ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : chapter 4 ~The first encounter~
                                                                ตำนานแห่งเทอร์เพนไทน์
                                                    ภาค ~เรื่องเล่าของมังกร~
                                                ตอนที่ 4 การเผชิญหน้าครั้งแรก
          ซิรูเฟสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆกิ่งไม้ก็หักอย่างรวดเร็วมาขวางที่เบื้องหน้าของเขาในขณะที่เขากำลังเดินหาหนทางเข้าเมือง
อยู่ ทำให้เขารู้สึกถึงลางร้ายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้แต่สงบจิตใจและจดจ่อกับการเข้าเมืองเวเนร่าให้ได้ก่อนที่จะ
คิดถึงเรื่องอื่นใด เมื่อมีกิ่งไม้มาขวางทางเขาแล้วเขาจึงเลี่ยงไปต่อทางอื่น แต่ขณะที่เขากำลังจะก้าวเปลี่ยนเส้นทางเดินนั้น
เขาก็พลันได้ยินเสียงร้องของหญิงสาวที่เบื้องหน้า ตรงกับทางที่มีกิ่งไม้มาขวางไว้
          เขาตัดสินใจที่จะไปดูว่าอะไรเกิดขึ้นกับหญิงสาวเจ้าของเสียงนั้น เขาจึงพยายามนึกคาถาง่ายๆบางบทเพื่อทำลาย
สิ่งกีดขวางเบื้องหน้า แล้วเขาก็นึกคาถาเรียกลมได้ จากนั้นจึงรีบร่ายคาถาว่า
\"คอห์ลวู บา ฟีเซ่!\"
(ดาบแห่งสายลม)
          แล้วก็เกิดสายลมหมุนวนรอบๆมือของเขา แล้วก็ค่อยๆก่อตัวเป็นดาบที่ดูแหลมคมแต่พลิ้วไหวไปมา แล้วเขาก็สะบัด
ดาบในมือของเขาไปมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานกิ่งไม้ขนาดยักษ์ที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็แตกกระจุยเป็นชิ้นๆ จนเขาสามารถเดินต่อ
ไปได้ เขารีบมุ่งไปข้างหน้าจนพบกับร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนอนฟุบไปกับพื้นอยู่
        เข้ารีบเข้าไปประคองร่างของเธอ ดูจากภายนอกแล้วครั้งหนึ่งเธอคงต้องเคยเป็นหญิงสาวที่สวยมาเป็นแน่ หากแต่ตอน
นี้ใบหน้าของเธอดูซีดเซียวเหลือเกิน อีกทั้งร่างกายยังผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงที่ซิรูเฟเองก็ยังไม่ทราบว่าเธอยังมีชิวิตอยู่มาจนถึง
ป่านนี้ได้อย่างไร ตามตัวของเธอมีบาดแผลที่เกิดจากกิ่งไม้และของมีคมบาดโดยทั่งไป แต่ไม่มีแผลลึกที่เป็นอันตรายมากนัก
เขาอังมือข้างที่ว่างอยู่ร่ายเวทเยียวยารักษาให้กับเธอ เธอส่งเสียงครางอย่างเมื่อยล้าเมื่อค่อยได้สติทีละน้อยๆ เขาลองปลุกให้
เธอรู้สึกตัวเวทการแผ่รังสีแห่งความอบอุ่น ฟื้นคืนความกระปรี้กระเปร่าให้กับเธอ
        แล้วจู่ๆเธอก็เบิกตาโพลงในทันใดจนซิรูเฟต้องสะดุ้งโหยง ผงะถอยหลัง มือที่ประคองเธอไว้ก้ไร้เรี่ยวแรงจนต้องปล่อย
เธอให้ล้มลง ซึ่งเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ทำสีหน้าฉงน แล้วก็พูดกับเขาด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจ แต่คุ้นเคยว่าเป็นภาษารูนว่า
\"่ดาลย์ ยามู อาเนธ เวียโกซ่า รอนนอธ เบลีย รูห์\"
ซิรูเฟพยายามทวนคำพูดนั้น แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามีความหมายว่าอะไร ทำให้ทั้งคู่ได้แต่ยืนมองหน้ากันและกัน...
        เวลาพักครั้งแรกได้สิ้นสุดลง อาเบลผละออกมาจากห้องพักของตน กลับไปหน้าที่สั่งการอีกครั้ง แต่เมื่อเขาเดินออกจาก
ห้องมาได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็พบว่ามีทหารมาเดินเข้ามารายงานเขาว่า มีคนต้องการจะพบกับเขา บอกชื่อไว้ว่ากลอเรียส แล้วสีหน้า
ของอาเบลก็แปรเปลี่ยนไป เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เค้าของความเชื่อมั่นเติมเต็มบนใบหน้าของเขาให้ดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขารีบถาม
ทหารคนนั้นถึงที่อยู่ของชายคนนั้นแล้วรีบมุ่งหน้าไปทันที
        จาการสอบถาม พบว่าชายคนนั้นอยู่ที่เรือนพักรับรองคนต่างถิ่น เมื่อมาถึงห้องที่ระบุไว้ เขาก็รีบเปิดประตูเข้าไปทันทีอย่าง
ไม่เกรงใจใคร พบกับชายคนหนึ่งกำลังนั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งชายคนนั้นก็คือชายที่แต่งตัวเหมือนนายพรานที่มุ่งหน้ามาที่เมืองนี้ตั้ง
แต่ตอนกลางวันนั่นเอง เมื่อได้พบหน้าชายคนนี้อาเบลก็รีบเข้าไปสวมกอดด้วยความอบอุ่นพร้อมกับกล่าวว่า
\"อา กลอเรียส น้องข้า หากข้าไม่ได้เห็นเจ้าในช่วงเวลานี้ข้าก้ไม่รู้ว่าจะมีความมั่นใจหลงเหลือในการรบที่กำลังจะมาถึงนี้หรือเปล่า
แต่ว่า เป็นลมใดกันที่พัดพาเจ้ามาจากดินแดนนอสเฟอร์ราตูว์อันไกลโพ้นได้\"
\"ถูกแล้ว พี่ชายของข้า ข้าไม่ได้เดินทางไกลมานับพันไมล์เพื่อที่จะมาเยี่ยมท่านเพียงอย่างเดียวหรอกนะ ข้าได้รับคำสั่งมาจาก
สภาสูงให้มาทำธุระสำคัญให้บางเรื่อง แต่จะเป้นเรื่องอะไรนั้น ท่านจะได้รู้ในภายหลัง ข้าคงบอกท่านตอนนี้ไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ
ตั้งแต่ที่ข้าเห็นว่าเมืองนี้มีอันตรายข้าก็รีบเดินทางมาช่วยท่าน ช่วยอาณาจักรมาตุภูมิของเราให้คงอยู่ต่อไป\"
\"ไม่เสียทีที่เราเป็นพี่น้องกันจริงๆ กลอเรียส เจ้าเหมือนกับชื่อของเจ้าไม่มีผิด อย่างไรก็ตาม การเดินทางอันยาวไกลนี้จะต้องทำ
ให้เจ้าเหนื่อยมากแน่ พักผ่อนสักวันสองวันก่อนเถอะ ก่อนหน้านั้นให้พี่จัดการเอง\"
ว่าแล้วก็ให้กลอเรียสเข้านอน แล้วตัวเขาก็เดินออกไปสั่งงานต่อด้วยความมั่นใจที่เพิ่มพูนมากขึ้น...
          หลังจากที่ได้ขี่หลังมังกรมานานหลายชั่วโมงจนตะวันเริ่มตกดิน ในที่สุดมังกรก็พาชายลึกลับมาถึงจุดหมาย เขาค่อยๆไต่
ลงตามปุ่มหลังของมังกรจนลงมาถึงพื้น แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อได้พบกับทัศนียภาพที่เขาเห็น ที่นี่เต็มไปด้วยเหล่าสัตว์ร่างยักษ์
ที่ทรงภูมิปัญญาบินว่อนไปทั่วท้องฟ้า ท่ามกลางขุนเขาและสายนํ้าที่เขียวขจี บินฉวัดเฉียนตัดกับท้องฟ้ายามราตรีอย่างอิสระเสรี
ไม่ยึดติดกับสิ่งใด...
          แต่ที่แน่ๆ เขามั่นใจว่าที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ในเทอร์เพนไทน์ อีกทั้งไม่ได้อยู่ในทวีปอารีเซียด้วย คงเป็นดินแดนลับแลสักแห่ง
ที่อยู่ไกลโพ้น ที่ๆพลังอำนาจอันเก่าแก่ยังคงอยู่... อำนาจโบราณที่คอยคํ้าจุนโลกนี้ไว้ หลังจากที่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วเขาจึงเริ่ม
รู้สึกตัวและลดสายตาลงมามองที่เบื้องหน้า จนได้พบกับมังกรหมอบอยู่ตามสองข้างทางเป็นแถวเรียงรายเป็นทาง คล้ายกับกำลังรอ
คอยเขาอยู่ แถวต้อนรับทอดยาวไปจนถึงต้นไม้ขนาดยักษ์ขนาดสองร้อยคนโอบ ที่ดูเหมือนจะเป็นที่พำนักของผู้มีอำนาจคนหนึ่ง
          เขาเดินตามทางเดินที่กำหนดไว้ไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่หน้าต้นไม้ยักษ์ เขาพบกับโพรงที่เป็นทางเข้าขนาดใหญ่ที่ทำให้เขาดู
ตัวเล็กลงถนัดตา จนต้องตกตะลึงอีกครั้งหนึ่ง แต่หลังจากได้ยินเสียงทุ้มตํ่าที่เหมือนกับเป็นการเชิญชวนแล้วเขาจึงได้สติแล้วสาว
เท้าไปข้างในโพรง และได้รับความประหลาดใจที่มากกว่าที่ผ่านมา...
          สิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างแรกก็คือมังกรและมังกรกึ่งมนุษย์นั่งตามโต็ะและเก้าอี้ที่เรียงรายอยู่ทั้งสองฟาก แต่ละโต๊ะต่างก็พูด
คุยกันเสียงแซ่ด แต่ทุกเสียงก็เงียบสงบลงเมื่อได้ยินเสียงก้าวเดินของเขา มีอยู่โต๊ะหนึ่งที่อยู่ระดับสูงที่สุดและขนาดโต๊ะใหญ่ที่สุด
โต๊ะนี้มีแต่มังกรพันธุ์แท้ร่างยักษ์นั่งอยู่ไม่กี่ตัว มังกรตัวที่ใหญ่ที่สุดและดูเหมือนจะเป็นนายของที่นี่จับตามองเขาตั้งแต่เขาอยู่ข้าง
นอกโพรงและปิดปากเงียบมาตลอด ขณะนี้มันเริ่มเปิดปากพูดแล้ว แต่พูดเป็นภาษารูนเพื่อที่ว่ามังกรทุกตัวที่อยู่ในโพรงจะสามารถ
เข้าใจได้ว่า
\"วาลโคเม่ ซูพรานุม บา อัล. ไอราล กิโด้ ซูล ซิวาร์ อูล\"
(ยินดีต้อนรับ ผู้สืบทอดแห่งเรา เรามีความยินดีที่ได้พบกับเจ้า)
ชายลึกลับเกิดความงุนงง จึงตอบกลับไปอย่างไม่ติดขัดว่า
\" ซูพรานุม? อลุม ดา อูล คาลู ราล์ม อาลู อูลอน ซูพรานุม\"
(ผู้สืบทอด? ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นผู้สืบทอดของท่าน?)
\"คอล โอบร้า ชาม แนธ โลว ซฟิเรนส์\"
(เรื่องเหล่านี้สามารถรู้ได้โดยสัญชาตญาณ)
\"...อาลรู โน มาเซ,เดนนิเลส,อาล รูค เด ซูล คิรูฟว์ อุล เมโค โอบร้า\"
(...ข้ารูสึกสับสน,อย่างไรก็ตาม,ข้ามาที่นี่เพื่อถามท่านบางอย่าง)
\"ฮูมมม คิรฟว์ มูร์น? เด เนธ แรชโค อิลลุสเต ราล์ม ชาม รูค เด.วา อูล บลาซ นาดาน ซูล คิรูฟว์ อูล? ฮึมมม ชาลด์
ชาม ฮาร์ดรัด อูล ซูล เทรซา ลา ยาห์น มัลดิซ ซูล คิรูฟว์ มูร์น?\"
(อืมมม ถามข้าอย่างนั้นหรือ มีมนุษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถมายังที่นี่ได้ แต่เจ้ากลับต้องการเพียงแค่ถามข้าอย่างนั้นรึ โอ
อะไรกันที่สามารถดลใจเจ้าถึงขนาดที่ทำให้เจ้าต้องออกเดินทางไกลเพื่อมาถามข้า)
\"อา...มาคอส โอบร้า อาห์ลลิ, ดา อูล คาลู โฮว อาห์ล แนธ\"
(อ่า...หลายอย่างทีเดียว อย่างแรกเลย ท่านรู้ไหมว่าข้าเป็นใคร)
\"ฮูมมม อาห์ล ดิน คาลู...ฮุย ควิน, อาห์ล คาลู อุล พอช ดราโก้ อัดลัฟ. อุล แนธ ไอรอน บรอพ\"
(อืมมม ข้าไม่รู้...อย่างน้อยที่สุด ข้ารู้ว่าเจ้าก็มีสายเลือดแห่งมังกร เจ้าเป็นพวกของเรา)
          ความทรงจำที่ขาดหายไปทำให้เขารู้จักตัวเองน้อยมาก เขาพยายามที่จะรื้อฟื้นความทรงจำของเขากลับมาเป็นเวลากว่า
ครึ่งปีแล้ว ในตอนนี้เขาก้ได้รู้เพิ่มขึ้นว่าเขามีสายเลือดของมังกร ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร ข้อมูลนี้ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่ม
รู้สึกสับสนงุนงงมากกว่าเดิม เขามีสายเลือดของมังกรอย่างนั้นหรือ มังกรพวกนี้รู้ได้อย่างไร ตัวเข้าไม่น่าจะมีสัญลักษณ์ที่บ่งบอก
ถึงการเป็นมังกรเลย
          ขณะที่เขากำลังวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา สติสัมปชัญญะของเขาก็เริ่มเลือนราง ภาพตรงหน้าที่เขาเห็นเริ่มขมุกขมัวลงทุกที
สายตาของเขาเริ่มพร่าเลือนพร้อมๆกับอาการปวดแปลบศีรษะที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ความคิดของเขาคล้ายถูกบดบังด้วยหมอก
อันมืดทึบ เขารู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปยาวนานยิ่งนักกว่าที่เขาจะหมดสติไปจริงๆ
          แต่ในความเป็นจริงผู้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็เห็นว่าหลังจากที่พูดคุยประโยคสุดท้ายกันแล้ว จู่ๆคนแปลกหน้าก็เกิดอาการ
ชักกระตุกแล้วล้มลงไปในทันใด แขกคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นแพทย์รีบลุกจากที่นั่งของตนมาดูอาการของชายคนนี้ทันที เมื่อจับ
ชีพจรของชายคนนี้แล้วแพทย์คนนี้ก็รีบเรียกเปลหามด้วยความเร่งรีบ จากนั้นไม่นานก็มีมังกรกึ่งมนุษย์สองตนนำเปลออกมาหอบ
ร่างของชายประหลาดไปสู่ห้องพยาบาลที่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน ท่ามกลางความตื่นตะลึงของแขกเหรื่อที่อยู่ในโพรงมหึมานี้...
          หลังจากที่มองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง ทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนท้องคัดท้องแข็ง แต่ซิรูเฟก็นึกขึ้นได้ว่าต้องรีบทำเข้า
เมืองเวเนร่า ในที่สุดก็ต้องกล่าวลากับหญิงสาวคนนั้นอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นทำท่าโบกมือลาแล้วเริ่มเดินต่อไป ทว่าหญิงสาวคนนั้น
กลับเดินตามติดเขามาอย่างไม่ลดละ ซิรูเฟจึงหันกลับมาแล้วทำท่าบอกเธอว่าต้องไปทางอื่น ถึงเวลาต้องจากกันแล้ว แต่เธอก็ส่าย
หน้า หรือว่าเธอก็ต้องการจะไปที่เมืองเวเนร่าเหมือนกัน  เขาคิด
          ในที่สุดเขาก็ตกลงใจจะพาเธอเข้าเมืองเวเนร่าด้วย จึงเดินนำเธอไปข้างหน้า แต่ไม่นานเขาก็พบกับทางตัน ที่เบื้องหน้า
ของเขามองขึ้นไปเป็นหน้าผาอันสูงชัน อีกทั้งยังเรียบลื่น ดูยังไงก็ไม่น่าจะปีนขึ้นไปได้ คิดไปคิดมาในที่สุดเขาก็คิดที่จะใช้เวทย์
มนตร์เรียกลมอีกครั้ง นึกทบทวนคาถาแล้วจึงกล่าวออกมาว่า
\"ชิวาร์ ฟีเซ่\"
(สายลมหนุนเนื่อง)
          ทว่า สายลมรอบตัวเขาดูเหมือนจะไม่ได้ยินที่เขาพูด รอบๆตัวเขาไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ทุกสิ่งเงียบสงบ เขาทวนคำอีกครั้ง
และอีกครั้ง แต่ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายพลางครุ่นคิดต่อไปว่าจะทำอย่างไรดี หลังจากที่เห็นซิรูเฟ
ยืนนิ่งอยู่นานสองนาน เธอจึงเข้าไปสะกิดไหล่ของเขา เขาสะดุ้งด้วยความตกใจแล้วหันหน้ามาด้วยความไม่พอใจ เขาไม่ชอบเลย
เวลาที่มีคนขัดจังหวะขณะที่เขากำลังใช้ความคิดอยู่ เขาทำมือเป็นเชิงว่าอย่าเพิ่งรบกวน แต่เธอก็ชี้ไปที่เบื้องหน้าของเขา เขารีบ
หันกลับไปดูว่ามีอะไร แล้วก็ต้องขยี้ตาด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
          ที่เบื้องหน้าของเขา จากหน้าผาอันสูงชัน กลับกลายเป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วท่ามกลางทุ่งหญ้านี้ รูปร่างของ
เมืองหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของเขา เมืองนี้ไม่มีกำแพงเมือง คงเป็นเพราะมีป่าคอยเป็นกำแพงที่ดีกว่าให้อยู่แล้ว ถึงแม้ที่นี่จะไม่มี
กำแพงเมือง แต่เขาก็เห็นอาคารหลังหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นจุดตรวจคนเข้าเมืองอยู่
          เมื่อแน่ใจกับสิ่งที่ได้เห็นแล้ว ซิรูเฟก็ยิ้มด้วยความดีใจแล้วหันหน้าไปหาหญิงสาว แล้วก็พบกับปานบนหน้าผากรูปหกแฉก
ของเธอที่กำลังเปล่งแสงสว่างเรืองรองออกมาเจิดจ้าจนเขาต้องหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นไม่นานแสงสว่างนั้นก็เริ่ม
จางหายไป พร้อมๆกับสติของหญิงสาวที่ดับวูบลงไปด้วย ซิรูเฟรีบเข้าไปประคองตัวเธอไว้ พยายามเรียกเธอให้คืนสติกลับมา ซึ่ง
ก็ไม่ประสบผล เขาจึงตัดสินใจพาเธอเข้าเมืองไปก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง เขาอุ้มเธอขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แล้วจึงรีบพาเธอไป
ยังจุดตรวจคนเข้าเมืองที่อยู่ไม่ไกลแล้วในตอนนี้
          แต่หลังจากที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็รู้สึกอึดอัดจนแทบจะเดินต่อไปไม่ไหว ท้องฟ้ายามคํ่าคืนเริ่มกลายเป็นสีมืดหม่นไป
ด้วยเมฆและหมอกอันหนาทึบ แล้วสายฟ้าก็ผ่าลงมาจากทุกทิศรอบตัวเขา ประกายของสายฟ้าได้ทำให้ต้นไม้หลายต้นลุกไหม้จน
