ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    legend of turpentine ~dragon\'s tale of turpentine~

    ลำดับตอนที่ #8 : chapter 7 ~The concerto of variation~

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.พ. 47


                                                                     ตำนานแห่งเทอร์เพนไทน์



                                                        ภาค ~เรื่องเล่าของมังกร~



                                               ตอนที่ 7 บทบรรเลงแห่งความแปรปรวน




              ช่วงเวลาสองวันที่ผ่านมาได้เผาผลาญให้ประตูเมืองลาฮาลจนแทบลุกเป็นไฟ เนื่องจากกองทัพของชนเผ่ามาซันได้บุกตีประตูเมืองราวกับคลื่นยักษ์ขนาดมหึมากลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่โถมซํ้ากระหนํ่าซัดบนเรือเดินสมุทรลำใหญ่จนสั่นคลอนไปมา อาเบลและทหารรักษาประตูเมืองได้ยืนหยัดตั้งรับการโจมตีอยู่บนเชิงเทินมาตลอดสองวันโดยมิได้พักผ่อนเลย กระนั้นทัพมาซันที่มากมายมหาศาลก็ยังบุกทะลักเข้ามาราวนําป่าหลากอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน ขณะนี้แรงกายรวมทั้งแรงใจของฝ่ายตั้งรับนั้นร่อยหรอลงมากแล้ว กำลังเสริมที่พวกเขาเฝ้ารอคอยมาอย่างคาดหวังก็ยังมาไม่ถึงเสียที กลอเรียส น้องชายของอาเบลก็หายไปอย่างไร้ร่อยรอย ไม่มีแม้กระทั่งจดหมายลาหรือหมายเหตุทิ้งไว้ ยิ่งทำให้อาเบลร้อนใจระคนสิ้นหวังเป็นอย่างมาก สติและความคิดที่จะนำมาวางแผนการตั้งรับสำรองก็พลอยมลายหายไปด้วย



              หากปล่อยไว้อย่างนี้เห็นทีเมืองนี้จะแตกแน่...   

    เขาพยายามรวบรวมความคิดที่จะวางแผนกอบกู้สถานการณ์

              เวลาคับขันเช่นนี้เจ้าอยู่แห่งหนใดกันแน่ กลอเรียส...  



              แต่เมื่อคิดถึงน้องชายอันเป็นที่รัก จิตของอาเบลก็ยิ่งสับสนและลนลานเข้าไปทุกที เขาต้องหลบหลีกดาบโค้งของศัตรูเป็นพัลวันโดยไม่ทันได้ระวังหลายต่อหลายครั้ง หากไม่มีประสบการณ์ในการรบอย่างชํ่าชองและไม่มีปฏิภาณอันว่องไวแล้ว เขาคงต้องทอดร่างเป็นศพตั้งแต่ตอนที่ชนเผ่ามาซันบุกเข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว



             ถึงแม้ว่าจะมีความว่องไวเพียงใดก็ไม่อาจที่จะหลบรอดจากคมดาบของศัตรูที่หลั่งไหลเข้ามาจากทุกทิศทุกทางได้ ขณะนี้ทั่วทั้งร่างกายอันแข็งแกร่งดุจหินผาของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลจากดาบอันคมกริบที่เฉือนผ่านเนื้อของเขาอย่างไม่ลึกนัก หยาดโลหิตและเหงื้อกาฬเม็ดโตชโลมหลั่งทั่วสรรพางค์ที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเกราะชิ้นบาง อีกทั้งนัยน์ตาที่แดงกํ่าเนื่องจากกรำศึกมาอย่างยาวนานจนแทบจะกระพริบไม่ได้แล้ว ความจริงสภาพของเขาในขณะนี้ไม่ต่างกับคนบาดเจ็บสาหัสที่แค่เพียงลุกขึ้นยืนยังแทบจะทำไม่ได้ แต่อาการบาดเจ็บของเขาไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจในตอนนี้ ความเป็นอยู่ของปวงประชาชาวเทอร์เพนไทน์ต่างหากที่เขาสนใจจะรักษาไว้มากกว่าชีวิตของเขาเสียอีก



              อาเบลพลันสลัดความคิดต่างๆที่พลุ่งพล่านอยู่ในขณะนี้ให้หมดสิ้น จดจ่อสมาธิอยู่กับชั่วขณะแห่งความเป็นตายที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง ใช้ทักษะเชิงดาบอันพลิ้วไหวดุจสายนํ้าไหลที่เขาใช้กวัดแกว่งฟาดฟันศัตรูตลอดทุกครั้งในยามคับขันเพื่อรักษาชีวิตและที่มั่นให้อยู่รอดปลอดภัย แล้วรอคอยกำลังเสริมด้วยความหวังที่แม้จะเหลืออยู่น้อยนิดและเลือนราง แต่ก็เป็นเชื้อเพลิงที่ขับเคี่ยวให้ดาบของเขายังสะบัดกวัดแกว่งต่อไปได้



              ยิ่งยืนหยัดนานเข้าสติของอาเบลก็ยิ่งเลือนราง เขาเริ่มเห็นทหารภายใต้บังคับบัญชาของเขาล้มตายต่อหน้าลงเรื่อยๆทีละคนสองคน แม้ว่าพวกเขาล้วนเป็นทหารกล้าที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชนกลับต้องมาตายอย่างน่าเวทนา เนื้อหนังของเหล่าทหารที่สิ้นชีวิตแล้วถูกเชือดเฉือนจนโลหิตสาดกระจาย หนังของทหารบางนายก็ถูกแล่ออกมาเป็นชิ้นๆอย่างน่าสยดสยอง อาเบลนึกภาพไม่ออกเลยว่าหากชนเผ่าเร่ร่อนอันป่าเถื่อนไร้ความปราณีเช่นนี้เข้าครอบครองดินแดนแห่งมาตุภูมิของเขาได้แล้วต่อไปจะเป็นเช่นไร ความเมตตาปราณีศัตรูของเขาที่เคยคิดจะปล่อยให้ชนเผ่าพวกนี้รอดกลับไปได้เริ่มจางหายไป กลายเป็นความเด็ดเดี่ยวปนเคียดแค้นที่มุ่งแต่จะสังหารศัตรูที่อยู่ตรงหน้าให้ได้มากที่สุดเท่านั้น



