ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    legend of turpentine ~dragon\'s tale of turpentine~

    ลำดับตอนที่ #2 : chapter 1 ~The begining of the nightmare,ALLADORN~

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ค. 47


                                                                        ตำนานแห่งเทอร์เพนไทน์



                                                          ~ภาค เรื่องเล่าของมังกร~



                                                      ตอนที่หนึ่ง จุดเริ่มต้นของฝันร้าย




                   อีกด้านหนึ่ง  ขณะที่ภูเขาด้านนอกกำลังสุขสงบและแจ่มใส  แต่ภายในส่วนที่มืด  ลึกที่สุดและอับที่สุดเท่าที่จะมีได้  ก็มี

    ไข่ใบหนึ่งที่ถูกวางไว้อยู่เช่นกันสีที่ดำขลับของมัน  ดูโดดเด่นแม้อยู่ในความมืด เพราะประกายแห่งความมืดที่ยิ่งกว่าเปล่งออกมา

    แม้ว่าอากาศข้างนอกจะสงบเงียบลงแล้ว แต่ข้างในกลับพร้อมจะระเบิดอากาศออกมาข้างนอกได้ทุกเมื่อ



              คราวนี้อากาศเริ่มอัดตัวจนบิดเบี้ยว ทำให้เกิดมิติแห่งแรงโน้มถ่วงที่พยายามจะดูดทุกสิ่งไว้ภายใน  มิตินั้นเริ่มดูดที่ไข่ใบ

    นั้น  แต่หลุมที่ยึดติดกับไข่ใบนั้นติดไว้กับตัวไข่ไว้อย่างเหนียวแน่นจนหลุมมิติไม่สามารถดูดให้ไข่เข้าใกล้ได้ แต่เมื่ออากาศเริ่ม

    รวมตัวกันหนาแน่นขึ้นทำให้อานุภาพของหลุมมิติเริ่มรุนแรงขึ้น ก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าแล่นออกมาจากจุดศูนย์กลางมิตินั้น  

    เสียงเปรี๊ยะของกระแสไฟฟ้านั้นเริ่มทำให้พื้นผนังถํ้าเริ่มสั่นสะเทือนโดยรอบ หลุมที่ขุดฝังติดไว้อย่างแน่นหนาค่อยๆเริ่ม ทำให้

    ไข่หลุดออกมาจากพื้นผนังทีละน้อย



              สายฟ้าเริ่มลามเลียตามผนังถํ้าเกิดแสงวูบวาบเสียงดังครืน  จนกระทั่งตัวถํ้าเอง ก็เริ่มจะทนแรงไม่ไหว  จนหินงอกย้อยบน

    เพดานถํ้าต้องหลุดร่วงกราวลงมาเป็นแถว เสาธรรมชาติที่คอยช่วยพยุงถํ้าไว้ก็เริ่มเกิดรอยร้าว และมาถึงช่วงที่หลุมมิติพองตัวจน

    ถึงจุดสูงสุด สายฟ้าก็กลับเข้าไปในหลุมมิติ และทุกเส้นสายรวมตัวกันเป็นลำเส้นใหญ่มโหฬารและพุ่งออกมากระแทกเข้ากับไข่

    ใบนั้นอย่างรุนแรงจนพื้นดินครูดทลายเป็นทางถอยร่นไปจนสุดผนังถํ้า    จนในที่สุดผนังและเพดานถํ้าก็ถล่มลงมาอย่างรุนแรง

    และกลบฝังไข่ใบนั้นให้จมดิ่งลงไปให้ลึกที่สุด...

              

              ทันใดนั้น สิ่งที่ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น มีเสียงเคลื่อนไหวดิ้นรนอย่างรุนแรงมาจากข้างใต้  ทั้งๆที่ไข่ควรจะแตกและทับสิ่งมี

    ชีวิตตัวนั้นจนตายไปแล้ว แต่เสียงของการเคลื่อนไหวนั้นบ่งบอกถึงความมีเรี่ยวแรงและตื่นตัว ไม่ใช่กำลังจะตาย มันกำลังตะเกียก

    ตะกายขึ้นมาจากพื้นดินที่กลบทับถมมันไว้  เสียงแหวกดินให้กระจุยกระจายเริ่มใกล้ผิวดินเข้ามาเรื่อยๆ  มันเริ่มตะกุยตะกายด้วย

    ความบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆจนสามารถระเบิดหน้าดินที่สูงเป็นกองภูเขาเลากาออกมาได้สำเร็จ มันส่งเสียงร้องออกมาด้วยความพอใจ

    ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายเริ่มหายไป จนเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างออกมา...



              ถึงแม้ว่ามันจะเพิ่งฟักเป็นตัวออกมา แต่จงอยปากที่แหลมคมที่มีฟันอันคมกริบหลายซี่เรียงรายติดต่อกัน  พร้อมด้วยดวง

    ตาสีแดงเพลิงที่เหมือนจะสามารถเผาผลาญทุกสิ่งนั้นไม่ได้บอกเลยว่ามันเป็นเช่นนั้นปีกแหลมของมันสะบัดออกอย่างกระฉับ

    กระเฉง ดูคล้ายกับเป็นฮาเดส มังกรซาตานมาเกิดใหม่เลยก็ไม่ปาน จากนั้นสักพักหนึ่งมันก็เริ่มเดินสำรวจไปมาจนเห็นสัตว์ที่มีรูป

    ร่างเดียวกับมันรอคอยอยู่มันรีบสยายปีกบินเข้าไปใกล้   พร้อมส่งเสียงหัวเราะที่แหลมสูงอย่างสนุกสนาน  มังกรที่รออยู่นั้นเห็น

    เหตุการณ์เมื่อครู่ทั้งหมด   เมื่อเห็นมังกรน้อยแล้วจึงโค้งคำนับด้วยความเคารพแล้วกล่าวพึมพัมออกมาเป็นภาษารูน(เป็นภาษา

    โบราณที่เดี๋ยวนี้ใช้กันเพียงในหมู่นักปราชญ์ พ่อมดและมังกรเท่านั้น)ว่า



    \"เวฮาลียาอาเว เลมเนธ โอ อัมเพียร์ ฮาเดส ยา(ขอต้อนรับการกลับมาอีกครั้งของฮาเดส จักรพรรดิแห่งความมืด)\"  แล้วดูเหมือน

    เจ้ามังกรน้อยจะเข้าใจ และหัวเราะให้ดังขึ้นพลางบินตามมังกรตัวหน้าไป...