เหลือแต่ตอในทันที สายฟ้าเริ่มผ่าลงมาถี่ขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่ที่เป็นป่าด้านหลังของเขาเริ่มลุกไหม้ไปทั่วแล้ว ถ้าเขาใช้คาถาเรียกนํ้า
มาดับไฟในตอนนี้ สายฟ้าก็คงจะผ่าลงมาบนตัวเขาในทันทีแน่นอน ดีที่ตอนนี้เขายืนอยู่บนที่ราบ เขาจึงพยายามก้มตัวให้ตํ่าเข้า
ไว้แล้วจึงค่อยๆมุ่งหน้าไปยังจุดตรวจอย่างช้าๆ
          โชคไม่ดีทีจู่ๆฟ้าก็ผ่าลงมาตรงหน้าเขาพอดี ทำให้เขาต้องผงะถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก แล้วสายฟ้าก็ผ่าลงทางด้าน
หลัง ซ้าย และขวาตามลำดับ ที่น่าแปลกคือสายฟ้านั้นเมื่อผ่ามาแล้วยังคงรูปอยู่ไม่หายไป คล้ายกับเป็นม่านพลังที่กักตัวเขาไว้
ซึ่งเขาก็แน่ใจแล้วว่าสายฟ้านี้จะต้องมาจากเวทย์มนตร์อย่างแน่นอน อีกทั้งผู้ที่เรียกสายฟ้าเหล่านี้มาจะต้องเป็นผู้ที่มีพลังเวทสูง
มากจึงจะสามารถสร้างเป็นม่านพลังได้ เพียงแต่เขายังไม่เคยเห็นผู้ใช้เวทที่เก่งกาจขนาดนี้มาก่อน จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าใคร
เป็นคนเรียกสายฟ้าเหล่านี้มากักตัวเขาไว้
          แล้วสายฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างกระจัดกระจายนั้นก็รวมตัวกันเป็นเส้นขนาดยักษ์ผ่าลงมาจนพื้นดินที่รองรับต้องลุกไหม้และ
สั่นสะเทือนอย่างรุนนแรง หลังจากที่ฟ้าผ่าลงมาที่พื้นดินนั้นก็เกิดเป็นขอบเขตเวทมนตร์วงกลมหกแฉกขึ้นมา บนขอบเขตนั้น
เหล่าของอณูของอากาศก็เริ่มก่อตัวกันให้เห็นเป็นรูปร่างขึ้นมา พอจะให้เห็นได้ว่าเป็นร่างของบุรุษผู้ยืนอยู่บนปุ่มหลังของสัตว์ร่าง
ยักษ์ที่มีปีกพับไว้อยู่กลางหลังและกำลังหมอบราบอยู่อย่างสงบเสงี่ยม แต่แลดูสง่างามและน่าเกรงขามยิ่งนัก
            หลังจากที่อากาศรวมตัวกันได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ก็ทำให้ซิรูเฟได้เห็นผู้เป็นนายของสัตว์ตัวนั้นได้อย่างเต็มตา ชาย
ผู้นี้ถ้ามีใครได้พบเห็นครั้งหนึ่งแล้วจะไม่ลืมเลือนเลย ด้วยบุคลิกลักษณะที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และใบหน้าที่หล่อเหลาแม้อายุ
ของเขาดูเหมือนจะเข้าสู่วัยกลางคนแล้วก็ตาม อีกทั้งดวงตาสีนํ้าเงินเข้มที่ราบเรียบแต่ลํ้าลึกที่สะกดผู้คนให้อยู่กับที่ ยากที่จะคาด
เดาได้ว่าชายคนนี้คิดอะไรอยู่ คนเช่นนี้ถ้าเป็นศัตรูกับเราเห็นทีจะรับมือได้ลำบากที่สุดแล้ว ซิรูเฟคิด
          หลังจากที่ได้วิเคราะห์กันและกันแล้ว ชายผู้เรียกสายฟ้าเหล่านี้ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนว่า
\"อา ยินดีที่ได้พบกับเจ้า บุตรแห่งสายลมและสายนํ้า\"
\"ท่าน...เป็นใคร ข้ารู้สึกว่าข้าไม่เคยรู้จักกับท่านมาก่อน\"
\"อืมมม มันก็คงจะเป็นเช่นนั้นแหละ สหาย ความทรงจำเมื่ออดีตกาลของเจ้าคงจะเลือนหายไปแล้วกระมัง\"
\"ใครเป็นสหายของท่าน แล้วก็เรื่องความทรงจำอะไรกัน ข้าไม่เคยความจำเสื่อมมาก่อนนะ\" เขาเริ่มอารมณ์เสีย
\"โถ เจ้าชายน้อย ถ้าจะให้ข้าเล่ามันก็ยาวมากล่ะนะ เอาอย่างนี้ดีกว่า เจ้าสนใจที่จะมาร่วมมือกับข้าไหมล่ะ\"
\"ร่วมมือเรื่องอะไรกัน ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเรื่องที่ท่านต้องการจะสื่อเลย\" ความหงุดหงิดของเขาเริ่มเพิ่มมากขึ้นทีละน้อย
\"อา ข้าลืมบอกไปเสียสนิทเลย ครองโลกอย่างไรล่ะ! เจ้าสนใจไหม สนใจที่จะมองดูความตํ่าต้อยของผู้อ่อนแอแล้วเหยียบยํ่ามัน
ให้แหลกเหลวด้วยความสะใจไหม สร้างโลกของเราเองเอาไว้ให้พวกที่มันตํ่าต้อยกว่าเรากลายเป็นทาสให้เราใช้งานเล่นยังไงล่ะ
หึๆๆ ฮ่าๆๆๆ...\" เขาเริ่มหัวเราะด้วยความสะใจในคำพูดตัวเอง
\"นี่เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ใครจะไปทำเรื่องบ้าๆอย่างนั้นได้ มีแต่พวกหลงตัวเองเท่านั้นแหละที่คิดว่าตัวเองสามารถครอง
โลกได้ ไม่มีใครสามารถมีชัยเหนือคนทั้งโลกได้หรอก แม้แต่ธรรมชาติยังไม่มีใครสามารถทำได้เลย\"
ซิรูเฟระเบิดอารมณ์ออกมาเมื่อถึงขีดสุด เริ่มเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้กับชายแปลกหน้า
\"หึ สำหรับมนุษย์ตํ่าต้อยทั่วไปอาจจะคิดเช่นนั้น แต่สำหรับพวกเราแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยไม่ใช่หรือ ดูสิ สหายน้อย
ถ้าเจ้าร่วมมือกับข้าแล้ว ไอ้เรื่องควบคุมธรรมชาติน่ะมันเป็นเรื่องง่ายแค่เพียงพลิกฝ่ามือเท่านั้น อย่างสายฟ้าที่เจ้าเห็นอยู่นี่ เป็น
ฝีมือของข้าทั้งหมด แถมยังไม่ได้ทำให้ข้าเปลืองแรงตรงไหนเลย\" เขาหยุดหัวเราะแล้ว แต่สีหน้ายังคงเบิกบานอยู่
\"ใครเป็นพวกของเจ้ากัน ข้าไม่เชื่อหรอก เจ้าจะต้องมีอะไรซักอย่างที่ช่วยเรียกสายฟ้าเหล่านี้มาได้โดยไม่ต้องเปลืองแรง\"
\"เจ้าไม่เชื่อข้าหรอกรึ เอาสิ ข้าจะทำอะไรให้เจ้าดูเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน\"
          ว่าแล้วก็ดีดนิ้ว รอบๆตัวเขาและชายแปลกหน้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยพายุที่หมุนตัวอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็น
ทะเลเพลิงในชั่วพริบตา หลังจากนั้นเปลวเพลิงก็หายไป มีสายนํ้าพวยพุ่งขึ้นมาแทนที่ สายนํ้าเหล่านี้ดูจะพุ่งขึ้นไปสูงสิบจนกระ
ทบกับผืนเมฆที่อยู่เบื้องบนแล้วก็หดหายไป คราวนี้พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือนแล้วยกตัวสูงขึ้น เกิดเป็นรอยแยกและหุบเหวลึก
หลายแห่ง แล้วพื้นดินก็หดตัวลง ทุกๆสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้า ป่าไม้ หรือว่าตัวเมืองที่มองเห็นอยู่รางๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมจน
คล้ายกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ซิรูเฟเหม่อมองด้วยอาการตกตะลึง ดูเหมือนว่าจะยังไม่เชื่อกับสิ่งที่ตัวเองเห็น
\"เป็นยังไงล่ะ ยอดเยี่ยมไปเลยใช่ไหม เจ้าเห็นไหมว่าการมีอำนาจที่ควบคุมความเป็นไปของธรรมชาติน่ะมันอยู่ใกล้แค่เอื้อม
เท่านั้น มาเถิด มากับข้า กับธิดาแห่งจันทราในอ้อมแขนของเจ้าด้วยกันนั่นแหละ เร็ว โอกาสเช่นนี้ไม่มีอีกแล้วนะ\"
เขาเดินเข้ามาใกล้ตัวซิรูเฟมาขึ้นไปเรื่อยๆพลางยื่นมือให้กับเขา
\"ข้าไม่ต้องการ! มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่ต้องการ ถ้าเจ้าเก่งนักเก่งหนาแล้วทำไมไม่เห็นครองโลกเองเสียเลยเล่า\"
ซิรูเฟปัดมือที่ยื่นมาให้เขาอย่างไม่ใยดี แล้วประสานมือเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
\"โอ...ก็เพราะข้าอยากได้คึนอย่างเจ้าไว้ร่วมงานน่ะสิ เจ้าน่ะมีคุณสมบัติที่เหมาะสมมากรู้ไหม ถ้าข้าทำเรื่องนี้คนเดียวมันก็จะ
ใช้เวลามากทีเดียว คือข้าเป็นคนใจร้อน ต้องการจะเห็นสิ่งที่ข้าปรารถนาไว้ให้เร็วที่สุด\"
เสียงของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นเหนื่อยหน่าย แต่ยังคงความนุ่มนวลอยู่
\"จะยังไงก็ตาม เจ้าอาจจะเก่งก็จริงอยู่ แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะเอาชนะคนทั้งโลกได้ ยังไงข้าก็ไม่มีวัน...ไม่มีวันที่จะร่วม
มือกับคนอย่างเจ้าโดยเด็ดขาด!\"
พูดจบแล้วเขาก็ท่องคาถาที่คิดว่ารุนแรงที่สุดเท่าที่จะสามารถใช้ได้ออกมาด้วยว่า
\"ลอร์ บา เซล จีโอลัส!\"
(จิตวิญญาณแห่งเทพเจ้านํ้าแข็ง)
          ที่มือของเขาเปล่งแสงเรืองรองสีเขียวอ่อนและสีนํ้าเงินออกมา แล้วเขาก็ชูมือทั้งสองขึ้นฟ้า ทั้งที่ยังอุ้มหญิงสาวอยู่
ปรากฏสายพลังสองสายพวยพุ่งออกมาจากมือของเขา เกิดสายลมหมุนคว้างอย่างบ้าคลั่ง ผสมปนเปกับคลื่นนํ้าที่พลิ้วไหว
