ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : chapter 6 ~The last intention that remains~
                                                                ตำนานแห่งเทอร์เพนไทน์
                                                    ภาค ~เรื่องเล่าของมังกร~
                                                ตอนที่ 6 เจตนารมณ์สุดท้ายที่คงอยู่
          ซิรูเฟยืนอยู่เพียงคนเดียวในความมืด เป็นความมืดสนิทอย่างแท้จริง เขามองไม่เห็นและไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเลยนอกจากความเงียบสงัดรอบตัวของเขาเท่านั้น เขาเกิดความประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา นี่เขาตายแล้วหรือ ตายด้วยนํ้ามือของชายแปลกหน้าที่จู่ๆก็โผล่มาให้เขาร่วมมือทำเรื่องเหลวไหลไร้สาระ โดยที่เขาตอบโต้อะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียวเลยอย่างนั้นหรือ เมื่อได้คิดถึงเรื่องนี้แล้วเขาก็กัดฟันแน่น ปล่อยให้ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มไปทั้งต้วด้วยความคับแค้นและความอัดอั้นตันใจ จบสิ้นกันเพียงแค่นี้แล้วหรือ เขาคิด ทุกสิ่งที่อาจารย์ได้ฝากฝังเขาไว้มันจบเพียงเท่านั้นใช่ไหม
          เขาพยายามเรียกสติให้คืนกลับมา ทำใจให้สงบนิ่ง หวนคิดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ตั้งแต่ที่เขาเริ่มเล่าเรื่องที่เขาไปสืบค้นมาให้กับอาจารย์ จนอาจารย์พาเขาร่วมทางภูเขาครีเอเชียสแต่ก็กลับถ่ายทอดพลังให้แล้วมอบเหรียญอันหนึ่งให้แก่เขา พูดถึงเรื่องเหรียญ เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ รีบล้วงไปในเสื้อของเขา คลำดูว่ามีเหรียญห้อยคอเขาไว้หรือเปล่า แล้วเขาก็พบสร้อยคอเส้นหนึ่ง เขาหยิบมันขึ้นมา พบว่าที่ปลายสร้อยมีเหรียญอันหนึ่งเปล่งประกายเรืองรองในความมืด รอยสลักบนเหรียญรูปมังกรนั้นเรืองแสงส่องวูบไหวไปมา แสงนั้นเริงระบำคล้ายกับมังกรในรูปสลักนั้นมีชีวิตอยู่จริง ซึ่งทันทีที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับเหรียญ จิตใจของเขาก็เหมือนกับถูกปลดปล่อยจากการจองจำอันยาวนาน ความขุ่นข้องหมองมัวต่างๆที่ผ่านมาล้วนปลาสนาการไปสิ้น มันทำให้เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆได้ลื่นไหลมากขึ้น
          จากนั้นความคิดคำนึงต่างๆก็ประดังเข้ามา เรื่องที่อาจารย์ของเขาได้เล่าให้เขาฟังนั้นเขาก็เข้าใจและจับใจความที่อาจารย์ต้องการจะสื่อถึงเขาได้มากขึ้น แล้วเขาก็ไล่ความคิดไปเรื่อย จนถึงตอนที่มาถึงเมืองเวเนร่า ได้พบเจอกับหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่ง ทั้งยังได้อุ้มเธอไว้ก่อนที่เขาจะหมดสติไปด้วย เธอคนนี้เป็นใคร มีความเกี่ยวข้องอะไรกับชายแปลกหน้าคนนั้นกันแน่ ทำไมชายคนนั้นจึงต้องการตัวเธอนัก แล้วทำไม เธอจึงสามารถทำลายภาพลวงตาที่เกิดขึ้นแม้กระทั่งกับเขาที่เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ได้
          เขาได้แต่เก็บความสงสัยเหล่านี้ไว้ในใจ เบี่ยงประเด็นไปที่เรื่องอื่นต่อ เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า มีคนช่วยเขาไว้จากชายแปลกหน้าคนนั้น ชายที่มีชื่อว่า ไอลาธ ปรากฏตัวเข้ามาช่วยเขา พร้อมๆกับหนุ่มสาวอีกสามสี่คน ทว่าความทรงจำของเขามันเลือนรางเกินไป ไม่สามารถจดจำใบหน้าของพวกเขาไว้ได้ ทว่ามันจะมีประโยชน์อะไร หากเขาไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับไปยังเทอร์เพนไทน์ ดินแดนที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั้นมาตลอดสิบเจ็ดปีได้ ความรู้สึกนึกคิดของเขาเริ่มมืดมนลงอีกครั้ง...
          ทันใดนั้น ทุกสิ่งพลันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เมื่อครู่นี้ยังมืดสนิท ขณะนี้รอบตัวเขากลับกลายเป็นสว่างพร่า จนเขารู้สึกแสบตาไปหมด ต้องหลับตาแน่น เขารับรู้ได้ถึงแสงสว่างที่ลอดผ่านผนังตาเข้ามา มันช่างอบอุ่น อย่างน่าแปลกประหลาด นํ้าตาของเขาไหลออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงของคนผู้หนึ่งที่เรียกชื่อ... เสียงที่คุ้นเคย มาตลอดนับตั้งแต่ที่เขาจำความได้ เป็นเสียงของดาโวลท์ อาจารย์ของเขาเอง
\"อาจารย์ นั่นท่านใช่ไหม ท่านกลับมาแล้วใช่ไหม\"
เขาเช็ดนํ้าตาออกแล้วพยายามลืมตาขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้ เขารู้สึกปวดตาอย่างรุนแรง ได้แต่หลับตาให้แน่นไว้ดังเดิม
\"อะไรกัน เจ้าร้องไห้ทำไม อาจารย์บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามร้องไห้น่ะ อาจารย์บอกแล้วว่าอย่างไรเราก็ต้องได้พบกันอีก แต่ที่เจ้าพูดมามันก็ถูกส่วนหนึ่ง ครั้งนี้อาจารย์กลับมาหาเจ้าโดยเฉพาะ มาเพื่อบอก เจตนารมณ์ ที่ยังไม่สมบูรณ์ของ อาจารย์ให้เจ้าได้รับรู้ ฟังนะ ซิรูเฟ อาจารย์มีเวลาไม่มากนัก...\"
\"เดี๋ยวก่อนขอรับ หมายความว่าอย่างไรที่อาจารย์พูดว่า มีเวลาไม่มากนัก ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกันหรือครับ\"
ซิรูฟถามแทรกขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
\"...มันก็ไม่เชิงหรอกนะ ซิรูเฟ อาจารย์จะคอยดูเจ้าอยู่ห่างๆเสมอ แต่ขอให้เจ้ารู้ไว้ว่าอาจารย์ยังอยู่กับเจ้าเสมอ เอาล่ะ ในตอนนี้ อะไรหลายๆอย่างอาจจะประเดประดังเข้ามาหาเจ้ามากมายจนเจ้ารับไม่ไหว แต่ขอให้ฟังอาจารย์ดีๆนะ มนุษนย์น่ะ ทุกๆครั้งที่เกิดมาครั้งหนึ่งในภพนี้ก็จะต้องได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งเสมอ ซึ่งหน้าที่นั้นก็จะแตกต่างกันไป ตามแต่องค์มหาเทพโครนอสจะทรงเลือกนั่นล่ะ หน้าที่บางหน้าที่หรืองานบางงานก็ช่างง่ายดายในสายตาของคนรอบข้าง แต่บางหน้าที่ก็ช่างลำบากลำบนยิ่ง
          อาจารย์กำลังจะบอกว่า ทุกหน้าที่หรืองานที่ได้รับมอบหมายมานั้นล้วนลำบากยากเย็นทั้งสิ้น แต่ช่วงเวลาอันยากเข็ญที่แต่ละคนได้รับนั้นจะอยู่กันคนละช่วง เจ้าเป็นหนึ่งในพวกที่ได้รับหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่นะ ซิรูเฟ ซึ่งมันก็ต้องแลกมาด้วย ความลำบากยากเข็ญนานัปการเช่นเดียวกัน อาจารย์อยากจะให้เจ้ารู้ไว้ว่า เมื่ออุปสรรคทุกอย่างที่ขวางกั้นภารกิจของเจ้า จบลงแล้ว ท้ายที่สุดความสงบสุขก็จะเกิดขึ้นกับตัวเจ้าอย่างแน่นอน อาจารย์คงจะปลอบใจเจ้าได้เพียงเท่านี้...
          ยังมีเรื่องที่อาจารย์จะต้องฝากเจ้าไว้อีกหลายเรื่อง อย่างแรก คนส่งข่าวที่เป็นมนุษย์ครึ่งม้าจะมาหา เจ้าไม่ต้องระแวง คนนี้ ถึงแม้ท่าทางภายนอกของเขาดูจะไม่น่าไว้ใจก็ตาม ที่สำคัญ เขาจะนำข่าวที่เจ้าต้องการจะรู้มาบอก คอยฟังไว้ให้ดี อีกเรื่องหนึ่ง เจ้าจะต้องพบกับคนมากหน้าหลายตา เขาจะมาร่วมงานกับเจ้าในการทำหน้าที่ภารกิจต่างๆ เจ้าจะต้องหัด ที่จะเรียนรู้การเข้าสังคม รู้จักว่าใครสมควรไว้ใจหรือไม่ไว้ใจ ไม่ใช่กระทำการต่างๆด้วยตัวคนเดียว มันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเจ้า แต่ถ้าทำได้แล้ว พลัง ของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณทีเดียว
          แล้วสุดท้าย เรื่องของเหรียญมังกรฟ้า รู้สึกว่าเจ้าจะได้ใช้พลังของมันไปครั้งหนึ่งแล้ว ขอให้เจ้าเรียนรู้ที่จะใช้มัน ให้เกิดประโยขน์อย่างทีสุด แล้วอาจารย์เชื่อว่าเจ้าจะรอดพ้นจากภยันตรายที่คอยบีบคั้นจิตใจของเจ้าได้เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว เห็นทีจะต้องลากันสักที เจ้าเองก็คงจะอยู่บริเวณนี้ไม่ได้นานนักหรอก เพราะมันไม่ใช่ที่ของเจ้า ฉะนั้นเจ้าจงกลับไป ยังที่ๆเจ้าจากมา ณ บัดนี้!\"
\"ไม่ขอรับ ท่านอาจารย์ ไม่ ศิษย์ยังไม่อยากจากท่านไป ยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่ศิษย์ต้องการจะถามท่าน ไม่!~\"
          ไม่ว่าจะทัดทานอย่างไรซิรูเฟก็ไม่สามารถขัดขืนได้ เขารู้สึกว่าร่างของเขากำลังถูกแรงชนิดหนึ่งดันเขาให้ลอยห่างออกไป เรื่อยๆจากจุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่นี้ แสงสว่างยิ่งเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆจนเขาไม่สามารถลืมตาได้เลยแม้สักชั่วขณะ ไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งลืมตาแล้วเบิ่งมองร่างของอาจารย์ที่กำลังจะล่วงลับไปแล้วเป็นครั้งสุดท้าย เขาลอยขึ้นมาเรื่อยๆ รู้สึกว่ามิติอากาศรอบตัวเขาเริ่มบิดเบี้ยวและเสียดสีไปมา ซิรูเฟพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะเปล่งเสียงออกมาเป็นครั้งสุดท้ายว่า
\"ท่านอาจารย์ ได้โปรดอย่าทอดทิ้งข้าไป!~\"