              จากความคิดก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นการกระทำ ดาบของเขา จากที่เคยกวัดแกว่งเพื่อรักษาชีวิตตัวเองก็กลายเป็นกรีดสะบัดอย่างเกรี้ยวกราด หมายมั่นจะเข่นฆ่าผู้อื่น นักรบมาซันที่ทยอยเข้ามาชุดใหม่ล้มตายอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย และจำนวนศพของผู้บุกรุกอาจจะมากขึ้นอีกหากอาเบลไม่ได้ยินเสียงเรียกขานของทหารใต้บังคับบัญชาที่ทำให้เขาคืนสติกลับมาจากอาการคลุ้มคลั่งและปล่อยวางจิตจากห้วงแห่งการฆ่าฟันได้



              ทหารรักษาเมืองลาฮาลกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันทะลวงกำแพงมนุษย์ของชนเผ่ามาซันเข้ามาหาอาเบลที่ป้องกันการบุกรุกอย่างโดดเดี่ยว หัวหน้ากองคนหนึ่งในกลุ่มวิ่งออกจากกองคุ้มกันมารายงานสถานการณ์ให้กับอาเบลว่า



    \"ท่านแม่ทัพ ขณะนี้สถานการณ์ของฝ่ายเรายํ่าแย่มากเลยขอรับ บัดนี้กำลังของฝ่ายเราได้ลดลงไปมากกว่าครึ่งแล้ว เห็นทีไม่เกินวันนี้เมืองนี้จะต้องถูกตีแตกอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าภายในวันนี้กำลังเสริมยังมาไม่ถึง...นี่...ท่าน...บาดเจ็บมากถึงขนาดนี้ทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำแผลเลยหรือขอรับ เช่นนั้นโปรดตามข้าไปยังสถานพยาบาลก่อนเถิดขอรับ พวกเจ้าคุ้มกันท่านแม่ทัพด้วย!\"



              หัวหน้ากองนายนั้นกล่าวพลางรีบเข้าไปพยุงอาเบลให้ออกมาจากบริเวณอันตราย แล้วรีบลงบันไดที่หน้าประตูเมือง จากนั้นจึงตรงไปยังจุดพยาบาลที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นโบสถ์มาก่อน ทหารที่ได้รับบาดเจ็บมากมายถูกหามมาที่นี่อย่างเร่งรีบ แพทย์ประจำสถานพยาบาลต่างก็ทำหน้าที่อย่างฉุกละหุกเช่นกัน จำนวนผู้บาดเจ็บมีมากเสียจนเหล่าแพทย์ต้องทำงานกันจนมือเป็นระวิง เตียงแต่ละเตียงที่จัดเตรียมไว้ดูจะไม่พอกับความต้องการเอาเสียเลย ทหารที่บาดเจ็บนอนร้องโอดครวญกันอยู่เนืองแน่น ไม่มีที่หลงเหลือสำหรับจะให้อาเบลนอนพักผ่อนเลย



              นายกองมีสีหน้ากระวนกระวาย รีบเดินเข้าไปถกเถียงกับแพทย์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินกลับมาพาอาเบลที่ยืนโซซัดเซกำลังจะล้มมิล้มแหล่ออกไปยังสถานพยาบาลชั่วคราวอีกแห่งที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ที่แห่งนี้เคยเป็นจวนเจ้าเมืองที่บัดเจ้าของจวนอพยพไปอยู่ที่ค่ายหลบภัยบริเวณเนินเขาใกล้เมืองแล้ว มีแพทย์และทหารบาดเจ็บรักษาตัวอยู่ที่นี่จำนวนไม่มากเท่ากับสถานพยาบาลก่อนหน้านี้ และอาการบาดเจ็บของผู้ป่วยนั้น ก็ดูจะร้ายแรงน้อยกว่ามาก เพียงแต่ผู้ป่วยแต่ละคนล้วนมียศถาบรรดาศักดิ์ มีฐานะมั่งคั่ง หรือมีตำแหน่งทางการปกครองในเมืองชั้นสูงกันทั้งนั้น แพทย์ที่ทำการรักษาก็ไม่รีบร้อนเท่าไหร่ แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นนายกองลากอาเบลที่อาการร่อแร่เข้ามาก็รีบเข้าไปช่วยนายกองพยุงอาเบลไปยังเตียงผู้ป่วยในทันที



              เมื่อทั้งสองช่วยกันประคองอาเบลมานอนบนเตียงได้แล้วหัวหน้ากองก็ถอยห่างออกไปเพื่อปล่อยให้แพทย์ตรวจรักษาอาการและทำแผล สีหน้าของเขาดูจะเป็นห่วงอาการของอาเบลมากเหลือเกิน แต่เมื่ออาเบลเห็นเขาแล้วจึงฝืนยิ้มแล้วพยักหน้าให้กับนายกอง ทั้งยังพยายามเค้นเสียงที่แหบแห้งบอกนายกองว่าเขาสบายดี แม้ว่าจะยังไม่แน่ใจนัก แต่สีหน้าของนายกองผู้นั้นก็ดีขึ้น เขายิ้มตอบให้กับอาเบลแล้วเดินไปนั่งพักที่เก้าอี้ รอคอยให้แพทย์รักษาอาการของอาเบลให้เรียบร้อย