อย่างนุ่มนวลได้อย่างลงตัวกลายเป็นนํ้าที่แข็งตัวแน่นพร้อมจะใช้งาน หลังจากที่พลังสองสายรวมตัวกันแล้วก็ปรากฎเป็นร่าง
เงาของเทพผู้ถือคทาหน้าตาถมึงทึง แล้วเทพองค์นั้นก็เผยอปากอ้า กลายเป็นไอนํ้าแข็งที่เย็นเยียบฟุ้งกระจายออกมาครอบ
คลุมไปทั่วร่างของชายลึกลับ
        จากนั้นแท่งนั้าแข็งและลูกเห็บนับร้อยนับพันก็พุ่งกราวลงสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนพื้นดินต้องสั่นสะเทือน
อีกครั้ง ฝุ่นควันคละคลุ้งกระจายไปทั่วกลบร่างของทั้งคู่ไว้แล้วค่อยๆจางลง เมื่อฝุ่นผงจางลงมากแล้วซิรูเฟก็เพ่งมองอีกฝ่าย
ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทว่า เขาคนนั้นไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย มีคลื่นพลังบางอย่างที่ปกป้องเขาอยู่ แม้แต่ฝุ่นผงยังไม่อาจเข้า
ถึงตัวเขาได้เลยแม้แต่น้อย เขายิ้มกว้าง อีกทั้งยังหัวเราะร่วน ราวกับจะเย้ยหยันในความอ่อนโลกของซิรูเฟ
\"หึๆ...เจ้าเด็กน้อย เจ้าคิดว่านํ้าแข็งแค่นี้จะสามารถทำอะไรข้าได้อย่างนั้นหรือ น่าตลก เจ้ายังต้องฝึกฝนอีกมากมาย ถ้าอยาก
จะเก่งกว่านี้ก็ต้องมาเรียนรู้จากข้า น่าเสียดายที่เจ้าปฎิเสธข้าไปแล้ว\"
นํ้าเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาแล้วกล่าวต่อว่า
\"เอาเถอะ ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็ยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่งนอกจากชักชวนเจ้า นั่นก็คือ ข้าต้องการตัวธิดาจันทรา ที่กำลังหมดสติ
อยู่ในอ้อมแขนของเจ้า ส่งมาเดี๋ยวนี้เลย! ไม่เช่นนั้นจะหาว่าข้าไม่เตือนไม่ได้นะ\"
\"ไม่มีวัน! เจ้าจะต้องใช้นางด้วยจุดประสงค์ที่ชั่วร้ายแน่ๆ ฝันไปเถอะหากข้าจะทำตามที่เจ้าบอก\"
เขาพูดพลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น แม้ว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกเหนื่อยมากแล้วก็ตาม
\"ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ!\" เสียงของชายลึกลับเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวแล้ว
        แล้วซิรูเฟก็รู้สึกได้ถึงรังสีกดดันที่แผ่คุกคามตัวเขาอยู่ แรงกดดันนั้นมหาศาลจนเขาขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
คล้ายกับเจอมัดด้วยเชือกหนาหลายสิบชั้น แล้วจู่ๆมือและแขนของเขาก็ขยับได้เองโดยที่เชาไม่ได้สั่ง แขนคู่นั้นค่อยๆขยับ
ไปหาผู้ที่ส่งพลังกดดันเรียกมันมา ซิรูเฟพยายามออกแรงต้านสุดชีวิต ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้แขนข้างนั้นหยุดขยับเลยสักนิด
เขาตะโกนร้องออกมาด้วยความเจ็บแค้นและทรมาน จบสิ้นกันแค่นี้หรือ เขาคิด
          ขณะที่ชายลึกลับกำลังจะได้ตัวหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าธิดาจันทราไปแล้วนั้น พลันมีแสงเส้นหนึ่งพุ่งเข้ามาปะทะกับม่าน
พลังของชายลึกลับเกิดแสงสว่างวาบจนแสบตา แรงกดดันที่บีบตัวซิรูเฟก็คลายออก  ซิรูเฟได้โอกาสเลยทุ่มกำลังที่เหลือทั้ง
หมดกระโจนถอยให้ห่างจากชายลึกลับไปไกลพอสมควรแล้วหมอบราบคอยดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป
          ชายลึกลับสบถอย่างเสียไม่ได้ หันกลับไปยังทิศทางที่พลังแสงพุ่งเข้ามาหาแล้วตะโกนก้องว่า
\"ไอลาธ! นั่นเจ้าใช่ไหม อย่าทำตัวขี้ขลาด แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้\"
          แล้วร่างของคนคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนรางจากเงามืด ชายคนนี้มีผมสีดำยาวประบ่า แววตาของเขาดูคมกริบ
บุคลิกท่าทางก็ดูสุขุมและเป็นผู้นำ คนๆมีคุณสมบัติที่ดีใกล้เคียงกับชายอีกคนเลยทีเดียว ในมือของเขามีคทาด้ามยาวทำจาก
ไม้ชั้นดี อีกทั้งยังสลักเสลาด้วยอักษรรูนด้วยความประณีต เขาเดินเข้ามาใกล้เรื่อยจนอยู่ในระยะที่พูดคุยกันได้ยินแล้วจึง
หยุดกึก หลังจากนั้นจึงกล่าวว่า
\"สวัสดีเมมฟิส นับเป็นข่าวร้ายของข้าเลยนะเนี่ยที่รู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ มาคราวนี้จุดประสงค์ของเจ้ายังเหมือนเดิมอยู่สินะ\"
เขาพูดพร้อมกับหรี่ตาลง
\"ถูกต้อง แต่คราวนี้จะไม่มีใครสามารถขวางข้าได้อีกแล้ว เพราะราชันแห่งความมืดได้ตื่นขึ้นแล้ว โลกนี้จะต้องพินาศย่อยยับ
หึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ...\" เขาเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
\"ได้ มาพนันกันไหมว่าคราวนี้ใครจะเป็นฝ่ายมีชัย ความดีกับความชั่ว แต่ตอนนี้ขอข้าทักทายเจ้าก่อนล่ะนะ\"
          ว่าแล้วก็เสกลูกพลังกลมๆเล็กๆนับร้อยลูก จากนั้นลูกพลังแต่ละลูกก็รวมตัวเป็นก้อนพลังขนาดมหึมาแล้วพุ่งเข้าไป
ใส่เมมฟิสในทันที จากนั้นลูกพลังพลันแตกกระจายแล้วเข้ารุมล้อมเมมฟิสจากทุกทิศทุกทาง เกิดการระเบิดที่ทำให้ผุ่นควัน
คละคลุ้งอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กินเวลานานกว่าครั้งก่อนๆ จากนั้นซิรูเฟก็รู้สึกเหมือนกับถูกใครพยุงตัวขึ้นด้วยความนุ่มนวลแล้ว
พาเขาออกจากพื้นที่บริเวณนั้น
          ภาพที่เขาเห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่หมดสติไปด้วยความเมื่อยล้าคือ ภาพของไอลาธที่ยืนเผขิญหน้ากับเมมฟิส
แต่คราวนี้ที่เบื้องหลังของไอลาธมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งประมาณสามสี่คนยืนคุมเชิงอยู่ด้วย และได้ยินเสียงของเมมฟิสที่ฟังดู
โกรธเกรี้ยวและเคียดแค้นแว่วมาว่า
\"วันนี้เจ้าโชคดี หนุ่มน้อย ข้ายังให้โอกาสเจ้าครั้งหน้าที่เจอกัน แต่ถ้าเจ้ายังปฏิเสธอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีคนก็แล้วกัน\"
          จากนั้นเขาก็ไม่อาจรับรู้อะไรได้อีก สติของเขาใช้การไม่ได้แล้วเนื่องจากการอัญเชิญเทพเมื่อครู่นี้ คงอีกนานเลย
ทีเดียวกว่าเขาจะรู้สึกตัวอีกครั้ง...
          ที่ชานเมืองลาฮาล ขณะนี้เป็นเวลาใกล้รุ่งแล้วอาวุธพิเศษที่สั่งไว้ก็สำเร็จเสร็จสิ้นจนหมดแล้ว เอาเบลมองดูผมงาน
ที่จัดทำขึ้นอย่างเร่งรีบด้วยความโล่งใจในระดับหนึ่ง แต่โล่งใจได้ไม่นานก็มีทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานว่าที่ค่ายของศัตรู
ตอนนี้เริ่มมีการเป่าสัญญาณอะไรสักอย่าง และยังได้ยินเสียงม้าร้องดังมาแต่ไกล
          อาเบลได้ยินดังนั้นจึงรับสั่งระดมพลทหารทุกคนให้ไปรวมตัวกันที่กองบัญชาการและประตูเมืองที่ทิศทิศตะวันออก
เพราะข้าศึกสามารถบุกโจมตีประตูนั้นได้ที่เดียว และยังสั่งให้นำอาวุธพิเศษไปวางไว้ที่จุดต่างๆบนเชิงเทินด้วย อีกทั้งยัง
บอกให้นักแม่นธนูไปประจำตามจุดต่างๆเช่นกัน ส่วนตัวเขาเองก็รีบเดินขึ้นไปที่เชิงเทินของประตูเมืองเพื่อคอยสั่งการทัพ
ด้วยตัวเอง เมื่อขึ้นไปถึงแล้วเขาก็ขอยืมกล้องส่องทางไกลจากทหารที่ประจำการอยู่ใกล้ๆแล้วส่องดู
          แล้วเขาก็พบว่าตอนนี้กองทัพของข้าศึกได้จัดกลุ่มอย่างเป็นระเบียบพร้อมที่จะโจมตีได้แล้ว แต่ยังไม่โจมตีคล้าย
กับรอคำสั่งบางอย่างอยู่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องเหงื่อตกกับแสนยานุภาพอันเกรียงไกรที่เขาได้เห็น ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่
มีความมั่นใจในการรบมากถึงขนาดที่คิดว่าจะสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน
                          สงครามกำลังจะเริ่มขึ้น ท่ามกลางแสงอรุณแรกของวันอย่างนั้นเลยละหรือ?
