือนหายไป ทัศนียภาพอันวิจิตรตระการตาของเมืองเวเนร่าถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง ที่แท้ไครฟว์พาเขามายังป่าประหลาดที่ไม่กี่วันมานี้ทำให้เขาเกือบต้องทิ้งร่างไว้โดยไม่มีใครรู้ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาได้พบพานมาก็ทำให้เขาขนลุกซู่และตัวสั่นกึกกักด้วยความหวาดกลัว ไครฟว์เองก็ดูจะรู้ดีว่าซิรูเฟกำลังขวัญเสีย จึงชะงักฝีเท้าไปแล้วค่อยๆย่างไปยังพุ่มไม้ใหญ่อันร่มรื่นที่อยู่เบื้องหน้าพร้อมกับกล่าวว่า
\"ไม่ต้องกลัว ที่ข้าพาเจ้ามาที่นี่ไม่ได้คิดทีจะทำอันตรายเจ้าหรอก ป่าคือบ้านของข้า ข้ารุ้ดีว่าที่แห่งนี้มีอะรบ้าง ฉะนั้นไม่ต้องกลัวไป เมื่อมีข้าอยู่ที่แห่งนี้ปลอดภัยที่สุดแล้วในการบอก สาร ที่ดาโวลท์ทิ้งไว้ให้แก่เจ้า\"
ซิรูเฟรู้สึกว่าจิตใจของเขาสงบลงอย่างประหลาด ทั้งยังนึกได้ถึงข้อความที่อาจารย์บอกแก่เขาไว้ในฝันถึงผู้ส่งสารคนนี้ จึงรุ้สึกว่างใจแล้วปลอดโปร่งโลงสบายขึ้น จึงยิ้มให้แก่ไครฟว์แล้วกล่าวว่า
\" สารอะไรหรือที่อาจารยได้ทิ้งไว้ให้แก่ข้า ข้าคิดว่ามีอะไรที่ข้าต้องรู้มากมายเลยทีเดียว ข้าพอจะถามอะไรท่านบางอย่างได้ไหม\"
\"ได้สิ ถามมาได้เลยหากว่ามันไม่เกินความสามารถของข้า\"
\"คือ...ข้าอยากจะรู้ว่า...\"
ไม่ทันที่เขาจะเปิดปากถามได้ สองมือของไครฟว์ลันเข้ามาปิดปากของซิรูเฟไว้แล้วกระซิบบอกด้วยความตื่นตระหนกว่า
\"ขอโทษนะซิรูเฟ ตอนนี้ข้ายังให้เจ้าถามอะไรไม่ได้ เจ้าต้องรีบไปหลบหลังพุ่มไม้ตรงนั้น แล้วพยายามอย่าเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็น สิ่งนั้นกำลังมา... ข้าจะล่อมันออกไปให้ไกลที่สุด เมื่อไกลพอแล้วข้าจะส่งสัญญาณเรียกพวกในเมืองมาช่วย เมื่อได้ยินสัญญาณจากข้าแล้วจึงจะออกมาจากพุ่มไม้ได้ ถ้าหากว่าเราโชคดีพวกที่อยู่ในเมืองก็จะมาช่วยทันเวลา แล้วเราก็จะรอด แต่ถ้าไม่ละก็...คงต้องเสี่ยงกันหน่อยละ เอาละ มันเข้ามาใกล้แล้ว รีบเข้าไปซ่อนตัว เร็ว!\"
ฟังจากนํ้าเสียงขอไครฟว์ท่ปกติเย่อหยิ่งไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด กลับกล่าวด้วยความตื่นตระหนกเช่นนี้ ทำให้ซิรุเฟกระโจนปรี่เข้าไปในพุ่มไม้ด้วยความเร่งรีบ และรอคอย สิ่งที่กำลังคืบคลานเข้ามาพวกเขาอย่างหวาดหวั่น...
สิ่งที่กำลังคืบคลานเข้ามาคืออะไร และมีจุดประสงค์ใดกันแน่...
to the next chapter! 
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น