              ที่บึงราวันด้า ม้าสองตัวกำลังถูกควบขับอย่างสุดฝีเท้าอย่างไม่หยุดหย่อน ศิษย์อาจารย์ทั้งสองกำลังเดินทางด้วยความ

    เร่งรีบ แต่ดูเหมือนว่าอาจารย์จะยังไม่พอใจ บ่นพึมพัมว่าต้องการสิ่งที่เร็วกว่านี้



    \"ยัง ยังช้าไป ข้าต้องการสิ่งที่เร็วกว่านี้ กรุนกัสต์ ในนามของเทพแห่งสายลม,โวลท์แวนด้า จงมาตามคำบัญชา!\" ว่าแล้วก็เอาฟัน

    กัดที่นิ้วจนสายเลือดพุ่งออกมาเป็นสายลงบนพื้นและร่ายเวทย์มนต์วงกลมรายล้อมไว้ แสงสว่างอันศักสิทธิ์พุ่งขึ้นจากขอบเขต

    วงกลมนั้น จากนั้นก็เริ่มเกิดอณูภาคบนอากาศก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างทีละน้อย จนปรากฏเป็นร่างของผู้รับใช้เทพแห่งสายลม



              รูปร่างของมันเป็นพญาเหยี่ยวที่มีรูปร่างเหมือนคน ปีกทีมีขนสีทองฟูฟ่องของมันขยายใหญ่จนดูน่าเกรงขาม จงอยปาก

    ที่คมกริบพร้อมที่จะฉีกเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายให้เป็นชิ้นๆ แล้วเจ้าของร่างอันมหึมานั้นก็เอ่ยถามผู้ที่เรียกมันมาว่า



    \"ท่านต้องการสิ่งใด โปรดสั่งข้ามา\"



    \"พาข้าไปที่ภูเขาครีเอเชียสโดยด่วนที่สุด สิ่งที่เลวร้ายได้บังเกิดขึ้นแล้ว ได้ไหม เจ้าแห่งสายลม\"



    \"ย่อมได้ เช่นนั้นก็รีบขึ้นมา\"พูดแล้วก็ค้อมร่างให้ทั้งสองสามารถปีนขึ้นไปบนหลังของมันได้ จากนั้นมันก็สะบัดปีกอย่างรุนแรง

    ทุกสิ่งปลิวว่อนไปทั่ว แล้วมันก็ใช้ขาถีบตัวขึ้นก่อให้เกิดพายุหมุนดันร่างขึ้นไปบนอยู่บนฟ้า ทะยานไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่า

    เสียง ทั้งสองยึดขนบนแผงคอของพญาเหยี่ยวไว้แน่น  จนทั้งร่างการของซิรูเฟสั่นเทิ้มด้วยความหนาว อาจารย์เห็นดังนั้นจึง

    ถอดเสื้อคลุมออกมาสวมให้โดยไม่แสดงอาการหนาวเลยแม้แต่น้อย แทนที่จะหนาวแต่เหงื่อกาฬกลับหลั่งไหลออกมามากมาย

    จนซิรูเฟอดไม่ได้ที่จะถามอาจารย์ว่า



    \"ทำไมเราจะต้องรีบขนาดนั้นล่ะท่านอาจารย์ ศิษย์ไม่เห็นจะเข้าใจอะไรเลย\"



    \"ถ้าเจ้าโตขึ้นมากกว่านี้เจ้าก็จะรู้เอง มันอยู่ในหนังสือที่สืบทอดกันมาเป็นรุ่นๆกันอย่างลับๆ ข้าจะให้เจ้าเมื่อเจ้าโตพอนะ แต่ตอน

    นี้เท่าที่ข้าสามารถจะบอกเจ้าให้เข้าใจได้ ก็คือโชคชะตาจะมีการครบรอบใหญ่รอบเล็กในตัวมันเอง มีทุกๆ 20 ปี,100 ปี และ

    1000 ปี และในทุกๆปีก็จะมีโชคชะตาประจำปีนั้นโดยรวม 20 แบบ และจะแสดงลักษณะเด่นของแต่ละปีนั้นออกมา อย่างเช่นปี

    ที่แล้ว เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวและความมั่งคั่ง ผลิตผลก็จะออกมามากมายและทุกคนมีความสุข และยิ่งดีขึ้นไปอีก เมื่อทับซ้อน

    กับการครบรอบร้อยปีของความสงบสุข ความโชคดี ทำให้คนที่ไม่มีกลายเป็นมี คนมีก็มีมากขึ้นไปอีก



              แต่เจ้าอย่าคิดว่าเช่นนี้จะได้เปรียบตลอดไปนะ จะต้องมีดวงชะตาที่เป็นคู่กับมัน จึงจะก่อให้เกิดสมดุล นั่นก็คือสัญลักษณ์

    แห่งการเปลี่ยนแปลงและการแตกดับ ทับซ้อนกับรอบร้อยปีแห่งความขัดแย้ง ข้าเพิ่งจะทำนายเมื่อครู่นั้นตรงกับปีนี้...ความจริง

    ไม่ใช่ปีนี้หรอก แต่เพราะปีนี้คือปีแห่งการผลิกผัน เป็นปีที่ยังจะคาดเดาอะไรไม่ได้ อาจจะมีทั้งเรื่องที่ดี หรือไม่ดีก็ตามแต่

    คนตกอับอาจโชคดี คนมั่งมีอาจอับจนรวมกับการทับซ้อนร้อยปีของจุดสูงสุด... อะไรที่ดีจะเกิดก็จะรุ่งเรืองที่สุด ที่ร้ายก็จะ

    ล้มเหลวที่สุด แต่ปีนี้ยังไม่พอ วันนี้เป็นวันครบรอบของปฐมบทแห่งสงครามอีก...



