ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : chapter 5 ~An eye for an eye, a tooth for a tooth~
                                                                ตำนานแห่งเทอร์เพนไทน์
                                                    ภาค ~เรื่องเล่าของมังกร~
                                                  ตอนที่ 5 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
         
          ชายที่ถูกเรียกว่านักปราชญ์ทมิฬรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีที่ยังสับสนในห้องที่เต็มไปด้วยเตียงนับร้อยหลังที่มีคน
นอนอยู่บนเตียงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เขาคาดเดาเอาว่านี่คงจะเป็นห้องพยาบาล หลังจากนั้นไม่นานมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้า
มาในห้องแล้วเอามือแตะหน้าผากเขา จากนั้นจับชีพจรเขาแล้วตรวจเรื่องจิปาถะพอเป็นพิธี จากนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า
\"ยินดีด้วย เช้านี้อาการของท่านดีขึ้นมากแล้ว ไม่เหมือนเมื่อคืนที่จู่ๆท่านก็ล้มลงไป มีไข้ขึ้นสูง อีกทั้งร่างกายของท่านยัง
ไม่ตอบสนองต่อการเรียกขานอีกด้วย ข้าก็นึกว่าท่านจะติดพิษอะไรเสียอีก ที่ไหนได้ เช้านี้ท่านกลับหายดีเป็นปลิดทิ้ง
ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น กรณีของท่านนับว่าแปลกที่สุดแล้วเท่าที่ข้าเคยพบมา\"
จากนั้นจึงนิ่งเงียบ เปิดโอกาสให้ชายแปลกหน้าได้ซักถาม
\"...ขอบคุณ แม่หญิง ที่ช่วยดูแลข้า เมื่อคืนนี้...ขณะที่ข้ากำลังใช้ความคิดอยู่ อีกครู่หนึ่งต่อมาก็รู้สึกว่าตรงหน้ากลายเป็น
สีดำไปหมด จากนั้นข้าก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกเลย...จนกระทั่งมาถึงบัดนี้ อา ราวกับว่าข้าฝันไปจริงๆด้วย...แล้ว...ตอนนี้ ข้าอยู่
ที่ไหน อยู่ใกล้ๆกับโพรงไม้ที่ข้าเข้าไปเมื่อคืนหรือไม่\"
\"ใกล้เคียงทีเดียว  ที่นี่คือสถานพยาบาลประจำดินแดนแห่งนี้ ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากโพรงสังสรรนั่นมากนัก ไม่อย่างนั้นพวกเขา
คงพาท่านมาหาข้าที่นี่ไม่ได้หรอก ท่านยังต้องการจะเข้าไปโพรงนั้นอีกหรืออย่างไรถึงถามเช่นนั้น\"
\"...ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าแค่อยากรู้เท่านั้นเอง ตกลงแล้ว...ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ แม่หญิง สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ
ของที่นี่ไม่เหมือนอยู่ในเทอร์เพนไทน์เลย และยังไม่อยู่ในทวีปอารีเซียด้วย อีกประการหนึ่ง ที่นี่ข้าเห็นแต่มังกรกับมนุษย์
กึ่งมังกรเท่านั้น ข้าไม่เห็นสิ่งมีชิวิตประเภทอื่นเลย มันเป็นอย่างไรกันแน่ ช่วยทำให้ข้ารู้ชัดหน่อยเถอะ\"
เขาพูดไปคิดไปจนคิ้วขมวดกันเป็นปม
\"จริงสิ...ตั้งแต่ท่านมาที่นี่ก็ยังไม่มีใครบอกข้อมูลอะไรให้ท่านเลยนี่ เอาล่ะ ข้าจะบอกข้อมูลพอที่ข้าจะรู้ก็แล้วกัน ที่เหลือ
คงต้องให้ท่านไปถามผู้รู้ท่านอื่นแล้วล่ะ ประการแรกแรกก็คือ ดินแดนนี้มีชื่อเรียกขานว่า นอสเฟอร์ราตูว์ หรือในภาษาท้อง
ถิ่นของมนุษย์ก็คือดินแดนลับแลนั่นเอง ที่แห่งนี้เป็นดินแดนโบราณที่ไม่ปรากฏอยู่ในแผนที่ใด และเป็นที่ที่ธรรมชาติยังคง
รักษาสภาพเดิมได้ดีอยู่ เนื่องจากไม่มีสิ่งมีชิวิตอื่นนอกจากมังกรและผู้สืบสายเลือดของมังกรอาศัยอยู่ โดยเฉพาะมนุษย์
ธรรมดา ไม่สามารถเข้ามาในดินแดนนี้ได้เป็นอันขาด ยกเว้นจะได้รับการอนุญาติจากสภามังกรก่อน และยังต้องผ่านการ
ทดสอบทางจิตใจอีกด้วย
          เพราะอย่างไรก็ตาม มนุษย์ยังคงเป็นสัตว์ที่มีสันดานดิบหรือกิเลสหลงเหลืออยู่ เมื่อใดที่พวกนี้ถูกกิเลสเข้าครอบงำ ก็จะนำพาอารมณ์ทั้งหลายคือ รัก โลภ โกรธ หลง อันจะเป็นการชักนำความเป็นอสูรที่ซ่อนอยู่ภายในเบื้องลึกของจิตใจของพวกเขาออกมา แล้วก็จะถลำลึกลงไปสู่ความืดจนถอนตัวไม่ขึ้น กลายเป็นผู้ชักนำหายนะ ซึ่งเราไม่สามารถจะปล่อยให้คนประเภทนี้เข้ามาทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ได้\"
นางค่อยๆพูดพร้อมแสดงเหตุผลจนเขาต้องยอมรับ เขาเลยถามต่อไปว่า
\"อืม...ที่ท่านพูดมามันก็มีเหตุผล แต่ว่าพวกท่านจะจำกัดจำนวนคนเข้าไปเพื่ออะไร สถานที่นี้มีความสำคัญหรือศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรกันพวกท่านถึงต้องเข้มงวดกันจนาดนี้\"
\"ก็เพราะว่าสถานที่นี้ เป็นสถานที่ที่ช่วยคํ้าจุนสมดุลแห่งธรรมชาติทั้งมวลน่ะสิ โดยมีพวกเรา เหล่ามังกร คอยทำหน้าที่อัน
ยิ่งให่ญ่นี้ เพราะว่าพวกเราเป็นสัตว์เพียงประเภทเดียวที่อยู่มานานที่สุด ตั้งแต่สมัยปฐมบทแห่งสงครามนั่นแหละ เจ้าก็รู้ใช่
ไหม และก็คงรู้ด้วยว่าเราไม่ได้เข้าร่วมในสงครามครั้งนั้น องค์มหาเทพก็เลยให้ความไว้วางใจในตัวพวกเรา ในการทำหน้าที่
คอยรักษาพลังอำนาจอันเก่าแก่ ซึ่งก็คือพลังจากธรรมชาตินั่นเอง คอยดูแลไม่ให้มีใครใช้อำนาจเหล่านี้ไปในทางที่ผิดๆ
ซึ่งพวกเราก็ทำหน้าที่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดมา...
          แต่ก็นั่นแหละ มังกรบางตัวไม่ได้ดีพอที่องค์มหาเทพคู่ควรจะไว้วางใจนักหรอก ด้วยความที่เป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ
เห็นว่าตนสามารถนำพลังแห่งธรรมชาติมาใช้ได้อย่างไม่จำกัด เกิดความอยากขึ้นมา ก็กลายเป็นผู้ล่วงเกินสมดุลแห่งธรรมชาติ
เสียเอง ซึ่งมังกรพวกนี้ก็มีเกิดขึ้นเป็นพักๆ ตามกระแส เป็นหน้าที่ของพวกเราอีกเหมือนกันที่ต้องคอยจัดการกับมังกรเหล่านี้
ซึ่งถ้าเป็นแค่มังกรตัวเดียวเราก็ไม่ลำบากมากหรอก แต่พวกมันมักกระตุ้นให้มังกรตัวอื่นเห็นชอบไปกับมันด้วย เกิดเป็นการ
แบ่งพรรรคแบ่งพวกขึ้นมา จากปัญหาเล็กๆของมังกรหนึ่งตัว ก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ทั้งเผ่าพันธุ์ต้องสู้รบกันเอง...