              หลังจากนั้นสักพัก ด้วยการรักษาเยียวยาอย่างดีทั้งทางสมุนไพร ยาบำรุง และเวทมนตร์ อาการบาดเจ็บของอาเบลบรรเทาลงไปมาก เขาระบายลมออกจากปากอย่างโล่งอก ร่างกายและจิตใจของเขาคล้ายถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ ความเหน็ดเหนื่อยจากการที่ไม่ได้พักผ่อนมาตลอดสองวันพลันปลาสนาการไปสิ้น บาดแผลต่างๆถูกผ้าชนิดพิเศษพันแน่นจนแผลแทบจะปิดกันสนิท ศีรษะของเขาก็ปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมาก เมื่อสติและความคิดกลับมาอยู่กับตัวแล้วอาเบลจึงเรียกนายกองคนนั้นเข้ามาคุย คราวนี้เห็นได้ชัดว่านายกองมีสีหน้าโล่งใจเป็นอย่างยิ่งที่อาเบลฟื้นฟูจนเกือบจะเข้าสู่สภาพเดิม



    \"ท่านนายกอง ข้าอยากจะรู้ว่ามีข่าวเรื่องกำลังเสริมมาจากเมืองหลวงบ้างหรือไม่\"



    \"ไม่เลยขอรับ ไม่มีวี่แววใดๆเลย แม้กระทั่งมูร่าที่ไปส่งข่าวที่เมืองหลวงก็ไม่มีแม้แต่เงาให้เห็น เราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ\"

    จากสีหน้าที่ยินดีเมื่อครู่ กลับกลายเป็นหดหู่และกังวลใจอีกครั้ง



    \"นั่นไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ประเด็นอยู่ที่ว่า เราจะแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างไร ใช่ว่าเราจะต้องนั่งงอมืองอเท้ารอคอยกำลังเสริมอย่างเดียวนี่ เราต้องหาวิธีที่จะถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด...ข้าคิดว่าข้ามีแผน เพียงแต่ว่า แผนนี้ต้องการผู้กล้าที่ยอมสละชีพได้จำนวนหนึ่ง ท่านสามารถจัดการเรื่องนี้ให้ข้าได้หรือไม่ \"

    อาเบลพูดอย่างคล่องแคล่วและเฉียบคม ไม่มีวี่แววของคนที่เพิ่งบาดเจ็บเจียนตายปรากฏให้เห็นเลย



    \"ข้าคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรขอรับ เนื่องจากทหารที่ประจำการอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็มักจะยินยอมพร้อมใจสละชีพอยู่แล้วขอรับ ว่าแต่ ท่านแม่ทัพต้องการหน่วยกล้วตายนี้จำนวนเท่าไหร่หรือขอรับ\"



    \"ไม่มากนัก ประมาณยี่สิบน่าจะพอดี เพราะในความจริงแล้วแผนนี้มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อก่อกวนและถ่วงเวลาเท่านั้น ไม่ควรใช้กำลังมากมายนัก เพราะเราต้องรักษาจำนวนของทหารเพื่อรักษาเมืองไว้ให้ได้มากที่สุด แผนการนี้ข้าก้จะเข้าร่วมด้วย ฉะนั้นระหว่างที่ข้าไปปฏิบัติภารกิจนี้ก็ขอให้ท่านรักษาการตำแหน่งแม่ทัพแทนข้าชั่วคราว...หรืออาจจะตลอดไป ถ้าหากว่าข้าไม่กลับมา ท่านเข้าใจใช่ไหม\"

    ใบหน้าที่จริงจังของอาเบลบ่งบอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่น ดังนั้นเมื่อนายกองหันหน้าที่ดูไม่แน่ใจไปที่อาเบล ก็มีท่าทีอิหลั่กอิเหลื่อยิ่ง



    \"...ข้า...ข้าไม่บังอาจถึงเพียงนั้น...ตำแหน่งแม่ทัพไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้นะท่าน ท่านเก่งกล้าสามารถถึงเพียงนั้นแล้วข้าจะแทนที่ท่านได้อย่างไร หากเป็นเช่นมีหวังว่าเมืองลาฮาลอาจล่มก่อนวัยอันควรก็เป็นได้\"



    \"ก็เพราะไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้น่ะสิ ข้าถึงได้เลือกท่าน ข้าเฝ้าดูพฤติกรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของท่านมาตลอดตั้งแต่ตอนที่ข้าเริ่มประจำเป็นทหารรักษาการณ์แล้ว ท่านเป็นผู้นำที่ดีได้แน่ ขอฝากเมืองนี่ไว้กับท่าน  ส่วนเรื่องของผู้กล้าที่ยอมไปทำภารกิจกับข้านั้นข้าต้องการให้เป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด ก่อนที่มันจะสายเกินไป แล้วก็โปรดรับป้ายรักษาการแม่ทัพนี้ไว้ด้วย\"

    กล่าวแล้วพลางยื่นป้ายให้หัวหน้ากองที่ดูจะรับอย่างไม่เต็มใจนัก



    \"...หากท่านไว้วางใจข้าถึงเพียงนั้นก็ขอขอบคุณท่านมาก ข้าจะทำหน้าที่ของข้าให้เต็มที่ ไม่ทำให้ท่านผิดหวังเป็นอันขาด ส่วนเรื่องของหน่วยกล้าตายเดี๋ยวข้าจะรีบจัดการให้ในทันที แต่...ขอข้าถามท่านบางอย่างได้หรือไม่\"

    เมื่อเขากล่าวจบ เค้าแห่งความสงสัยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา



    \"ได้สิ ถ้าหากว่าข้าสามารถตอบได้ข้าจะไม่ปิดบังเลย\"



    \"ข้าอยากรู้ว่า แผนการของท่านคืออะไรกันแน่ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง แท้ที่จริงแล้ว ท่านเป็นใครกันแน่ ทำไมท่านถึงดำรงตำแหน่งแม่ทัพแทนท่านเจ้าเมืองได้ ข้าดูอย่างไรท่านก็ไม่ใช่ทหารยามธรรมดา\"