              สงครามจะก่อเกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสงครามเย็นหรือสงครามเดือดก็ตามสรุปแล้วก็คือถ้าเราสามารถที่จะ

    เปลี่ยนแปลงวิถีแห่งชะตา ให้มันเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยได้ ความไม่แน่นอนก็จะมีโอกาสเกิดน้อยลง

    และอาจจะก่อให้เกิดผลดีขึ้นอย่างไม่คาดคิด แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราเลือกทางผิด ฝันร้ายก็จะเกิดขึ้น ทุกหย่อมหญ้าจะมีแต่

    ความเดือดร้อนทุกผู้คนจะขัดแย้งกันเอง พ่อลูกก็ตัดขาดจากกันได้ และจะเกิดวิถีแห่งบาปอันไม่สิ้นสุดขึ้นมา และจะก่อเกิด

    เป็นวัฏจักรที่แม้แต่โชคชะตาที่ดีก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ มันเป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่จะต้องผ่อนประโลมสิ่งที่ควรจะเกิด

    ให้ไปในหนทางที่ควรจะเป็นไปตามครรลองของมันอย่างราบรื่น...



    \"ซิรูเฟ อาจารย์ขอโทษด้วยที่เผลอพูดเสียยืดยาว อาจจะเป็นเพราะว่าภารกิจครั้งนี้อาจจะต้องแลกด้วยชีวิต อยากจะขอให้เจ้า

    เข้าใจ ถ้าเกิดว่าอาจารย์เป็นอะไรไป คงจะไม่ได้อยู่สอนเจ้าอีก ก็เท่านี้แหละ\"



              แต่ละคำที่กลั่นออกมาล้วนมาจากจิตใจเบื้องลึกด้วยหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อลูกศิษย์ในภายภาคหน้านั้น ได้สร้าง

    ความตื้นตันในบุญคุณอย่างที่ซิรูเฟไม่อาจจะกล่าวออกมาได้แม้ว่าทุกถ้อยคำที่กล่าวมานั้นเขาไม่อาจจะเข้าใจได้ทีเดียวทั้งหมด

    แต่เขาก็ต้องจำและใช้มันให้ชำนาญให้ได้สมกับที่อาจารย์ได้ฝากฝังเขาไว้



              ในที่สุด นํ้าตาแห่งชายชาตรีก็ค่อยๆหลั่งออกมา หลั่งรินลงบนหลังอันผึ่งผายของอาจารย์ของเขา เขาโผกอดอาจารย์

    ด้วยความอาลัยอาวรณ์ ราวกับเด็กที่ไม่ต้องการจะเสียของเล่นที่ตนเองเล่นด้วยมานาน อาจารย์เลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิด เนื่องจาก

    ถูกพ่อแม่ทิ้ง จากนั้นมา อาจารย์ก็เลี้ยงดูเขาเหมือนกับลูกในใส้ เวลาทำผิดก็สั่งสอนและทำโทษ เพื่อไม่ให้ติดเป็นนิสัย และจะ

    คอยปลอบใจพร้อมกับคอยบอกคำคมให้กำลังใจต่างๆในเวลาที่เขาท้อแท้และสิ้นหวัง คอยแนะนำหนังสือที่เสริมสร้างปํญญา

    ให้อ่านจนติด เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่อาจารย์ช่วยเหลือมาเขาไม่มีวันที่จะชดใช้ได้หมด เวลานี้จะไม่มีคนที่คอยห่วงใยดูแลเขาอย่าง

    นี้อีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างฉับพลันโดยที่เขาไม่ได้ตั้งตัว ตอนนี้เขาควรจะทำอย่างไรดี...



              \"อย่าร้องไห้ เจ้าเป็นลูกผู้ชายนะ อีกอย่างที่อาจารย์ไปก็ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์จะต้องตายนี่ ยื่นมือมาสิ อาจารย์

    ขอฝากอะไรไว้อย่างหนึ่ง\" แต่เด็กชายกลับหดมือและกล่าวว่า

              

              \"อาจารย์ ท่านโกหกไม่เก่งเลย ก่อนจะโกหกศิษย์ทีไรก็พูดอย่างนี้ทุกที ถ้าเป็นความจริงแล้วท่านค่อยฝากอะไรศิษย์

    หลังจากไปปฏิบัติภารกิจก็ได้นี่นา\" แม้ซิรูเฟจะเริ่มทำใจได้แล้วแต่สังหรณ์ของเขาก็ยังรู้สึกว่ามันผิดปกติอยู่ดี



              \"เถอะน่า เร็วเข้า พิธีนี้สำคัญมากนะ\" ว่าแล้วก็ล้วงมือเข้าไปในอกหยิบเหรียญสีทองอันหนึ่ง ตามตัวเหรียญสลักด้วยรูป

    ของสัตว์ที่เรียกว่ามังกรไว้อย่างสวยงาม ในรูปมันคาบคทาศักสิทธิ์ที่ส่องประกายจ้าอร่ามสว่างทะลุความมืด แล้วจากนั้นเขาก็

    ไล่นิ้วไปตามขอบอักขระรูนที่อยู่ตามขอบของเหรียญพลางท่องบทสวดอันศักสิทธิ์ แสงสว่างเรืองรองเปล่งออกมาจากตัวเขา

    เริ่มถ่ายเทเข้าสู่ตัวซิรูเฟอย่างช้าๆ พอร่ายคาถาเสร็จเขาก็วางเหรียญไว้บนฝ่ามือของซิรูเฟเแล้วกล่าวว่า