          เหตุการณ์แบบนั้นก็เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ถ้าเป็นในดินแดนเทอร์เพนไทน์ก็อยู่ในยุคของบาร์ดที่เหล่ามนุษย์นับถือกัน
พวกเราก็รู้เห็น แต่มิได้เข้าร่วม ปล่อยให้พวกมังกรที่อยู่ทวีปนั้นจัดการเรื่องของตัวเอง เราจะข้องเกี่ยวแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ
สมดุลแห่งธรรมชาติเท่านั้น ตอนนี้เหตุการณ์ของที่นั่นเป็นอย่างไรพวกเราก็ไม่ได้ติดตามแล้ว เอาล่ะ เท่านี้ก่อนก็แล้วกัน
หากท่านต้องข้อมูลเพิ่มเติมกว่านี้นั้นท่านคงต้องใช้เวลาค้นหาเอาเอง\"
\"อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณอีกครั้ง แม่หญิง ข้าคิดว่าอย่างน้อยก็พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับมังกรบ้างแล้ว ทว่า ข้าคิดว่าข้ายังไม่รู้จัก
สถานที่นี้ดีพอ ท่านพอจะช่วยแนะนำสถานที่ที่ข้าจะสามารถค้นหาข้อมูลต่างๆได้บ้างไหม\"
\"แน่นอน ถึงดินแดนนี้จะค่อนข้างกว้าง แต่ก็มีสถานที่ที่ท่านควรจะไปอยู่ไม่กี่ที่เท่านั้น ที่แรกที่ท่านควรจะไปก็คือกระท่อมของ
บาร์ดิช เขาทำหน้าที่เป็นผู้เก็บรวบรวมมวลข้อต่างๆจากทั่วทุกสารทิศ เป็นชายที่ทำให้เรารู้ข่าวคราวความเป็นไปจากทุกๆที่ที่เรา
เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้ แต่ข้าขอเตือนท่าน ที่เขารู้ เป็นเพียงแค่ข้อมูลดิบๆเท่านั้น บางเรื่องอาจจะเป็นข่าวลือก็เป็นได้ ซึ่งหากว่า
ท่านต้องการอะไรที่เป็นเรื่องราวมากกว่านั้น ข้าแนะนำให้ไปหาท่านผู้เฒ่า อูลเซอร์ จะดีกว่า ท่านเป็นผู้ที่คอยให้ความรู้ แล้วก็
เป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดีแก่เราเหล่ามังกรด้วย รอสักครู่ เดี๋ยวข้าจะนำแผนที่มาทำเครื่องหมายให้\"
แล้วนางก็เดินไปหยิบแผนที่ที่ม้วนจนเป็นทรงกระบอกขนาดย่อม แล้วกางออกอย่างคล่องแคล่ว ทำเครื่องหมายกากบาทที่ตัว
แผนที่ด้วยขนเหยี่ยวจุ่มด้วยหมึก ชายลึกลับเดินเข้ามาดูอย่างตั้งอกตั้งใจ ระหว่างทำเครื่องหมายนางก็กล่าวไปด้วยว่า
\"ที่แรก...กระท่อมของบาร์ดิช จะอยู่ใกล้ที่สุด แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางเป็นวันเหมือนกัน อีกที่หนึ่ง...ที่พำนักของท่านผู้เฒ่า
ก็จะห่างออกมาอีกหน่อยแต่อยู่ในเส้นทางเดียวกัน ระหว่างทางยังมีที่ที่ท่านควรจะไปอีก ตรงนี้ เห็นไหม ตรงบริเวณข้างใต้
ตรงนั้น จะเป็นที่อยู่ของเทพพยากรณ์ที่ชื่อว่า ไครอน เขาจะเป็นที่พึ่งได้เหมือนกันเวลาที่ท่านรู้สึกอับจนหนทาง คำพยากรณ์
ของเขาถึงแม้จะดูคลุมเครือแต่ก็ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน
          แล้วก็...สุดท้าย ถ้าท่านได้ข้อมูลจนท่านพอใจแล้วก็ขอให้ท่านไปรายงานตัวที่สภาสูงมังกร ใกล้ๆกับกระโจมที่ท่านเข้า
ไปนั่นแหละ เพราะอย่างไรก็ตาม ท่านได้เข้ามาที่นี่แล้ว ก็จะต้องมีการทดสอบบางอย่าง แต่ข้าก็เชื่อว่าท่านคงจะผ่านได้อย่าง
ไม่ยากเย็นนักหรอก เอาล่ะ รับกระเป๋านี้ไป ในนี้จะมีทุกสิ่งที่ท่านจำเป็นต้องใช้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นเสบียงกรัง สมุดบันทึก หรือแม้
กระทั่งอาวุธป้องกันตัวก็มีพร้อม ข้าหวังว่ามันจะช่วยในการเดินทางครั้งนี้ได้ดี ลาก่อน ขอให้โชคดี\"
แล้วนางก็ม้วนแผนที่แล้วสอดใส่ในกระเป๋าให้ชายลึกลับ ซึ่งเขาก็รับกระเป๋านั้นมาด้วยความเต็มใจพร้อมกับกล่าวว่า
\"...ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไรดี ถ้าหากว่าท่านต้องการความช่วยเหลือใดๆก็บอกข้ามาได้เลย ท่านไม่ต้องเกรงใจ รู้สึกว่า
เคยมีคนเรียกข้าว่า นักปราชญ์ทมิฬ ขอให้ใช้ชื่อนี้ในการเรียกตัวข้าก็แล้วกัน ข้าคงต้องไปแล้ว ขอให้องค์มหาเทพอยู่กับท่าน
ลาก่อน แล้ววันหลังถ้ามีโอกาสเราอาจจะได้พบกันอีก\"
          แล้วเขาก็ค่อยๆเดินออกจากกระท่อม แล้วมุ่งหน้าไปตามแผนที่โดยไม่หันหลังกลับมาอีก เมื่อเขาเดินไปจนลับสายตา
แล้ว นางก็ถอนหายใจ แล้วพึมพำออกมาว่า
\"น่าสงสารจริง ชายผู้ไม่สามารถจำได้ว่าตนเองเป็นใคร ทั้งยังไม่รู้ว่าขะตากรรมที่รอคอยเขาอยู่จะเป็นอย่างไร ก็ได้แต่หวังให้
องค์มหาเทพคอยส่งเสริมเขาล่ะนะ อย่าให้เขาต้องประสบกับเคราะห์กรรมนักเลย...\"
แล้วนางก็หันหลังกลับ เดินเข้ากลับเข้าไปในส่วนลึกของสถานพยาบาล โดยไม่ได้หันหลังกลับมาอีกเช่นกัน...
          ในขณะเดียวกัน ที่ออเรลัส นครหลวงแห่งอาณาจักรเทอร์เพนไทน์ ตรงใจกลางนครนี้คับคั่งไปด้วยเหล่าอัศวิน สวมเกราะหนักบนหลังม้าที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาชองเซอร์เอสลาฟ กำลังจัดระเบียบแถวอย่างพร้อมเพรียง และรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หน่วยรบพิเศษนี้มีวินัยสูงมาก แม้คำสั่งจะเร่งด่วนเพียงใด หน่วยรบนี้ก็มีความเตรียมพร้อม อยู่เสมอ กระทั่งเวลาเช้าตรู่จนาดนี้ ไม่มีใครที่ยังมาไม่ถึงเลย นับว่าเซอร์เอสลาฟ มีสายตาแหลมคมทีเดียวที่เรียกใช้ หน่วยรบนี้ เข้าร่วมรบเป็นกำลังหนุนหน่วยหน้า จากนั้นไม่นาน กองกำลังพิเศษจำนวนสองพันนายก็จัดระเบียบแถวได้อย่างสมบูรณ์แบบ  เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพได้ทุกเมื่อ เหลือเพียงแต่รอคำสั่งของเซอร์เอสลาฟเท่านั้น
          เมื่อทุกอย่างดูจะเรียบร้อยแล้ว เซอร์เอสลาฟก็ควบม้ามุ่งหน้ามายังกองทัพ แล้วหยุดลงในระยะที่สามารถจะบอกกล่าวหรือออกคำสั่งได้อย่างทั่วถึง หลังจากนั้นจึงพยกหน้าอย่างพึงพอใจแล้วกล่าวว่า
“อรุณสวัสดิ์ บลู ฟอลคอน เหล่านักรบผู้ทแกล้วกล้าแห่งราชอาณาจักรเทอร์เพนไทน์ วันนี้ ข้าไม่ได้เรียกพวกท่านมาเพื่อ ฝึกซ้อมเหมือนอย่างเคย หากแต่ข้าเรียกพวกท่านมาเพื่อนำพวกท่านเข้าสู่สมรภูมิรบของจริง ขณะนี้ เหล่าทหารพี่น้องของเราที่ชายแดนเมืองลาฮาลกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพขนาดมหึมาร่วมสามหมื่นของชนเผ่ามาซัน ซึ่งข้าก็คาดว่าพวกเขาคงต้านทานไม่ได้นานเท่าไหร่นัก พวกเขากำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แล้วพวกท่านจะปล่อยให้พวกเขาต้องรบอย่างโดดเดี่ยวหรือเปล่า ทหาร”
“ไม่ขอรับ” ทหารทุกนายต่างขานรับเป็นเสียงเดียวกัน
“ถ้าเช่นนั้น ข้าคิดว่าพวกท่านคงจะไม่มีใครปฏิเสธการร่วมรบครั้งนี้ใช่ไหม ดีล่ะ เราจะมามัวโอ้เอ้ต่อไปไม่ได้แล้ว ตามข้ามา เหล่านักรบศักสิทธิ์ ไปยังเมืองลาฮาล ที่ซึ่งเหล่าพี่น้องของเรากำลังรอคอยความช่วยเหลืออยู่ เราจะป่าวประกาศให้ชาวมาซันรู้ว่า ถ้าพี่น้องของเราถูกข่มเหงแล้วจะได้รับผลตอบแทนอย่างไร”
          แล้วเขาก็รับธงแม่ทัพประจำหน่วยจากหัวหน้ากอง จากนั้นจึงห้อม้านำไปยังประตูชัยที่อยู่ข้างหน้า โดยมีหน่วย บลู ฟอลคอน ที่พากันโห่ร้องอย่างฮึกเหิมตามติดไปอย่างกระชั้นชิด จนค่อยๆมุ่งหน้าออกไปยังนอกเมือง สู่ปลายทาง ซึ่งก็คือเมืองลาฮาลที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือด้วยความเกรียงไกร...
          ณ ถ้ำแห่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จัก ที่แห่งนี้อับชื้นและมืดมิด อีกทั้งยังเงียบสงัดวังเวง สถานที่แบบนี้จะว่าไปแล้ว ไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ทว่า กลับมีสัตว์เลื้อยคลานหน้าตาประหลาดเลื้อยอยู่ยั้วเยี้ยไปหมด เสียงขู่ฟ่อของสัตว์พวกนี้ ดังระงมไปทั่ว ตรงใจกลางของที่แห่งนี้มีเก้าอี้ที่มีขนาดใหญ่จนน่าจะเป็นบัลลังก์ตั้งอยู่ แม้ว่าบัลลังก์จะมีขนาดใหญ่ แต่เจ้าของบัลลังก์ที่นั่งอยู่นั้นกลับเป็นเด็กหนุ่มผมสีดำหน้าสดใสคนหนึ่ง เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มนั้นมีชายคนหนึ่งกำลัง คุกเข่าน้อมคำนับเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็ปรากฏเป็นใบหน้าอันคมเข้มที่กำลังแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ของชายที่มีชื่อว่าเมมฟิส
          แล้วเมมฟิสก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างนอบน้อม แต่ยังแฝงไว้ด้วยความสง่างามแบบหนึ่ง เขาทำตัวราวกับว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือจอมราชันหรือเทพองค์หนึ่ง ซึ่งตัวเด็กหนุ่มนั้นก็ยิ้มอย่างพึงพอใจที่มีผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่าตนมาน้อมคำนับเขา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะกล่าวว่า
“สวัสดี เมมฟิส ที่ท่านกลับมาที่นี่ ท่านคงจะมีข่าวคราวเรื่องราวต่างๆคืบหน้ามาฝากข้าอยู่บ้างใช่ไหม เชิญ”
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงผายมือเป็นเชิงอนุญาตให้เมมฟิสพูด เมมฟิสน้อมคำนับก่อนกล่าวว่า
“ขอรับ นายท่าน ถ้าจะให้ข้าน้อยเล่าก็คงจะมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายขอรับ ข่าวดีก็คือ ข้าน้อยสามารถกำจัดตัวน่ารำคาญได้ หนึ่งตัว  มันคือ ดาโวลท์ อดีตผู้นำกองกำลังต่อต้านความชั่วร้ายขอรับ ทว่า ข่าวร้ายก็คือ ก่อนที่มันจะตาย มันได้ถ่ายทอด พลังและเหรียญมังกรฟ้าให้กับลูกศิษย์ของมันขอรับ ดังนั้น เมื่อข้าน้อยจัดการดาโวลท์แล้วจึงตามไปหาลูกศิษย์ของมัน พยายามชักชวนให้มันเข้าร่วมกับเรา แต่เจ้าเด็กน้อยนั่นมีแต่ตา หามีแววไม่ ยืนกรานที่จะเข้าข้างพวกมนุษย์อันแสนจะต่ำต้อย ข้าจึงคิดจัดการมันก่อนที่พลังของมันจะกล้าแกร่งขอรับ
          ขณะที่ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปได้ด้วยดีนั้น ไอลาธ ประธานสภาผู้ใช้เวทมนตร์และพวกเทพพิทักษ์ก็ปรากฏตัวออก มาช่วยเจ้าเด็กนั่นได้ทันการ ทำให้ข้าน้อยจำต้องล่าถอยออกมาก่อน ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงขอรับ นายท่าน วันหลังหากข้าน้อยมีโอกาสจะนำตัวเจ้าเด็กนั่นมาให้ท่านใช้งานให้จงได้ เพราะเด็กคนนั้นถ้าหากได้รับการขัดเกลาก็จะเป็น ผู้ใช้เวทที่มีอำนาจมากคนหนึ่ง
          แล้วก็ยังมีข่าวของ “ธิดาจันทรา”ด้วยขอรับ ข้าน้อยพบนางอยู่กับเด็กหนุ่มคนนี้ด้วย ซึ่งจะเป็นเพราะเหตุใดข้าน้อยก็ไม่อาจรู้แน่ขอรับ เนื่องจากสายของข้าน้อยได้ข่าวการจุติของนางจากที่ภูเขานี่เอง จึงไม่ทราบว่าทำไมนางจึงไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่น เท่าที่ข้าน้อยทราบ ข่าวคืบหน้าก็คงจะมีเท่านี้ขอรับ”
กล่าวจบแล้วเมมฟิสก็น้อมคำนับให้เด็กชายอีกครั้ง
“อืม ก็น่าสนใจดีนะ เด็กหนุ่มคนนั้นน่ะ ว่าแต่ แผนการ ล่อเสือออกจากถ้ำ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
“ประสบผลสำเร็จด้วยดีขอรับ มาซัน ฝ่ายพันธมิตรของเราตอนนี้เริ่มทำการโจมตีที่ชายแดนแล้ว ทางด้านเมืองหลวงของเทอร์เพนไทน์ก็ได้ส่งหน่วยรบพิเศษไปช่วยแล้ว ตอนนี้ในเมืองขาดกองกำลังที่มีความสามารถ ทำให้ภายในเริ่มอ่อนแอ เวลานี้เป็นโอกาสอันดีที่จะเริ่มก่อการแล้วขอรับ”
“ดี ถ้าอย่างนั้นก็สั่งการลงไปได้เลย จากนี้ไปหนึ่งอาทิตย์ เราจะยกพลมังกรออกจากภูเขาครีเอเชียสแห่งนี้กัน เป้าหมายคือ ออเรลัส นครหลวงแห่งเทอร์เพนไทน์”
แววตาของเด็กหนุ่มในตอนนี้ช่างไม่เหมาะกับอายุของเขาตอนนี้เสียเลย มันเย็นเยียบและลุกวาวจนน่าเกรงขาม
“ขอรับ ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ท่านปรารถนา”
          จากนั้นเมมฟิสและเด็กหนุ่มก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ท่ามกลางสรรพสัตว์เลื้อยคลานที่พา กันไต่ผนังถ้ำยั้วเยี้ย เมื่อสมใจแล้ว เมมฟิสก็น้อมคำนับ เร้นกายออกไปจากถ้ำอันเร้นลับแห่งนี้ด้วยความยินดีปรีดา...