          แต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เขาได้ยินเสียงของเขาเองในบรรยากาศที่แตกต่างออกไป ซิรูเฟเบิกตาโพลงขึ้นมา หอบหายใจถี่ระรัวจนตัวโยน รอบตัวเขานั้นไม่สว่างเจิดจ้าจนแสบตาอีกต่อไป ทั้งยังไม่มืดสนิทเหมือนช่วงเวลา ก่อนที่เขาจะได้พบอาจารย์ แต่บรรยากาศนั้นกลับเป็นสีครีมสว่างดูสบายตาและร่มรื่นน่าอยู่ แม้ว่าทัศนียภาพของเขา จะยังพร่ามัวอยู่เล็กน้อย แต่ก็ชัดเจนพอที่เขาจะกวาดตาสังเกตรายละเอียดคร่าวๆได้ เขาพบว่ามีคนอยู่ในห้องประมาณ สามสี่คน หนึ่งในนั้นหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า
\"เฮ่ นี่ เป็นอะไรรึเปล่า เจ้าละเมอพูดออกมาอย่างกับคนติดพ่อเลยรู้มั้ย\"
ซึ่งคำพูดนี้ก็ทำให้ซิรูเฟขยี้ตาแรงๆแล้วเขม่นหน้าไปยังเด็กหนุ่มผมนนํ้าตาลที่เป็นคนพูด แล้วถามตอบไปว่า
\"แล้วเจ้าเป็นใครล่ะ เจ้าไม่มีพ่อแม่ให้เรียกหาหรือยังไงถึงได้พูดเช่นนี้\"
\"เจ้า...หนอย ปากดีนักนะ รู้สึกว่าเจ้าอยากจะนอนต่อมากเลยใช่ไหม เดี๋ยวข้าจะสงเคราะห์ให้เอง\"
เด็กหนุ่มผมนํ้าตาลพูดอย่างมีนํ้าโหพลางลูบกำปั้นของตัวเองอย่างมั่นใจ
\"ดีแต่ใช้กำลังสินะเจ้าน่ะ ข้าเกลียดคนประเภทนี้ที่สุดเลย ได้เลย ข้าจะเป็นคนสั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึกเอง\"
แล้วเขาก็ปลดปล่อยจิต ถ่ายทอดพลังสู่ฝ่ามือจนนิ้วแต่ละนิ้วของเขาเปล่งแสงออกมาเป็นสีฟ้าจางๆ
\"พอที! ทั้งสองคนนั่นล่ะ ทำตัวเป็นเด็กเป็นเล็กไปได้ เฮลมุท สำหรับเจ้าน่ะ ทีหลังก่อนที่จะพูดก็หัดคิดซะบ้าง ไม่เช่นนั้นเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้คงไม่ถึงกับจะปะทะกันแบบนี้หรอก แล้วก็เจ้า ต้องขออภัยแทนเจ้านี่ด้วยนะ แต่ไหนแต่ไรมันก็พูดแบบไม่เคยคิดอยู่แล้ว ว่าแต่ ก่อนจะพูดกับคนอื่นเจ้าก็ควรจะแนะนำตัวก่อนใช่ไหม เอาล่ะ บอกพวกเราหน่อยได้ไหมว่าเจ้าชื่ออะไร\"
เด็กหนุ่มผมบลอนด์ในชุดสีฟ้าอ่อนดูเป็นผู้ใหญ่กว่าพูดขึ้น ปรามทั้งสองคนให้สงบลงได้อย่างน่าประหลาด
“อืม ดูเหมือนว่าจะมีคนฉลาดอยู่เหมือนกันนะ ต้องขออภัยที่เสียมารยาทในสิ่งที่ทำลงไปเมื่อครู่นี้ ข้าชื่อ ซิรูเฟ อาเวลอน มาจากเมืองแฮลล่า ข้าได้รับฝากฝังให้มาที่นี่จาก คำสั่งเสียของอาจารย์ของข้า ยินดีที่ได้รู้จักทุกๆคน”
“อ้อ อาจารย์คนนี้เองสินะที่เจ้าเรียกหา หึ ชื่อของข้า เฮลมุท ฮาราฟ”
เมื่อเฮลมุทพูดจบก็ทำให้เด็กหนุ่มผมบลอนด์หันขวับไปมองเอลมุทด้วยความขุ่นเคือง พร้อมทั้งกล่าวว่า
“เฮลมุท ถ้าเจ้าพูดแบบนั้นอีกแม้แต่ครั้งเดียวล่ะก็ ข้าจะเป็นคนจัดการเจ้าเอง เอาล่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ซิรูเฟ ข้าขื่อว่า ราเมาท์ นัวร์สโตรมา”
แล้วเขาก็ยื่นมือมาที่ซิรูเฟให้เขาจับทักทาย ซึ่งซิรูเฟก็ยอมรับมันด้วยความเต็มใจ เมื่อเฮลมุทเห็นก็แค่นเสียงในลำคอ พร้อมทั้งกอดอกพิงกำแพงพลางสะบัดหน้าไปทางด้านอื่น แล้วก็มีเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลร่างบึกบึนเดินเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า
“ยินดีที่ได้รู้จัก เจ้าคือ...ซิรูเฟ...อาเวลอนสินะ ข้ามีนามว่า นีลโด้ เออเควส จำไว้ให้ดีล่ะ”
ถึงแม้ว่าซิรูเฟจะรู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกๆ แต่เมื่อมองจากแววตาของเขาก็รู้ว่าเขามีจิตใจดี จึงยอมรับคำแนะนำตัว และมือที่ยื่นมาทักทายเขาอีกครั้งแต่โดยดี จากนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาเพื่อทำความรู้จักกับเขาอีกคน
“นี่ เจ้าจำชื่อของคนอื่นได้หมดแล้วอย่าลืมจำชื่อของข้าไปด้วยอีกคนล่ะ ข้าชื่อว่า ฟอนเทส เอเลนน่า ยินดีที่ได้รู้จักนะ ซิรูเฟ”
          แล้วเธอก็ยื่นมือออกมาเช่นกัน ซิรูเฟรู้สึกเขินอายจนไม่กล้าจับมือของเธอ แต่เมื่อได้เห็นแววตาที่ใสบริสุทธิ์ที่จ้องมองเขา อย่างรอคอยของเธอแล้ว เขาจึงยื่นมือเข้าไปตอบรับการแนะนำตัวด้วยอาการที่ตะกุกตะกักเล็กน้อย หลังจากได้ทำความรู้จัก กับทุกคน ในห้องแล้ว ซิรูเฟก็เอ่ยปากถามว่า
“เอาล่ะ ข้าคิดว่าตอนนี้เราคงจะทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้วสินะ ทีนี้ขอข้าถามอะไรหน่อยได้ไหม ตกลงนี่ข้าอยูในเมืองเวเนร่า แล้วใช่ไหม คงจะอยู่ในที่พักหรือสถานพยาบาลอะไรประมาณนั้นกระมัง แล้ว ทำไมพวกเจ้าถึงมาคอยดูแลอาการของข้าทั้งๆที่ เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน”
“อืม ถูกของเจ้า ขณะนี้เจ้ากำลังอยู่ในห้องพยาบาลประจำ เวเนร่า อาคาเดมี่  เจ้ารู้ตัวไหมว่าเจ้าน่ะ สลบไสลไม่ได้สติ มาสามวันเต็มแล้วนะ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเดินทางมาจากเมืองอันห่างไกล แล้วก็ปะทะกับ เมมฟิส เดอะ สตรอมโครว์ มาก่อนที่พวกเราจะไปช่วยเจ้าออกมาได้ทันการก็ตาม ก็ไม่น่าจะเมื่อยล้าได้ถึงเพียงนี้ ความจริงพวกเราคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว เสียด้วยซ้ำ ว่าจะมาดูอาการเจ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วล่ะ แต่เจ้าก็ได้สติพอดี ความจริงที่พวกเรามาดูแลเจ้านั้นเป็นคำสั่ง ของท่าน ไอลาธน่ะ ท่านฝากให้พวกเราดูแเจ้าให้ดีด้วย ก็เท่านั้นเอง”
เฮลมุทเป็นคนตอบคำถามของซิรูเฟ เขาพูดช้าๆเพื่อให้ซิรูเฟที่เพิ่งฟื้นจะได้เข้าใจในทุกคำพูดของเขา ดูจากท่าทางที่เขาพูด ก็รู้ได้เลยว่าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ซึ่งนั่นก็ทำให้ราเมาท์ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ซิรูเฟก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
“หืม สามวันเชียว น่าแปลก ข้าไม่เคยหลับนานขนาดนี้มาก่อน ต่อให้ข้าเมื่อยล้าแทบตายก็ไม่เคยกินเวลาเกินครึ่งวัน... อ้อ ไอลาธ คนนั้นน่ะเอง ท่านผู้นั้นคงเป็นคนที่ช่วยข้าไว้จากเจ้าคนเสียสตินั่นใช่ไหม นับว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านผู้นั้นมากเลย ทีเดียว เขาเป็นใครกันแน่ ถึงสามารถขับไล่ชายที่ชื่อว่าเมมฟิสออกไปได้ พวกเจ้าก็เช่นเดียวกัน เหตุใดท่านจึงใช้งานพวกเจ้า แทนที่จะใช้คนอื่นมาดูแลข้า”
ซิรูเฟพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“...บางทีอาจจะไม่แปลกก็ได้ เจ้าเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ใช่ไหมล่ะ เมื่อเจ้าเค้นพลังของเจ้าออกมาใช้จนหมดแล้ว แรงกายรวมทั้ง แรงใจของเจ้าก็คงแทบจะหมดสิ้น ข้าไม่สงสัยเลยว่าทำไมเจ้าถึงสลบไปนานขนาดนั้น สำหรับในกรณีนี้ที่เกิดขึ้น กับจอมเวทบางคนก็อาจถึงขั้นเป็นเจ้าชายนิทราเลยทีเดียว ส่วนเรื่องของท่านไอลาธ ใช่แล้วล่ะ ท่านเป็นถึงประธานสภา ผู้ใช้เวทมนตร์แห่งเทอร์เพนไทน์ รวมกับมีพวกเราเป็นกำลังเสริม คงไม่แปลกหรอกที่เมมฟิสจะรู้ตัวว่าเสียเปรียบแล้วล่าถอยไป”
คราวนี้ราเมาท์เป็นผู้ตอบคำถามของซิรูเฟแทน
“เรื่องนี้จะว่าไปแล้วถ้าจะให้พูดก็คงอีกยาวเลยทีเดียว เอาเป็นว่า ตามพวกเรามาก่อนก็แล้วกัน ซิรูเฟ เราได้รับคำสั่งมาว่า เมื่อเจ้าฟื้นแล้วให้พวกเราพาเจ้าไปพบท่านเจ้าเมืองก่อน หลังจากที่เจ้าพบแล้วข้าคิดว่า เจ้าคงจะได้รู้อะไร หรือไม่ก็คงจะได้ ถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น เอาล่ะ เจ้าเดินได้อยู่ใช่ไหม ไปกันเถอะ”
          หลังจากที่ได้รับคำชวนจากราเมาท์ ซิรูเฟก็พยักหน้าตอบรับคำชวนนี้แต่โดยดี เดินตามหนุ่มสาวทั้งสี่คนออกจากห้องไป สู่ตึกผู้อำนวยการอันสวยหรูที่ตั้งอยู่ไกลออกไปทางเหนือ บริเวณใจกลางเมือง ในตอนนี้เขาเริ่มตระหนักรู้ถึงเค้าแห่งความจริง ที่ก่อตัวขึ้น พร้อมๆกับปริศนาใหม่ที่ขมวดปมเพิ่มเข้ามาทีละน้อย..
          ทว่า เขาพลันฉุกคิดได้ถึงเรื่องของหญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ธิดาจันทรา เขาจึงเอ่ยปากถามราเมาท์อย่างฉับพลันว่า
“เอ่อ ราเมาท์ แล้วเรื่องของหญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ธิดาจันทรา น่ะ เธอเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
“หืม ข้านึกว่าเจ้าลืมไปแล้วเสียอีก แต่ก็นะ เจ้าอุ้มนางไว้ในอ้อมกอดของเจ้าก่อนที่เจ้าจะหมดสติไปนี่นะ ไม่ต้องเป็นห่วงไป หรอก ขณะนี้นางพำนักรักษาตัวอยู่ที่จวนของเจ้าเมือง ได้รับการอารักขาอย่างดีเลยทีเดียว อีกไม่นานพวกเราคงได้ไปเยี่ยมอยู่ หรอก เอาล่ะ เดินต่อไปก็แล้วกัน”
ราเมาท์ตอบคำถามแล้วชวนซิรูเฟให้เดินต่อ
“เดี๋ยวก่อน นางเป็นใครกันแน่ เหตุใดเมมฟิสจึงต้องการตัวนางนัก”
ซิรูเฟยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่จึงถามต่อ
“อืม เอาเป็นว่าเจ้าได้รู้แน่ แต่หลังจากที่พวกเราเดินทางถึงอาคารผู้อำนวยการ เวเนร่า อาคาเดมี่เสียก่อน เพราะเรื่องที่เจ้าถาม ข้ามานั้นล้วนมีคำตอบ ขอให้เดินทางไปพูดคุยกับท่านผู้อำนวยการก่อนได้ไหม เอ้า รีบไปเร็ว พวกนั้นเดินนำไปไกลแล้ว”
ราเมาท์รีบตัดบทพลางดุนหลังซิรูเฟให้เดินหน้าต่อไป
อีกไม่นาน ความจริงทุกอย่างก็จะเปิดเผยแล้วสินะ ดี จะได้รู้กันสักทีว่าอะไรเป็นอะไร ข้าจะได้รู้ว่าอาจารย์ต้องการจะให้ข้าทำอะไรกันแน่ เขาคิดพลางเดินตามราเมาท์ไปด้วยความเร็วที่มากขึ้น...