    \"ในนามของข้า ดาโวลท์ ปราชญ์แห่งแฮลลา บัดนี้ข้าขอเลือกผู้สืบทอดมวลพลังความรู้และจิตวิญญาณ รวมทั้งเทพารักษ์ทั้ง

    หลายของข้าด้วย ข้าขอเลือก ซิรูเฟ อาเวลอน ขึ้นเป็นปราชญ์รุ่นที่สองต่อจากข้า ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงเป็นพยานให้กับข้า

    ด้วยข้าขอมอบเหรียญแห่งแวร์โอธ มังกรแห่งความหวัง ขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของเขา ให้เกิดผลเดี๋ยวนี้!\" จากนั้นขอบเขตเวทย์มนตร์

    รูปดาวหกแฉก ก็ปรากฏขึ้น เริ่มจากที่เท้าของเขาไล่ไปเรื่อยๆจนถึงศีรษะ พลังอันอบอุ่นแผ่ซ่านทั่วกายของเขาอย่างท่วมท้น



    \"จงสืบทอดวิถีแห่งข้า ดำเนินชีวิตด้วยหนทางแห่งความดี ใช้ความรู้ของตนเข้าช่วยเหลือผองชนโดยไม่ตะขิดตะขวงใจได้หรือไม่\"



    \"ขอรับ ข้า ซิรูเฟ อาเวลอน ขอสืบทอดวิถีแห่งปราชญ์และขอให้คำสัตย์ว่าจะประพฤติตนตามที่ท่านอาจารย์สั่งไว้อย่างแน่นอน\"



    \"ดี เท่านี้ข้าก็หมดห่วงแล้ว เห็นทีจะต้องจากกันตรงนี้ล่ะ และอาจารย์ขอฝากอะไรอีกอย่างนะ ไปที่เมืองเวนาร่า ที่นั่นจะมีคนที่

    สอนเจ้าได้ ขอให้เจ้าแสดงเหรียญที่ข้าให้เจ้าไว้เขาก็จะรู้เรื่องทั้งหมดเอง เหรียญนี้จะเป็นเหมือนสัญลักษณ์ประจำตัวของเจ้า

    ยามเมื่อเจ้าหมดสิ้นหนทางขอให้หยิบยืมพลังของเหรียญนี้ ซึ่งก็น่าจะมีประโยชน์กับเจ้าไม่มากก็น้อยล่ะ ซิรูเฟ เจ้าเป็นศิษย์ที่

    น่ารักมาก เป็นศิษย์ที่อาจารย์จะจำจนไม่มีวันลืมเลย แล้วก็ท่าน กรุนกัสต์ เจ้าไปส่งซิรูเฟด้วย ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ของท่านอย่าง

    สุดความสามารถแล้ว ขอขอบคุณท่านมาก ลาก่อน...\"



              จากนั้นก็กระโดดลงไปจากตัวกรุนกัสต์ ที่จอดลงบนเนินเขาครีเอเชียสแล้ว จากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นภูเขาไปโดยไม่หันกลับมา

    มอง จนร่างนั้นค่อยๆลับสายตาไป... ซิรูเฟตะโกนตามหลังไปอย่างอาวรณ์ว่า



    \"อาจารย์ ศิษย์จะไม่ลืมบุญคุณของท่านเลย...\" และแว่วเสียงของอาจารย์ตอบกลับมาอย่างแผ่วเบาว่า



    \"เช่นกันศิษย์รัก ลาก่อน...\" แล้วกรุนกัสต์ก็ค่อยๆ บินขึ้นสูงขึ้นและทะยานออกไปส่งซิรูเฟจนลับสายตาไปเช่นกัน...



              ทางด้านชายลึกลับที่ติดตามมังกรมานั้น ก็ได้ตามมาจนถึงส่วนในของรังมังกร ภายในดูสะอาดกว่าที่เขาคิด มีที่ระบาย

    อากาศทางธรรมชาติช่วยให้ไม่เหม็นอับ และตามทางเดินก็ถูกประดับไว้ด้วยคบไฟขนาดยักษ์ ซึ่งไฟนั้นมาจากมังกรหรือเปล่า

    ไม่มีใครทราบ แต่ที่แน่ๆตัวคบเพลิงคงจะไม่ใช่ฝีมือของมังกร เพราะที่ตัวด้ามสีทองมีรอยแกะสลักรูปมังกรร่ายรำไปมาอย่างสวย

    งาม เขาเดินมาเรื่อยๆ อย่างเงียบงัน นอกจากเสียงของเปลวไฟและเสียงเดินที่แผ่วเบาของเขาแล้วไม่มีเสียงอื่นอีก ยิ่งเข้าไป

    ลึกเท่าไร หนทางก็ยิ่งขรุขระและซับซ้อนขึ้นจนแทบจะคล้ายเขาวงกตเข้าไปทุกที แต่ดีที่เขาสังเกตร่อยรอยของมังกรได้อย่าง

    ชํ่าชอง รู้ว่าทางไหนเป็นควรจะเป็นกับดัก ควรจะหลีกหนีอย่างไรได้ราวกับมันเป็นบ้านของเขาเอง ซึ่งตัวเขาเองก็แปลกใจไม่น้อย

    แต่ละก้าวที่เดินไปก็ยิ่งทำให้เขาอยากรู้ว่าเกี่ยวข้องกับทีนี่อย่างไรแน่...