          กลับมาที่ฝ่ายชนเผ่ามาซัน ขณะนี้ เหล่าทหารภายใต้บังคับบัญชาของคูชอนจำนวนสามหมื่นนาย จัดกระบวนทัพ เตรียมพร้อมที่จะจู่โจมเรียบร้อยแล้ว ด้านกำลังใจนั้นก็มีความฮึกเหิมเต็มที่ ใบหน้าของทหารแต่ละนายล้วนกระตือรือร้น พร้อมที่จะฟาดฟันข้าศึกให้ล้มตายได้ทุกเมื่อ ดูแล้วก็ไม่แปลกเลยที่ทำไมชนเผ่านี้ถึงยังถูกเรียกว่าเป็นคนเถื่อนอยู่ แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็รอคอยคำสั่งของคูชอนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีใครฝ่าฝืนคำสั่งเลยแม้แต่น้อย
        จากนั้นอีกพักหนึ่ง เมื่อแสงรุ่งอรุณแรกของวันเริ่มสาดส่องเข้ามา คูชอนเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีแล้วจึงหันหลังกลับไป สั่งการแม่ทัพนายกองประจำหน่วยต่างๆให้เตรียมพร้อม ก่อนที่จะกล่าวคำปราศรัยแก่ทหารทั้งหลายว่า
“สวัสดี พี่น้องแห่งมาซัน เวลานี้พวกท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง คงอยากจะทำศึกเต็มที่แล้วสินะ ย่อมได้ แต่ขอข้าพูดอะไร สักอย่างหนึ่งก่อนก็แล้วกัน ขอให้พวกท่านจงดูกำแพงเมืองที่อยู่เบื้องหน้าของท่านให้ดีๆ เป็นเวลานานเพียงใดแล้ว นับแต่ที่บรรพบุรุษของพวกเราได้โจมตี ด้วยต้องการที่จะยึดดินแดนแห่งนี้เป็นเมืองขึ้นของเรา พวกเขาโจมตี นับหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งก็ต้องประสบกับความล้มเหลวกลับมาทุกครั้ง ทำไมน่ะหรือ ทั้งๆที่การบุกโจมทีทุกครั้งเรามีกำลังพลมากกว่าเสมอ ก็เพราะว่า ทุกครั้งที่เราทำการรบ ไม่เคยคิดคำนึงถึงผลได้ผลเสียมาก่อน ทำให้กว่าจะมีการบุกโจมตีในวันนี้ เราต้องเตรียมการนับร้อยปี กว่าจะสามารถจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมา
          ในวันนี้ เรามีที่ปรึกษาด้านการศึกคือท่านรอมูห์น ผู้มีความสามารถปราดเปรื่องเลื่องลือขจรขจายไปทุกแดน ขอให้พี่น้องทั้งหลายจงมั่นใจ ร่วมกันทวงสิทธิ์อันชอบธรรมในดินแดนแห่งนี้ที่บรรพบุรุษของเราได้ฝากความหวังไว้ ให้ชื่อเสียงเกียรติภูมิของชนเผ่าเราประกาศก้องให้ทุกหนแห่งได้รู้ว่า เราคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เราจะมีชัยในการศึกครั้งนี้!”
สิ้นเสียงของเขา  เหล่าทหารทุกคนก็โห่ร้องด้วยความฮึกเหิมกระหึ่มก้องไปทั่วอาณาบริเวณ
\"บัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว ขอให้พวกท่านจงรบให้สมศักดิ์ศรีอย่างที่บรรพชนของท่านได้เคยทำมาด้วยเถิด ไป!\"
          แล้วเขาก็ลดธงแม่ทัพไปทางเมืองลาฮาล เหล่าทหารแห่งชนเผ่ามาซันค่อยๆเคลื่อนทัพออกไปทีละขบวนอย่างเป็นระเบียบ ดูเกรียงไกรยิ่ง แว่วเสียงห้อม้าตะบึงอย่างเป็นจังหวะ เสียงกลองรบที่ดังและรัวแรง รวมทั้งเสียงโห่ร้องของทหารที่กลบสรรพสำเนียงรอบข้างจนสิ้น เสียงนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับระยะทางที่สั้นลงทุกขณะ เหล่าทหารที่ยืนคุมเชิงอยู่ที่ประตูเมืองเริ่มรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่กำลังใกล้เข้ามา อาเบลก็เป็นหนึ่งในนั้น เขายกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาดูอีกครั้ง คราวนี้เขาพบกับกองทัพเรือนหมื่นที่กำลังยาตราเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว แต่มั่นคง เขารีบสั่งการทหารทุกนายที่ประจำการให้อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมรบ
          แว่วเสียงเป่าเขาสัตว์ขนาดยักษ์ดังก้อง ตามมาด้วยเสียงเดินขบวนของทหารที่ไม่ได้มีหน้าที่ทำอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งไปรวมกลุ่มกันแถวประตูเมืองคอยทำหน้าที่เป็นกำลังหนุน ส่วนทหารที่อาเบลสั่งงานไว้ก็เข้าไปประจำตำแหน่ง มือธนูสามร้อยคนยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่บนเชิงเทิน แต่ละคนกระชับคันธนูในมือแน่น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเตรียมพร้อม
          ที่เบื้องหลังของพลธนูนั้นเป็นพลโล่ เอาไว้สำหรับรองรับการโต้ตอบจากมือธนูของฝ่ายตรงข้าม แถวข้างหลังสุด เป็นพลดาบและพลหอกที่มีหน้าที่รบในระยะประชิดเมื่อศัตรูเริ่มบุกที่ประตูเมือง และที่บริเวณพื้นข้างๆพลดาบและพลหอก แต่ละคนยังมีถังทรายคั่วที่ร้อนจัดสำหรับจัดการข้าศึกที่พยายามตะเกียกตะกายปีนกำแพงขึ้นมาอีกด้วย ที่ด้านหลังประตูเมืองยังมีทหารกลุ่มหนึ่งพากันลากอาวุธมีล้อบรรจุเชื้อเพลิงที่ชุบนํ้ามันไว้เต็มเปี่ยม ซึ่งเมื่ออาเบลเห็นทหารขน \"อาวุธพิสดาร\" เหล่านี้ขึ้นเชิงเทินมาแล้วก็ทำให้เขายิ้มอย่างมั่นใจขึ้น เลื่อนสายตาไปประจันหน้ากับกองทัพมาซันอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด...