          ในขณะเดียวกัน ในส่วนลึกของภูเขาครีเอเชียส เหล่ามังกรกำลังรวมกลุ่มชุมนุมกันครั้งใหญ่ที่ห้องโถงประชุมแห่งมังกร ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชายลึกลับหรือนักปราชญ์ทมิฬเคยมาสำรวจที่แห่งนี้แล้วครั้งหนึ่ง ต่างกันที่เมื่อตอนนั้น ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตปรากฏให้เห็น แต่คราวนี้ เหล่ามังกรน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในส่วนลึกของภูเขาแห่งนี้ล้วนมาชุมนุมกันอย่างถ้วนทั่วจนน่าตะลึงลาน ทุกระเบียดนิ้วที่เคยว่างเปล่าถูกเติมเต็มด้วยร่างของมังกรและมนุษย์ครึ่งมังกรจำนวนมากมายเหลือคณา อย่างไรก็ตาม ไม่มีวี่แววของมังกรดำและมังกรขาวที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อวานปรากฏตัวให้เห็นเลย
          เสียงพูดคุยกันเป็นภาษารูนดังเซ็งแซ่ไปทั่วห้องโถง เหล่ามังกรต่างก็พูดคุยกันอย่างออกรสได้ที่ แต่แล้วเสียงพูดคุยนั้นกลับเงียบหายไปเกือบหมดเมื่อมังกรขนาดยักษ์สิบสองตนแสดงตัวออกมานั่งแยกย้ายกันตามที่นั่งประจำของตนที่เป็นรูปสัญลักษณ์ทั้งสิบสองแบบ หลังจากมังกรสิบสองตนประจำที่เรียบร้อยแล้วก็มังกรมีมังกรสีทองอร่ามซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในห้องบินมาจากทางระบายอากาศขนาดยักษ์ลงมาประทับนั่ง ดูจากท่าทางของมันก็รู้ได้เลยว่ามันเป็นจ้าวแห่งมังกรที่อาศัยอยู่ในภูเขาแห่งนี้
        หลังจากมังกรตัวสุดท้ายประทับนั่งลงบนที่นั่งประธานแล้วมังกรทั้งหลายที่เข้าร่วมเป็นผู้ชมในการประชุมครั้งนี้ก็ พากันโห่ร้องอวดอ้างศักดาของตนจนพื้นผนังห้องโถงประชุมเกิดการสั่นสะเทือนไปมา บางตัวก็ส่งเสียงครางทุ้มตํ่า อย่างแผ่วเบาเป็นการไว้วางใจในอำนาจของคณะประชุมที่ตนเข้าพวกอยู่ แต่แล้วเสียงโห่ร้องอื้ออึงทั้งหมดพลันเงียบหายลง เมื่อจ้าวมังกรเปล่งเสียงออกมาคำหนึ่ง รัศมีอันเรืองรองแห่งจ้าวเปล่งประกายเจิดจ้าและแผ่กระจายไปทั่วห้องโถง คล้ายจะเป็นการป่าวประกาศให้มังกรทุกตัวอยู่ในความสงบ คำคำนี้เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจที่สามารถสยบพลังของมังกร ตัวอื่นได้อย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นมันก็ผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณที่มังกรทุกตัวเงียบเสียงลงได้ แล้วจึงกล่าวด้วยเสียงอันดัง เป็นภาษารูนว่า
\"ฮอยน์.ซิมูน บา ดราโก้ เทย์โล, อัล ล็อก อุล เด ซุล นิม มาล ซุล เอดิด ชาลด์ ซุล ดา โดน เด ซานธัม. อา คินด์ ลูสซูล กาลู ราล์ม ซิม ครอน วาห์ส ครัสเต ซันทูร์ แนธ. เดนนิเลส, เทย์โล ,ลูสซูล พอซูล เวซ เทอริ นิม อัลลาดอร์น ชา นิม อาล.วา บูรีย์ อุล อาร์ล เอดิตต้า, อัล นาดาน อุล ซุล รีฟซ์ ลูล สเทรอล ราล์ม แนธ นูม สทรอล บา เด ทิมมิต มอฟ มูร์น มาล มอฟ คีมอท...ริม...อัล ลิน ทราส ทิมมิด เด!\"
(สวัสดี เหล่าพี่น้องผองชนแห่งเผ่าพันธุ์มังกร วันนี้ ข้าเรียกพวกท่านมาที่นี่เพื่อที่จะให้พวกท่าน เข้าร่วม และ ตัดสินใจ ว่าจะทำอะไรกันดีในสภาวการณ์เช่นนี้ ข้าคิดว่าพวกท่านทุกคนในที่นี้คงจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าขณะนี้ สถานการณ์คับขันเพียงใด อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ พวกท่านจะต้องทำการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างร่วมมือกับอัลลาดอร์น หรือเลือกที่จะร่วมมือ กับฝ่ายของข้า แต่ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ข้าอยากจะให้พวกท่านได้รับฟังประเด็นทั้งหมดซึ่งเป็นจุดประสงค์หลัก ของการประชุมครั้งนี้จากข้า และจากคณะประชุมเสียก่อน...ดังนั้น...ข้าจึงขอเริ่มการประชุม ณ บัดนี้!)
          แล้วจ้าวมังกรก็คำรามออกมาดังก้องเป็นการเปิดการประชุม ผนังหินปูนอันแข็งแกร่งและเพดานที่อยู่สูงลิบลิ่ว ยังต้องสั่นสะเทือนไปตามการคำรามนี้ ทั้งยังส่งผลให้มังกรบางตัวหยุดนิ่ง หรือไม่ก็สั่นระริก ด้วยเพราะไม่อาจจะทนทานรัศมีแห่งจ้าว ทำให้เหล่ามังกรเหล่านี้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้สะดวกนัก  หลังจากที่คำรามออกมาได้สักพัก จ้าวมังกรก็ไล่สายตามอง จากมังกรที่นั่งประจำอยู่ที่สัญลักษณ์แห่งลมไปเรื่อยๆตามกลุ่มสัญลักษณ์ธาตุ ซึ่งกลุ่มนี้นั่งเรียงรายอยู่ทางฝั่งซ้ายของจ้าวมังกร ส่วนอีกด้านหนึ่งของโต๊ะเป็นกลุ่มของสัญลักษณ์อาวุธซึ่งนั่งพร้อมหน้ากันทั้งหกตนเช่นกัน
          จากนั้น จ้าวมังกรที่กวาดตามองมังกรทั้งสิบสองตนที่ร่วมประชุมเรียบร้อยแล้วก็ผายมือไปทางมังกรแห่งลม แล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณให้มังกรตัวนี้เริ่มพูดได้ เมื่อได้เห็นดังนั้นมังกรลมจึงไม่เกรงใจ เริ่มพูดออกมาเป็นภาษารูนว่า
“ อาห์ล เรฟเซ มากุม มอฟ อัลลาดอร์น เด มินาน นามู บา มากุม แนธ อีรุย แนธ เวกธัว ซุล ดิฟ เรอมา โซนซ์ ซุล เคดา \"ลาอูม\" บา บาร์ด วิธ แนธ เอวิล ราล์ม โซนซ์ แนธ เด อานทู เพรส  เด อานทู ฮาล์ว บา มินทรู แนธ จิอูส  อีรุย นาดาน ฮาลาวาเร ซุล ทาอัค รูท ราล์ม \"ลาอูม\" ริม อีรุย เดนส์ เด มากุม ซุล อัล
          พาล อีรุย ชาม ทาอัต ลูท มินทรูอา ลาอูม บา บาร์ด, อีรุย นี เวก ซุล ทาอัค ออเรลัส -นามู ฮานา บา เฮมเร- ดิสพีเอเดร มาล อุห์น เบรอี นู นามู ฮานา บา  อัล อัลลาดอร์น นี ดอว์น พราอัม ซอ เอลเลส เทอี มาล รอนีวา รา บัสเตน พราม นี เรฟเซ มาคอส บา เดรูเอ มาล มาเอ นี เรฟเซ คอพทิลิต้า คูเต้ เรอมาลิ
          ริม อาห์ล กริม เด สเทรอล ซุล ทัลซัค อุล ราล์ม อุล แนธ ทาแรน ซุล ดา คามกี ชารุ อลุม, เวซ ซุล อีวู เด มาล เรว ลา รอย เลอมา โซร ชา เวซ ซุล เครอ ทิวู อัลลาดอร์น,เคดา รูท ลาอูม มาล ทาอัค นามู ฮานา บา เฮมเร ชา เวซ ซุล ดา คามกี อีเคาท์ เด... 
(ข้าได้รับสารมาจากทางอัลลาดอร์นเมื่อเช้านี้ ใจความของสารนั้นก็คือ พวกมันกำลังหาโอกาสเหมาะที่จะทำลาย “กำแพง” ของบาร์ด  ซึ่งคาดว่าโอกาสนั้นคือคืนนี้ เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนที่อำนาจแห่งมนตราอ่อนแรงที่สุด พวกมันจึงต้องการกำลังพลเพิ่มเติมที่จะบุกฝ่า “กำแพง” อันนั้น ดังนั้นจึงได้ส่งสารนี้มายังกลุ่มของเรา
          หลังจากที่พวกมันสามารถบุกฝ่ากำแพงมนตราของบาร์ดไปได้แล้ว พวกมันจะบุกไปถล่ม ออเรลัส นครหลวงของมนุษย์ให้ราบคาบ จากนั้นจึงค่อยสร้างนครหลวงแห่งพวกเราเหล่ามังกรขึ้นมาใหม่ โดยที่อัลลาดอร์น จะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัติริย์แทน แล้วใครก็ตามที่เลือกสนับสนุนมันก่อการครั้งนี้ก็จะได้รับการปูนบำเหน็จอย่างงาม และอาจจะได้รับตำแหน่งทางการปกครองหรือที่ดินบางส่วนตามสมควรด้วย 
          ดังนั้น ข้าจึงนำเรื่องนี้มาปรึกษาพวกท่านดู ว่าพวกท่านสนใจกระทำการอันใดหรือไม่ อย่างไร จะเลือกที่จะอยู่ที่นี่แล้วรอคอยเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ หรือจะเลือกที่จะร่วมมือกับอัลลาดอร์น ทลายกำแพง แล้วบุกนครหลวงแห่งมนุษย์ หรือ เลือกที่จะทำอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้...)”