              ขณะที่เขากำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น เขาก็ต้องผงะชะงักเท้าเท้าหนีอย่างรวดเร็ว เพราะข้างหน้าเป็นบ่อนํ้าพิษที่กำลัง

    เดือดปุดๆ พร้อมที่จะละลายเหยื่อให้เหลือแต่กระดูกได้ในพริบตา เขาทดลองหยิบก้อนหินปาลงไปในบ่อ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาด

    เกิดฟองฟู่อย่างรวดเร็วและชั่วครู่เดียว ก้อนหินก้สลายหายไป เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงก้าวถอยหลังไปประมาณสิบก้าว แล้ว

    ค่อยวิ่งขึ้นมาแล้วกระโดดข้ามบ่อพิษที่กว้างประมาณ 20 ฟุตได้อย่างง่ายดาย



              จากนั้นเขาก็เดินทางต่อ ทั้งๆที่ความจริงน่าจะกลับออกไปแล้วเพราะมันน่าจะเป็นกับดักที่หลอกผู้หลงทาง แต่เขาก็ยัง

    เดินต่อไปโดยไม่ติดขัด เขาเดินมาเรื่อยๆจนหยุดอยู่ที่หน้าแท่นศิลาอันหนึ่งซึ่งประดับไว้ด้วยอักขระโบราณที่เขาไม่อาจจะทำ

    ความเข้าใจได้ ถึงกระนั้นปากของเขาก็พึมพัมออกมาโดยอัตโนมัติ เมื่อเขาพูดจบแล้วทางที่ตันอยู่ก็ค่อยเลื่อนๆขึ้นและเลื่อนปิด

    ลงเมื่อเขาเดินเข้าไปข้างในแล้วก็ต้องตกตะลึงกับความโอ่โถงภายในนี้...



              มันเป็นเหมือนห้องโถงใหญ่ ห้องประชุมสำหรับมังกร ว่าแต่ว่ามังกรมีประชุมกันเหมือนมนุษย์ด้วยหรือ เขาคิด มันเป็นห้อง

    ที่ใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะใช้ได้ ตามช่องของเสาหินที่ถูกสร้างขึ้นมีเก้าอี้หินวางเรียงรายไว้อยู่ หากแต่ไร้ซึ่งผู้นั่ง ตรงในสุดมีเก้าอี้

    ของประธานวางไว้อยู่ ซึ่งก็ว่างเปล่าเช่นกัน เขาเดินสำรวจไปมาตามเก้าอี้แต่ละตัว แต่ละตัวมีสัญลักษณ์ต่างๆกันไป  ไม่ว่าจะเป็น

    สัญลักษณ์ของดิน นํ้า ลม ไฟ แสง  สายฟ้า  ดาบ ขวาน หอก ธนู คทา ตาชั่ง และที่โต๊ะของประธานเป็นรูปของมังกรคำรามอยู่

    ที่ใต้รูปมีตัวอักษรภาษารูนกำกับไว้ นอกจากนั้นยังไม่มีอะไรเป็นพิเศษ



              เขาเดินสำรวจอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง ที่ใต้เก้าอี้แต่ละตัวมีช่องกลมๆไว้ใส่ของบางอย่าง แต่เขาเดินหาจนทั่วแล้วก็ยัง

    ไม่พบของบางอย่างที่ว่า จนเดินมาลอดใต้โต๊ะประธานแล้วก้มลงไปดูที่พื้น เขาพบห่วงกลมเล็กๆวางอยู่ เขาทดลองหยิบขึ้นมา

    แต่หยิบยังไงก็ไม่ขึ้น เขาพยายามใช้สองมือดึง มันเริ่มส่งเสียงครืดคราดจากภายใน และแล้วก็มีรอยรูปสี่เหลี่ยมปรากฏค่อยๆ

    แยกออกมาจากพื้นทีละน้อยจนเริ่มแยกออกจากพื้น ปรากฏบันไดให้เดินลงไปต่อ ขณะที่เดินลงไปนั้น แว่วเสียงหนึ่งอันขุ่นมัว

    กล่าวออกมาเป็นภาษารูนว่า



    \"วาซเซลายฮา อิดเดล์น(เจ้าต้องการอะไร ผู้บุกรุก)\" เขาหันมองตามที่มาของเสียง จนได้พบกับเจ้าของเสียงที่มีร่างมหึมานั้นที่

    นั่งรอคอยเขาอยู่อย่างเงียบๆ แต่ทันใดนั้นมันก็สะบัดปีกและพุ่งเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ...



              ณ ชานเมืองลาฮาล  ชายแดนของเทอร์เพนไทน์ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายพล้อยแล้ว ลมบนเชิงเทินของป้อมสังเกตการณ์

    กำลังลมเย็นสบายได้ที่ หมู่นกโบยบินผ่านไปมา ราวกับจะบอกอะไรบางอย่างกับทหารยามที่กำลังหาวหวอดๆและกำลังเข้า

    ประจำหน้าที่ของตน ซึ่งเขาก็ไม่ได้สะกิดใจอะไรนัก จากนั้นสักพักเขาจึงกล่าวกับเพื่อนร่วมงานของเขาอย่างเบื่อหน่ายว่า



    \"นี่ อาเบล ทั้งข้าและเจ้าก็ทำหน้าที่นี้อย่างดีมาตลอดในข่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา แล้วได้อะไรทำอะไรบ้างล่ะ ตรวจตรานักเดิน

    ทางที่รอนแรมมาจากแดนไกลกับรับพวกที่อพยพภัยแล้งเข้ามา ตอนที่เจ้ามาเป็นทหารเจ้าไม่คิดหรือไงว่าจะต้องมาเป็นนักรบ

    เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทำอะไรที่มันน่าตื่นเต้น ใฝ่หาลาภและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ใช่ไหมล่ะ แต่นี่มันอะไรกัน

    งานแบบนี้ความก้าวหน้าก็ไม่มี ไม่แม้แต่จะได้ทำอะไรในหน้าที่ของชายชาตินักรบเลย ข้าเพิ่งจะรู้ว่ายามที่บ้านเมืองสุขสงบ

    ถ้าได้ทำงานแบบนี้มันช่างน่าเบื่อราวกับไม่มีอะไรจะทำแล้วเลย เห็นทีคงจะถึงเวลาแล้วที่ข้าจะต้องหางานใหม่ทำ เจ้าคิดเห็น