          ขณะนี้ทหารทุกนายที่อยู่บนเชิงเทินสามารถมองเห็นกองทัพของมาซันได้ด้วยตาเปล่าแล้ว ฝุ่นละอองดิน คลี่ฟุ้งกระจายมาแต่ไกล ตามมาด้วยเสียงตลบอบอวลจากการเดินทัพและการขี่ม้าเข้ามาด้วยความรวดเร็ว สิ่งที่เห็น ต่างก็ทำให้เหล่าทหารต้องตกตะลึงไปตามๆกัน เพราะต่างก็ไม่นึกว่ากองทัพมาซันจะยิ่งใหญ่มโหฬารขนาดนี้ เพื่อไม่ให้ ทหารใต้บังคับบัญชาต้องเสียขวัญไปมากกว่านี้ เขาจึงคว้าเขาสัตว์ขนาดยักษ์มาเป่าด้วยตัวเอง เกิดเสียงหวูดก้องกังวานไปทั่ว ทหารทุกนายต่างหันมาดูอาเบลเป็นจุดเดียว เมื่อเหล่าทหารเบนความสนใจมาที่เขาแล้ว เขาจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
\"พี่น้องทั้งหลาย ฟังทางนี้ พวกท่านคงจะเห็นกองทัพอันยิ่งใหญ่ของมาซันแล้วสินะ ข้ารู้ ว่าพวกท่านคงไม่มั่นใจในศึกครั้งนี้สักเท่าไหร่ แต่ขอให้พวกท่านรู้ไว้อย่างหนึ่ง หากพวกท่านด่วนถอดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ เหล่าอาณาประชาราษฎร์ผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็จะถูกฆ่าอย่างไร้ความปราณี ผืนดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็จะลุกเป็นไฟ เป็นหายนะครั้งใหญ่ของเทอร์เพนไทน์
 
          แต่ก็ยังมีทางแก้ หากพวกเราสามารถต้านมาซํนได้ทันจนกว่าทัพหลวงจะมาช่วย อาณาจักรของเราก็จะรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ซึ่งก็จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามวัน พวกท่านทำได้ไหม จะใช้อาวุธของท่านปกป้องดินแดนและกษัตริย์ของเราไว้ได้ไหม\"
\" ดาบของเรา ชีวิตของพวกเรา มีไว้แด่เทอร์เพนไทน์และองค์ราชันย์ \"
ทหารทุกนายพูดเป็นเสียงเดียวกัน
\"ดี หากพวกท่านตั้งใจสู้ ก็ไม่มีอะไรที่ข้าเป็นห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง เอาล่ะ ทหารทุกนายเตรียมพร้อม!\"
          อาเบลนำเขาสัตว์ไปเก็บไว้ที่เดิมแล้วหยิบธงสั่งการที่แขวนอยู่ข้างๆขึ้นมาแทน แล้วรอคอยเวลาที่เหมาะสม จากนั้นไม่นาน เวลาที่เหมาะสมก็มาถึง กองทัพของมาซัน เข้ามาในระยะหวังผลของธนูแล้ว อาเบลชูธงสั่งการขึ้นสูงพร้อมกล่าวคำว่า
\"ธนู บรรจุเกาทัณฑ์...ระวัง...ยิงได้!\"
เป็นสามจังหวะ พร้อมๆกับการลดธงไปข้างหน้า
          ชั่วพริบตาที่เกาทัณหลุดจากแล่ง ห่าธนูจำนวนสามร้อยดอกก็พากันกระหนํ่าลงบนร่างของนักรบมาซันอย่างพร้อมเพรียง แว่วเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดของทหารมาซันระงมไปทั่ว ทหารกว่าสองร้อยห้าสิบคนสิ้นชีวิตในชั่วพริบตาเดียว แต่ทว่าทัพของมาซันก็ยังคงเคลื่อนที่มาด้วยความรวดเร็วเท่าเดิม อาเบลชูธงขึ้นสูง แล้วก็ลดธงให้พลธนูยิงอีกครั้ง ซึ่งการกระหนํ่ายิงคราวนี้ก็ส่งผลให้ทหารมาซันอีกกว่าสองร้อยคนล้มตายในทันที
          จากนั้น แทนที่จะสั่งพลธนูให้ยิงอีกครั้ง อาเบลกลับสั่งว่า \"สลับแถว ธนู-โล่\" พลธนูถอยหลังไป พลโล่ก็เดินขึ้นมา ตั้งโล่ขนาดใหญ่เป็นกำแพงที่รับห่าธนูที่ทหารมาซันตอบโต้มาได้อย่างทันท่วงที เมื่อการยิงโต้กลับเสร็จสิ้นแล้ว เป็นเวลาเดียวกับที่พลธนูบรรจุลูกธนูเสร็จและกำลังง้างคันศรเตรียมยิงพอดี อาเบลรีบไขว้ธงสั่งการสลับแถว ให้เป็นเหมือนเดิม แล้วสั่งให้พลธนูยิงในทันที ครั้งนี้เป็นการยิงโต้กลับในชั่วพริบตาเดียว สร้างความตื่นตกใจ ให้กับนักรบมาซัน เกาทัณฑ์ครั้งนี้คร่าชีวิตไปได้อีกเกือบสามร้อยคน
          อาเบลไขว้ธงสลับแถวอีกครั้ง เว้นจังหวะให้พลธนูบรรจุลูกกระสุน พร้อมกับให้พลโล่คอยปกป้องพลธนูจากการโต้กลับอย่างประปรายของชนเผ่ามาซัน เมื่อพลธนูพร้อมก็ยิงโต้กลับอีกครั้ง ทหารมาซันตายกันไปอีกสองร้อยกว่าคน การยิงครั้งนี้ทำให้เผ่ามาซันเคลื่อนทัพเข้ามาใกล้ช้าลง แล้วขบวนทัพก็เริ่มจัดแบบกระจายตัวให้หลวมขึ้น ลดอัตราการโดนธนูยิง อาเบลลองสั่งการให้พลธนูยิงอีกครั้ง คราวนี้ห่าธนูกลับคร่าชีวิตนักรบมาซันได้เพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นทัพของมาซันก็เข้าใกล้ประตูเมืองมากขึ้นเรื่อยจากทุกทิศมองดูคล้ายเป็นรูปครึ่งวงกลม
          ในสภาวการณ์ที่คับขันเช่นนี้ อาเบลกลับยิ้มออกมา นำอีกธงสั่งให้ทหารเตรียมใช้อาวุธพิเศษที่สั่งทำขึ้นมาเมื่อวานนี้ มันทำให้เขาหวนนึกถึงที่มาของอาวุธนี้ จากหนังสือที่อาจารย์ของเขาเคยแต่งไว้ว่า
มังกรคำราม อาวุธนี้เป็นการรวมกลไกของเครื่องโยนหิน นำมาเพิ่มประสิทธิภาพโดยการนำหินมาหุ้มด้วยดินปืนแล้วชโลมด้วยนํ้ามัน เวลาจะใช้ก็เพียงให้คนหนึ่งจุดไฟแล้วอีกคนหนึ่งใช้เท้ากดคานอีกข้างหนึ่งให้หินพุ่งไปเท่านั้นเอง ประสิทธิภาพในการทำลายของมันถือว่าสูงมากในยุคนี้ อานุภาพของมันนั้นแค่ตกกระทบถึงพื้นก็สามารถระเบิดพื้นให้เป็นหลุมได้ ทั้งยังก่อให้เกิดไปลามลุกสูง กลายเป็นกำแพงไฟที่ไม่สามารถดับได้ในเวลาหนึ่งวัน จุดประสงค์ในการใช้นั้นไม่เน้นทำลายข้าศึก แต่เน้นถ่วงเวลาและตัดกำลังข้าศึกให้น้อยลง
          เมื่อเขานึกทบทวนได้หมดแล้วก็สะบัดธงสั่งให้ทหารที่ลากอาวุธมาให้กระจายอาวุธให้ห่างกันพอประมาณ เตรียมพร้อมโจมตี แล้วรอจังหวะให้เข้าศึกเข้ามาใกล้กว่านี้ ซึ่งก็เป็นเวลาหลังจากนั้นไม่นาน อาเบลสั่งให้ทหารคนหนึ่งจุดไฟแล้วให้ทหารอีกคนที่อยู่ตรงข้ามใช้เท้างัดคานกระดกนำหินที่อยู่ในหลุมร่องให้ลอยขึ้นไปพร้อมๆกัน
          ชั่วพริบตาหลังจากนั้น ลูกหินนับสิบลูกจากอาวุธ \"มังกรคำราม\" นับสิบตัวก็ถูกปล่อยออกมา พากันร่วงลงตามจุดต่างๆรอบๆเมืองลาฮาลอย่างพร้อมเพรียงกัน เกิดเสียงระเบิดดังก้องตามมาติดๆกันนับสิบครั้ง ฝุ่งละอองฟุ้งกระจายขึ้นสูง ควันสีนํ้าตาลขุ่นลอยตลบอบอวล บดบังทัศนวิสัยรอบกายของเหล่านักรบชนเผ่ามาซัน ส่งผลให้ทหารที่อยู่ในบริเวณที่ถูกการโจมตีจากระเบิดโดยรอบต้องแตกกระบวนไม่เป็นท่า แว่วเสียงทั้งม้าและคนร้องอย่างตื่นตกใจดังวุ่นวายไปหมด แม้ว่าผู้ที่เป็นแม่ทัพจะสั่งจัดแถวให้เป็นระเบียบอย่างไรก็ไม่เกิดผล
          ยังไม่ทันที่นักรบแห่งมาซันจะหายจากอาการตื่นตระหนก ตรงจุดที่เกิดการระเบิดเมื่อครู่นี้ก็เกิดไฟพวยพุ่งขึ้นสูงแล้วตามเชื่อมต่อกันเป็นอาณาเขต กักทหารส่วนน้อยที่อยู่แถวเมืองลาฮาลไว้ข้างในไม่ให้ออกไป และกันทัพใหญ่ของลาฮาลไว้ข้างนอกไม่ให้เข้ามา คราวนี้ทัพมาซันที่จำนวนห้าพันที่ติดอยู่ข้างในกำแพงไฟเริ่มกระวนกระวายและขวัญเสียไปตามๆกัน ในขณะที่กองกำลังป้องกันเมืองลาฮาลต่างพากันโห่ร้องด้วยความกระหยิ่มใจ
          อาเบลเห็นว่าสภาพการณ์ยังไม่ดีเท่าที่ควร รีบสั่งพลธนูอีกสามร้อยคนระดมยิงใส่ทัพของมาซันในทันที ซึ่งผลก็เป็นที่น่าพอใจเพราะคราวนี้ศรทุกดอกล้วนถูกเป้าหมาย หลังจากนั้นอาเบลก็ให้ทหารนำก้อนหินธรรมดาแต่มีขนาดใหญ่มายิงซํ้า แล้วหินก้อนใหญ่ก็ร่วงหล่นลงบนร่างของนักรบมาซันผู้เคราะห์ร้าย เกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นเป็นหย่อมๆ เสียงร้องโอดครวญของนักรบมาซันและเสียงของม้าที่สิ้นสตินั้นดังไปทั่วจนเป็นที่น่าเวทน่ายิ่งนัก
          อาเบลมองดูสภาพของนักรบมาซันในตอนนี้ ช่างเป็นที่น่าสังเวชเสียจริง ใจจริงแล้วเขาไม่ต้องการให้มีการบาดเจ็บล้มตายใดๆเกิดขึ้นเลย ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม ถึงกระนั้น แม้ว่ามันจะโหดร้ายเพียงใด เขาก็จำต้องสั่งทัพต่อไปด้วยความจำเป็น เพราะถ้าหากเขาไม่สั่งการให้ฆ่าแล้ว ก็คงจะเป็นฝ่ายที่ถูกฆ่าเสียเอง อาเบลหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังคงสั่งให้พลธนูทำหน้าที่ของพวกเขาต่อไปทั้งๆที่ยังเม้มปากแน่น เกาทัณดอกแล้วดอกเล่าปักอยู่บนร่างของนักรบมาซันผู้อับโชค เลือดของพวกเขาต้องหลั่งไหลโชลมดินจนเจิ่งนองไปทั่ว เนื่องเพราะความทะเยอทะยานอยากของพวกเขาเองที่เป็นต้นเหตุ
          บัดนี้ทหารมาซันที่ติดอยู่ข้างในล้มตายกันไปมากแล้ว เหลือทหารอยู่เพียงพันกว่าคนเท่านั้น อาเบลพบทหารนายหนึ่งเดินขึ้นมารายงานเขาว่า ขณะนี้ทหารสองพันนายที่ทำหน้าที่เป็นกำลังหนุนที่คอยอยู่หลังประตูเมืองเตรียมพร้อมที่จะทำการประจัญบานได้ทุกเมื่อแล้ว เหลือเพียงแต่รอคำสั่งของเขาเท่านั้น อาเบลหลับตาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้าอนุญาตให้กองกำลังหนุนออกไปทำการกวาดล้างได้ หลังจากนั้น ประตูเมืองก็เปิดออก เหล่าทหารรักษาเมืองลาฮาลก็กรูกันออกมาด้วความฮึกเหิม หมายมั่นจะกวาดหลังทหารมาซันที่เหลือให้สิ้นซาก
          ทันใดนั้นก็เกิดปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดขึ้น จู่ๆท้องฟ้าก็มืดมัวไปด้วยเมฆทั้งๆที่ท้องฟ้าวันนี้สดใส แล้วก็เกิดฟ้าแลบแปลบปลาบตามมา อาเบลมีสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด รีบตะคอกสั่งการให้ทหารถอยทัพกลับมาให้เร็วที่สุด คำสั่งนี้ส่งผลให้ทหารบางคนมีสีหน้างุนงง แต่ก็รีบถอยทัพแต่โดยดี อาเบลยังมีทีท่ากระวนกระวายราวกับว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้จริงๆ
          ชั่วพริบตาหลังจากนั้นเกิดฟ้าผ่าลงมาตรงที่ที่เกิดไฟพอดิบพอดี แล้วก็มีสายฟ้าอีกหลายเส้นแลบเข้ามาที่เมืองลาฮาลเป็นเส้นตรง ทหารรักษาเมืองลาฮาลและนักรบมาซันหนีตายกันจ้าละหวั่น มีทหารลาฮาลเคราะห์ร้ายหลายคนที่ถอยกลับเข้าเมืองไม่ทัน ต้องถูกฟ้าผ่าดำเป็นตอตะโกไปทั้งตัว อาเบลกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ และยิ่งกัดฟันแน่นมากขึ้นเมื่อเห็นฝนที่เทกระหนํ่าลงมาอย่างรุนแรงที่ทำให้กำแพงไฟที่อาเบลสร้างไว้มอดดับลงอย่างรวดเร็ว
          เมื่อไฟดับหมดแล้วก็ปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งที่ก้าวข้ามหลุมบ่อที่เมื่อครู่นี้ยังเป็นกำแพงไฟอยู่ ชายผู้นี้แม้จะชราแล้วแต่กลับมีพลังอำนาจคุกคุกคามที่กล้าแกร่งกว่าที่คนหนุ่มมีเสียอีก ชายผู้นี้ก็คือรอมูห์นที่เป็นที่ปรึกษาให้กับคูชอนนั่นเอง ที่เบื้องหลังของเขาเรียงรายไปด้วยทัพหลักของมาซันที่ยืนคุมเชิงอยู่ พร้อมที่จะบุกโจมตีเมืองได้ทุกเมื่อ กำลังใจของทหารและอาเบลเริ่มลดลงเมื่อได้เห็นกองทัพอันมโหฬารของมาซันอีกครั้ง...