(to the next chapter!)
       
                                                    ภาค ~เรื่องเล่าของมังกร~
                                                ตอนที่ 4 การเผชิญหน้าครั้งแรก
          ซิรูเฟสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆกิ่งไม้ก็หักอย่างรวดเร็วมาขวางที่เบื้องหน้าของเขาในขณะที่เขากำลังเดินหาหนทางเข้าเมือง
อยู่ ทำให้เขารู้สึกถึงลางร้ายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้แต่สงบจิตใจและจดจ่อกับการเข้าเมืองเวเนร่าให้ได้ก่อนที่จะ
คิดถึงเรื่องอื่นใด เมื่อมีกิ่งไม้มาขวางทางเขาแล้วเขาจึงเลี่ยงไปต่อทางอื่น แต่ขณะที่เขากำลังจะก้าวเปลี่ยนเส้นทางเดินนั้น
เขาก็พลันได้ยินเสียงร้องของหญิงสาวที่เบื้องหน้า ตรงกับทางที่มีกิ่งไม้มาขวางไว้
          เขาตัดสินใจที่จะไปดูว่าอะไรเกิดขึ้นกับหญิงสาวเจ้าของเสียงนั้น เขาจึงพยายามนึกคาถาง่ายๆบางบทเพื่อทำลาย
สิ่งกีดขวางเบื้องหน้า แล้วเขาก็นึกคาถาเรียกลมได้ จากนั้นจึงรีบร่ายคาถาว่า
\"คอห์ลวู บา ฟีเซ่!\"
(ดาบแห่งสายลม)
          แล้วก็เกิดสายลมหมุนวนรอบๆมือของเขา แล้วก็ค่อยๆก่อตัวเป็นดาบที่ดูแหลมคมแต่พลิ้วไหวไปมา แล้วเขาก็สะบัด
ดาบในมือของเขาไปมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานกิ่งไม้ขนาดยักษ์ที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็แตกกระจุยเป็นชิ้นๆ จนเขาสามารถเดินต่อ
ไปได้ เขารีบมุ่งไปข้างหน้าจนพบกับร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนอนฟุบไปกับพื้นอยู่
        เข้ารีบเข้าไปประคองร่างของเธอ ดูจากภายนอกแล้วครั้งหนึ่งเธอคงต้องเคยเป็นหญิงสาวที่สวยมาเป็นแน่ หากแต่ตอน
นี้ใบหน้าของเธอดูซีดเซียวเหลือเกิน อีกทั้งร่างกายยังผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงที่ซิรูเฟเองก็ยังไม่ทราบว่าเธอยังมีชิวิตอยู่มาจนถึง
ป่านนี้ได้อย่างไร ตามตัวของเธอมีบาดแผลที่เกิดจากกิ่งไม้และของมีคมบาดโดยทั่งไป แต่ไม่มีแผลลึกที่เป็นอันตรายมากนัก
เขาอังมือข้างที่ว่างอยู่ร่ายเวทเยียวยารักษาให้กับเธอ เธอส่งเสียงครางอย่างเมื่อยล้าเมื่อค่อยได้สติทีละน้อยๆ เขาลองปลุกให้
เธอรู้สึกตัวเวทการแผ่รังสีแห่งความอบอุ่น ฟื้นคืนความกระปรี้กระเปร่าให้กับเธอ
        แล้วจู่ๆเธอก็เบิกตาโพลงในทันใดจนซิรูเฟต้องสะดุ้งโหยง ผงะถอยหลัง มือที่ประคองเธอไว้ก้ไร้เรี่ยวแรงจนต้องปล่อย
เธอให้ล้มลง ซึ่งเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ทำสีหน้าฉงน แล้วก็พูดกับเขาด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจ แต่คุ้นเคยว่าเป็นภาษารูนว่า
\"่ดาลย์ ยามู อาเนธ เวียโกซ่า รอนนอธ เบลีย รูห์\"
ซิรูเฟพยายามทวนคำพูดนั้น แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามีความหมายว่าอะไร ทำให้ทั้งคู่ได้แต่ยืนมองหน้ากันและกัน...
        เวลาพักครั้งแรกได้สิ้นสุดลง อาเบลผละออกมาจากห้องพักของตน กลับไปหน้าที่สั่งการอีกครั้ง แต่เมื่อเขาเดินออกจาก
ห้องมาได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็พบว่ามีทหารมาเดินเข้ามารายงานเขาว่า มีคนต้องการจะพบกับเขา บอกชื่อไว้ว่ากลอเรียส แล้วสีหน้า
ของอาเบลก็แปรเปลี่ยนไป เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เค้าของความเชื่อมั่นเติมเต็มบนใบหน้าของเขาให้ดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขารีบถาม
ทหารคนนั้นถึงที่อยู่ของชายคนนั้นแล้วรีบมุ่งหน้าไปทันที
        จาการสอบถาม พบว่าชายคนนั้นอยู่ที่เรือนพักรับรองคนต่างถิ่น เมื่อมาถึงห้องที่ระบุไว้ เขาก็รีบเปิดประตูเข้าไปทันทีอย่าง
ไม่เกรงใจใคร พบกับชายคนหนึ่งกำลังนั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งชายคนนั้นก็คือชายที่แต่งตัวเหมือนนายพรานที่มุ่งหน้ามาที่เมืองนี้ตั้ง
แต่ตอนกลางวันนั่นเอง เมื่อได้พบหน้าชายคนนี้อาเบลก็รีบเข้าไปสวมกอดด้วยความอบอุ่นพร้อมกับกล่าวว่า
\"อา กลอเรียส น้องข้า หากข้าไม่ได้เห็นเจ้าในช่วงเวลานี้ข้าก้ไม่รู้ว่าจะมีความมั่นใจหลงเหลือในการรบที่กำลังจะมาถึงนี้หรือเปล่า
แต่ว่า เป็นลมใดกันที่พัดพาเจ้ามาจากดินแดนนอสเฟอร์ราตูว์อันไกลโพ้นได้\"
\"ถูกแล้ว พี่ชายของข้า ข้าไม่ได้เดินทางไกลมานับพันไมล์เพื่อที่จะมาเยี่ยมท่านเพียงอย่างเดียวหรอกนะ ข้าได้รับคำสั่งมาจาก
สภาสูงให้มาทำธุระสำคัญให้บางเรื่อง แต่จะเป้นเรื่องอะไรนั้น ท่านจะได้รู้ในภายหลัง ข้าคงบอกท่านตอนนี้ไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ
ตั้งแต่ที่ข้าเห็นว่าเมืองนี้มีอันตรายข้าก็รีบเดินทางมาช่วยท่าน ช่วยอาณาจักรมาตุภูมิของเราให้คงอยู่ต่อไป\"
\"ไม่เสียทีที่เราเป็นพี่น้องกันจริงๆ กลอเรียส เจ้าเหมือนกับชื่อของเจ้าไม่มีผิด อย่างไรก็ตาม การเดินทางอันยาวไกลนี้จะต้องทำ
ให้เจ้าเหนื่อยมากแน่ พักผ่อนสักวันสองวันก่อนเถอะ ก่อนหน้านั้นให้พี่จัดการเอง\"
ว่าแล้วก็ให้กลอเรียสเข้านอน แล้วตัวเขาก็เดินออกไปสั่งงานต่อด้วยความมั่นใจที่เพิ่มพูนมากขึ้น...
          หลังจากที่ได้ขี่หลังมังกรมานานหลายชั่วโมงจนตะวันเริ่มตกดิน ในที่สุดมังกรก็พาชายลึกลับมาถึงจุดหมาย เขาค่อยๆไต่
ลงตามปุ่มหลังของมังกรจนลงมาถึงพื้น แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อได้พบกับทัศนียภาพที่เขาเห็น ที่นี่เต็มไปด้วยเหล่าสัตว์ร่างยักษ์
ที่ทรงภูมิปัญญาบินว่อนไปทั่วท้องฟ้า ท่ามกลางขุนเขาและสายนํ้าที่เขียวขจี บินฉวัดเฉียนตัดกับท้องฟ้ายามราตรีอย่างอิสระเสรี
ไม่ยึดติดกับสิ่งใด...
          แต่ที่แน่ๆ เขามั่นใจว่าที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ในเทอร์เพนไทน์ อีกทั้งไม่ได้อยู่ในทวีปอารีเซียด้วย คงเป็นดินแดนลับแลสักแห่ง
ที่อยู่ไกลโพ้น ที่ๆพลังอำนาจอันเก่าแก่ยังคงอยู่... อำนาจโบราณที่คอยคํ้าจุนโลกนี้ไว้ หลังจากที่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วเขาจึงเริ่ม
รู้สึกตัวและลดสายตาลงมามองที่เบื้องหน้า จนได้พบกับมังกรหมอบอยู่ตามสองข้างทางเป็นแถวเรียงรายเป็นทาง คล้ายกับกำลังรอ
คอยเขาอยู่ แถวต้อนรับทอดยาวไปจนถึงต้นไม้ขนาดยักษ์ขนาดสองร้อยคนโอบ ที่ดูเหมือนจะเป็นที่พำนักของผู้มีอำนาจคนหนึ่ง
          เขาเดินตามทางเดินที่กำหนดไว้ไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่หน้าต้นไม้ยักษ์ เขาพบกับโพรงที่เป็นทางเข้าขนาดใหญ่ที่ทำให้เขาดู
ตัวเล็กลงถนัดตา จนต้องตกตะลึงอีกครั้งหนึ่ง แต่หลังจากได้ยินเสียงทุ้มตํ่าที่เหมือนกับเป็นการเชิญชวนแล้วเขาจึงได้สติแล้วสาว
เท้าไปข้างในโพรง และได้รับความประหลาดใจที่มากกว่าที่ผ่านมา...
          สิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างแรกก็คือมังกรและมังกรกึ่งมนุษย์นั่งตามโต็ะและเก้าอี้ที่เรียงรายอยู่ทั้งสองฟาก แต่ละโต๊ะต่างก็พูด
คุยกันเสียงแซ่ด แต่ทุกเสียงก็เงียบสงบลงเมื่อได้ยินเสียงก้าวเดินของเขา มีอยู่โต๊ะหนึ่งที่อยู่ระดับสูงที่สุดและขนาดโต๊ะใหญ่ที่สุด
โต๊ะนี้มีแต่มังกรพันธุ์แท้ร่างยักษ์นั่งอยู่ไม่กี่ตัว มังกรตัวที่ใหญ่ที่สุดและดูเหมือนจะเป็นนายของที่นี่จับตามองเขาตั้งแต่เขาอยู่ข้าง
นอกโพรงและปิดปากเงียบมาตลอด ขณะนี้มันเริ่มเปิดปากพูดแล้ว แต่พูดเป็นภาษารูนเพื่อที่ว่ามังกรทุกตัวที่อยู่ในโพรงจะสามารถ
เข้าใจได้ว่า
\"วาลโคเม่ ซูพรานุม บา อัล. ไอราล กิโด้ ซูล ซิวาร์ อูล\"
(ยินดีต้อนรับ ผู้สืบทอดแห่งเรา เรามีความยินดีที่ได้พบกับเจ้า)
ชายลึกลับเกิดความงุนงง จึงตอบกลับไปอย่างไม่ติดขัดว่า
\" ซูพรานุม? อลุม ดา อูล คาลู ราล์ม อาลู อูลอน ซูพรานุม\"
(ผู้สืบทอด? ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นผู้สืบทอดของท่าน?)
\"คอล โอบร้า ชาม แนธ โลว ซฟิเรนส์\"
(เรื่องเหล่านี้สามารถรู้ได้โดยสัญชาตญาณ)
\"...อาลรู โน มาเซ,เดนนิเลส,อาล รูค เด ซูล คิรูฟว์ อุล เมโค โอบร้า\"
(...ข้ารูสึกสับสน,อย่างไรก็ตาม,ข้ามาที่นี่เพื่อถามท่านบางอย่าง)
\"ฮูมมม คิรฟว์ มูร์น? เด เนธ แรชโค อิลลุสเต ราล์ม ชาม รูค เด.วา อูล บลาซ นาดาน ซูล คิรูฟว์ อูล? ฮึมมม ชาลด์
ชาม ฮาร์ดรัด อูล ซูล เทรซา ลา ยาห์น มัลดิซ ซูล คิรูฟว์ มูร์น?\"
(อืมมม ถามข้าอย่างนั้นหรือ มีมนุษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถมายังที่นี่ได้ แต่เจ้ากลับต้องการเพียงแค่ถามข้าอย่างนั้นรึ โอ
อะไรกันที่สามารถดลใจเจ้าถึงขนาดที่ทำให้เจ้าต้องออกเดินทางไกลเพื่อมาถามข้า)
\"อา...มาคอส โอบร้า อาห์ลลิ, ดา อูล คาลู โฮว อาห์ล แนธ\"
(อ่า...หลายอย่างทีเดียว อย่างแรกเลย ท่านรู้ไหมว่าข้าเป็นใคร)
\"ฮูมมม อาห์ล ดิน คาลู...ฮุย ควิน, อาห์ล คาลู อุล พอช ดราโก้ อัดลัฟ. อุล แนธ ไอรอน บรอพ\"
(อืมมม ข้าไม่รู้...อย่างน้อยที่สุด ข้ารู้ว่าเจ้าก็มีสายเลือดแห่งมังกร เจ้าเป็นพวกของเรา)
          ความทรงจำที่ขาดหายไปทำให้เขารู้จักตัวเองน้อยมาก เขาพยายามที่จะรื้อฟื้นความทรงจำของเขากลับมาเป็นเวลากว่า
ครึ่งปีแล้ว ในตอนนี้เขาก้ได้รู้เพิ่มขึ้นว่าเขามีสายเลือดของมังกร ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร ข้อมูลนี้ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่ม
รู้สึกสับสนงุนงงมากกว่าเดิม เขามีสายเลือดของมังกรอย่างนั้นหรือ มังกรพวกนี้รู้ได้อย่างไร ตัวเข้าไม่น่าจะมีสัญลักษณ์ที่บ่งบอก
ถึงการเป็นมังกรเลย
          ขณะที่เขากำลังวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา สติสัมปชัญญะของเขาก็เริ่มเลือนราง ภาพตรงหน้าที่เขาเห็นเริ่มขมุกขมัวลงทุกที
สายตาของเขาเริ่มพร่าเลือนพร้อมๆกับอาการปวดแปลบศีรษะที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ความคิดของเขาคล้ายถูกบดบังด้วยหมอก
อันมืดทึบ เขารู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปยาวนานยิ่งนักกว่าที่เขาจะหมดสติไปจริงๆ
          แต่ในความเป็นจริงผู้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็เห็นว่าหลังจากที่พูดคุยประโยคสุดท้ายกันแล้ว จู่ๆคนแปลกหน้าก็เกิดอาการ
ชักกระตุกแล้วล้มลงไปในทันใด แขกคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นแพทย์รีบลุกจากที่นั่งของตนมาดูอาการของชายคนนี้ทันที เมื่อจับ
ชีพจรของชายคนนี้แล้วแพทย์คนนี้ก็รีบเรียกเปลหามด้วยความเร่งรีบ จากนั้นไม่นานก็มีมังกรกึ่งมนุษย์สองตนนำเปลออกมาหอบ
ร่างของชายประหลาดไปสู่ห้องพยาบาลที่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน ท่ามกลางความตื่นตะลึงของแขกเหรื่อที่อยู่ในโพรงมหึมานี้...
          หลังจากที่มองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง ทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนท้องคัดท้องแข็ง แต่ซิรูเฟก็นึกขึ้นได้ว่าต้องรีบทำเข้า
เมืองเวเนร่า ในที่สุดก็ต้องกล่าวลากับหญิงสาวคนนั้นอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นทำท่าโบกมือลาแล้วเริ่มเดินต่อไป ทว่าหญิงสาวคนนั้น
กลับเดินตามติดเขามาอย่างไม่ลดละ ซิรูเฟจึงหันกลับมาแล้วทำท่าบอกเธอว่าต้องไปทางอื่น ถึงเวลาต้องจากกันแล้ว แต่เธอก็ส่าย
หน้า หรือว่าเธอก็ต้องการจะไปที่เมืองเวเนร่าเหมือนกัน  เขาคิด
          ในที่สุดเขาก็ตกลงใจจะพาเธอเข้าเมืองเวเนร่าด้วย จึงเดินนำเธอไปข้างหน้า แต่ไม่นานเขาก็พบกับทางตัน ที่เบื้องหน้า
ของเขามองขึ้นไปเป็นหน้าผาอันสูงชัน อีกทั้งยังเรียบลื่น ดูยังไงก็ไม่น่าจะปีนขึ้นไปได้ คิดไปคิดมาในที่สุดเขาก็คิดที่จะใช้เวทย์
มนตร์เรียกลมอีกครั้ง นึกทบทวนคาถาแล้วจึงกล่าวออกมาว่า
\"ชิวาร์ ฟีเซ่\"
(สายลมหนุนเนื่อง)
          ทว่า สายลมรอบตัวเขาดูเหมือนจะไม่ได้ยินที่เขาพูด รอบๆตัวเขาไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ทุกสิ่งเงียบสงบ เขาทวนคำอีกครั้ง
และอีกครั้ง แต่ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายพลางครุ่นคิดต่อไปว่าจะทำอย่างไรดี หลังจากที่เห็นซิรูเฟ
ยืนนิ่งอยู่นานสองนาน เธอจึงเข้าไปสะกิดไหล่ของเขา เขาสะดุ้งด้วยความตกใจแล้วหันหน้ามาด้วยความไม่พอใจ เขาไม่ชอบเลย
เวลาที่มีคนขัดจังหวะขณะที่เขากำลังใช้ความคิดอยู่ เขาทำมือเป็นเชิงว่าอย่าเพิ่งรบกวน แต่เธอก็ชี้ไปที่เบื้องหน้าของเขา เขารีบ
หันกลับไปดูว่ามีอะไร แล้วก็ต้องขยี้ตาด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
          ที่เบื้องหน้าของเขา จากหน้าผาอันสูงชัน กลับกลายเป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วท่ามกลางทุ่งหญ้านี้ รูปร่างของ
เมืองหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของเขา เมืองนี้ไม่มีกำแพงเมือง คงเป็นเพราะมีป่าคอยเป็นกำแพงที่ดีกว่าให้อยู่แล้ว ถึงแม้ที่นี่จะไม่มี
กำแพงเมือง แต่เขาก็เห็นอาคารหลังหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นจุดตรวจคนเข้าเมืองอยู่
          เมื่อแน่ใจกับสิ่งที่ได้เห็นแล้ว ซิรูเฟก็ยิ้มด้วยความดีใจแล้วหันหน้าไปหาหญิงสาว แล้วก็พบกับปานบนหน้าผากรูปหกแฉก
ของเธอที่กำลังเปล่งแสงสว่างเรืองรองออกมาเจิดจ้าจนเขาต้องหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นไม่นานแสงสว่างนั้นก็เริ่ม
จางหายไป พร้อมๆกับสติของหญิงสาวที่ดับวูบลงไปด้วย ซิรูเฟรีบเข้าไปประคองตัวเธอไว้ พยายามเรียกเธอให้คืนสติกลับมา ซึ่ง
ก็ไม่ประสบผล เขาจึงตัดสินใจพาเธอเข้าเมืองไปก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง เขาอุ้มเธอขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แล้วจึงรีบพาเธอไป
ยังจุดตรวจคนเข้าเมืองที่อยู่ไม่ไกลแล้วในตอนนี้
          แต่หลังจากที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็รู้สึกอึดอัดจนแทบจะเดินต่อไปไม่ไหว ท้องฟ้ายามคํ่าคืนเริ่มกลายเป็นสีมืดหม่นไป
ด้วยเมฆและหมอกอันหนาทึบ แล้วสายฟ้าก็ผ่าลงมาจากทุกทิศรอบตัวเขา ประกายของสายฟ้าได้ทำให้ต้นไม้หลายต้นลุกไหม้จน