          หลังจากที่มังกรแห่งสายลมที่มีสีผิวสีเขียวอ่อนพูดไปได้พักหนึ่งก็แว่วเสียงกระซิบดังเซ็งแซ่ไปทั่วห้องโถงอีกครั้ง คราวนี้เสียงพูดคุยปรึกษาดังขึ้นกว่าเดิม สีหน้าของเหล่ามังกรแต่ละตนดูจะกังวลมากขึ้น แต่เสียงกระซิบก็เงียบหายไปอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมังกรแห่งสายลมทุบโต๊ะประชุมแล้วคำราม ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อไปว่า
“พาล อาห์ล ทัลซัค ทิวู แน็ก บา รูนิค ดราโก้ลาร์ อาห์ล รา แนธ เทอิค บา ลาร์ส พอช นีออพ ราล์ม อลา ลาร์ส นาดาน ซุล  พีคู นา อีวู เด เพรส ไอรา ดาน นาดาน ซุล เนคเซ อีเคาท์ มาล นาอากี ไอลาร์ส ดาน นาดาน ซุล พอช อีลเรซ ทิวู นาอา เซรอส โดน รอนี ซุส. อาห์ล นี วาส ซาจ เด มาล อลุม ทวาลา อูลา แน็ก บา เทซาร์ด ดราโกลาร์ อาราเดียน
(จากที่ข้าได้ไปประชุมกับมังกรกลุ่มสัญลักษณ์แห่งธาตุมาแล้ว ข้า ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มขอให้ความเห็นว่า กลุ่มของเราต้องการที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไป เนื่องเพราะไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวโลกภายนอก และอีกประการ กลุ่มของเราก็ไม่ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์อื่นไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ข้าขอให้ความเห็นเพียงเท่านี้ แล้วกลุ่มสัญลักษณ์แห่งอาวุธของท่านเล่า อาราเดียน)”
มังกรลมกล่าวแล้วก็ผายมือที่เป็นกรงเล็บไปทางมังกรเกล็ดสีน้ำเงินแกมเขียวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงกันข้ามกับมัน ทางกลุ่มนั้นก็ปรึกษากันครู่หนึ่งก่อนที่มังกรตัวนั้นจะกล่าวตอบว่า
“ ทาคูร์ นาร์นู อาห์ล อาราเดียน รา แนธ เทอิค บา แน็ก บา เทซาร์ด ลาร์ส นาดาน ซุล ดลูซเดน นีออพ ฟรีเบอี. เค แนธ ลาร์ส รา นาดาน ซุล เครอ ทิวู อัลลาดอร์น โดน ไอลาร์ส ,ทิวู บลิว ทรีโบ, อวาส แนธ ซุล อาเซน เฮมเร มาล นิวา ทรีโบ แนธ นาดาน ซุล แนธ โฟล์ว, ซุล แนธ อีเคาท์ วา ลาร์ส รา นาดาน ซุล อีวู เด แนธ จิอู มาล อลุม ทวาลา อุล, อูลาดิอัส พอช อุล เอดิดต้า ชาล ซุล ดา
(ขอบคุณ นาร์นู ข้า อาราเดียน เป็นตัวแทนของกลุ่มสัญลักษณ์แห่งอาวุธ ขอสรุปมติของกลุ่มอย่างคร่าวๆว่า กลุ่มของข้า มีทั้งพวกที่ต้องการจะร่วมมือกับอัลลาดอร์น ด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งคือต้องการล้างแค้นมนุษย์ ส่วนอีกประการ คือต้องการความอิสระ ออกไปสู่โลกภายนอก แต่พวกที่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่ก็มีอยู่เป็นส่วนน้อย  แล้วฝ่าบาทกับคนของพระองค์ได้ตัดสินกันหรือยังขอรับ ว่าจะดำเนินการเช่นใด)”
อาราเดียนถามอย่างสุภาพไปที่จ้าวมังกรที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน ซึ่งบัดนี้มังกรทุกตัวต่างก็เงียบเสียง รอคอยว่าจ้าวมังกรจะกล่าวอะไร
“ อาห์ล คินด์ ราล์ม โอบร้า อาห์ล นาดาน ซุล ดา แนธ อีเคาท์ ชาล์ด อุล มาย เพรส อาห์ล นาดาน ซุล ซอฟท์ อัลลาดอร์น ดา อาโนบร้า อีคิท เดคา ลาอูม เพรส อาห์ล คาลู อลุม มาคุส พราส ทิมา แนธ พรา ชาม ยาร์ทิพ รอนีวา รา บัสเตน พราม ไซร์ อาห์ล เมห์ พราม ดา อาโนบร้า อีเค้าท์, อาห์ล ดาน คาลู โดน เทอร์โรว เค แนธ ลิธ เอเด็ก ชานา
          เดนนิเลส ไซร์ เด แนธ อานิออส รา เออร์กา ทิวู มูร์น ราล์ม แนธ ซุล ซอฟท์ อัลลาดอร์น อาห์ล นาดาน อุล ซุล เรแทก ฮุย พรอด บา \"อานุยร์ อุริเดน\" อาห์ล คินด์ อุสซุล เอซิเลียร์ ซุล ซูอินอค ชาล์ด แนธ ชาล์ด ,ฮามา, อาห์ล ทาคูร์ อุสซุล เทย์โล อาห์ล ซอฟท์ ทิมมิด ไคด์ เด วาน อุล ชาม เวก ซอ อุล นาดาน ซุล เวก ,อาห์ล นี เอวาล วาน,ฮอยน์ 
(ข้าคิดว่าสิ่งที่ข้าต้องการจะทำอยู่นอกเหนือจากที่พวกท่านกล่าวมา เพราะว่าข้าต้องการที่จะ หยุดยั้ง อัลลาดอร์นไว้ ไม่ให้ทำอย่างอื่นนอกเหนือจากทำลายกำแพงเท่านั้น เพราะข้ารู้ดีว่าความทะเยอทะยานของมันมีมากมายเพียงใด มันพร้อมเสมอที่จะหักหลังคนที่ช่วยเหลือมันได้ต่อหน้าต่อตา ถ้าหากปล่อยให้มันกระทำการเกินเลยแม้สักนิดเดียวล่ะก็ ข้าก็ไม่อาจรู้ได้ว่า ภายภาคหน้าจะยังมีความดีเหลืออยู่หรือไม่
          อย่างไรก็ตาม หากใครเห็นด้วยกับข้า ที่จะหยุดยั้งแผนการของอัลลาดอร์น ก็ขอให้ไปรวมพลกันที่ยอดของ “หอคอยเกียรติยศ” ข้าคิดว่าพวกท่านคงมีสติแยกแยะออกว่าอะไรเป็นอะไร เอาล่ะ ขอขอบคุณทุกท่านมาก วันนี้ขอจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้ ขอเชิญพวกท่านแยกย้ายกันไปได้ตามสะดวก ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน สวัสดี)\"
          แล้วจ้าวมังกรก็กู่ก้องร้องคำรามด้วยเสียงอันดังจนผนังห้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง ก่อนที่จะสยายปีกให้กว้างออกแล้ว บินสูงขึ้นไป จนกระทั่งหายลับไปจากสายตาของเหล่ามังกรที่ยืนงุนงงอยู่ด้วยความรวดเร็ว แล้วมังกรแต่ละตัวที่เป็น คณะกรรมการในการประชุมก็ค่อยๆทยอยบินออกไปทีละตัวสองตัวเช่นกัน เหลือเพียงแต่ นาร์นู และ อาร์เดียน ซึ่งเป็นตัวแทนของมังกรสองกลุ่มนั่งรออยู่เพื่อที่จะชี้แจง ทางเลือกให้แก่มังกรบางตัวที่ยังลังเลและสับสนอยู่
          การประชุมครั้งนี้ก่อให้เกิดกระแสการเคลื่อนไหวต่างๆนานาของเหล่ามังกรที่อาศัยอยู่ในภูเขาครีเอเชียส แม้ว่าขณะนี้การประชุมได้จบลงและคณะประชุมได้จากไปทำหน้าที่ของตนเกือบหมดแล้ว เหล่ามังกรน้อยใหญ่ ที่เข้ามาดูการประชุมก็แทบจะไม่ได้หายหน้าไปไหนเลย แต่ละตัวต่างปรึกษากันอย่างว้าวุ่นว่าจะทำอย่างไรกันดี ตัวที่ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วก็จับกลุ่มคุยกัน แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆอย่างเห็นได้ชัด
          พวกที่เข้าข้างอัลลาดอร์นและพวกที่ต้องการจะทลายกำแพงของบาร์ดมีจำนวนมากที่สุด รองลงมาเป็นพวกที่รักสันโดษ ซึ่งกำลังบินกลับไปยังรังของตนอย่างสงบ ส่วนกลุ่มสนับสนุนจ้าวมังกรที่ยังไม่รู้จำนวนที่แน่ชัดก็เริ่มแยกย้ายกันไป ยังจุดนัดหมายแล้ว นาร์นูและอาร์เดียนเมื่อเห็นว่าทุกอย่างลงตัวแล้วก็ปะกาศจุดนัดหมายของกลุ่มต่างๆอีกครั้ง ก่อนที่จะจากไป หลังจากนั้น มังกรแต่ละตัวที่จับกลุ่มกันอยู่ก็แยกย้ายกันไปจนหมด  ห้องโถงประชุมที่กว้างใหญ่เหลือเพียงแต่ ความว่างเปล่าอีกครั้ง เหลือไว้เพียงแต่เค้าแห่งความแปรปรวนสำหรับคืนนี้ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้
          ที่เซาท์เลควิลเลจ เด็กชายคนหนึ่งตื่นขึ้นมาจากภวังค์อันรางเลือน หอบหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายปนหวาดหวั่น วันนี้เขาฝันเรื่องราวเกี่ยวกับมังกรอีกแล้ว แต่ความฝันนี้แตกต่างออกไปจากที่เขาเคยฝันอยู่ทุกๆคืน เนื้อหาของความฝันนี้เป็นการประชุมเกี่ยวกับมังกร ซึ่งแต่ละคืนเขาจะฝันเกี่ยวกับการสะบัดปีกท่องเที่ยวไป ผ่านภูเขา สู่ห้วงธารา ทะลุผ่านเมฆหมอกละมุน ตัดผ่านอาทิตย์ยามอัสดง โบยบินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาตื่นขึ้นมา เขาคาดว่าความฝันที่แตกต่างออกไปนี้คงจะเป็นลางบอกเหตุถึงอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น
          ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ปานรูปมังกรบนหน้าผากของเขาพลันส่องสว่างเจิดจ้า สร้างความเจ็บปวดให้เขา อย่างไม่อาจบรรยายได้ ศีรษะของเขาพองตัวแน่นจนแทบจะระเบิดออกมา เขาได้ยินเสียงแหลมสูงสะท้อนก้องอยู่ในหูว่า
“ไป ไปสู่ ถ้ำแห่งความทรงจำ”
คำพูดนี้เวียนวนอยู่ในหูของเขาจนตรึงแน่นอยู่ในความทรงจำของเขา ชื่อของถ้ำนี้เขาไม่แน่ใจว่าเป็นถ้ำที่เขาใช้เวลาว่าง อยู่กับมันตลอดช่วงเวลาแปดปีที่ผ่านมา แต่อย่างน้อย เขาก็ต้องไปที่นั่นเสียก่อนเพื่อให้มั่นใจ ว่าเป็นถ้ำแห่งความทรงจำ อะไรนั่นหรือไม่
“วิลตัน ก่อนจะออกไปไหนช่วยทำงานบ้านก่อนนะลูก”
คำพูดทำให้เด็กชายสะดุ้งด้วยความตกใจ ซึ่งเสียงเรียกนี้มาจากมารดาของเขาที่ดูจะรู้ทันไปหมดว่าเขากำลังจะทำอะไร
“ครับ ท่านแม่ แต่เอาไว้หลังจากที่ข้าออกไปทำธุระก่อนนะครับ”
          วิลตันว่าแล้วก็รีบวิ่งออกไปจากบ้านของเขาไป ไม่รับฟังคำพูดอื่นใดจากแม่ของเขาอีก เขารีบวิ่งลัดเลาะไปสู่ทางเข้าถ้ำ อย่างช่ำชอง ไม่นานก็เดินมาถึงทางเข้าถ้ำที่ถูกซ่อนไว้ในพุ่มไม้เลื้อยอันรกชัฏ เขาพบถ้ำนี้ตั้งแต่เขามีอายุได้ห้าปีแล้ว และยังแวะเข้ามาใช้เป็นที่เก็บตัวอยู่คนเดียวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เขามองไปข้างหน้า พบว่าถ้ำนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย อย่างไรก็ตาม เขาเดินถ้ำเข้าไปโดยอัตโนมัติ เพราะเสียงแหลมสูงนั้น กลับมาย้ำเตือนเขาทุกๆก้าวที่ย่ำลงไปข้างในถ้ำ
          หลังจากที่วิลตันหายลับไปในถ้ำ ร่างของไอลาธและยูเบีย คนสนิทของเขาก็ปรากฏขึ้นมาจากแมกไม้รกทึบที่อยู่ใกล้ๆ กับทางเข้าถ้ำนั้น แล้วไอลาธก็พยักหน้าให้กับยูเบีย ก่อนที่จะปล่อยให้ยูเบียเฝ้าถ้ำไว้แล้วเดินผ่านไม้เลื้อยที่บดบังถ้ำไว้อย่างเงียบเชียบ...
to the next chapter!