แล้วเขาจะแก้วิกฤตการณ์ที่กำลังคืบคลานเข้ามาอีกครั้งได้อย่างไร...
(to the next chapter!)
                                                    ภาค ~เรื่องเล่าของมังกร~
                                                  ตอนที่ 5 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
         
          ชายที่ถูกเรียกว่านักปราชญ์ทมิฬรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีที่ยังสับสนในห้องที่เต็มไปด้วยเตียงนับร้อยหลังที่มีคน
นอนอยู่บนเตียงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เขาคาดเดาเอาว่านี่คงจะเป็นห้องพยาบาล หลังจากนั้นไม่นานมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้า
มาในห้องแล้วเอามือแตะหน้าผากเขา จากนั้นจับชีพจรเขาแล้วตรวจเรื่องจิปาถะพอเป็นพิธี จากนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า
\"ยินดีด้วย เช้านี้อาการของท่านดีขึ้นมากแล้ว ไม่เหมือนเมื่อคืนที่จู่ๆท่านก็ล้มลงไป มีไข้ขึ้นสูง อีกทั้งร่างกายของท่านยัง
ไม่ตอบสนองต่อการเรียกขานอีกด้วย ข้าก็นึกว่าท่านจะติดพิษอะไรเสียอีก ที่ไหนได้ เช้านี้ท่านกลับหายดีเป็นปลิดทิ้ง
ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น กรณีของท่านนับว่าแปลกที่สุดแล้วเท่าที่ข้าเคยพบมา\"
จากนั้นจึงนิ่งเงียบ เปิดโอกาสให้ชายแปลกหน้าได้ซักถาม
\"...ขอบคุณ แม่หญิง ที่ช่วยดูแลข้า เมื่อคืนนี้...ขณะที่ข้ากำลังใช้ความคิดอยู่ อีกครู่หนึ่งต่อมาก็รู้สึกว่าตรงหน้ากลายเป็น
สีดำไปหมด จากนั้นข้าก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกเลย...จนกระทั่งมาถึงบัดนี้ อา ราวกับว่าข้าฝันไปจริงๆด้วย...แล้ว...ตอนนี้ ข้าอยู่
ที่ไหน อยู่ใกล้ๆกับโพรงไม้ที่ข้าเข้าไปเมื่อคืนหรือไม่\"
\"ใกล้เคียงทีเดียว  ที่นี่คือสถานพยาบาลประจำดินแดนแห่งนี้ ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากโพรงสังสรรนั่นมากนัก ไม่อย่างนั้นพวกเขา
คงพาท่านมาหาข้าที่นี่ไม่ได้หรอก ท่านยังต้องการจะเข้าไปโพรงนั้นอีกหรืออย่างไรถึงถามเช่นนั้น\"
\"...ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าแค่อยากรู้เท่านั้นเอง ตกลงแล้ว...ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ แม่หญิง สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ
ของที่นี่ไม่เหมือนอยู่ในเทอร์เพนไทน์เลย และยังไม่อยู่ในทวีปอารีเซียด้วย อีกประการหนึ่ง ที่นี่ข้าเห็นแต่มังกรกับมนุษย์
กึ่งมังกรเท่านั้น ข้าไม่เห็นสิ่งมีชิวิตประเภทอื่นเลย มันเป็นอย่างไรกันแน่ ช่วยทำให้ข้ารู้ชัดหน่อยเถอะ\"
เขาพูดไปคิดไปจนคิ้วขมวดกันเป็นปม
\"จริงสิ...ตั้งแต่ท่านมาที่นี่ก็ยังไม่มีใครบอกข้อมูลอะไรให้ท่านเลยนี่ เอาล่ะ ข้าจะบอกข้อมูลพอที่ข้าจะรู้ก็แล้วกัน ที่เหลือ
คงต้องให้ท่านไปถามผู้รู้ท่านอื่นแล้วล่ะ ประการแรกแรกก็คือ ดินแดนนี้มีชื่อเรียกขานว่า นอสเฟอร์ราตูว์ หรือในภาษาท้อง
ถิ่นของมนุษย์ก็คือดินแดนลับแลนั่นเอง ที่แห่งนี้เป็นดินแดนโบราณที่ไม่ปรากฏอยู่ในแผนที่ใด และเป็นที่ที่ธรรมชาติยังคง
รักษาสภาพเดิมได้ดีอยู่ เนื่องจากไม่มีสิ่งมีชิวิตอื่นนอกจากมังกรและผู้สืบสายเลือดของมังกรอาศัยอยู่ โดยเฉพาะมนุษย์
ธรรมดา ไม่สามารถเข้ามาในดินแดนนี้ได้เป็นอันขาด ยกเว้นจะได้รับการอนุญาติจากสภามังกรก่อน และยังต้องผ่านการ
ทดสอบทางจิตใจอีกด้วย
          เพราะอย่างไรก็ตาม มนุษย์ยังคงเป็นสัตว์ที่มีสันดานดิบหรือกิเลสหลงเหลืออยู่ เมื่อใดที่พวกนี้ถูกกิเลสเข้าครอบงำ ก็จะนำพาอารมณ์ทั้งหลายคือ รัก โลภ โกรธ หลง อันจะเป็นการชักนำความเป็นอสูรที่ซ่อนอยู่ภายในเบื้องลึกของจิตใจของพวกเขาออกมา แล้วก็จะถลำลึกลงไปสู่ความืดจนถอนตัวไม่ขึ้น กลายเป็นผู้ชักนำหายนะ ซึ่งเราไม่สามารถจะปล่อยให้คนประเภทนี้เข้ามาทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ได้\"
นางค่อยๆพูดพร้อมแสดงเหตุผลจนเขาต้องยอมรับ เขาเลยถามต่อไปว่า
\"อืม...ที่ท่านพูดมามันก็มีเหตุผล แต่ว่าพวกท่านจะจำกัดจำนวนคนเข้าไปเพื่ออะไร สถานที่นี้มีความสำคัญหรือศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรกันพวกท่านถึงต้องเข้มงวดกันจนาดนี้\"
\"ก็เพราะว่าสถานที่นี้ เป็นสถานที่ที่ช่วยคํ้าจุนสมดุลแห่งธรรมชาติทั้งมวลน่ะสิ โดยมีพวกเรา เหล่ามังกร คอยทำหน้าที่อัน
ยิ่งให่ญ่นี้ เพราะว่าพวกเราเป็นสัตว์เพียงประเภทเดียวที่อยู่มานานที่สุด ตั้งแต่สมัยปฐมบทแห่งสงครามนั่นแหละ เจ้าก็รู้ใช่
ไหม และก็คงรู้ด้วยว่าเราไม่ได้เข้าร่วมในสงครามครั้งนั้น องค์มหาเทพก็เลยให้ความไว้วางใจในตัวพวกเรา ในการทำหน้าที่
คอยรักษาพลังอำนาจอันเก่าแก่ ซึ่งก็คือพลังจากธรรมชาตินั่นเอง คอยดูแลไม่ให้มีใครใช้อำนาจเหล่านี้ไปในทางที่ผิดๆ
ซึ่งพวกเราก็ทำหน้าที่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดมา...
          แต่ก็นั่นแหละ มังกรบางตัวไม่ได้ดีพอที่องค์มหาเทพคู่ควรจะไว้วางใจนักหรอก ด้วยความที่เป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ
เห็นว่าตนสามารถนำพลังแห่งธรรมชาติมาใช้ได้อย่างไม่จำกัด เกิดความอยากขึ้นมา ก็กลายเป็นผู้ล่วงเกินสมดุลแห่งธรรมชาติ
เสียเอง ซึ่งมังกรพวกนี้ก็มีเกิดขึ้นเป็นพักๆ ตามกระแส เป็นหน้าที่ของพวกเราอีกเหมือนกันที่ต้องคอยจัดการกับมังกรเหล่านี้
ซึ่งถ้าเป็นแค่มังกรตัวเดียวเราก็ไม่ลำบากมากหรอก แต่พวกมันมักกระตุ้นให้มังกรตัวอื่นเห็นชอบไปกับมันด้วย เกิดเป็นการ
แบ่งพรรรคแบ่งพวกขึ้นมา จากปัญหาเล็กๆของมังกรหนึ่งตัว ก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ทั้งเผ่าพันธุ์ต้องสู้รบกันเอง...