    ยังไงบ้างล่ะ บางทีถ้าได้ฟังความเห็นจากเจ้าที่อาวุโสกว่าข้าอาจจะรู้สึกดีขึ้นก็ได้\"



    \"ดูเหมือนเจ้าจะเข้าอะไรผิดไปบางอย่างแล้วนะ จริงอยู่ที่ว่างานนี้มันน่าเบื่อสำหรับเวลานี้ แต่เจ้าไม่คิดหรือไงว่ามันก็เป็นหน้าที่ๆ

    สำคัญที่สุดเหมือนกัน ที่จะต้องคอยบอกเหตุร้ายที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้แต่เป็นตอนนี้ก็ตาม หากยามปกติก็จะดูเหมือน

    ไม่มีอะไรสำคัญ แต่ถ้าเหตุร้ายเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีพวกเราแจ้งข่าว เจ้ารู้ไหมว่าจะเกิดการสูญเสียมากเพียงใด เจ้ารู้ไหมว่าใครจะ

    หน่วยแนวหน้าที่สุดที่ยอมเสียสละเพื่อประเทศหากสงครามเริ่ม ก็พวกเรายังไงล่ะ นี่ถือว่าเราได้ทำหน้าที่ในฐานะชายชาตินักรบ

    แลัวนะ ส่วนการตรวจตราคนและการรับคนอพยพก็เหมือนกัน เป็นการตรวจสอบสิ่งแปลกปลอมและเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรี

    อันดีระหว่างอาณาจักรต่างๆเลยนะ เจ้าไม่คิดเลยหรือว่านี่เป็นหน้าที่ที่มีเกียรติเพียงใด ลองคิดดูใหม่นะ\"



    \"อืม...ที่เจ้าพูดมามันก็มีเหตุผล แต่ว่าเมื่อไหร่กันเล่า จึงจะเกิดเหตุการณ์อย่างที่เจ้าว่า มันไม่ดูเพ้อฝันไปหน่อยหรือ ช่วงที่บ้าน

    เมืองสงบสุขกำลังสงบสุขมานานมากแล้ว อย่างนี้เหตุร้ายที่เจ้าว่ามาอาจจะเกิดขึ้นก็จริงแต่อาจจะนานมาก ข้าว่ารุ่นของเราคงไม่

    ทันจะได้เห็นกระมัง\"



    \"อย่าคิดเช่นนั้นสิ มูร่า ความแน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ ข้ารู้สึกถึงอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น เจ้าลอง

    ดูที่หมู่นกนั่นสิ อย่างกับแตกตื่นหนีอะไรมาบางอย่าง ข้าว่าคงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน\" คิ้วของเขาขมวดเข้มขึ้นอย่างครุ่นคิด



              ไม่ทันที่เขาจะพูดจบก็แว่วเสียงแผ่วเบาเสียงหนึ่งมาจากทางนอกเมือง พร้อมกับฝุ่นผงที่พื้นลอยตัวขึ้นเป็นควันคลุ้ง

    ลอยขึ้นมาแต่ไกล เสียงนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่สามารถจะเดาได้ว่าเป็นอะไร อาเบลขอกล้องส่องการณ์ทางไกล

    จากมูร่ามาถือไว้ในมือ แล้วส่องดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...



             สิ่งที่เขาเห็น ทำให้เขาหน้าซีดลงในทันที เหงื่อกาฬผุดขึ้นมาโดยรอบ แล้วรีบคว้าเขาสัตว์มาเป่าเกิดเสียงก้อง เป็นรหัสว่า



                                            \"ศัตรูบุกขั้นร้ายแรง รีบระดมพลและอพยพผู้คนโดยด่วน\"



              มูร่าเห็นดังนั้นจึงรีบฉวยกล้องส่องทางไกลมาดู ก็พบกับฝูงม้าจำนวนมหาศาลที่ถูกขี่มาโดยคนเถื่อนชนเผ่ามาซันที่ครอบ

    ครองดินดินแดนซีกขวาของทวีปอารีเซียแห่งนี้มาช้านาน ทั้งสองดินแดนนี้มิได้ยุ่งเกี่ยวกันมากว่าร้อยปีแล้ว คราวนี้พวกมันได้

    ระดมพลมาเท่าที่ดูก็ไม่น่าจะตํ่ากว่าสองหมื่นนาย และดูจะเป็นเพียงแค่กองหน้าเท่านั้น แต่ทหารที่ประจำทั้งหมดในเมืองลาฮาล

    มีแค่สามพันนายเท่านั้น ดูท่าว่าเมืองลาฮาลจะเข้าตาจนแล้ว...



    \"อ...อาเบล นี่เราจะทำยังไงดีล่ะนี่ กองทัพมโหฬารขนาดนี้เราต้านไม่อยู่หรอกนะ\" มูร่าถามอย่างกังวลใจ



    \"เราต้องรีบไปแจ้งข่าวร้ายแก่กษัตริย์โดยทันทีเลย เมืองนี้ยังไงๆก็คงต้านทัพได้ไม่เกินสามวันแน่ๆ เราต้องรีบขอกำลังเสริม

    จากทัพหลวงให้เร็วที่สุด ถึงแม้ว่าจะช้าเพียงใดก็ตาม มูร่า เจ้ามีม้าเร็วใช่ไหม งั้นเจ้ารีบไปเมืองหลวงเลยนะ ส่วนข้าจะร่วมรบอยู่

    ที่นี่ คอยปกป้องชาวเมือง และถ้าเกิดว่าข้ารอดไปได้ เรามาดื่มฉลองกันนะ ไปเร็ว มูร่า\"



    \"แต่ข้าอยากอยู่ร่วมรบที่นี่กับท่าน ให้คนอื่นไปได้ไหม\"



    \"ไม่ได้ เจ้าน่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว ตัวเจ้าเองยังหนุ่ม สามารถทำอะไรได้อีกมากมาย ไม่ควรมาเสียอนาคตตรงนี้ เจ้าอย่าลืมสิ