    \"หึ\" อาเบลแค่นเสียงในลำคอก่อนจะตอบว่า \"แผนการของข้านั้นไม่มีอะไรมากนักหรอก เพียงแค่ลอบเข้าไปในค่ายของศัตรู แล้วก่อความวุ่นวายภายในเพื่อเรียกความสนใจและถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด ที่เหลือก็รอคอยกำลังเสริมที่ไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่ ท่านควรเข้าใจนะว่าฝ่ายเราไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แม้ว่านี่อาจจะเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ แต่อย่างน้อย ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย\" จากนั้นเขาจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนกล่าวต่อไปว่า



    \"ส่วนเรื่องสถานภาพของข้า ข้าคงจะบอกอะไรท่านไม่ได้มาก เพราะมันจะเป็นอันตรายกับทั้งตัวท่านเองและคนที่ท่านรักด้วย ข้าบอกได้เพียงว่า นายของข้ามีองค์กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ส่วนจุดประสงค์ที่แท้จริงที่ข้ามาที่เมืองนี้นั้น ข้าคงจะบอกท่านไม่ได้\"



    \"...ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องการถามอะไรอีกแล้ว ท่านวางใจได้ ข้าจะรีบไปเกณฑ์หน่วยกล้าตายตามที่ท่านสั่งให้ได้โดยเร็วที่สุด ท่านโปรดรออยู่ที่นี่อย่างสงบเถิด\"

    เค้าแห่งความสงสัยบนใบหน้าของนายกองจายหายไปพร้อมๆกับร่างของเขาที่ถอยฉากออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ในห้องผู้ป่วยพิเศษนี้ เหลือเพียงแต่อาเบลที่พึมพัมอย่างเดียวดายว่า



    \"มูร่า ข้ากับท่านคงไม่อาจได้รํ่าสุราด้วยกันอีก\"



              จากนั้นเพียงชั่วครู่ อาเบลที่ยังไม่หายบาดเจ็บดีและทหารกล้าตายอีกยี่สิบคนก็ลอบออกจากเมืองโดยใช้ทางลับที่เป็นอุโมงค์ใต้ดินในสมัยโบราณ ปลายทางของอุโมงค์ลับนี้จะไปสุดตรงป่าละเมาะใกล้ๆกับค่ายของทัพมาซัน อาเบลรู้ทางลับนี้ได้จากแผนผังเมืองของเจ้าเมืองที่ได้ให้ไว้ เขาคิดว่าศัตรูคงคาดไม่ถึงว่าจะมีทางลับที่แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้จักเช่นนี้ และคงจะทำให้ศัตรูลดการป้องกันภายในค่ายลง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เขาก่อการจลาจลได้โดยง่าย แต่มันจะง่ายดายอย่างที่คิดไว้รึเปล่า เขาไม่รู้ แต่ที่เขาทำได้ก็มีแค่เพียงมุ่งหน้าต่อไปเท่านั้น...



              นักปราชญ์ทมิฬใช้เวลาเดินทางมากว่าสองวันแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงจุดหมายแรก ซึ่งก็คือกระท่อมแห่งข่าวสาร เนื่องจากทัศนียภาพอันงดงามที่เป็นทั้งป่าเขาลำเนาไพร รวมทั้งมีทุ่งหญ้าอันเขียวขจีพลิ้วไสวไปตลอดทาง อีกทั้งดินแดนนี้ยังมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล แม้มองไปรอบๆจนสุดสายสายตาก็ยังไม่พบร่องรอยของที่อยู่อาศัยเลยแม้แต่หลังเดียว



              อย่างไรก็ตาม การเดินทางครั้งนี้เขาไม่รีบร้อนนัก เพราะการได้มาเยือนสถานที่งดงามที่ไม่สามารถเห็นได้ในเทอร์เพนไทน์เช่นนี้มักทำให้ผู้คนลืมเลือนไปว่าตัวเองต้องการจะทำอะไร กับชายลึกลับผู้นี้ก็เป็นเช่นกัน เขาแทบไม่อยากจะรู้เรื่องที่เขาต้องการจะรู้อีกต่อไปแล้ว ในทางตรงกันข้ามแล้วเขากลับต้องการที่จะลืมเลือนเรื่องราวอื่นใดทั้งหมด แล้วกลับมาใช้ชีวิตอย่างสันโดษเสียด้วยซํ้า



              ขณะที่นักปราชญ์ทมิฬกำลังลุ่มหลงอยู่กับสเน่ห์อันงดงามบริสุทธิ์ของธรรมชาติอยู่นั้น ก็มีสิ่งที่ทำให้สติของเขากลับคืนมาจากภวังค์ได้ เขาเห็นเงาร่างของมังกรตัวหนึ่งบินพาดผ่านท้องฟ้า มุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกับที่เขาต้องการจะเดินทางไป แมื่อดูจากความเร่งรีบในการสะบัดปีกบินของมันแล้ว ทำให้ชายลึกลับมั่นใจได้ว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เขาจึงดึงสติของเขากลับมาให้คืนสู่ความสงบทั้งหมดแล้วรีบยํ่าเท้าตรงไปตามเส้นทางที่จะไปยังกระท่อมแห่งข่าวสารในทันที



              หลังจากเดินอย่างเร่งรีบมาได้สักพัก ร่องรอยของที่อยู่อาศัยก็ปรากฏให้เห็นเป็นหย่อมๆ กระจายตัวอย่างหลวมๆ ดูแล้วไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้าน น่าจะเรียกเป็นกลุ่มเล็กๆของบ้านเรือนไม่กี่หลังเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ปราชญ์ทมิฬก็เดินเข้าไปเคาะประตูของทุกๆบ้านเรือนเหล่านั้น แล้วถามไถ่เจ้าของบ้านทุกคนอย่างสุภาพว่าใช่กระท่อมแห่งข่าวสารหรือไม่ ซึ่งคำตอบก็คือ ยังไม่ใช่ แต่ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว คำตอบนี้ทำให้เขากล่าวขอบคุณแล้วรีบเดินทางออกจากกลุ่มที่อยู่อาศัยนั้นด้วยความเร่งรีบ