          เหตุการณ์แบบนั้นก็เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ถ้าเป็นในดินแดนเทอร์เพนไทน์ก็อยู่ในยุคของบาร์ดที่เหล่ามนุษย์นับถือกัน
พวกเราก็รู้เห็น แต่มิได้เข้าร่วม ปล่อยให้พวกมังกรที่อยู่ทวีปนั้นจัดการเรื่องของตัวเอง เราจะข้องเกี่ยวแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ
สมดุลแห่งธรรมชาติเท่านั้น ตอนนี้เหตุการณ์ของที่นั่นเป็นอย่างไรพวกเราก็ไม่ได้ติดตามแล้ว เอาล่ะ เท่านี้ก่อนก็แล้วกัน
หากท่านต้องข้อมูลเพิ่มเติมกว่านี้นั้นท่านคงต้องใช้เวลาค้นหาเอาเอง\"
\"อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณอีกครั้ง แม่หญิง ข้าคิดว่าอย่างน้อยก็พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับมังกรบ้างแล้ว ทว่า ข้าคิดว่าข้ายังไม่รู้จัก
สถานที่นี้ดีพอ ท่านพอจะช่วยแนะนำสถานที่ที่ข้าจะสามารถค้นหาข้อมูลต่างๆได้บ้างไหม\"
\"แน่นอน ถึงดินแดนนี้จะค่อนข้างกว้าง แต่ก็มีสถานที่ที่ท่านควรจะไปอยู่ไม่กี่ที่เท่านั้น ที่แรกที่ท่านควรจะไปก็คือกระท่อมของ
บาร์ดิช เขาทำหน้าที่เป็นผู้เก็บรวบรวมมวลข้อต่างๆจากทั่วทุกสารทิศ เป็นชายที่ทำให้เรารู้ข่าวคราวความเป็นไปจากทุกๆที่ที่เรา
เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้ แต่ข้าขอเตือนท่าน ที่เขารู้ เป็นเพียงแค่ข้อมูลดิบๆเท่านั้น บางเรื่องอาจจะเป็นข่าวลือก็เป็นได้ ซึ่งหากว่า
ท่านต้องการอะไรที่เป็นเรื่องราวมากกว่านั้น ข้าแนะนำให้ไปหาท่านผู้เฒ่า อูลเซอร์ จะดีกว่า ท่านเป็นผู้ที่คอยให้ความรู้ แล้วก็
เป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดีแก่เราเหล่ามังกรด้วย รอสักครู่ เดี๋ยวข้าจะนำแผนที่มาทำเครื่องหมายให้\"
แล้วนางก็เดินไปหยิบแผนที่ที่ม้วนจนเป็นทรงกระบอกขนาดย่อม แล้วกางออกอย่างคล่องแคล่ว ทำเครื่องหมายกากบาทที่ตัว
แผนที่ด้วยขนเหยี่ยวจุ่มด้วยหมึก ชายลึกลับเดินเข้ามาดูอย่างตั้งอกตั้งใจ ระหว่างทำเครื่องหมายนางก็กล่าวไปด้วยว่า
\"ที่แรก...กระท่อมของบาร์ดิช จะอยู่ใกล้ที่สุด แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางเป็นวันเหมือนกัน อีกที่หนึ่ง...ที่พำนักของท่านผู้เฒ่า
ก็จะห่างออกมาอีกหน่อยแต่อยู่ในเส้นทางเดียวกัน ระหว่างทางยังมีที่ที่ท่านควรจะไปอีก ตรงนี้ เห็นไหม ตรงบริเวณข้างใต้
ตรงนั้น จะเป็นที่อยู่ของเทพพยากรณ์ที่ชื่อว่า ไครอน เขาจะเป็นที่พึ่งได้เหมือนกันเวลาที่ท่านรู้สึกอับจนหนทาง คำพยากรณ์
ของเขาถึงแม้จะดูคลุมเครือแต่ก็ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน
          แล้วก็...สุดท้าย ถ้าท่านได้ข้อมูลจนท่านพอใจแล้วก็ขอให้ท่านไปรายงานตัวที่สภาสูงมังกร ใกล้ๆกับกระโจมที่ท่านเข้า
ไปนั่นแหละ เพราะอย่างไรก็ตาม ท่านได้เข้ามาที่นี่แล้ว ก็จะต้องมีการทดสอบบางอย่าง แต่ข้าก็เชื่อว่าท่านคงจะผ่านได้อย่าง
ไม่ยากเย็นนักหรอก เอาล่ะ รับกระเป๋านี้ไป ในนี้จะมีทุกสิ่งที่ท่านจำเป็นต้องใช้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นเสบียงกรัง สมุดบันทึก หรือแม้
กระทั่งอาวุธป้องกันตัวก็มีพร้อม ข้าหวังว่ามันจะช่วยในการเดินทางครั้งนี้ได้ดี ลาก่อน ขอให้โชคดี\"
แล้วนางก็ม้วนแผนที่แล้วสอดใส่ในกระเป๋าให้ชายลึกลับ ซึ่งเขาก็รับกระเป๋านั้นมาด้วยความเต็มใจพร้อมกับกล่าวว่า
\"...ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไรดี ถ้าหากว่าท่านต้องการความช่วยเหลือใดๆก็บอกข้ามาได้เลย ท่านไม่ต้องเกรงใจ รู้สึกว่า
เคยมีคนเรียกข้าว่า นักปราชญ์ทมิฬ ขอให้ใช้ชื่อนี้ในการเรียกตัวข้าก็แล้วกัน ข้าคงต้องไปแล้ว ขอให้องค์มหาเทพอยู่กับท่าน
ลาก่อน แล้ววันหลังถ้ามีโอกาสเราอาจจะได้พบกันอีก\"
          แล้วเขาก็ค่อยๆเดินออกจากกระท่อม แล้วมุ่งหน้าไปตามแผนที่โดยไม่หันหลังกลับมาอีก เมื่อเขาเดินไปจนลับสายตา
แล้ว นางก็ถอนหายใจ แล้วพึมพำออกมาว่า
\"น่าสงสารจริง ชายผู้ไม่สามารถจำได้ว่าตนเองเป็นใคร ทั้งยังไม่รู้ว่าขะตากรรมที่รอคอยเขาอยู่จะเป็นอย่างไร ก็ได้แต่หวังให้
องค์มหาเทพคอยส่งเสริมเขาล่ะนะ อย่าให้เขาต้องประสบกับเคราะห์กรรมนักเลย...\"
แล้วนางก็หันหลังกลับ เดินเข้ากลับเข้าไปในส่วนลึกของสถานพยาบาล โดยไม่ได้หันหลังกลับมาอีกเช่นกัน...
          ในขณะเดียวกัน ที่ออเรลัส นครหลวงแห่งอาณาจักรเทอร์เพนไทน์ ตรงใจกลางนครนี้คับคั่งไปด้วยเหล่าอัศวิน สวมเกราะหนักบนหลังม้าที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาชองเซอร์เอสลาฟ กำลังจัดระเบียบแถวอย่างพร้อมเพรียง และรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หน่วยรบพิเศษนี้มีวินัยสูงมาก แม้คำสั่งจะเร่งด่วนเพียงใด หน่วยรบนี้ก็มีความเตรียมพร้อม อยู่เสมอ กระทั่งเวลาเช้าตรู่จนาดนี้ ไม่มีใครที่ยังมาไม่ถึงเลย นับว่าเซอร์เอสลาฟ มีสายตาแหลมคมทีเดียวที่เรียกใช้ หน่วยรบนี้ เข้าร่วมรบเป็นกำลังหนุนหน่วยหน้า จากนั้นไม่นาน กองกำลังพิเศษจำนวนสองพันนายก็จัดระเบียบแถวได้อย่างสมบูรณ์แบบ  เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพได้ทุกเมื่อ เหลือเพียงแต่รอคำสั่งของเซอร์เอสลาฟเท่านั้น
          เมื่อทุกอย่างดูจะเรียบร้อยแล้ว เซอร์เอสลาฟก็ควบม้ามุ่งหน้ามายังกองทัพ แล้วหยุดลงในระยะที่สามารถจะบอกกล่าวหรือออกคำสั่งได้อย่างทั่วถึง หลังจากนั้นจึงพยกหน้าอย่างพึงพอใจแล้วกล่าวว่า
“อรุณสวัสดิ์ บลู ฟอลคอน เหล่านักรบผู้ทแกล้วกล้าแห่งราชอาณาจักรเทอร์เพนไทน์ วันนี้ ข้าไม่ได้เรียกพวกท่านมาเพื่อ ฝึกซ้อมเหมือนอย่างเคย หากแต่ข้าเรียกพวกท่านมาเพื่อนำพวกท่านเข้าสู่สมรภูมิรบของจริง ขณะนี้ เหล่าทหารพี่น้องของเราที่ชายแดนเมืองลาฮาลกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพขนาดมหึมาร่วมสามหมื่นของชนเผ่ามาซัน ซึ่งข้าก็คาดว่าพวกเขาคงต้านทานไม่ได้นานเท่าไหร่นัก พวกเขากำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แล้วพวกท่านจะปล่อยให้พวกเขาต้องรบอย่างโดดเดี่ยวหรือเปล่า ทหาร”
“ไม่ขอรับ” ทหารทุกนายต่างขานรับเป็นเสียงเดียวกัน
“ถ้าเช่นนั้น ข้าคิดว่าพวกท่านคงจะไม่มีใครปฏิเสธการร่วมรบครั้งนี้ใช่ไหม ดีล่ะ เราจะมามัวโอ้เอ้ต่อไปไม่ได้แล้ว ตามข้ามา เหล่านักรบศักสิทธิ์ ไปยังเมืองลาฮาล ที่ซึ่งเหล่าพี่น้องของเรากำลังรอคอยความช่วยเหลืออยู่ เราจะป่าวประกาศให้ชาวมาซันรู้ว่า ถ้าพี่น้องของเราถูกข่มเหงแล้วจะได้รับผลตอบแทนอย่างไร”
          แล้วเขาก็รับธงแม่ทัพประจำหน่วยจากหัวหน้ากอง จากนั้นจึงห้อม้านำไปยังประตูชัยที่อยู่ข้างหน้า โดยมีหน่วย บลู ฟอลคอน ที่พากันโห่ร้องอย่างฮึกเหิมตามติดไปอย่างกระชั้นชิด จนค่อยๆมุ่งหน้าออกไปยังนอกเมือง สู่ปลายทาง ซึ่งก็คือเมืองลาฮาลที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือด้วยความเกรียงไกร...