เหลือแต่ตอในทันที สายฟ้าเริ่มผ่าลงมาถี่ขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่ที่เป็นป่าด้านหลังของเขาเริ่มลุกไหม้ไปทั่วแล้ว ถ้าเขาใช้คาถาเรียกนํ้า
มาดับไฟในตอนนี้ สายฟ้าก็คงจะผ่าลงมาบนตัวเขาในทันทีแน่นอน ดีที่ตอนนี้เขายืนอยู่บนที่ราบ เขาจึงพยายามก้มตัวให้ตํ่าเข้า
ไว้แล้วจึงค่อยๆมุ่งหน้าไปยังจุดตรวจอย่างช้าๆ
          โชคไม่ดีทีจู่ๆฟ้าก็ผ่าลงมาตรงหน้าเขาพอดี ทำให้เขาต้องผงะถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก แล้วสายฟ้าก็ผ่าลงทางด้าน
หลัง ซ้าย และขวาตามลำดับ ที่น่าแปลกคือสายฟ้านั้นเมื่อผ่ามาแล้วยังคงรูปอยู่ไม่หายไป คล้ายกับเป็นม่านพลังที่กักตัวเขาไว้
ซึ่งเขาก็แน่ใจแล้วว่าสายฟ้านี้จะต้องมาจากเวทย์มนตร์อย่างแน่นอน อีกทั้งผู้ที่เรียกสายฟ้าเหล่านี้มาจะต้องเป็นผู้ที่มีพลังเวทสูง
มากจึงจะสามารถสร้างเป็นม่านพลังได้ เพียงแต่เขายังไม่เคยเห็นผู้ใช้เวทที่เก่งกาจขนาดนี้มาก่อน จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าใคร
เป็นคนเรียกสายฟ้าเหล่านี้มากักตัวเขาไว้
          แล้วสายฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างกระจัดกระจายนั้นก็รวมตัวกันเป็นเส้นขนาดยักษ์ผ่าลงมาจนพื้นดินที่รองรับต้องลุกไหม้และ
สั่นสะเทือนอย่างรุนนแรง หลังจากที่ฟ้าผ่าลงมาที่พื้นดินนั้นก็เกิดเป็นขอบเขตเวทมนตร์วงกลมหกแฉกขึ้นมา บนขอบเขตนั้น
เหล่าของอณูของอากาศก็เริ่มก่อตัวกันให้เห็นเป็นรูปร่างขึ้นมา พอจะให้เห็นได้ว่าเป็นร่างของบุรุษผู้ยืนอยู่บนปุ่มหลังของสัตว์ร่าง
ยักษ์ที่มีปีกพับไว้อยู่กลางหลังและกำลังหมอบราบอยู่อย่างสงบเสงี่ยม แต่แลดูสง่างามและน่าเกรงขามยิ่งนัก
            หลังจากที่อากาศรวมตัวกันได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ก็ทำให้ซิรูเฟได้เห็นผู้เป็นนายของสัตว์ตัวนั้นได้อย่างเต็มตา ชาย
ผู้นี้ถ้ามีใครได้พบเห็นครั้งหนึ่งแล้วจะไม่ลืมเลือนเลย ด้วยบุคลิกลักษณะที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และใบหน้าที่หล่อเหลาแม้อายุ
ของเขาดูเหมือนจะเข้าสู่วัยกลางคนแล้วก็ตาม อีกทั้งดวงตาสีนํ้าเงินเข้มที่ราบเรียบแต่ลํ้าลึกที่สะกดผู้คนให้อยู่กับที่ ยากที่จะคาด
เดาได้ว่าชายคนนี้คิดอะไรอยู่ คนเช่นนี้ถ้าเป็นศัตรูกับเราเห็นทีจะรับมือได้ลำบากที่สุดแล้ว ซิรูเฟคิด
          หลังจากที่ได้วิเคราะห์กันและกันแล้ว ชายผู้เรียกสายฟ้าเหล่านี้ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนว่า
\"อา ยินดีที่ได้พบกับเจ้า บุตรแห่งสายลมและสายนํ้า\"
\"ท่าน...เป็นใคร ข้ารู้สึกว่าข้าไม่เคยรู้จักกับท่านมาก่อน\"
\"อืมมม มันก็คงจะเป็นเช่นนั้นแหละ สหาย ความทรงจำเมื่ออดีตกาลของเจ้าคงจะเลือนหายไปแล้วกระมัง\"
\"ใครเป็นสหายของท่าน แล้วก็เรื่องความทรงจำอะไรกัน ข้าไม่เคยความจำเสื่อมมาก่อนนะ\" เขาเริ่มอารมณ์เสีย
\"โถ เจ้าชายน้อย ถ้าจะให้ข้าเล่ามันก็ยาวมากล่ะนะ เอาอย่างนี้ดีกว่า เจ้าสนใจที่จะมาร่วมมือกับข้าไหมล่ะ\"
\"ร่วมมือเรื่องอะไรกัน ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเรื่องที่ท่านต้องการจะสื่อเลย\" ความหงุดหงิดของเขาเริ่มเพิ่มมากขึ้นทีละน้อย
\"อา ข้าลืมบอกไปเสียสนิทเลย ครองโลกอย่างไรล่ะ! เจ้าสนใจไหม สนใจที่จะมองดูความตํ่าต้อยของผู้อ่อนแอแล้วเหยียบยํ่ามัน
ให้แหลกเหลวด้วยความสะใจไหม สร้างโลกของเราเองเอาไว้ให้พวกที่มันตํ่าต้อยกว่าเรากลายเป็นทาสให้เราใช้งานเล่นยังไงล่ะ
หึๆๆ ฮ่าๆๆๆ...\" เขาเริ่มหัวเราะด้วยความสะใจในคำพูดตัวเอง
\"นี่เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ใครจะไปทำเรื่องบ้าๆอย่างนั้นได้ มีแต่พวกหลงตัวเองเท่านั้นแหละที่คิดว่าตัวเองสามารถครอง
โลกได้ ไม่มีใครสามารถมีชัยเหนือคนทั้งโลกได้หรอก แม้แต่ธรรมชาติยังไม่มีใครสามารถทำได้เลย\"
ซิรูเฟระเบิดอารมณ์ออกมาเมื่อถึงขีดสุด เริ่มเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้กับชายแปลกหน้า
\"หึ สำหรับมนุษย์ตํ่าต้อยทั่วไปอาจจะคิดเช่นนั้น แต่สำหรับพวกเราแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยไม่ใช่หรือ ดูสิ สหายน้อย
ถ้าเจ้าร่วมมือกับข้าแล้ว ไอ้เรื่องควบคุมธรรมชาติน่ะมันเป็นเรื่องง่ายแค่เพียงพลิกฝ่ามือเท่านั้น อย่างสายฟ้าที่เจ้าเห็นอยู่นี่ เป็น
ฝีมือของข้าทั้งหมด แถมยังไม่ได้ทำให้ข้าเปลืองแรงตรงไหนเลย\" เขาหยุดหัวเราะแล้ว แต่สีหน้ายังคงเบิกบานอยู่
\"ใครเป็นพวกของเจ้ากัน ข้าไม่เชื่อหรอก เจ้าจะต้องมีอะไรซักอย่างที่ช่วยเรียกสายฟ้าเหล่านี้มาได้โดยไม่ต้องเปลืองแรง\"
\"เจ้าไม่เชื่อข้าหรอกรึ เอาสิ ข้าจะทำอะไรให้เจ้าดูเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน\"
          ว่าแล้วก็ดีดนิ้ว รอบๆตัวเขาและชายแปลกหน้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยพายุที่หมุนตัวอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็น
ทะเลเพลิงในชั่วพริบตา หลังจากนั้นเปลวเพลิงก็หายไป มีสายนํ้าพวยพุ่งขึ้นมาแทนที่ สายนํ้าเหล่านี้ดูจะพุ่งขึ้นไปสูงสิบจนกระ
ทบกับผืนเมฆที่อยู่เบื้องบนแล้วก็หดหายไป คราวนี้พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือนแล้วยกตัวสูงขึ้น เกิดเป็นรอยแยกและหุบเหวลึก
หลายแห่ง แล้วพื้นดินก็หดตัวลง ทุกๆสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้า ป่าไม้ หรือว่าตัวเมืองที่มองเห็นอยู่รางๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมจน
คล้ายกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ซิรูเฟเหม่อมองด้วยอาการตกตะลึง ดูเหมือนว่าจะยังไม่เชื่อกับสิ่งที่ตัวเองเห็น
\"เป็นยังไงล่ะ ยอดเยี่ยมไปเลยใช่ไหม เจ้าเห็นไหมว่าการมีอำนาจที่ควบคุมความเป็นไปของธรรมชาติน่ะมันอยู่ใกล้แค่เอื้อม
เท่านั้น มาเถิด มากับข้า กับธิดาแห่งจันทราในอ้อมแขนของเจ้าด้วยกันนั่นแหละ เร็ว โอกาสเช่นนี้ไม่มีอีกแล้วนะ\"
เขาเดินเข้ามาใกล้ตัวซิรูเฟมาขึ้นไปเรื่อยๆพลางยื่นมือให้กับเขา
\"ข้าไม่ต้องการ! มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่ต้องการ ถ้าเจ้าเก่งนักเก่งหนาแล้วทำไมไม่เห็นครองโลกเองเสียเลยเล่า\"
ซิรูเฟปัดมือที่ยื่นมาให้เขาอย่างไม่ใยดี แล้วประสานมือเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
\"โอ...ก็เพราะข้าอยากได้คึนอย่างเจ้าไว้ร่วมงานน่ะสิ เจ้าน่ะมีคุณสมบัติที่เหมาะสมมากรู้ไหม ถ้าข้าทำเรื่องนี้คนเดียวมันก็จะ
ใช้เวลามากทีเดียว คือข้าเป็นคนใจร้อน ต้องการจะเห็นสิ่งที่ข้าปรารถนาไว้ให้เร็วที่สุด\"
เสียงของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นเหนื่อยหน่าย แต่ยังคงความนุ่มนวลอยู่
\"จะยังไงก็ตาม เจ้าอาจจะเก่งก็จริงอยู่ แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะเอาชนะคนทั้งโลกได้ ยังไงข้าก็ไม่มีวัน...ไม่มีวันที่จะร่วม
มือกับคนอย่างเจ้าโดยเด็ดขาด!\"
พูดจบแล้วเขาก็ท่องคาถาที่คิดว่ารุนแรงที่สุดเท่าที่จะสามารถใช้ได้ออกมาด้วยว่า
\"ลอร์ บา เซล จีโอลัส!\"
(จิตวิญญาณแห่งเทพเจ้านํ้าแข็ง)
          ที่มือของเขาเปล่งแสงเรืองรองสีเขียวอ่อนและสีนํ้าเงินออกมา แล้วเขาก็ชูมือทั้งสองขึ้นฟ้า ทั้งที่ยังอุ้มหญิงสาวอยู่
ปรากฏสายพลังสองสายพวยพุ่งออกมาจากมือของเขา เกิดสายลมหมุนคว้างอย่างบ้าคลั่ง ผสมปนเปกับคลื่นนํ้าที่พลิ้วไหว