                                                    ภาค ~เรื่องเล่าของมังกร~
                                                ตอนที่ 6 เจตนารมณ์สุดท้ายที่คงอยู่
          ซิรูเฟยืนอยู่เพียงคนเดียวในความมืด เป็นความมืดสนิทอย่างแท้จริง เขามองไม่เห็นและไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเลยนอกจากความเงียบสงัดรอบตัวของเขาเท่านั้น เขาเกิดความประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา นี่เขาตายแล้วหรือ ตายด้วยนํ้ามือของชายแปลกหน้าที่จู่ๆก็โผล่มาให้เขาร่วมมือทำเรื่องเหลวไหลไร้สาระ โดยที่เขาตอบโต้อะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียวเลยอย่างนั้นหรือ เมื่อได้คิดถึงเรื่องนี้แล้วเขาก็กัดฟันแน่น ปล่อยให้ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มไปทั้งต้วด้วยความคับแค้นและความอัดอั้นตันใจ จบสิ้นกันเพียงแค่นี้แล้วหรือ เขาคิด ทุกสิ่งที่อาจารย์ได้ฝากฝังเขาไว้มันจบเพียงเท่านั้นใช่ไหม
          เขาพยายามเรียกสติให้คืนกลับมา ทำใจให้สงบนิ่ง หวนคิดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ตั้งแต่ที่เขาเริ่มเล่าเรื่องที่เขาไปสืบค้นมาให้กับอาจารย์ จนอาจารย์พาเขาร่วมทางภูเขาครีเอเชียสแต่ก็กลับถ่ายทอดพลังให้แล้วมอบเหรียญอันหนึ่งให้แก่เขา พูดถึงเรื่องเหรียญ เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ รีบล้วงไปในเสื้อของเขา คลำดูว่ามีเหรียญห้อยคอเขาไว้หรือเปล่า แล้วเขาก็พบสร้อยคอเส้นหนึ่ง เขาหยิบมันขึ้นมา พบว่าที่ปลายสร้อยมีเหรียญอันหนึ่งเปล่งประกายเรืองรองในความมืด รอยสลักบนเหรียญรูปมังกรนั้นเรืองแสงส่องวูบไหวไปมา แสงนั้นเริงระบำคล้ายกับมังกรในรูปสลักนั้นมีชีวิตอยู่จริง ซึ่งทันทีที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับเหรียญ จิตใจของเขาก็เหมือนกับถูกปลดปล่อยจากการจองจำอันยาวนาน ความขุ่นข้องหมองมัวต่างๆที่ผ่านมาล้วนปลาสนาการไปสิ้น มันทำให้เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆได้ลื่นไหลมากขึ้น
          จากนั้นความคิดคำนึงต่างๆก็ประดังเข้ามา เรื่องที่อาจารย์ของเขาได้เล่าให้เขาฟังนั้นเขาก็เข้าใจและจับใจความที่อาจารย์ต้องการจะสื่อถึงเขาได้มากขึ้น แล้วเขาก็ไล่ความคิดไปเรื่อย จนถึงตอนที่มาถึงเมืองเวเนร่า ได้พบเจอกับหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่ง ทั้งยังได้อุ้มเธอไว้ก่อนที่เขาจะหมดสติไปด้วย เธอคนนี้เป็นใคร มีความเกี่ยวข้องอะไรกับชายแปลกหน้าคนนั้นกันแน่ ทำไมชายคนนั้นจึงต้องการตัวเธอนัก แล้วทำไม เธอจึงสามารถทำลายภาพลวงตาที่เกิดขึ้นแม้กระทั่งกับเขาที่เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ได้
          เขาได้แต่เก็บความสงสัยเหล่านี้ไว้ในใจ เบี่ยงประเด็นไปที่เรื่องอื่นต่อ เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า มีคนช่วยเขาไว้จากชายแปลกหน้าคนนั้น ชายที่มีชื่อว่า ไอลาธ ปรากฏตัวเข้ามาช่วยเขา พร้อมๆกับหนุ่มสาวอีกสามสี่คน ทว่าความทรงจำของเขามันเลือนรางเกินไป ไม่สามารถจดจำใบหน้าของพวกเขาไว้ได้ ทว่ามันจะมีประโยชน์อะไร หากเขาไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับไปยังเทอร์เพนไทน์ ดินแดนที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั้นมาตลอดสิบเจ็ดปีได้ ความรู้สึกนึกคิดของเขาเริ่มมืดมนลงอีกครั้ง...
          ทันใดนั้น ทุกสิ่งพลันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เมื่อครู่นี้ยังมืดสนิท ขณะนี้รอบตัวเขากลับกลายเป็นสว่างพร่า จนเขารู้สึกแสบตาไปหมด ต้องหลับตาแน่น เขารับรู้ได้ถึงแสงสว่างที่ลอดผ่านผนังตาเข้ามา มันช่างอบอุ่น อย่างน่าแปลกประหลาด นํ้าตาของเขาไหลออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงของคนผู้หนึ่งที่เรียกชื่อ... เสียงที่คุ้นเคย มาตลอดนับตั้งแต่ที่เขาจำความได้ เป็นเสียงของดาโวลท์ อาจารย์ของเขาเอง
\"อาจารย์ นั่นท่านใช่ไหม ท่านกลับมาแล้วใช่ไหม\"
เขาเช็ดนํ้าตาออกแล้วพยายามลืมตาขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้ เขารู้สึกปวดตาอย่างรุนแรง ได้แต่หลับตาให้แน่นไว้ดังเดิม
\"อะไรกัน เจ้าร้องไห้ทำไม อาจารย์บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามร้องไห้น่ะ อาจารย์บอกแล้วว่าอย่างไรเราก็ต้องได้พบกันอีก แต่ที่เจ้าพูดมามันก็ถูกส่วนหนึ่ง ครั้งนี้อาจารย์กลับมาหาเจ้าโดยเฉพาะ มาเพื่อบอก เจตนารมณ์ ที่ยังไม่สมบูรณ์ของ อาจารย์ให้เจ้าได้รับรู้ ฟังนะ ซิรูเฟ อาจารย์มีเวลาไม่มากนัก...\"
\"เดี๋ยวก่อนขอรับ หมายความว่าอย่างไรที่อาจารย์พูดว่า มีเวลาไม่มากนัก ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกันหรือครับ\"
ซิรูฟถามแทรกขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
\"...มันก็ไม่เชิงหรอกนะ ซิรูเฟ อาจารย์จะคอยดูเจ้าอยู่ห่างๆเสมอ แต่ขอให้เจ้ารู้ไว้ว่าอาจารย์ยังอยู่กับเจ้าเสมอ เอาล่ะ ในตอนนี้ อะไรหลายๆอย่างอาจจะประเดประดังเข้ามาหาเจ้ามากมายจนเจ้ารับไม่ไหว แต่ขอให้ฟังอาจารย์ดีๆนะ มนุษนย์น่ะ ทุกๆครั้งที่เกิดมาครั้งหนึ่งในภพนี้ก็จะต้องได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งเสมอ ซึ่งหน้าที่นั้นก็จะแตกต่างกันไป ตามแต่องค์มหาเทพโครนอสจะทรงเลือกนั่นล่ะ หน้าที่บางหน้าที่หรืองานบางงานก็ช่างง่ายดายในสายตาของคนรอบข้าง แต่บางหน้าที่ก็ช่างลำบากลำบนยิ่ง
          อาจารย์กำลังจะบอกว่า ทุกหน้าที่หรืองานที่ได้รับมอบหมายมานั้นล้วนลำบากยากเย็นทั้งสิ้น แต่ช่วงเวลาอันยากเข็ญที่แต่ละคนได้รับนั้นจะอยู่กันคนละช่วง เจ้าเป็นหนึ่งในพวกที่ได้รับหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่นะ ซิรูเฟ ซึ่งมันก็ต้องแลกมาด้วย ความลำบากยากเข็ญนานัปการเช่นเดียวกัน อาจารย์อยากจะให้เจ้ารู้ไว้ว่า เมื่ออุปสรรคทุกอย่างที่ขวางกั้นภารกิจของเจ้า จบลงแล้ว ท้ายที่สุดความสงบสุขก็จะเกิดขึ้นกับตัวเจ้าอย่างแน่นอน อาจารย์คงจะปลอบใจเจ้าได้เพียงเท่านี้...
          ยังมีเรื่องที่อาจารย์จะต้องฝากเจ้าไว้อีกหลายเรื่อง อย่างแรก คนส่งข่าวที่เป็นมนุษย์ครึ่งม้าจะมาหา เจ้าไม่ต้องระแวง คนนี้ ถึงแม้ท่าทางภายนอกของเขาดูจะไม่น่าไว้ใจก็ตาม ที่สำคัญ เขาจะนำข่าวที่เจ้าต้องการจะรู้มาบอก คอยฟังไว้ให้ดี อีกเรื่องหนึ่ง เจ้าจะต้องพบกับคนมากหน้าหลายตา เขาจะมาร่วมงานกับเจ้าในการทำหน้าที่ภารกิจต่างๆ เจ้าจะต้องหัด ที่จะเรียนรู้การเข้าสังคม รู้จักว่าใครสมควรไว้ใจหรือไม่ไว้ใจ ไม่ใช่กระทำการต่างๆด้วยตัวคนเดียว มันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเจ้า แต่ถ้าทำได้แล้ว พลัง ของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณทีเดียว
          แล้วสุดท้าย เรื่องของเหรียญมังกรฟ้า รู้สึกว่าเจ้าจะได้ใช้พลังของมันไปครั้งหนึ่งแล้ว ขอให้เจ้าเรียนรู้ที่จะใช้มัน ให้เกิดประโยขน์อย่างทีสุด แล้วอาจารย์เชื่อว่าเจ้าจะรอดพ้นจากภยันตรายที่คอยบีบคั้นจิตใจของเจ้าได้เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว เห็นทีจะต้องลากันสักที เจ้าเองก็คงจะอยู่บริเวณนี้ไม่ได้นานนักหรอก เพราะมันไม่ใช่ที่ของเจ้า ฉะนั้นเจ้าจงกลับไป ยังที่ๆเจ้าจากมา ณ บัดนี้!\"
\"ไม่ขอรับ ท่านอาจารย์ ไม่ ศิษย์ยังไม่อยากจากท่านไป ยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่ศิษย์ต้องการจะถามท่าน ไม่!~\"
          ไม่ว่าจะทัดทานอย่างไรซิรูเฟก็ไม่สามารถขัดขืนได้ เขารู้สึกว่าร่างของเขากำลังถูกแรงชนิดหนึ่งดันเขาให้ลอยห่างออกไป เรื่อยๆจากจุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่นี้ แสงสว่างยิ่งเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆจนเขาไม่สามารถลืมตาได้เลยแม้สักชั่วขณะ ไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งลืมตาแล้วเบิ่งมองร่างของอาจารย์ที่กำลังจะล่วงลับไปแล้วเป็นครั้งสุดท้าย เขาลอยขึ้นมาเรื่อยๆ รู้สึกว่ามิติอากาศรอบตัวเขาเริ่มบิดเบี้ยวและเสียดสีไปมา ซิรูเฟพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะเปล่งเสียงออกมาเป็นครั้งสุดท้ายว่า
\"ท่านอาจารย์ ได้โปรดอย่าทอดทิ้งข้าไป!~\"
          แต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เขาได้ยินเสียงของเขาเองในบรรยากาศที่แตกต่างออกไป ซิรูเฟเบิกตาโพลงขึ้นมา หอบหายใจถี่ระรัวจนตัวโยน รอบตัวเขานั้นไม่สว่างเจิดจ้าจนแสบตาอีกต่อไป ทั้งยังไม่มืดสนิทเหมือนช่วงเวลา ก่อนที่เขาจะได้พบอาจารย์ แต่บรรยากาศนั้นกลับเป็นสีครีมสว่างดูสบายตาและร่มรื่นน่าอยู่ แม้ว่าทัศนียภาพของเขา จะยังพร่ามัวอยู่เล็กน้อย แต่ก็ชัดเจนพอที่เขาจะกวาดตาสังเกตรายละเอียดคร่าวๆได้ เขาพบว่ามีคนอยู่ในห้องประมาณ สามสี่คน หนึ่งในนั้นหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า