          ณ ถ้ำแห่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จัก ที่แห่งนี้อับชื้นและมืดมิด อีกทั้งยังเงียบสงัดวังเวง สถานที่แบบนี้จะว่าไปแล้ว ไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ทว่า กลับมีสัตว์เลื้อยคลานหน้าตาประหลาดเลื้อยอยู่ยั้วเยี้ยไปหมด เสียงขู่ฟ่อของสัตว์พวกนี้ ดังระงมไปทั่ว ตรงใจกลางของที่แห่งนี้มีเก้าอี้ที่มีขนาดใหญ่จนน่าจะเป็นบัลลังก์ตั้งอยู่ แม้ว่าบัลลังก์จะมีขนาดใหญ่ แต่เจ้าของบัลลังก์ที่นั่งอยู่นั้นกลับเป็นเด็กหนุ่มผมสีดำหน้าสดใสคนหนึ่ง เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มนั้นมีชายคนหนึ่งกำลัง คุกเข่าน้อมคำนับเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็ปรากฏเป็นใบหน้าอันคมเข้มที่กำลังแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ของชายที่มีชื่อว่าเมมฟิส
          แล้วเมมฟิสก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างนอบน้อม แต่ยังแฝงไว้ด้วยความสง่างามแบบหนึ่ง เขาทำตัวราวกับว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือจอมราชันหรือเทพองค์หนึ่ง ซึ่งตัวเด็กหนุ่มนั้นก็ยิ้มอย่างพึงพอใจที่มีผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่าตนมาน้อมคำนับเขา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะกล่าวว่า
“สวัสดี เมมฟิส ที่ท่านกลับมาที่นี่ ท่านคงจะมีข่าวคราวเรื่องราวต่างๆคืบหน้ามาฝากข้าอยู่บ้างใช่ไหม เชิญ”
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงผายมือเป็นเชิงอนุญาตให้เมมฟิสพูด เมมฟิสน้อมคำนับก่อนกล่าวว่า
“ขอรับ นายท่าน ถ้าจะให้ข้าน้อยเล่าก็คงจะมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายขอรับ ข่าวดีก็คือ ข้าน้อยสามารถกำจัดตัวน่ารำคาญได้ หนึ่งตัว  มันคือ ดาโวลท์ อดีตผู้นำกองกำลังต่อต้านความชั่วร้ายขอรับ ทว่า ข่าวร้ายก็คือ ก่อนที่มันจะตาย มันได้ถ่ายทอด พลังและเหรียญมังกรฟ้าให้กับลูกศิษย์ของมันขอรับ ดังนั้น เมื่อข้าน้อยจัดการดาโวลท์แล้วจึงตามไปหาลูกศิษย์ของมัน พยายามชักชวนให้มันเข้าร่วมกับเรา แต่เจ้าเด็กน้อยนั่นมีแต่ตา หามีแววไม่ ยืนกรานที่จะเข้าข้างพวกมนุษย์อันแสนจะต่ำต้อย ข้าจึงคิดจัดการมันก่อนที่พลังของมันจะกล้าแกร่งขอรับ
          ขณะที่ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปได้ด้วยดีนั้น ไอลาธ ประธานสภาผู้ใช้เวทมนตร์และพวกเทพพิทักษ์ก็ปรากฏตัวออก มาช่วยเจ้าเด็กนั่นได้ทันการ ทำให้ข้าน้อยจำต้องล่าถอยออกมาก่อน ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงขอรับ นายท่าน วันหลังหากข้าน้อยมีโอกาสจะนำตัวเจ้าเด็กนั่นมาให้ท่านใช้งานให้จงได้ เพราะเด็กคนนั้นถ้าหากได้รับการขัดเกลาก็จะเป็น ผู้ใช้เวทที่มีอำนาจมากคนหนึ่ง
          แล้วก็ยังมีข่าวของ “ธิดาจันทรา”ด้วยขอรับ ข้าน้อยพบนางอยู่กับเด็กหนุ่มคนนี้ด้วย ซึ่งจะเป็นเพราะเหตุใดข้าน้อยก็ไม่อาจรู้แน่ขอรับ เนื่องจากสายของข้าน้อยได้ข่าวการจุติของนางจากที่ภูเขานี่เอง จึงไม่ทราบว่าทำไมนางจึงไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่น เท่าที่ข้าน้อยทราบ ข่าวคืบหน้าก็คงจะมีเท่านี้ขอรับ”
กล่าวจบแล้วเมมฟิสก็น้อมคำนับให้เด็กชายอีกครั้ง
“อืม ก็น่าสนใจดีนะ เด็กหนุ่มคนนั้นน่ะ ว่าแต่ แผนการ ล่อเสือออกจากถ้ำ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
“ประสบผลสำเร็จด้วยดีขอรับ มาซัน ฝ่ายพันธมิตรของเราตอนนี้เริ่มทำการโจมตีที่ชายแดนแล้ว ทางด้านเมืองหลวงของเทอร์เพนไทน์ก็ได้ส่งหน่วยรบพิเศษไปช่วยแล้ว ตอนนี้ในเมืองขาดกองกำลังที่มีความสามารถ ทำให้ภายในเริ่มอ่อนแอ เวลานี้เป็นโอกาสอันดีที่จะเริ่มก่อการแล้วขอรับ”
“ดี ถ้าอย่างนั้นก็สั่งการลงไปได้เลย จากนี้ไปหนึ่งอาทิตย์ เราจะยกพลมังกรออกจากภูเขาครีเอเชียสแห่งนี้กัน เป้าหมายคือ ออเรลัส นครหลวงแห่งเทอร์เพนไทน์”
แววตาของเด็กหนุ่มในตอนนี้ช่างไม่เหมาะกับอายุของเขาตอนนี้เสียเลย มันเย็นเยียบและลุกวาวจนน่าเกรงขาม
“ขอรับ ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ท่านปรารถนา”
          จากนั้นเมมฟิสและเด็กหนุ่มก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ท่ามกลางสรรพสัตว์เลื้อยคลานที่พา กันไต่ผนังถ้ำยั้วเยี้ย เมื่อสมใจแล้ว เมมฟิสก็น้อมคำนับ เร้นกายออกไปจากถ้ำอันเร้นลับแห่งนี้ด้วยความยินดีปรีดา...
          กลับมาที่ฝ่ายชนเผ่ามาซัน ขณะนี้ เหล่าทหารภายใต้บังคับบัญชาของคูชอนจำนวนสามหมื่นนาย จัดกระบวนทัพ เตรียมพร้อมที่จะจู่โจมเรียบร้อยแล้ว ด้านกำลังใจนั้นก็มีความฮึกเหิมเต็มที่ ใบหน้าของทหารแต่ละนายล้วนกระตือรือร้น พร้อมที่จะฟาดฟันข้าศึกให้ล้มตายได้ทุกเมื่อ ดูแล้วก็ไม่แปลกเลยที่ทำไมชนเผ่านี้ถึงยังถูกเรียกว่าเป็นคนเถื่อนอยู่ แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็รอคอยคำสั่งของคูชอนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีใครฝ่าฝืนคำสั่งเลยแม้แต่น้อย
        จากนั้นอีกพักหนึ่ง เมื่อแสงรุ่งอรุณแรกของวันเริ่มสาดส่องเข้ามา คูชอนเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีแล้วจึงหันหลังกลับไป สั่งการแม่ทัพนายกองประจำหน่วยต่างๆให้เตรียมพร้อม ก่อนที่จะกล่าวคำปราศรัยแก่ทหารทั้งหลายว่า
“สวัสดี พี่น้องแห่งมาซัน เวลานี้พวกท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง คงอยากจะทำศึกเต็มที่แล้วสินะ ย่อมได้ แต่ขอข้าพูดอะไร สักอย่างหนึ่งก่อนก็แล้วกัน ขอให้พวกท่านจงดูกำแพงเมืองที่อยู่เบื้องหน้าของท่านให้ดีๆ เป็นเวลานานเพียงใดแล้ว นับแต่ที่บรรพบุรุษของพวกเราได้โจมตี ด้วยต้องการที่จะยึดดินแดนแห่งนี้เป็นเมืองขึ้นของเรา พวกเขาโจมตี นับหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งก็ต้องประสบกับความล้มเหลวกลับมาทุกครั้ง ทำไมน่ะหรือ ทั้งๆที่การบุกโจมทีทุกครั้งเรามีกำลังพลมากกว่าเสมอ ก็เพราะว่า ทุกครั้งที่เราทำการรบ ไม่เคยคิดคำนึงถึงผลได้ผลเสียมาก่อน ทำให้กว่าจะมีการบุกโจมตีในวันนี้ เราต้องเตรียมการนับร้อยปี กว่าจะสามารถจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมา
          ในวันนี้ เรามีที่ปรึกษาด้านการศึกคือท่านรอมูห์น ผู้มีความสามารถปราดเปรื่องเลื่องลือขจรขจายไปทุกแดน ขอให้พี่น้องทั้งหลายจงมั่นใจ ร่วมกันทวงสิทธิ์อันชอบธรรมในดินแดนแห่งนี้ที่บรรพบุรุษของเราได้ฝากความหวังไว้ ให้ชื่อเสียงเกียรติภูมิของชนเผ่าเราประกาศก้องให้ทุกหนแห่งได้รู้ว่า เราคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เราจะมีชัยในการศึกครั้งนี้!”
สิ้นเสียงของเขา  เหล่าทหารทุกคนก็โห่ร้องด้วยความฮึกเหิมกระหึ่มก้องไปทั่วอาณาบริเวณ
\"บัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว ขอให้พวกท่านจงรบให้สมศักดิ์ศรีอย่างที่บรรพชนของท่านได้เคยทำมาด้วยเถิด ไป!\"
          แล้วเขาก็ลดธงแม่ทัพไปทางเมืองลาฮาล เหล่าทหารแห่งชนเผ่ามาซันค่อยๆเคลื่อนทัพออกไปทีละขบวนอย่างเป็นระเบียบ ดูเกรียงไกรยิ่ง แว่วเสียงห้อม้าตะบึงอย่างเป็นจังหวะ เสียงกลองรบที่ดังและรัวแรง รวมทั้งเสียงโห่ร้องของทหารที่กลบสรรพสำเนียงรอบข้างจนสิ้น เสียงนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับระยะทางที่สั้นลงทุกขณะ เหล่าทหารที่ยืนคุมเชิงอยู่ที่ประตูเมืองเริ่มรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่กำลังใกล้เข้ามา อาเบลก็เป็นหนึ่งในนั้น เขายกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาดูอีกครั้ง คราวนี้เขาพบกับกองทัพเรือนหมื่นที่กำลังยาตราเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว แต่มั่นคง เขารีบสั่งการทหารทุกนายที่ประจำการให้อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมรบ
          แว่วเสียงเป่าเขาสัตว์ขนาดยักษ์ดังก้อง ตามมาด้วยเสียงเดินขบวนของทหารที่ไม่ได้มีหน้าที่ทำอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งไปรวมกลุ่มกันแถวประตูเมืองคอยทำหน้าที่เป็นกำลังหนุน ส่วนทหารที่อาเบลสั่งงานไว้ก็เข้าไปประจำตำแหน่ง มือธนูสามร้อยคนยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่บนเชิงเทิน แต่ละคนกระชับคันธนูในมือแน่น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเตรียมพร้อม
          ที่เบื้องหลังของพลธนูนั้นเป็นพลโล่ เอาไว้สำหรับรองรับการโต้ตอบจากมือธนูของฝ่ายตรงข้าม แถวข้างหลังสุด เป็นพลดาบและพลหอกที่มีหน้าที่รบในระยะประชิดเมื่อศัตรูเริ่มบุกที่ประตูเมือง และที่บริเวณพื้นข้างๆพลดาบและพลหอก แต่ละคนยังมีถังทรายคั่วที่ร้อนจัดสำหรับจัดการข้าศึกที่พยายามตะเกียกตะกายปีนกำแพงขึ้นมาอีกด้วย ที่ด้านหลังประตูเมืองยังมีทหารกลุ่มหนึ่งพากันลากอาวุธมีล้อบรรจุเชื้อเพลิงที่ชุบนํ้ามันไว้เต็มเปี่ยม ซึ่งเมื่ออาเบลเห็นทหารขน \"อาวุธพิสดาร\" เหล่านี้ขึ้นเชิงเทินมาแล้วก็ทำให้เขายิ้มอย่างมั่นใจขึ้น เลื่อนสายตาไปประจันหน้ากับกองทัพมาซันอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด...