อย่างนุ่มนวลได้อย่างลงตัวกลายเป็นนํ้าที่แข็งตัวแน่นพร้อมจะใช้งาน หลังจากที่พลังสองสายรวมตัวกันแล้วก็ปรากฎเป็นร่าง
เงาของเทพผู้ถือคทาหน้าตาถมึงทึง แล้วเทพองค์นั้นก็เผยอปากอ้า กลายเป็นไอนํ้าแข็งที่เย็นเยียบฟุ้งกระจายออกมาครอบ
คลุมไปทั่วร่างของชายลึกลับ
        จากนั้นแท่งนั้าแข็งและลูกเห็บนับร้อยนับพันก็พุ่งกราวลงสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนพื้นดินต้องสั่นสะเทือน
อีกครั้ง ฝุ่นควันคละคลุ้งกระจายไปทั่วกลบร่างของทั้งคู่ไว้แล้วค่อยๆจางลง เมื่อฝุ่นผงจางลงมากแล้วซิรูเฟก็เพ่งมองอีกฝ่าย
ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทว่า เขาคนนั้นไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย มีคลื่นพลังบางอย่างที่ปกป้องเขาอยู่ แม้แต่ฝุ่นผงยังไม่อาจเข้า
ถึงตัวเขาได้เลยแม้แต่น้อย เขายิ้มกว้าง อีกทั้งยังหัวเราะร่วน ราวกับจะเย้ยหยันในความอ่อนโลกของซิรูเฟ
\"หึๆ...เจ้าเด็กน้อย เจ้าคิดว่านํ้าแข็งแค่นี้จะสามารถทำอะไรข้าได้อย่างนั้นหรือ น่าตลก เจ้ายังต้องฝึกฝนอีกมากมาย ถ้าอยาก
จะเก่งกว่านี้ก็ต้องมาเรียนรู้จากข้า น่าเสียดายที่เจ้าปฎิเสธข้าไปแล้ว\"
นํ้าเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาแล้วกล่าวต่อว่า
\"เอาเถอะ ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็ยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่งนอกจากชักชวนเจ้า นั่นก็คือ ข้าต้องการตัวธิดาจันทรา ที่กำลังหมดสติ
อยู่ในอ้อมแขนของเจ้า ส่งมาเดี๋ยวนี้เลย! ไม่เช่นนั้นจะหาว่าข้าไม่เตือนไม่ได้นะ\"
\"ไม่มีวัน! เจ้าจะต้องใช้นางด้วยจุดประสงค์ที่ชั่วร้ายแน่ๆ ฝันไปเถอะหากข้าจะทำตามที่เจ้าบอก\"
เขาพูดพลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น แม้ว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกเหนื่อยมากแล้วก็ตาม
\"ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ!\" เสียงของชายลึกลับเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวแล้ว
        แล้วซิรูเฟก็รู้สึกได้ถึงรังสีกดดันที่แผ่คุกคามตัวเขาอยู่ แรงกดดันนั้นมหาศาลจนเขาขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
คล้ายกับเจอมัดด้วยเชือกหนาหลายสิบชั้น แล้วจู่ๆมือและแขนของเขาก็ขยับได้เองโดยที่เชาไม่ได้สั่ง แขนคู่นั้นค่อยๆขยับ
ไปหาผู้ที่ส่งพลังกดดันเรียกมันมา ซิรูเฟพยายามออกแรงต้านสุดชีวิต ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้แขนข้างนั้นหยุดขยับเลยสักนิด
เขาตะโกนร้องออกมาด้วยความเจ็บแค้นและทรมาน จบสิ้นกันแค่นี้หรือ เขาคิด
          ขณะที่ชายลึกลับกำลังจะได้ตัวหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าธิดาจันทราไปแล้วนั้น พลันมีแสงเส้นหนึ่งพุ่งเข้ามาปะทะกับม่าน
พลังของชายลึกลับเกิดแสงสว่างวาบจนแสบตา แรงกดดันที่บีบตัวซิรูเฟก็คลายออก  ซิรูเฟได้โอกาสเลยทุ่มกำลังที่เหลือทั้ง
หมดกระโจนถอยให้ห่างจากชายลึกลับไปไกลพอสมควรแล้วหมอบราบคอยดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป
          ชายลึกลับสบถอย่างเสียไม่ได้ หันกลับไปยังทิศทางที่พลังแสงพุ่งเข้ามาหาแล้วตะโกนก้องว่า
\"ไอลาธ! นั่นเจ้าใช่ไหม อย่าทำตัวขี้ขลาด แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้\"
          แล้วร่างของคนคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนรางจากเงามืด ชายคนนี้มีผมสีดำยาวประบ่า แววตาของเขาดูคมกริบ
บุคลิกท่าทางก็ดูสุขุมและเป็นผู้นำ คนๆมีคุณสมบัติที่ดีใกล้เคียงกับชายอีกคนเลยทีเดียว ในมือของเขามีคทาด้ามยาวทำจาก
ไม้ชั้นดี อีกทั้งยังสลักเสลาด้วยอักษรรูนด้วยความประณีต เขาเดินเข้ามาใกล้เรื่อยจนอยู่ในระยะที่พูดคุยกันได้ยินแล้วจึง
หยุดกึก หลังจากนั้นจึงกล่าวว่า
\"สวัสดีเมมฟิส นับเป็นข่าวร้ายของข้าเลยนะเนี่ยที่รู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ มาคราวนี้จุดประสงค์ของเจ้ายังเหมือนเดิมอยู่สินะ\"
เขาพูดพร้อมกับหรี่ตาลง
\"ถูกต้อง แต่คราวนี้จะไม่มีใครสามารถขวางข้าได้อีกแล้ว เพราะราชันแห่งความมืดได้ตื่นขึ้นแล้ว โลกนี้จะต้องพินาศย่อยยับ
หึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ...\" เขาเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
\"ได้ มาพนันกันไหมว่าคราวนี้ใครจะเป็นฝ่ายมีชัย ความดีกับความชั่ว แต่ตอนนี้ขอข้าทักทายเจ้าก่อนล่ะนะ\"
          ว่าแล้วก็เสกลูกพลังกลมๆเล็กๆนับร้อยลูก จากนั้นลูกพลังแต่ละลูกก็รวมตัวเป็นก้อนพลังขนาดมหึมาแล้วพุ่งเข้าไป
ใส่เมมฟิสในทันที จากนั้นลูกพลังพลันแตกกระจายแล้วเข้ารุมล้อมเมมฟิสจากทุกทิศทุกทาง เกิดการระเบิดที่ทำให้ผุ่นควัน
คละคลุ้งอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กินเวลานานกว่าครั้งก่อนๆ จากนั้นซิรูเฟก็รู้สึกเหมือนกับถูกใครพยุงตัวขึ้นด้วยความนุ่มนวลแล้ว
พาเขาออกจากพื้นที่บริเวณนั้น
          ภาพที่เขาเห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่หมดสติไปด้วยความเมื่อยล้าคือ ภาพของไอลาธที่ยืนเผขิญหน้ากับเมมฟิส
แต่คราวนี้ที่เบื้องหลังของไอลาธมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งประมาณสามสี่คนยืนคุมเชิงอยู่ด้วย และได้ยินเสียงของเมมฟิสที่ฟังดู
โกรธเกรี้ยวและเคียดแค้นแว่วมาว่า
\"วันนี้เจ้าโชคดี หนุ่มน้อย ข้ายังให้โอกาสเจ้าครั้งหน้าที่เจอกัน แต่ถ้าเจ้ายังปฏิเสธอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีคนก็แล้วกัน\"
          จากนั้นเขาก็ไม่อาจรับรู้อะไรได้อีก สติของเขาใช้การไม่ได้แล้วเนื่องจากการอัญเชิญเทพเมื่อครู่นี้ คงอีกนานเลย
ทีเดียวกว่าเขาจะรู้สึกตัวอีกครั้ง...
          ที่ชานเมืองลาฮาล ขณะนี้เป็นเวลาใกล้รุ่งแล้วอาวุธพิเศษที่สั่งไว้ก็สำเร็จเสร็จสิ้นจนหมดแล้ว เอาเบลมองดูผมงาน
ที่จัดทำขึ้นอย่างเร่งรีบด้วยความโล่งใจในระดับหนึ่ง แต่โล่งใจได้ไม่นานก็มีทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานว่าที่ค่ายของศัตรู
ตอนนี้เริ่มมีการเป่าสัญญาณอะไรสักอย่าง และยังได้ยินเสียงม้าร้องดังมาแต่ไกล
          อาเบลได้ยินดังนั้นจึงรับสั่งระดมพลทหารทุกคนให้ไปรวมตัวกันที่กองบัญชาการและประตูเมืองที่ทิศทิศตะวันออก
เพราะข้าศึกสามารถบุกโจมตีประตูนั้นได้ที่เดียว และยังสั่งให้นำอาวุธพิเศษไปวางไว้ที่จุดต่างๆบนเชิงเทินด้วย อีกทั้งยัง
บอกให้นักแม่นธนูไปประจำตามจุดต่างๆเช่นกัน ส่วนตัวเขาเองก็รีบเดินขึ้นไปที่เชิงเทินของประตูเมืองเพื่อคอยสั่งการทัพ
ด้วยตัวเอง เมื่อขึ้นไปถึงแล้วเขาก็ขอยืมกล้องส่องทางไกลจากทหารที่ประจำการอยู่ใกล้ๆแล้วส่องดู
          แล้วเขาก็พบว่าตอนนี้กองทัพของข้าศึกได้จัดกลุ่มอย่างเป็นระเบียบพร้อมที่จะโจมตีได้แล้ว แต่ยังไม่โจมตีคล้าย
กับรอคำสั่งบางอย่างอยู่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องเหงื่อตกกับแสนยานุภาพอันเกรียงไกรที่เขาได้เห็น ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่
มีความมั่นใจในการรบมากถึงขนาดที่คิดว่าจะสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน
                          สงครามกำลังจะเริ่มขึ้น ท่ามกลางแสงอรุณแรกของวันอย่างนั้นเลยละหรือ?
(to the next chapter!)
       
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น