\"เฮ่ นี่ เป็นอะไรรึเปล่า เจ้าละเมอพูดออกมาอย่างกับคนติดพ่อเลยรู้มั้ย\"
ซึ่งคำพูดนี้ก็ทำให้ซิรูเฟขยี้ตาแรงๆแล้วเขม่นหน้าไปยังเด็กหนุ่มผมนนํ้าตาลที่เป็นคนพูด แล้วถามตอบไปว่า
\"แล้วเจ้าเป็นใครล่ะ เจ้าไม่มีพ่อแม่ให้เรียกหาหรือยังไงถึงได้พูดเช่นนี้\"
\"เจ้า...หนอย ปากดีนักนะ รู้สึกว่าเจ้าอยากจะนอนต่อมากเลยใช่ไหม เดี๋ยวข้าจะสงเคราะห์ให้เอง\"
เด็กหนุ่มผมนํ้าตาลพูดอย่างมีนํ้าโหพลางลูบกำปั้นของตัวเองอย่างมั่นใจ
\"ดีแต่ใช้กำลังสินะเจ้าน่ะ ข้าเกลียดคนประเภทนี้ที่สุดเลย ได้เลย ข้าจะเป็นคนสั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึกเอง\"
แล้วเขาก็ปลดปล่อยจิต ถ่ายทอดพลังสู่ฝ่ามือจนนิ้วแต่ละนิ้วของเขาเปล่งแสงออกมาเป็นสีฟ้าจางๆ
\"พอที! ทั้งสองคนนั่นล่ะ ทำตัวเป็นเด็กเป็นเล็กไปได้ เฮลมุท สำหรับเจ้าน่ะ ทีหลังก่อนที่จะพูดก็หัดคิดซะบ้าง ไม่เช่นนั้นเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้คงไม่ถึงกับจะปะทะกันแบบนี้หรอก แล้วก็เจ้า ต้องขออภัยแทนเจ้านี่ด้วยนะ แต่ไหนแต่ไรมันก็พูดแบบไม่เคยคิดอยู่แล้ว ว่าแต่ ก่อนจะพูดกับคนอื่นเจ้าก็ควรจะแนะนำตัวก่อนใช่ไหม เอาล่ะ บอกพวกเราหน่อยได้ไหมว่าเจ้าชื่ออะไร\"
เด็กหนุ่มผมบลอนด์ในชุดสีฟ้าอ่อนดูเป็นผู้ใหญ่กว่าพูดขึ้น ปรามทั้งสองคนให้สงบลงได้อย่างน่าประหลาด
“อืม ดูเหมือนว่าจะมีคนฉลาดอยู่เหมือนกันนะ ต้องขออภัยที่เสียมารยาทในสิ่งที่ทำลงไปเมื่อครู่นี้ ข้าชื่อ ซิรูเฟ อาเวลอน มาจากเมืองแฮลล่า ข้าได้รับฝากฝังให้มาที่นี่จาก คำสั่งเสียของอาจารย์ของข้า ยินดีที่ได้รู้จักทุกๆคน”
“อ้อ อาจารย์คนนี้เองสินะที่เจ้าเรียกหา หึ ชื่อของข้า เฮลมุท ฮาราฟ”
เมื่อเฮลมุทพูดจบก็ทำให้เด็กหนุ่มผมบลอนด์หันขวับไปมองเอลมุทด้วยความขุ่นเคือง พร้อมทั้งกล่าวว่า
“เฮลมุท ถ้าเจ้าพูดแบบนั้นอีกแม้แต่ครั้งเดียวล่ะก็ ข้าจะเป็นคนจัดการเจ้าเอง เอาล่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ซิรูเฟ ข้าขื่อว่า ราเมาท์ นัวร์สโตรมา”
แล้วเขาก็ยื่นมือมาที่ซิรูเฟให้เขาจับทักทาย ซึ่งซิรูเฟก็ยอมรับมันด้วยความเต็มใจ เมื่อเฮลมุทเห็นก็แค่นเสียงในลำคอ พร้อมทั้งกอดอกพิงกำแพงพลางสะบัดหน้าไปทางด้านอื่น แล้วก็มีเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลร่างบึกบึนเดินเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า
“ยินดีที่ได้รู้จัก เจ้าคือ...ซิรูเฟ...อาเวลอนสินะ ข้ามีนามว่า นีลโด้ เออเควส จำไว้ให้ดีล่ะ”
ถึงแม้ว่าซิรูเฟจะรู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกๆ แต่เมื่อมองจากแววตาของเขาก็รู้ว่าเขามีจิตใจดี จึงยอมรับคำแนะนำตัว และมือที่ยื่นมาทักทายเขาอีกครั้งแต่โดยดี จากนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาเพื่อทำความรู้จักกับเขาอีกคน
“นี่ เจ้าจำชื่อของคนอื่นได้หมดแล้วอย่าลืมจำชื่อของข้าไปด้วยอีกคนล่ะ ข้าชื่อว่า ฟอนเทส เอเลนน่า ยินดีที่ได้รู้จักนะ ซิรูเฟ”
          แล้วเธอก็ยื่นมือออกมาเช่นกัน ซิรูเฟรู้สึกเขินอายจนไม่กล้าจับมือของเธอ แต่เมื่อได้เห็นแววตาที่ใสบริสุทธิ์ที่จ้องมองเขา อย่างรอคอยของเธอแล้ว เขาจึงยื่นมือเข้าไปตอบรับการแนะนำตัวด้วยอาการที่ตะกุกตะกักเล็กน้อย หลังจากได้ทำความรู้จัก กับทุกคน ในห้องแล้ว ซิรูเฟก็เอ่ยปากถามว่า
“เอาล่ะ ข้าคิดว่าตอนนี้เราคงจะทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้วสินะ ทีนี้ขอข้าถามอะไรหน่อยได้ไหม ตกลงนี่ข้าอยูในเมืองเวเนร่า แล้วใช่ไหม คงจะอยู่ในที่พักหรือสถานพยาบาลอะไรประมาณนั้นกระมัง แล้ว ทำไมพวกเจ้าถึงมาคอยดูแลอาการของข้าทั้งๆที่ เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน”
“อืม ถูกของเจ้า ขณะนี้เจ้ากำลังอยู่ในห้องพยาบาลประจำ เวเนร่า อาคาเดมี่  เจ้ารู้ตัวไหมว่าเจ้าน่ะ สลบไสลไม่ได้สติ มาสามวันเต็มแล้วนะ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเดินทางมาจากเมืองอันห่างไกล แล้วก็ปะทะกับ เมมฟิส เดอะ สตรอมโครว์ มาก่อนที่พวกเราจะไปช่วยเจ้าออกมาได้ทันการก็ตาม ก็ไม่น่าจะเมื่อยล้าได้ถึงเพียงนี้ ความจริงพวกเราคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว เสียด้วยซ้ำ ว่าจะมาดูอาการเจ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วล่ะ แต่เจ้าก็ได้สติพอดี ความจริงที่พวกเรามาดูแลเจ้านั้นเป็นคำสั่ง ของท่าน ไอลาธน่ะ ท่านฝากให้พวกเราดูแเจ้าให้ดีด้วย ก็เท่านั้นเอง”
เฮลมุทเป็นคนตอบคำถามของซิรูเฟ เขาพูดช้าๆเพื่อให้ซิรูเฟที่เพิ่งฟื้นจะได้เข้าใจในทุกคำพูดของเขา ดูจากท่าทางที่เขาพูด ก็รู้ได้เลยว่าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ซึ่งนั่นก็ทำให้ราเมาท์ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ซิรูเฟก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
“หืม สามวันเชียว น่าแปลก ข้าไม่เคยหลับนานขนาดนี้มาก่อน ต่อให้ข้าเมื่อยล้าแทบตายก็ไม่เคยกินเวลาเกินครึ่งวัน... อ้อ ไอลาธ คนนั้นน่ะเอง ท่านผู้นั้นคงเป็นคนที่ช่วยข้าไว้จากเจ้าคนเสียสตินั่นใช่ไหม นับว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านผู้นั้นมากเลย ทีเดียว เขาเป็นใครกันแน่ ถึงสามารถขับไล่ชายที่ชื่อว่าเมมฟิสออกไปได้ พวกเจ้าก็เช่นเดียวกัน เหตุใดท่านจึงใช้งานพวกเจ้า แทนที่จะใช้คนอื่นมาดูแลข้า”
ซิรูเฟพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“...บางทีอาจจะไม่แปลกก็ได้ เจ้าเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ใช่ไหมล่ะ เมื่อเจ้าเค้นพลังของเจ้าออกมาใช้จนหมดแล้ว แรงกายรวมทั้ง แรงใจของเจ้าก็คงแทบจะหมดสิ้น ข้าไม่สงสัยเลยว่าทำไมเจ้าถึงสลบไปนานขนาดนั้น สำหรับในกรณีนี้ที่เกิดขึ้น กับจอมเวทบางคนก็อาจถึงขั้นเป็นเจ้าชายนิทราเลยทีเดียว ส่วนเรื่องของท่านไอลาธ ใช่แล้วล่ะ ท่านเป็นถึงประธานสภา ผู้ใช้เวทมนตร์แห่งเทอร์เพนไทน์ รวมกับมีพวกเราเป็นกำลังเสริม คงไม่แปลกหรอกที่เมมฟิสจะรู้ตัวว่าเสียเปรียบแล้วล่าถอยไป”
คราวนี้ราเมาท์เป็นผู้ตอบคำถามของซิรูเฟแทน
“เรื่องนี้จะว่าไปแล้วถ้าจะให้พูดก็คงอีกยาวเลยทีเดียว เอาเป็นว่า ตามพวกเรามาก่อนก็แล้วกัน ซิรูเฟ เราได้รับคำสั่งมาว่า เมื่อเจ้าฟื้นแล้วให้พวกเราพาเจ้าไปพบท่านเจ้าเมืองก่อน หลังจากที่เจ้าพบแล้วข้าคิดว่า เจ้าคงจะได้รู้อะไร หรือไม่ก็คงจะได้ ถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น เอาล่ะ เจ้าเดินได้อยู่ใช่ไหม ไปกันเถอะ”
          หลังจากที่ได้รับคำชวนจากราเมาท์ ซิรูเฟก็พยักหน้าตอบรับคำชวนนี้แต่โดยดี เดินตามหนุ่มสาวทั้งสี่คนออกจากห้องไป สู่ตึกผู้อำนวยการอันสวยหรูที่ตั้งอยู่ไกลออกไปทางเหนือ บริเวณใจกลางเมือง ในตอนนี้เขาเริ่มตระหนักรู้ถึงเค้าแห่งความจริง ที่ก่อตัวขึ้น พร้อมๆกับปริศนาใหม่ที่ขมวดปมเพิ่มเข้ามาทีละน้อย..
          ทว่า เขาพลันฉุกคิดได้ถึงเรื่องของหญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ธิดาจันทรา เขาจึงเอ่ยปากถามราเมาท์อย่างฉับพลันว่า
“เอ่อ ราเมาท์ แล้วเรื่องของหญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ธิดาจันทรา น่ะ เธอเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
“หืม ข้านึกว่าเจ้าลืมไปแล้วเสียอีก แต่ก็นะ เจ้าอุ้มนางไว้ในอ้อมกอดของเจ้าก่อนที่เจ้าจะหมดสติไปนี่นะ ไม่ต้องเป็นห่วงไป หรอก ขณะนี้นางพำนักรักษาตัวอยู่ที่จวนของเจ้าเมือง ได้รับการอารักขาอย่างดีเลยทีเดียว อีกไม่นานพวกเราคงได้ไปเยี่ยมอยู่ หรอก เอาล่ะ เดินต่อไปก็แล้วกัน”
ราเมาท์ตอบคำถามแล้วชวนซิรูเฟให้เดินต่อ
“เดี๋ยวก่อน นางเป็นใครกันแน่ เหตุใดเมมฟิสจึงต้องการตัวนางนัก”
ซิรูเฟยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่จึงถามต่อ
“อืม เอาเป็นว่าเจ้าได้รู้แน่ แต่หลังจากที่พวกเราเดินทางถึงอาคารผู้อำนวยการ เวเนร่า อาคาเดมี่เสียก่อน เพราะเรื่องที่เจ้าถาม ข้ามานั้นล้วนมีคำตอบ ขอให้เดินทางไปพูดคุยกับท่านผู้อำนวยการก่อนได้ไหม เอ้า รีบไปเร็ว พวกนั้นเดินนำไปไกลแล้ว”
ราเมาท์รีบตัดบทพลางดุนหลังซิรูเฟให้เดินหน้าต่อไป
อีกไม่นาน ความจริงทุกอย่างก็จะเปิดเผยแล้วสินะ ดี จะได้รู้กันสักทีว่าอะไรเป็นอะไร ข้าจะได้รู้ว่าอาจารย์ต้องการจะให้ข้าทำอะไรกันแน่ เขาคิดพลางเดินตามราเมาท์ไปด้วยความเร็วที่มากขึ้น...