              เขาเดินอย่างเร่งรีบจนกระทั่งโครงร่างของกระท่อมหลังหนึ่งปรากฏขึ้นให้เห็นในสายดาจึงค่อยๆลดความเร็วลง ดูเหมือนว่ากระท่อมหลังนี้จะถุกปกคลุมด้วยหมอกและไอนํ้าอันเบาบาง ทำให้ผู้ที่ผ่านไปมาสังเกตเห็นได้ยาก และยิ่งสังเกตยากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อมองลึกเข้าไปในตัวกระท่อมหลังนั้น คล้ายกับมีบางสิ่งที่จับต้องไม่ได้เคลื่อนตัวบดบังการมีตัวตนของกระท่อมหลังนี้ เขาต้องใช้ความพยายามอยู่นานกว่าจะสามารถเดินถึงหน้าประตูกระท่อมแล้วเคาะประตูเบาๆ สามครั้งด้วยกัน



              ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะมีเสียงยํ่าเท้าแว่วมาจากข้างในกระท่อม เจ้าของเสียงนั้นแง้มประตูออกมาชำเลืองมองนักปราชญ์ทมิฬอย่างไม่ไว้ใจ นัยน์ตาสีเทาหม่นบนใบหน้าที่ขมวดมุ่นและเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรังชำกลอกกลิ้งไปมาพิจารณาตัวเขาอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะถามว่า



    \"เจ้าเป็นใคร และต้องการอะไรจากที่นี่\"



    \"ข้า...ข้าไม่รู้ชื่อของข้า และนี่คือเหตุผลที่ข้ามายังที่แห่งนี้ ไม่ทราบว่าท่านพอจะช่วยข้าในเรื่องนี้ได้หรือไม่\"

    เขารู้ว่านี่เป็นคำถามที่เหลวไหลไร้สาระเสียจริง ใครกันที่จะรู้ชื่อของคนที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากัน แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาค้นหามานานได้ใกล้เข้ามามากจนแทบจะสัมผัสได้แล้ว



    \"...เจ้านี่แปลกคนดีนะ ไม่รู้ชื่อของตัวเองจึงมาที่นี่ เพื่อถามข้า อย่างนั้นหรือ อืม...น่าสนใจ เอาละ เข้ามาก่อนเถอะ ข้าจะดูว่าข้าจะช่วยอะไรได้บ้าง สงสัยว่าวันนี้ข้าคงจะต้องเหนื่อยเสียแล้วสิ ฮ่าๆๆ...\"



              สิ้นเสียงหัวเราะ เจ้าของกระท่อมก็เชื้อเชิญให้ปราชญ์ทมิฬเข้าไปในกระท่อม ภายในกระท่อมนี้คับคั่งไปด้วยม้วนกระดาษนับพันนับหมื่นที่ถูกวาง สอดและยัดเก็บรวมๆกันไว้อย่างเนืองแน่นจนแทบจะไม่เหลือที่ให้คนอาศัยอยู่ ในกระท่อมนี้มีเครื่องประดับเพียงแค่โต๊ะเล็กตัวหนึ่งที่มีเก้าอี้วางไว้ตรงข้ามกันสองตัว แล้วก็มีเตียงเดี่ยวหลังหนึ่งอยู่ที่มุมห้อง บนหัวเตียงยังสุมไว้ด้วยกองกระดาษมากมาย แทบจะไม่มีที่ให้หลับนอนเลย ดูจากสภาพแล้วกระท่อมนี้คงจะมีอายุไม่ตํ่ากว่าสิบปีแน่นอน ปราชญ์ทมิฬสงสัยว่าชายคนนี้อยู่มานานขนาดนี้ได้อย่างไร ในสถานที่ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นรังหนูเช่นนี้



              ทว่า เมื่ออยู่ในกระท่อมหลังนี้ การกระทำต่างๆของชายเจ้าของกระท่อมกลับคล่องแคล่วว่องไว ขัดกับร่างกายอันบึกบึนสูงใหญ่ของเขาเป็นอย่างยิ่ง ปราชญ์ทมิฬนิ่งอึ้งอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะรับถ้วยนํ้าชาที่ชายเจ้าของกระท่อมชงมาให้อย่างคล่องแคล่ว หลังจากที่เขายกถ้วยนํ้าชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่งแล้วบุรุษแห่งข่าวสารจึงนั่งลงตรงข้ามกับเขาแล้วเริ่มกล่าวขึ้นว่า



    \"อืม...เจ้าพอจะรู้ข้อมูลอะไรที่น่าจะเกี่ยวข้องกับตัวตนเก่าหรืออดีตความเป็นมาของเจ้าได้บ้างไหม เพราะถ้าหากว่าเจ้าไม่มีอะไรข้อมูลอะไรให้ข้าสืบค้นเลย ข้าก็คงจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้\"



    \"ข้อมูลหรือ...อืม เคยมีมังกรตัวหนึ่งเรียกข้าว่านักปราชญ์ทมิฬ แล้วก็มีความเป็นไปได้สูงว่าข้าอาจจะสืบเชื้อสายมาจากมังกร นั่นพอจะใช้ได้ไหมล่ะท่าน\"

    ปราชญ์ทมิฬพยายามที่จะรื้อฟื้นความทรงจำของตนขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่เมื่อบุรุษแห่งข่าวสารได้ฟังคำ ปราชญ์ทมิฬขึ้นมา สีหน้าของเขาก็ดูตื่นเต้นและลิงโลดผิดปกติ ทั้งยังรำพึงรำพันอย่างดีใจในเรื่องที่ปราชญ์ทมิฬฟังไม่เข้าใจว่า



    \"ปราชญ์ทมิฬหรือ....อืม น่าสนใจจริงๆ ฮ่าๆๆ ดูท่าข้าจะพบ ฮารู นาราอี  เข้าแล้ว วันนี้ช่างเป็นวันที่ยอดเยี่ยมเสียจริง ไม่ว่าจะเป็นข่าวของอัลลาดอร์น อีกทั้งยังได้พบกับชายแห่งโชคชะตาอีก ดูท่าวันนี้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เป็นแน่\"