    ทหารที่ประจำการที่นี่ล้วนชำนาญการรบ อย่างน้อยก็ต้องไม่เสียท่าโดยง่าย เชื่อข้าเถอะมูร่า รีบไป เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์\"

    ว่าแล้วพลางตบหลังเร่งมูร่าให้รีบลงไป แล้วก็ส่องกล้องดูต่อ พลางเอ่ยรำพึงกับตนเองว่า



    \"ข้าขอมอบชีวิตให้แก่ผืนดินนี้ ใช้พลังขับไล่พวกมาซันสักครา...\"



              และบนเนินเขาแถบชานเมืองลาฮาลก็มีอีกคนหนึ่งเหมือนกันที่ส่องกล้องสังเกตการณ์ ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็น

    พรานป่าที่ชํ่าชองชำนาญการล่าสัตว์ เห็นได้จากผ้าคลุมที่ดูเก่าครํ่าคร่าติดดินและใบหน้าหยาบกร้านที่มีแผลเป็นแสกกลางตรง

    หน้าผากลงมาจรดคิ้ว เขาขมวดคิ้วให้เข้มขึ้นเพื่อดูให้แน่ใจถึงสิ่งที่เขาเห็น เมื่อสมองของเขาเริ่มยืนยันข้อมูลแล้วจึงสั่งให้เขา

    เดินทางไปที่เมืองลาฮาลโดยทันที โดยมีเหยี่ยวคู่ใจคอยติดตามเขาไปบนท้องฟ้าอยู่ห่างๆ  

            

              ระหว่างที่เขาเดินทางอยู่นั้น สายลมวูบหนึ่งพัดมาโดยไร้สาเหตุ ส่งผลให้ผ้าคลุมของเขาเผยให้เห็นถึงแผ่นหลังอัน

    ผึ่งผายที่มีรอยสักรูปมังกรสลักไว้อย่างวิจิตรตระการตา...



              มาถึงตรงนี้ ดาโวลท์ก็กำลังจะเดินทางขึ้นไปถึงยอดเขาครีเอเชียสแล้ว ทุกย่างก้าวของเขามีแต่จะเร่งรีบยิ่งขึ้น แม้ว่า

    ทั่วร่างของเขากำลังเต็มไปด้วยความเมื่อยล้าแล้วก็ตาม ซึ่งก็ทำให้เขาใกล้เข้าไปถึงจุดหมายเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้วเขาก็ต้อง

    สะดุดกึกเมื่อได้พบกับคนคนหนึ่งที่ยืนขวางทางเขาอยู่...



              ซึ่งร่างที่เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งม้านั้นก็เห็นเขาแล้วเช่นกัน ทั้งยังส่งยิ้มตอบกลับมาอย่างมีเลศนัย แล้วจึงกล่าวว่า



    \"สวัสดี ดาโวลท์ ปราชญ์แห่งแฮลลา ไม่ทราบว่าท่านต้องการสิ่งใดถึงต้องดั้นมายังที่แห่งนี้\"



    \"สวัสดีเช่นกัน ไครฟว์ เดอะเกทคีพเปอร์ ข้าคิดว่าเจ้าจะรู้ถึงเหตุที่ข้ามาที่นี่แล้วเสียอีก\"



    \"โอ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะท่าน พวกนักปราชญ์น่ะมักจะทำอะไรที่มันผิดแปลกไปจากชาวบ้านเขาเสมอแหละ ท่านบอกข้า

    มาดีๆเถอะ ไม่ต้องพิรี้พิไรอยู่\"  \"ผู้รักษาประตู\" กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก



    \"เจ้าเป็นถึงผู้รักษาประตูแต่กลับไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในที่ๆเจ้ารักษาอยู่ แล้วอย่างนี้อะไรมันจะเกิดขึ้น เอาเถอะ ข้าคงจะบอก

    ได้แค่เพียงว่าข้าแค่มาทำหน้าที่ของข้าเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เป็นการรบกวนพวกพ้องของท่านอย่างแน่นอน\"



    \"คำพูดของนักปราชญ์มันกำกวม เชื่อได้เสียที่ไหน ระยะนี้ข้ารู้สึกว่าคนนอกเริ่มไม่ปลอดภัยสำหรับที่นี่แล้ว แม้แต่กับท่าน

    ที่เคยแวะมาเยี่ยมเยียนที่นี่มาบ่อยๆก็เถอะ เว้นแต่ท่านจะมีใบผ่านทางของหลวงมาด้วยเท่านั้น\"



    \"ใบผ่านทางอะไรนั่นน่ะไม่มีหรอก แต่ตอนนี้ข้ากำลังรีบ เห็นว่าช่วยข้าสักครั้งเถอะ ปล่อยให้ข้าเข้าไปทำงานของข้าเพื่อช่วย

    เหลือเหล่ามนุษย์ด้วย ตอนนี้ข้าก็เสียเวลาเจรจากับท่านมากพอแล้ว\"



    \"เสียใจด้วย ถึงท่านจะรีบเพียงใดถ้าไม่มีใบผ่านทางก็ไม่สามารถผ่านไปได้ ท่านกลับไปก่อนเถอะ\"



    \"นี่ท่านไม่ได้ยินคำขอร้องของข้าเลยหรือไง เหตุร้ายกำลังจะอุบัติขึ้นแล้วท่านยังไม่รู้ตัวอีก เห็นทีถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องก็คงจะ

    ต้องใช้กำลังจัดการแล้ว\" ว่าแล้วก็ล้วงคทาออกมาพลางชี้ไปที่ผู้รักษาประตูตนนั้น



    \"ได้ ในเมื่อท่านยังดึงดันที่จะผ่านไปให้ได้ เห็นทีข้าคงต้องป้องกันตัวแล้ว\"

    กล่าวแล้วก็ล้วงคันธนูออกมาเพื่อตอบโต้ดาโวลท์



              แล้วการปะทะกันระหว่างนักปราชญ์และครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าก็ได้เริ่มขึ้น ภายใต้การจับตามองของนักปราชญ์อีกคน

    หนึ่งที่กำลังยิ้มเยาะการกระทำของทั้งสองภายในเงามืด...