          ในขณะเดียวกัน ในส่วนลึกของภูเขาครีเอเชียส เหล่ามังกรกำลังรวมกลุ่มชุมนุมกันครั้งใหญ่ที่ห้องโถงประชุมแห่งมังกร ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชายลึกลับหรือนักปราชญ์ทมิฬเคยมาสำรวจที่แห่งนี้แล้วครั้งหนึ่ง ต่างกันที่เมื่อตอนนั้น ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตปรากฏให้เห็น แต่คราวนี้ เหล่ามังกรน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในส่วนลึกของภูเขาแห่งนี้ล้วนมาชุมนุมกันอย่างถ้วนทั่วจนน่าตะลึงลาน ทุกระเบียดนิ้วที่เคยว่างเปล่าถูกเติมเต็มด้วยร่างของมังกรและมนุษย์ครึ่งมังกรจำนวนมากมายเหลือคณา อย่างไรก็ตาม ไม่มีวี่แววของมังกรดำและมังกรขาวที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อวานปรากฏตัวให้เห็นเลย
          เสียงพูดคุยกันเป็นภาษารูนดังเซ็งแซ่ไปทั่วห้องโถง เหล่ามังกรต่างก็พูดคุยกันอย่างออกรสได้ที่ แต่แล้วเสียงพูดคุยนั้นกลับเงียบหายไปเกือบหมดเมื่อมังกรขนาดยักษ์สิบสองตนแสดงตัวออกมานั่งแยกย้ายกันตามที่นั่งประจำของตนที่เป็นรูปสัญลักษณ์ทั้งสิบสองแบบ หลังจากมังกรสิบสองตนประจำที่เรียบร้อยแล้วก็มังกรมีมังกรสีทองอร่ามซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในห้องบินมาจากทางระบายอากาศขนาดยักษ์ลงมาประทับนั่ง ดูจากท่าทางของมันก็รู้ได้เลยว่ามันเป็นจ้าวแห่งมังกรที่อาศัยอยู่ในภูเขาแห่งนี้
        หลังจากมังกรตัวสุดท้ายประทับนั่งลงบนที่นั่งประธานแล้วมังกรทั้งหลายที่เข้าร่วมเป็นผู้ชมในการประชุมครั้งนี้ก็ พากันโห่ร้องอวดอ้างศักดาของตนจนพื้นผนังห้องโถงประชุมเกิดการสั่นสะเทือนไปมา บางตัวก็ส่งเสียงครางทุ้มตํ่า อย่างแผ่วเบาเป็นการไว้วางใจในอำนาจของคณะประชุมที่ตนเข้าพวกอยู่ แต่แล้วเสียงโห่ร้องอื้ออึงทั้งหมดพลันเงียบหายลง เมื่อจ้าวมังกรเปล่งเสียงออกมาคำหนึ่ง รัศมีอันเรืองรองแห่งจ้าวเปล่งประกายเจิดจ้าและแผ่กระจายไปทั่วห้องโถง คล้ายจะเป็นการป่าวประกาศให้มังกรทุกตัวอยู่ในความสงบ คำคำนี้เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจที่สามารถสยบพลังของมังกร ตัวอื่นได้อย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นมันก็ผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณที่มังกรทุกตัวเงียบเสียงลงได้ แล้วจึงกล่าวด้วยเสียงอันดัง เป็นภาษารูนว่า
\"ฮอยน์.ซิมูน บา ดราโก้ เทย์โล, อัล ล็อก อุล เด ซุล นิม มาล ซุล เอดิด ชาลด์ ซุล ดา โดน เด ซานธัม. อา คินด์ ลูสซูล กาลู ราล์ม ซิม ครอน วาห์ส ครัสเต ซันทูร์ แนธ. เดนนิเลส, เทย์โล ,ลูสซูล พอซูล เวซ เทอริ นิม อัลลาดอร์น ชา นิม อาล.วา บูรีย์ อุล อาร์ล เอดิตต้า, อัล นาดาน อุล ซุล รีฟซ์ ลูล สเทรอล ราล์ม แนธ นูม สทรอล บา เด ทิมมิต มอฟ มูร์น มาล มอฟ คีมอท...ริม...อัล ลิน ทราส ทิมมิด เด!\"
(สวัสดี เหล่าพี่น้องผองชนแห่งเผ่าพันธุ์มังกร วันนี้ ข้าเรียกพวกท่านมาที่นี่เพื่อที่จะให้พวกท่าน เข้าร่วม และ ตัดสินใจ ว่าจะทำอะไรกันดีในสภาวการณ์เช่นนี้ ข้าคิดว่าพวกท่านทุกคนในที่นี้คงจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าขณะนี้ สถานการณ์คับขันเพียงใด อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ พวกท่านจะต้องทำการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างร่วมมือกับอัลลาดอร์น หรือเลือกที่จะร่วมมือ กับฝ่ายของข้า แต่ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ข้าอยากจะให้พวกท่านได้รับฟังประเด็นทั้งหมดซึ่งเป็นจุดประสงค์หลัก ของการประชุมครั้งนี้จากข้า และจากคณะประชุมเสียก่อน...ดังนั้น...ข้าจึงขอเริ่มการประชุม ณ บัดนี้!)
          แล้วจ้าวมังกรก็คำรามออกมาดังก้องเป็นการเปิดการประชุม ผนังหินปูนอันแข็งแกร่งและเพดานที่อยู่สูงลิบลิ่ว ยังต้องสั่นสะเทือนไปตามการคำรามนี้ ทั้งยังส่งผลให้มังกรบางตัวหยุดนิ่ง หรือไม่ก็สั่นระริก ด้วยเพราะไม่อาจจะทนทานรัศมีแห่งจ้าว ทำให้เหล่ามังกรเหล่านี้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้สะดวกนัก  หลังจากที่คำรามออกมาได้สักพัก จ้าวมังกรก็ไล่สายตามอง จากมังกรที่นั่งประจำอยู่ที่สัญลักษณ์แห่งลมไปเรื่อยๆตามกลุ่มสัญลักษณ์ธาตุ ซึ่งกลุ่มนี้นั่งเรียงรายอยู่ทางฝั่งซ้ายของจ้าวมังกร ส่วนอีกด้านหนึ่งของโต๊ะเป็นกลุ่มของสัญลักษณ์อาวุธซึ่งนั่งพร้อมหน้ากันทั้งหกตนเช่นกัน
          จากนั้น จ้าวมังกรที่กวาดตามองมังกรทั้งสิบสองตนที่ร่วมประชุมเรียบร้อยแล้วก็ผายมือไปทางมังกรแห่งลม แล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณให้มังกรตัวนี้เริ่มพูดได้ เมื่อได้เห็นดังนั้นมังกรลมจึงไม่เกรงใจ เริ่มพูดออกมาเป็นภาษารูนว่า
“ อาห์ล เรฟเซ มากุม มอฟ อัลลาดอร์น เด มินาน นามู บา มากุม แนธ อีรุย แนธ เวกธัว ซุล ดิฟ เรอมา โซนซ์ ซุล เคดา \"ลาอูม\" บา บาร์ด วิธ แนธ เอวิล ราล์ม โซนซ์ แนธ เด อานทู เพรส  เด อานทู ฮาล์ว บา มินทรู แนธ จิอูส  อีรุย นาดาน ฮาลาวาเร ซุล ทาอัค รูท ราล์ม \"ลาอูม\" ริม อีรุย เดนส์ เด มากุม ซุล อัล
          พาล อีรุย ชาม ทาอัต ลูท มินทรูอา ลาอูม บา บาร์ด, อีรุย นี เวก ซุล ทาอัค ออเรลัส -นามู ฮานา บา เฮมเร- ดิสพีเอเดร มาล อุห์น เบรอี นู นามู ฮานา บา  อัล อัลลาดอร์น นี ดอว์น พราอัม ซอ เอลเลส เทอี มาล รอนีวา รา บัสเตน พราม นี เรฟเซ มาคอส บา เดรูเอ มาล มาเอ นี เรฟเซ คอพทิลิต้า คูเต้ เรอมาลิ
          ริม อาห์ล กริม เด สเทรอล ซุล ทัลซัค อุล ราล์ม อุล แนธ ทาแรน ซุล ดา คามกี ชารุ อลุม, เวซ ซุล อีวู เด มาล เรว ลา รอย เลอมา โซร ชา เวซ ซุล เครอ ทิวู อัลลาดอร์น,เคดา รูท ลาอูม มาล ทาอัค นามู ฮานา บา เฮมเร ชา เวซ ซุล ดา คามกี อีเคาท์ เด... 
(ข้าได้รับสารมาจากทางอัลลาดอร์นเมื่อเช้านี้ ใจความของสารนั้นก็คือ พวกมันกำลังหาโอกาสเหมาะที่จะทำลาย “กำแพง” ของบาร์ด  ซึ่งคาดว่าโอกาสนั้นคือคืนนี้ เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนที่อำนาจแห่งมนตราอ่อนแรงที่สุด พวกมันจึงต้องการกำลังพลเพิ่มเติมที่จะบุกฝ่า “กำแพง” อันนั้น ดังนั้นจึงได้ส่งสารนี้มายังกลุ่มของเรา
          หลังจากที่พวกมันสามารถบุกฝ่ากำแพงมนตราของบาร์ดไปได้แล้ว พวกมันจะบุกไปถล่ม ออเรลัส นครหลวงของมนุษย์ให้ราบคาบ จากนั้นจึงค่อยสร้างนครหลวงแห่งพวกเราเหล่ามังกรขึ้นมาใหม่ โดยที่อัลลาดอร์น จะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัติริย์แทน แล้วใครก็ตามที่เลือกสนับสนุนมันก่อการครั้งนี้ก็จะได้รับการปูนบำเหน็จอย่างงาม และอาจจะได้รับตำแหน่งทางการปกครองหรือที่ดินบางส่วนตามสมควรด้วย 
          ดังนั้น ข้าจึงนำเรื่องนี้มาปรึกษาพวกท่านดู ว่าพวกท่านสนใจกระทำการอันใดหรือไม่ อย่างไร จะเลือกที่จะอยู่ที่นี่แล้วรอคอยเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ หรือจะเลือกที่จะร่วมมือกับอัลลาดอร์น ทลายกำแพง แล้วบุกนครหลวงแห่งมนุษย์ หรือ เลือกที่จะทำอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้...)”