    \"ท่านพูดถึงเรื่องอะไรกัน อะไรคือ ฮารู นาราอี นั่นหมายถึงข้าหรือ แล้วมันคืออะไร ตกลงว่าท่านรู้ว่าข้าเป็นใครแล้วใช่ไหม\"

    หัวใจของเขาเริ่มกระหนํ่ารัว เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้บุรุษแห่งข่าวสารเพื่อให้หูของเขาฟังได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ความจริงอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว



    \"ชื่อเสียงของเจ้าน่ะดังไกลไปทั่วดินแดนเช่นนั้นเหตุใดข้าจะไม่รู้จักเล่า ยิ่งในหมู่นักปราชญ์และเหล่ามังกรแล้ว เจ้าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นที่สุดนับตั้งแต่รุ่นของบาร์ดลงไป เพียงแต่ว่า...จากข่าวที่ข้าได้รวบรวมมา เจ้าหายสาบสูญหรืออาจจะเสียชีวิตไปแล้ว ดีล่ะ วันนี้จะได้พิสูจน์กันเสียทีว่าทุกอย่างเป็นไปตามคำทำนายของท่านผู้เฒ่าหรือไม่ ถ้าหากว่าเจ้าเป็นนักปราชญ์ทมิฬตัวจริงอย่างที่เจ้าบอกมาล่ะก็\"



              บุรุษแห่งข่าวสารว่าแล้วก็ล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันเป็นแหวนสีดำวงหนึ่งที่มีหัวแหวนเป็นรูปเศียรมังกร เขายกมันขึ้นมาในระดับสายตาแล้วเพ่งมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะยื่นแหวนให้แก่ผู้มาเยือนพร้อมกับกล่าวว่า



    \"สวมมันสิ แล้วจะได้รู้กันเสียทีว่าอะไรเป็นอะไร\"



              ปราชญ์ทมิฬรับแหวนนั้นไปอย่างละลํ่าละลัก แหวนวงนี้มีกลิ่นอายแปลกประหลาดที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีนัก เขาพิจารณาอย่างลังเลใจอยู่นาน จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจสวมมันเข้าไป ขนาดของแหวนพอดีกันกับนิ้วชี้ที่มือขวาของเขาจนตัวเขาเองยังนึกประหลาดใจ เมื่อเขาสวมแหวนแล้วดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าหากว่าอีกครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขาไม่เกิดอาการปวดแปลบอย่างรุนแรงที่ไหล่ซ้ายเสียก่อน



              ที่ไหล่ของเขาร้อนแรงราวกับถูกเปลวไฟลามเลีย มันร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆจนเขาแทบจะทนไม่ไหว ต้องร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวด บุรุษข่าวสารเอาแต่นั่งดูอาการของแขกของเขาอย่างเงียบสงบและเย็นชา จนกระทั่งแสงสีดำขลับพุ่งออกมาจากไหล่ซ้ายของเขา ทะลุผ่านตัวผ้าคลุมอันเบาบางแล้ว บุรุษแห่งข่าวสารจึงฉุดมือขวาของเขาแล้วจัดแจงถอนแหวนออกพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก ในขณะที่ปราชญ์ทมิฬรู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะสิ้นสติ



              ปราชญ์ทมิฬในขณะนี้แม้เพียงลุกขึ้นยังแทบจะทำไม่ได้ เขาพยายามเค้นเสียงถามบุรุษแห่งข่าวสารว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากของเขาเลย นอกจากนั้นตัวเขายังสั่นกระตุกเป็นระยะอีกด้วย บุรุษแห่งข่าวสารเห็นเข้าจึงรีบเข้าไปดูอาการของเขาแล้วสัมผัสตัวเขา ฉับพลันนั้นเขารู้สึกว่าเรี่ยวแรงกลับคืนมาแทบจะในทันที ในทางกลับกันเขาดูจะสดชื่นกว่าที่เคยเป็นมาเสียอีก เมื่อปราชญ์ทมิฬจ้องมองบุรุษแห่งข่าวสารด้วยความฉงนเขาจึงส่งยิ้มให้พลางกล่าวว่า



    \"ขอบคุณมากที่ให้ข้าทำการทดสอบตัวตนที่แท้จริงของท่าน ท่านก็คือ ฮารู นาราอี หรือว่านักปราชญ์ทมิฬตามที่ท่านสงสัยไว้นั่นล่ะ เพราะไม่มีใครอีกแล้ว ที่จะสามารถทำให้แหวนมังกรทมิฬวงนี้ตอบรับและเปล่งรัศมีของมันได้ถึงขนาดนี้ เอาล่ะ ในตอนนี้ท่านอยากรู้อะไรก็ถามข้ามาได้เลย ในตอนนี้ข้ามีข้อมูลของท่านอยู่พอสมควรเลยทีเดียว\"



    \"สิ่งที่ข้าอยากจะรู้มากที่สุดในตอนนี้นั้น...\" เขาขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด รวบรวมความคิดที่พลุ่งพล่านยุ่งเหยิงระคนปนกันไปหมดแล้ว

    \"คงจะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า คนที่ข้าเป็น หรือที่เคยเป็น...นักปราชญ์ทมิฬ เป็นใคร และไปทำวีรกรรมอะไรมากันแน่ ถึงมีชื่อเสียงพอที่จะให้ท่านที่อยู่ในแดนอันไกลโพ้นรู้จักได้\"

    บุรุษแห่งข่าวสารเมื่อได้ฟังแล้วก็หัวเราะครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า



    \"ถามได้ดี เอาเป็นว่าข้าจะเล่าความเป็นมาของเจ้าเท่าที่ข้ารู้อย่างย่อก็แล้วกัน\"