              ณ เมืองเวเนร่า ทางด้านเหนือของเมืองนั้น เหล่าอาคารเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสบายตา อีกทั้งอาคารแต่ละหลังยังแสดงออกถึงความเจริญรุ่งเรืองทางด้านสถาปัตยกรรม ท่ามหลางหมู่ตึกเหล่านั้น มีอาคารอยู่หลังหนึ่งที่เมื่อผู้คนพบเห็นแล้วจะต้องชมว่าโดดเด่นที่สุด เพราะนอกจากความสูงที่สูงกว่าตึกอื่นทั้งหมดแล้ว ตามตัวอาคารยังสลักไว้ด้วยลวดลายรูปมังกรสีทองพลิ้วไหวไปมาอย่างสวยงาม ที่หน้าตัวอาคารมีป้ายสลักไว้ว่า \"วาลเซลลอน,ตึกผู้อำนวยการ ไม่มีธุระจำเป็นห้ามเข้า\"



    ถึงแม้ในป้ายจะระบุไว้เช่นนั้น แต่ขณะนี้ก็ยังมีคนยํ่าเท้าเข้าไปในอาคารอย่างเร่งรีบ เดินผ่านผู้เฝ้าอาคารที่ตอนแรกกำลังจะเข้าไปขวางที่พอเห็นหน้าของเขาจึงผงะถอยหลังพร้อมกับโค้งคำนับให้ ชายคนนั้นเดินมาถึงหน้าห้องผู้อำนวยการ แล้วผลักประดูเข้าไปโดยไม่ลังเล จนกระทั่งพบกับชายชราที่นั่งรอเขาอยู่ภายในห้อง ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะทำงานของเขาพร้อมกล่าวทักว่า



    \"ว่ายังไง เคียร่า มาถึงแล้วหรือ เจ้ามาเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้สามวันเชียว\"



    \"ข้าไม่อาจไม่รีบร้อนมาที่นี่ได้หรอก เนื่องจาก \"ฮาเดส\" ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว เราจำเป็นต้องดำเนินการโต้ตอบกับวิกฤตการณ์ที่กำลังคืบคลานเข้ามานี้ให้เร็วที่สุด\"

    ชายหนุ่มตอบชายชราด้วยความเหนื่อยล้า



    \"...มันเกิดขึ้นแล้วหรือ เร็วกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้อีกแล้ว แล้วยังไง เจ้าเตรียม แผน \"การ์เดี้ยน\"  ไว้หรือยัง\"



    \"เรื่องนั้นน่ะท่านไม่ต้องห่วงหรอก เคียร่า ทุกอย่างข้าเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เหลือเพียงแต่รอให้เวลาสุกงอม

    เท่านั้น



    \"ได้อย่างนั้นก็ดี ว่าแต่ เจ้าคงไม่เบื่อใช่ไหม ที่ต้องคอยดูแลเด็กน่ะ\"



    \"ไม่หรอกท่าน ดีเสียด้วยซํ้า ข้าอาจจะได้ร่วมภารกิจเหล่าผู้กล้ารุ่นใหม่ที่อาจจะเทียบเท่าอารันก็ได้\"



    \"ท่านคิดได้อย่างนั้นนั้นก็ดี แล้ว ท่านมีอะไรอีกไหม ถ้าไม่ก็เชิญไปพักผ่อนได้ตามสบายเลย\"



    \"ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ท่านรู้เรื่องของดาโวลท์หรือยัง เขาส่งสัญญาณนี้มาให้ข้า ท่านลองดูนี่สิ\" พูดแล้วพลางล้วงแผ่น

    กระดาษออกมายื่นให้เคียร่า ซึ่งเมื่อเขารับไปดูแล้วก็พูดออกมาอย่างตื่นตระหนกว่า



    “ทำไมเจ้าไม่บอกข้าตั้งแต่แรกเล่า เจ้าจะปล่อยให้ดาโวลท์ไปจัดการเรื่องทั้งหมดคนเดียวรึ”



    “มันเป็นหน้าที่ของเขาเท่านั้น อีกอย่างตอนนี้ดาโวลท์ก็ไม่ใช่ “ไอซ์ ดราก้อน” แล้วด้วย มีผู้รับช่วงต่อจากเขา เป็น ศิษย์

    โปรดเสียด้วย ซึ่งผู้สืบทอดของเขาจะมาถึงที่นี่ในอีกไม่นานนี้ ท่านเตรียมการต้อนรับเขาไว้หน่อยก็แล้วกัน ข้าก็ไม่มี

    อะไรจะพูดแล้วล่ะ ขอตัวก่อนก็แล้วกัน”

    แล้วก็เดินตามคนนำทางออกจากห้องไป



              เมื่อเวียรุสออกจากห้องไปแล้ว เคียร่าก็เหม่อมองออกไปทางด้านนอกหน้าต่างที่เผยให้เห็นท้องฟ้าอันมืด

    หม่นที่ก่อตัวเป็นรูปคล้ายมังกรดำที่กำลังแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย พลางถอนหายใจยาวและรำพึงออกมาว่า



    “ดาโวลท์เอ๋ย ดาโวลท์ ขอให้เจ้าปลอดภัยจากชะตากรรมอันโชคร้ายด้วยเถอะ”



    ดูเหมือนว่าสายลมจะเห็นพ้องกับเขาด้วย มันส่งเสียงหวีดหวิวครวญครางอย่างทุกข์ระทมราวกับสงสารในชะตากรรม

    อันโชคร้ายของดาโวลท์...




    (to the next chapter!)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×