          หลังจากที่มังกรแห่งสายลมที่มีสีผิวสีเขียวอ่อนพูดไปได้พักหนึ่งก็แว่วเสียงกระซิบดังเซ็งแซ่ไปทั่วห้องโถงอีกครั้ง คราวนี้เสียงพูดคุยปรึกษาดังขึ้นกว่าเดิม สีหน้าของเหล่ามังกรแต่ละตนดูจะกังวลมากขึ้น แต่เสียงกระซิบก็เงียบหายไปอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมังกรแห่งสายลมทุบโต๊ะประชุมแล้วคำราม ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อไปว่า
“พาล อาห์ล ทัลซัค ทิวู แน็ก บา รูนิค ดราโก้ลาร์ อาห์ล รา แนธ เทอิค บา ลาร์ส พอช นีออพ ราล์ม อลา ลาร์ส นาดาน ซุล  พีคู นา อีวู เด เพรส ไอรา ดาน นาดาน ซุล เนคเซ อีเคาท์ มาล นาอากี ไอลาร์ส ดาน นาดาน ซุล พอช อีลเรซ ทิวู นาอา เซรอส โดน รอนี ซุส. อาห์ล นี วาส ซาจ เด มาล อลุม ทวาลา อูลา แน็ก บา เทซาร์ด ดราโกลาร์ อาราเดียน
(จากที่ข้าได้ไปประชุมกับมังกรกลุ่มสัญลักษณ์แห่งธาตุมาแล้ว ข้า ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มขอให้ความเห็นว่า กลุ่มของเราต้องการที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไป เนื่องเพราะไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวโลกภายนอก และอีกประการ กลุ่มของเราก็ไม่ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์อื่นไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ข้าขอให้ความเห็นเพียงเท่านี้ แล้วกลุ่มสัญลักษณ์แห่งอาวุธของท่านเล่า อาราเดียน)”
มังกรลมกล่าวแล้วก็ผายมือที่เป็นกรงเล็บไปทางมังกรเกล็ดสีน้ำเงินแกมเขียวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงกันข้ามกับมัน ทางกลุ่มนั้นก็ปรึกษากันครู่หนึ่งก่อนที่มังกรตัวนั้นจะกล่าวตอบว่า
“ ทาคูร์ นาร์นู อาห์ล อาราเดียน รา แนธ เทอิค บา แน็ก บา เทซาร์ด ลาร์ส นาดาน ซุล ดลูซเดน นีออพ ฟรีเบอี. เค แนธ ลาร์ส รา นาดาน ซุล เครอ ทิวู อัลลาดอร์น โดน ไอลาร์ส ,ทิวู บลิว ทรีโบ, อวาส แนธ ซุล อาเซน เฮมเร มาล นิวา ทรีโบ แนธ นาดาน ซุล แนธ โฟล์ว, ซุล แนธ อีเคาท์ วา ลาร์ส รา นาดาน ซุล อีวู เด แนธ จิอู มาล อลุม ทวาลา อุล, อูลาดิอัส พอช อุล เอดิดต้า ชาล ซุล ดา
(ขอบคุณ นาร์นู ข้า อาราเดียน เป็นตัวแทนของกลุ่มสัญลักษณ์แห่งอาวุธ ขอสรุปมติของกลุ่มอย่างคร่าวๆว่า กลุ่มของข้า มีทั้งพวกที่ต้องการจะร่วมมือกับอัลลาดอร์น ด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งคือต้องการล้างแค้นมนุษย์ ส่วนอีกประการ คือต้องการความอิสระ ออกไปสู่โลกภายนอก แต่พวกที่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่ก็มีอยู่เป็นส่วนน้อย  แล้วฝ่าบาทกับคนของพระองค์ได้ตัดสินกันหรือยังขอรับ ว่าจะดำเนินการเช่นใด)”
อาราเดียนถามอย่างสุภาพไปที่จ้าวมังกรที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน ซึ่งบัดนี้มังกรทุกตัวต่างก็เงียบเสียง รอคอยว่าจ้าวมังกรจะกล่าวอะไร
“ อาห์ล คินด์ ราล์ม โอบร้า อาห์ล นาดาน ซุล ดา แนธ อีเคาท์ ชาล์ด อุล มาย เพรส อาห์ล นาดาน ซุล ซอฟท์ อัลลาดอร์น ดา อาโนบร้า อีคิท เดคา ลาอูม เพรส อาห์ล คาลู อลุม มาคุส พราส ทิมา แนธ พรา ชาม ยาร์ทิพ รอนีวา รา บัสเตน พราม ไซร์ อาห์ล เมห์ พราม ดา อาโนบร้า อีเค้าท์, อาห์ล ดาน คาลู โดน เทอร์โรว เค แนธ ลิธ เอเด็ก ชานา
          เดนนิเลส ไซร์ เด แนธ อานิออส รา เออร์กา ทิวู มูร์น ราล์ม แนธ ซุล ซอฟท์ อัลลาดอร์น อาห์ล นาดาน อุล ซุล เรแทก ฮุย พรอด บา \"อานุยร์ อุริเดน\" อาห์ล คินด์ อุสซุล เอซิเลียร์ ซุล ซูอินอค ชาล์ด แนธ ชาล์ด ,ฮามา, อาห์ล ทาคูร์ อุสซุล เทย์โล อาห์ล ซอฟท์ ทิมมิด ไคด์ เด วาน อุล ชาม เวก ซอ อุล นาดาน ซุล เวก ,อาห์ล นี เอวาล วาน,ฮอยน์ 
(ข้าคิดว่าสิ่งที่ข้าต้องการจะทำอยู่นอกเหนือจากที่พวกท่านกล่าวมา เพราะว่าข้าต้องการที่จะ หยุดยั้ง อัลลาดอร์นไว้ ไม่ให้ทำอย่างอื่นนอกเหนือจากทำลายกำแพงเท่านั้น เพราะข้ารู้ดีว่าความทะเยอทะยานของมันมีมากมายเพียงใด มันพร้อมเสมอที่จะหักหลังคนที่ช่วยเหลือมันได้ต่อหน้าต่อตา ถ้าหากปล่อยให้มันกระทำการเกินเลยแม้สักนิดเดียวล่ะก็ ข้าก็ไม่อาจรู้ได้ว่า ภายภาคหน้าจะยังมีความดีเหลืออยู่หรือไม่
          อย่างไรก็ตาม หากใครเห็นด้วยกับข้า ที่จะหยุดยั้งแผนการของอัลลาดอร์น ก็ขอให้ไปรวมพลกันที่ยอดของ “หอคอยเกียรติยศ” ข้าคิดว่าพวกท่านคงมีสติแยกแยะออกว่าอะไรเป็นอะไร เอาล่ะ ขอขอบคุณทุกท่านมาก วันนี้ขอจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้ ขอเชิญพวกท่านแยกย้ายกันไปได้ตามสะดวก ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน สวัสดี)\"
          แล้วจ้าวมังกรก็กู่ก้องร้องคำรามด้วยเสียงอันดังจนผนังห้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง ก่อนที่จะสยายปีกให้กว้างออกแล้ว บินสูงขึ้นไป จนกระทั่งหายลับไปจากสายตาของเหล่ามังกรที่ยืนงุนงงอยู่ด้วยความรวดเร็ว แล้วมังกรแต่ละตัวที่เป็น คณะกรรมการในการประชุมก็ค่อยๆทยอยบินออกไปทีละตัวสองตัวเช่นกัน เหลือเพียงแต่ นาร์นู และ อาร์เดียน ซึ่งเป็นตัวแทนของมังกรสองกลุ่มนั่งรออยู่เพื่อที่จะชี้แจง ทางเลือกให้แก่มังกรบางตัวที่ยังลังเลและสับสนอยู่
          การประชุมครั้งนี้ก่อให้เกิดกระแสการเคลื่อนไหวต่างๆนานาของเหล่ามังกรที่อาศัยอยู่ในภูเขาครีเอเชียส แม้ว่าขณะนี้การประชุมได้จบลงและคณะประชุมได้จากไปทำหน้าที่ของตนเกือบหมดแล้ว เหล่ามังกรน้อยใหญ่ ที่เข้ามาดูการประชุมก็แทบจะไม่ได้หายหน้าไปไหนเลย แต่ละตัวต่างปรึกษากันอย่างว้าวุ่นว่าจะทำอย่างไรกันดี ตัวที่ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วก็จับกลุ่มคุยกัน แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆอย่างเห็นได้ชัด
          พวกที่เข้าข้างอัลลาดอร์นและพวกที่ต้องการจะทลายกำแพงของบาร์ดมีจำนวนมากที่สุด รองลงมาเป็นพวกที่รักสันโดษ ซึ่งกำลังบินกลับไปยังรังของตนอย่างสงบ ส่วนกลุ่มสนับสนุนจ้าวมังกรที่ยังไม่รู้จำนวนที่แน่ชัดก็เริ่มแยกย้ายกันไป ยังจุดนัดหมายแล้ว นาร์นูและอาร์เดียนเมื่อเห็นว่าทุกอย่างลงตัวแล้วก็ปะกาศจุดนัดหมายของกลุ่มต่างๆอีกครั้ง ก่อนที่จะจากไป หลังจากนั้น มังกรแต่ละตัวที่จับกลุ่มกันอยู่ก็แยกย้ายกันไปจนหมด  ห้องโถงประชุมที่กว้างใหญ่เหลือเพียงแต่ ความว่างเปล่าอีกครั้ง เหลือไว้เพียงแต่เค้าแห่งความแปรปรวนสำหรับคืนนี้ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้
          ที่เซาท์เลควิลเลจ เด็กชายคนหนึ่งตื่นขึ้นมาจากภวังค์อันรางเลือน หอบหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายปนหวาดหวั่น วันนี้เขาฝันเรื่องราวเกี่ยวกับมังกรอีกแล้ว แต่ความฝันนี้แตกต่างออกไปจากที่เขาเคยฝันอยู่ทุกๆคืน เนื้อหาของความฝันนี้เป็นการประชุมเกี่ยวกับมังกร ซึ่งแต่ละคืนเขาจะฝันเกี่ยวกับการสะบัดปีกท่องเที่ยวไป ผ่านภูเขา สู่ห้วงธารา ทะลุผ่านเมฆหมอกละมุน ตัดผ่านอาทิตย์ยามอัสดง โบยบินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาตื่นขึ้นมา เขาคาดว่าความฝันที่แตกต่างออกไปนี้คงจะเป็นลางบอกเหตุถึงอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น
          ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ปานรูปมังกรบนหน้าผากของเขาพลันส่องสว่างเจิดจ้า สร้างความเจ็บปวดให้เขา อย่างไม่อาจบรรยายได้ ศีรษะของเขาพองตัวแน่นจนแทบจะระเบิดออกมา เขาได้ยินเสียงแหลมสูงสะท้อนก้องอยู่ในหูว่า
“ไป ไปสู่ ถ้ำแห่งความทรงจำ”
คำพูดนี้เวียนวนอยู่ในหูของเขาจนตรึงแน่นอยู่ในความทรงจำของเขา ชื่อของถ้ำนี้เขาไม่แน่ใจว่าเป็นถ้ำที่เขาใช้เวลาว่าง อยู่กับมันตลอดช่วงเวลาแปดปีที่ผ่านมา แต่อย่างน้อย เขาก็ต้องไปที่นั่นเสียก่อนเพื่อให้มั่นใจ ว่าเป็นถ้ำแห่งความทรงจำ อะไรนั่นหรือไม่
“วิลตัน ก่อนจะออกไปไหนช่วยทำงานบ้านก่อนนะลูก”
คำพูดทำให้เด็กชายสะดุ้งด้วยความตกใจ ซึ่งเสียงเรียกนี้มาจากมารดาของเขาที่ดูจะรู้ทันไปหมดว่าเขากำลังจะทำอะไร
“ครับ ท่านแม่ แต่เอาไว้หลังจากที่ข้าออกไปทำธุระก่อนนะครับ”
          วิลตันว่าแล้วก็รีบวิ่งออกไปจากบ้านของเขาไป ไม่รับฟังคำพูดอื่นใดจากแม่ของเขาอีก เขารีบวิ่งลัดเลาะไปสู่ทางเข้าถ้ำ อย่างช่ำชอง ไม่นานก็เดินมาถึงทางเข้าถ้ำที่ถูกซ่อนไว้ในพุ่มไม้เลื้อยอันรกชัฏ เขาพบถ้ำนี้ตั้งแต่เขามีอายุได้ห้าปีแล้ว และยังแวะเข้ามาใช้เป็นที่เก็บตัวอยู่คนเดียวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เขามองไปข้างหน้า พบว่าถ้ำนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย อย่างไรก็ตาม เขาเดินถ้ำเข้าไปโดยอัตโนมัติ เพราะเสียงแหลมสูงนั้น กลับมาย้ำเตือนเขาทุกๆก้าวที่ย่ำลงไปข้างในถ้ำ
          หลังจากที่วิลตันหายลับไปในถ้ำ ร่างของไอลาธและยูเบีย คนสนิทของเขาก็ปรากฏขึ้นมาจากแมกไม้รกทึบที่อยู่ใกล้ๆ กับทางเข้าถ้ำนั้น แล้วไอลาธก็พยักหน้าให้กับยูเบีย ก่อนที่จะปล่อยให้ยูเบียเฝ้าถ้ำไว้แล้วเดินผ่านไม้เลื้อยที่บดบังถ้ำไว้อย่างเงียบเชียบ...
to the next chapter!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น