    ปราชญ์ทมิฬพยักหน้าแล้วตั้งอกตั้งใจฟังอย่างเงียบเชียบ



    \"...แรกเริ่มเดิมทีแล้ว เจ้าก็เป็นเพียง อารัน เบลลอส มนุษย์ธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แต่เมื่อเจ้าเติบโตขึ้น ได้เข้าศึกษาต่อที่เมืองเวเนร่า เจ้าก็ได้พบกับนักปราชญ์ผู้ค้นพบสิ่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวเจ้า นักปราชญ์ผู้นั้นคือ ดาโวลท์แห่งแฮลลา



              เขาพบว่าเจ้าสืบทอดสายเลือดมาอย่างลับๆจากมังกรทมิฬตนหนึ่ง แต่จะค้นพบด้วยวิธีการใดนั้นข้าเองก็ไม่ทราบ ในสมัยนั้นผู้ที่มีสายเลือดของมังกรไม่เป็นที่ต้องการของผู้คน เหตุผลนั้นก็คงจะเป็นเพราะยุคนั้นเป็นยุคที่สงบสุข แล้วตำนานของฮาเดสก็ยังไม่เลือนหายไปจากใจของผู้คนด้วยกระมัง เพราะฉะนั้นถ้าหากพบว่ามีผู้ใดสืบเชื้อสายจากมังกรล่ะก็ คนผู้นั้นก็จะพบกับชีวิตที่ไม่มีวันสงบสุขอย่างแน่นอน



              โชคดีที่นักปราชญ์ผู้นั้นไม่ได้มีมีความคิดรัจเกียจสายเลือดแห่งมังกรเลยแม้แต่น้อย เพราะความจริงแล้วเขาเองเป็นหนึ่งในนั้น เขาจึงเข้าใจดีถึงความรู้สึกของกลุ่มคนที่ถูกสังคมรังเกียจ เขาจึงปกปิดเรื่องที่เจ้ามีสายเลือดแห่งมังกรไว้เป็นความลับ อีกทั้งยังรับเจ้าไว้เป็นศิษย์ส่วนตัวอีกด้วย



              ก่อนหน้าที่จะรับเจ้าเป็นศิษย์ ดาโวลท์เองก็มีศิษย์อยู่แล้วคนหนึ่งที่ชื่อว่าเมมฟิส เมมฟิสเองก็เป็นผู้ที่มีสายเลือดแห่งมังกร ชายผู้นี้เป็นคนที่มีความทะเยอะทะยานสูง ทั้งยังโกรธแค้นเหล่ามนุษย์ที่เคยกลั่นแกล้งเขาและครอบครัวของเขาที่ไม่เกี่ยวข้องจนเขาต้องเหลือตัวคนเดียว กลายเป็นเด็กกำพร้าจนกระทั่งดาโวลท์รับเขาเป็นศิษย์ด้วยเหตุผลเดียวกันกับเจ้า



              ด้วยความพยาบาทอาฆาตแค้น เมมฟิสจึงตั้งอกตั้งใจฝึกฝนวิชาการความรู้ รวมไปถึงการใช้เวทมนตร์และคาถาอาคมต่างๆ เขายังแอบฝึกเวทมนตร์ต้องห้ามบางบทที่คร่าชีวิตผู้คนไว้ด้วย การแอบฝึกวิชาของเขาคงจะเป็นไปได้ด้วยดีถ้าหากว่าเจ้าไม่เข้ามาเป็นศิษย์อีกคนของดาโวลท์...ศิษย์ที่มีจิตใจดีงาม ไม่มุ่งร้าย ซั้ายังเฉลียวฉลาด เป็นอัจฉริยะในด้านการใช้เวทมนตร์คาถาหลากหลายแขนง



              ในเวลาไม่นานนักความรู้และความเก่งกาจของเจ้าก็ลํ้าหน้าเมมฟิสไปมากโดยที่ตัวเจ้าเองก็ไม่รู้ แต่เมมฟิสรู้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกแค้นเคืองต่อคนรอบข้าง เกิดความอิจฉาริษยาได้กับทุกคนแม้กระทั่งอาจารย์ของเขาเอง เป็นเหตุที่ชักนำให้เขาเดินทางเข้าสู่เส้นทางอันมืดมิด...



              เขาทำสัญญากับปีศาจตนหนึ่ง โดยแลกวิญญาณของเขากับความเก่งกาจในการใช้เวทมนตร์คาถาที่ไร้ขีดจำกัด จากนั้นวางแผนที่จะปลดปล่อยมารร้ายเช่นฮาเดสและสัตว์อสูรจากนรกตนอื่นๆออกมาจากการปิดผนึก โดยร่วมมือกับเหล่าพ่อมดผู้วิเศษที่ใช้มนตร์ต้องห้ามเป็นอาวุธ ทุกอย่างที่เขาดำเนินการล้วยถูกปิดเป็นความลับ นอกจากผู้สมรู้ร่วมคิดของเขาแล้วไม่ว่าใครก็ตามที่รู้ความลับไม่ว่าจะบังเอิญหรือไม่ก็ตามจะต้องถูกสังหารทั้งหมด วันเวลาผ่านเลยไป แผนการของเขาก็เริ่มมั่นคง ทุกอย่างที่เขาคิดไว้ล้วนไปได้ด้วยดี จนมาถึงวันที่พวกเขาจะเริ่มก่อการ...



              เมื่อวันที่ก่อนการนั้น ผู้วิเศษชั้นสูงหลายคนต่างก็รับรู้ถึงสิ่งชั่วร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงได้รีบรวมรวบอาสาสมัครไปยังบริเวณที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงความชั่วร้าย หนึ่งในอาสาสมัครนั้นมีทั้งเจ้า ดาโวลท์ และยังมีเมมฟิสซึ่งเป็นประธานสภาผู้ใช้เวทมนตร์คนปัจจุบันร่วมอยู่ด้วย



              เมมฟิสและพรรคพวกมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง และได้ทำการรวบรวมพลังทำการเปิดประตูมิติจากนรกและจากศิลาที่ขังฮาเดสไว้ได้เกือบจะสมบูรณ์ สัตว์อสูรดุร้ายบางตัวก็ได้หลุดออกมาจากประตูมิติแล้ว ยังดีที่เหล่าอาสาสมัครมาทันเวลา สามารถหยุดยั้งขั้นตอนสุดท้ายในการเรียกจ้าวอสูรฮาเดสออกมาได้ จากนั้นทั้งสองฝ่ายจึงเข้าหํ้าหั่นประจัญบานกัน กลายเป็นสงครามขนาดย่อยของผู้ใช้เวทมนตร์ ก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายของผู้ใช้เวทมนตร์ชั้นสูงเป็นจำนวนมาก



              หลังการปะทะกันครั้งนั้นยุติลง เหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ฝ่ายธรรมะเป็นฝ่ายชนะ ทั้งยังสามารถขับไล่และปิดผนึกอสูรร้ายจากนรกทุกตัวให้กลับไปอยู่ในที่ของมันได้ กลุ่มของผู้ใช้เวทมนตร์ต้องห้ามที่เมมฟิสก่อตั้งขึ้นมาก็เป็นอันสลายตัวไป สมาชิกในกลุ่มทุกคนล้วนเสียชีวิตในการปะทะกันครั้งนั้น จะมีก็เพียงแต่เมมฟิสที่หาศพไม่พบ หายสาบสูญไป...



              และเจ้าเอง ก็หายสาบสูญไปด้วยเช่นกัน ไม่มีผู้ใดค้นพบร่องรอยของเจ้าเลยตลอดสิบสามปีที่ผ่านมา จนกระทั่งวันนี้ ข้าได้พบเจ้า และก่อนหน้านี้ครู่หนึ่ง มีมังกรตัวหนึ่งส่งสารมาให้ข้า ถึงเรื่องของเมมฟิสที่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อัลลาดอร์นฟื้นคืนชีพขึ้นมา เพราะฉะนั้น การปรากฏตัวของเจ้าและเมมฟิส ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคู่แค้นกันมาตลอดนั้น จะต้องก่อให้เกิดบางสิ่ง...บางสิ่ง ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลง กำหนดโชคชะตาและความเป็นไปของเทอร์เพนไทน์ ผืนดินของเจ้า



              จากข้อมูลที่ข้ามีก็คงจะสรุปให้เจ้าฟังได้เพียงเท่านี้ ในตอนนี้เจ้าคงจะเริ่มรู้เหตุผลที่เจ้าถูกเรียกตัวกลับมาจากความมืดมิดแล้วกระมัง\"



              หลังจากเล่าเรื่องจบ บุรุษแห่งข่าวสารก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วดื่มนํ้าชาที่เหลือให้หมดในอึกเดียว ปราชญ์ทมิฬที่ได้ฟังเรื่องราวของตนก็นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะถามบุรุษอย่างกังวลใจว่า



    \"...แล้วข้าควรจะทำอย่างไรดี ข้าไม่รู้ว่าข้าจะทำอะไร หรือจะวางตนอย่างไรต่อไปดีในสถานการณ์เช่นนี้\"



    \"นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าจะต้องตัดสินใจเอง ข้าช่วยอะไรเจ้าในเรื่องนี้ไม่ได้ ที่ข้าทำได้ก็มีเพียงบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าเท่าที่ข้ารู้เท่านั้น ในเมื่อองค์มหาเทพได้ให้สิทธิ์ในการกลับมายังที่นี่อีกครั้งหนึ่งแล้ว เจ้าจะต้องเป็นผู้กำหนดทางเดินชีวิตของตนเอง ทุกอย่างที่กำลังจะเกิด ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าแล้ว...อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเจ้าจะสูญเสียความจำของตัวเองไป แต่ข้าเชื่อว่า จิตวิญญาณของอารัน เบลลอส และสายเลือดแห่งมังกรจะไม่ทอดทิ้งเจ้า ขอให้เจ้าโชคดี\"

    บุรุษแห่งข่าวสารเป็นเชิงให้กำลังใจและบอกลา เขาปล่อยให้อารันนั่งนิ่งอยู่พักใหญ่ ในที่สุดแววตาของอารันก็เปล่งประกายแน่วแน่ พลันลุกขึ้นจากเก้าอี้ในทันใดแล้วกล่าวว่า



    \"ขอบคุณท่านมาก สำหรับทุกสิ่ง ทั้งที่เล่าถึงความเดิมของข้า และทำให้ข้ามีอิสระในการตัดสินใจ ข้าคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว  เวลาคงเหลืออยู่ไม่มากนัก ข้าจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่มันจะสายเกินไป คงต้องขอตัวก่อน ยินดีที่ได้พบท่าน\"

    บุรุษแห่งข่าวสารพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้แล้วกล่าวว่า



    \"เข้าใจแล้ว ข้าจะคอยฟังข่าวของเจ้า ขอให้เจ้าโชคดีอีกครั้ง ฮารู นาราอี \"

    สิ้นเสียงของบุรุษแห่งข่าวสาร อารันที่กำลังจะออกจากกระท่อมไปแล้วก็หันกลับมาแล้วถามบุรุษแห่งข่าวสารว่า



    \"ลืมถามท่าน ฮารู นาราอี  คืออะไรหรือ\"



    \"มันคือชื่อที่พวกเราเหล่ามังกรใช้เรียกบุรุษในคำทำนาย มีความหมายว่า บุรุษแห่งโชคชะตา\"



    \"ขอบคุณ\"

    ยังไม่ทันสิ้นเสียง อารันหรือปราชญ์ทมิฬก็หายไปจากกระท่อมเรียบร้อยแล้ว ทิ้งให้บุรุษแห่งข่าวสารหัวเราะและรำพึงรำพันอย่างเดียวดายว่า



                                              โชคชะตาเอ๋ย เจ้าจะแปรเปลี่ยนไปเช่นใดหนอ...

    to the next chapter!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×