          ขณะนี้ทหารทุกนายที่อยู่บนเชิงเทินสามารถมองเห็นกองทัพของมาซันได้ด้วยตาเปล่าแล้ว ฝุ่นละอองดิน คลี่ฟุ้งกระจายมาแต่ไกล ตามมาด้วยเสียงตลบอบอวลจากการเดินทัพและการขี่ม้าเข้ามาด้วยความรวดเร็ว สิ่งที่เห็น ต่างก็ทำให้เหล่าทหารต้องตกตะลึงไปตามๆกัน เพราะต่างก็ไม่นึกว่ากองทัพมาซันจะยิ่งใหญ่มโหฬารขนาดนี้ เพื่อไม่ให้ ทหารใต้บังคับบัญชาต้องเสียขวัญไปมากกว่านี้ เขาจึงคว้าเขาสัตว์ขนาดยักษ์มาเป่าด้วยตัวเอง เกิดเสียงหวูดก้องกังวานไปทั่ว ทหารทุกนายต่างหันมาดูอาเบลเป็นจุดเดียว เมื่อเหล่าทหารเบนความสนใจมาที่เขาแล้ว เขาจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
\"พี่น้องทั้งหลาย ฟังทางนี้ พวกท่านคงจะเห็นกองทัพอันยิ่งใหญ่ของมาซันแล้วสินะ ข้ารู้ ว่าพวกท่านคงไม่มั่นใจในศึกครั้งนี้สักเท่าไหร่ แต่ขอให้พวกท่านรู้ไว้อย่างหนึ่ง หากพวกท่านด่วนถอดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ เหล่าอาณาประชาราษฎร์ผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็จะถูกฆ่าอย่างไร้ความปราณี ผืนดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็จะลุกเป็นไฟ เป็นหายนะครั้งใหญ่ของเทอร์เพนไทน์
 
          แต่ก็ยังมีทางแก้ หากพวกเราสามารถต้านมาซํนได้ทันจนกว่าทัพหลวงจะมาช่วย อาณาจักรของเราก็จะรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ซึ่งก็จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามวัน พวกท่านทำได้ไหม จะใช้อาวุธของท่านปกป้องดินแดนและกษัตริย์ของเราไว้ได้ไหม\"
\" ดาบของเรา ชีวิตของพวกเรา มีไว้แด่เทอร์เพนไทน์และองค์ราชันย์ \"
ทหารทุกนายพูดเป็นเสียงเดียวกัน
\"ดี หากพวกท่านตั้งใจสู้ ก็ไม่มีอะไรที่ข้าเป็นห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง เอาล่ะ ทหารทุกนายเตรียมพร้อม!\"
          อาเบลนำเขาสัตว์ไปเก็บไว้ที่เดิมแล้วหยิบธงสั่งการที่แขวนอยู่ข้างๆขึ้นมาแทน แล้วรอคอยเวลาที่เหมาะสม จากนั้นไม่นาน เวลาที่เหมาะสมก็มาถึง กองทัพของมาซัน เข้ามาในระยะหวังผลของธนูแล้ว อาเบลชูธงสั่งการขึ้นสูงพร้อมกล่าวคำว่า
\"ธนู บรรจุเกาทัณฑ์...ระวัง...ยิงได้!\"
เป็นสามจังหวะ พร้อมๆกับการลดธงไปข้างหน้า
          ชั่วพริบตาที่เกาทัณหลุดจากแล่ง ห่าธนูจำนวนสามร้อยดอกก็พากันกระหนํ่าลงบนร่างของนักรบมาซันอย่างพร้อมเพรียง แว่วเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดของทหารมาซันระงมไปทั่ว ทหารกว่าสองร้อยห้าสิบคนสิ้นชีวิตในชั่วพริบตาเดียว แต่ทว่าทัพของมาซันก็ยังคงเคลื่อนที่มาด้วยความรวดเร็วเท่าเดิม อาเบลชูธงขึ้นสูง แล้วก็ลดธงให้พลธนูยิงอีกครั้ง ซึ่งการกระหนํ่ายิงคราวนี้ก็ส่งผลให้ทหารมาซันอีกกว่าสองร้อยคนล้มตายในทันที
          จากนั้น แทนที่จะสั่งพลธนูให้ยิงอีกครั้ง อาเบลกลับสั่งว่า \"สลับแถว ธนู-โล่\" พลธนูถอยหลังไป พลโล่ก็เดินขึ้นมา ตั้งโล่ขนาดใหญ่เป็นกำแพงที่รับห่าธนูที่ทหารมาซันตอบโต้มาได้อย่างทันท่วงที เมื่อการยิงโต้กลับเสร็จสิ้นแล้ว เป็นเวลาเดียวกับที่พลธนูบรรจุลูกธนูเสร็จและกำลังง้างคันศรเตรียมยิงพอดี อาเบลรีบไขว้ธงสั่งการสลับแถว ให้เป็นเหมือนเดิม แล้วสั่งให้พลธนูยิงในทันที ครั้งนี้เป็นการยิงโต้กลับในชั่วพริบตาเดียว สร้างความตื่นตกใจ ให้กับนักรบมาซัน เกาทัณฑ์ครั้งนี้คร่าชีวิตไปได้อีกเกือบสามร้อยคน
          อาเบลไขว้ธงสลับแถวอีกครั้ง เว้นจังหวะให้พลธนูบรรจุลูกกระสุน พร้อมกับให้พลโล่คอยปกป้องพลธนูจากการโต้กลับอย่างประปรายของชนเผ่ามาซัน เมื่อพลธนูพร้อมก็ยิงโต้กลับอีกครั้ง ทหารมาซันตายกันไปอีกสองร้อยกว่าคน การยิงครั้งนี้ทำให้เผ่ามาซันเคลื่อนทัพเข้ามาใกล้ช้าลง แล้วขบวนทัพก็เริ่มจัดแบบกระจายตัวให้หลวมขึ้น ลดอัตราการโดนธนูยิง อาเบลลองสั่งการให้พลธนูยิงอีกครั้ง คราวนี้ห่าธนูกลับคร่าชีวิตนักรบมาซันได้เพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นทัพของมาซันก็เข้าใกล้ประตูเมืองมากขึ้นเรื่อยจากทุกทิศมองดูคล้ายเป็นรูปครึ่งวงกลม
          ในสภาวการณ์ที่คับขันเช่นนี้ อาเบลกลับยิ้มออกมา นำอีกธงสั่งให้ทหารเตรียมใช้อาวุธพิเศษที่สั่งทำขึ้นมาเมื่อวานนี้ มันทำให้เขาหวนนึกถึงที่มาของอาวุธนี้ จากหนังสือที่อาจารย์ของเขาเคยแต่งไว้ว่า
มังกรคำราม อาวุธนี้เป็นการรวมกลไกของเครื่องโยนหิน นำมาเพิ่มประสิทธิภาพโดยการนำหินมาหุ้มด้วยดินปืนแล้วชโลมด้วยนํ้ามัน เวลาจะใช้ก็เพียงให้คนหนึ่งจุดไฟแล้วอีกคนหนึ่งใช้เท้ากดคานอีกข้างหนึ่งให้หินพุ่งไปเท่านั้นเอง ประสิทธิภาพในการทำลายของมันถือว่าสูงมากในยุคนี้ อานุภาพของมันนั้นแค่ตกกระทบถึงพื้นก็สามารถระเบิดพื้นให้เป็นหลุมได้ ทั้งยังก่อให้เกิดไปลามลุกสูง กลายเป็นกำแพงไฟที่ไม่สามารถดับได้ในเวลาหนึ่งวัน จุดประสงค์ในการใช้นั้นไม่เน้นทำลายข้าศึก แต่เน้นถ่วงเวลาและตัดกำลังข้าศึกให้น้อยลง
          เมื่อเขานึกทบทวนได้หมดแล้วก็สะบัดธงสั่งให้ทหารที่ลากอาวุธมาให้กระจายอาวุธให้ห่างกันพอประมาณ เตรียมพร้อมโจมตี แล้วรอจังหวะให้เข้าศึกเข้ามาใกล้กว่านี้ ซึ่งก็เป็นเวลาหลังจากนั้นไม่นาน อาเบลสั่งให้ทหารคนหนึ่งจุดไฟแล้วให้ทหารอีกคนที่อยู่ตรงข้ามใช้เท้างัดคานกระดกนำหินที่อยู่ในหลุมร่องให้ลอยขึ้นไปพร้อมๆกัน
          ชั่วพริบตาหลังจากนั้น ลูกหินนับสิบลูกจากอาวุธ \"มังกรคำราม\" นับสิบตัวก็ถูกปล่อยออกมา พากันร่วงลงตามจุดต่างๆรอบๆเมืองลาฮาลอย่างพร้อมเพรียงกัน เกิดเสียงระเบิดดังก้องตามมาติดๆกันนับสิบครั้ง ฝุ่งละอองฟุ้งกระจายขึ้นสูง ควันสีนํ้าตาลขุ่นลอยตลบอบอวล บดบังทัศนวิสัยรอบกายของเหล่านักรบชนเผ่ามาซัน ส่งผลให้ทหารที่อยู่ในบริเวณที่ถูกการโจมตีจากระเบิดโดยรอบต้องแตกกระบวนไม่เป็นท่า แว่วเสียงทั้งม้าและคนร้องอย่างตื่นตกใจดังวุ่นวายไปหมด แม้ว่าผู้ที่เป็นแม่ทัพจะสั่งจัดแถวให้เป็นระเบียบอย่างไรก็ไม่เกิดผล
          ยังไม่ทันที่นักรบแห่งมาซันจะหายจากอาการตื่นตระหนก ตรงจุดที่เกิดการระเบิดเมื่อครู่นี้ก็เกิดไฟพวยพุ่งขึ้นสูงแล้วตามเชื่อมต่อกันเป็นอาณาเขต กักทหารส่วนน้อยที่อยู่แถวเมืองลาฮาลไว้ข้างในไม่ให้ออกไป และกันทัพใหญ่ของลาฮาลไว้ข้างนอกไม่ให้เข้ามา คราวนี้ทัพมาซันที่จำนวนห้าพันที่ติดอยู่ข้างในกำแพงไฟเริ่มกระวนกระวายและขวัญเสียไปตามๆกัน ในขณะที่กองกำลังป้องกันเมืองลาฮาลต่างพากันโห่ร้องด้วยความกระหยิ่มใจ
          อาเบลเห็นว่าสภาพการณ์ยังไม่ดีเท่าที่ควร รีบสั่งพลธนูอีกสามร้อยคนระดมยิงใส่ทัพของมาซันในทันที ซึ่งผลก็เป็นที่น่าพอใจเพราะคราวนี้ศรทุกดอกล้วนถูกเป้าหมาย หลังจากนั้นอาเบลก็ให้ทหารนำก้อนหินธรรมดาแต่มีขนาดใหญ่มายิงซํ้า แล้วหินก้อนใหญ่ก็ร่วงหล่นลงบนร่างของนักรบมาซันผู้เคราะห์ร้าย เกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นเป็นหย่อมๆ เสียงร้องโอดครวญของนักรบมาซันและเสียงของม้าที่สิ้นสตินั้นดังไปทั่วจนเป็นที่น่าเวทน่ายิ่งนัก
          อาเบลมองดูสภาพของนักรบมาซันในตอนนี้ ช่างเป็นที่น่าสังเวชเสียจริง ใจจริงแล้วเขาไม่ต้องการให้มีการบาดเจ็บล้มตายใดๆเกิดขึ้นเลย ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม ถึงกระนั้น แม้ว่ามันจะโหดร้ายเพียงใด เขาก็จำต้องสั่งทัพต่อไปด้วยความจำเป็น เพราะถ้าหากเขาไม่สั่งการให้ฆ่าแล้ว ก็คงจะเป็นฝ่ายที่ถูกฆ่าเสียเอง อาเบลหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังคงสั่งให้พลธนูทำหน้าที่ของพวกเขาต่อไปทั้งๆที่ยังเม้มปากแน่น เกาทัณดอกแล้วดอกเล่าปักอยู่บนร่างของนักรบมาซันผู้อับโชค เลือดของพวกเขาต้องหลั่งไหลโชลมดินจนเจิ่งนองไปทั่ว เนื่องเพราะความทะเยอทะยานอยากของพวกเขาเองที่เป็นต้นเหตุ
          บัดนี้ทหารมาซันที่ติดอยู่ข้างในล้มตายกันไปมากแล้ว เหลือทหารอยู่เพียงพันกว่าคนเท่านั้น อาเบลพบทหารนายหนึ่งเดินขึ้นมารายงานเขาว่า ขณะนี้ทหารสองพันนายที่ทำหน้าที่เป็นกำลังหนุนที่คอยอยู่หลังประตูเมืองเตรียมพร้อมที่จะทำการประจัญบานได้ทุกเมื่อแล้ว เหลือเพียงแต่รอคำสั่งของเขาเท่านั้น อาเบลหลับตาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้าอนุญาตให้กองกำลังหนุนออกไปทำการกวาดล้างได้ หลังจากนั้น ประตูเมืองก็เปิดออก เหล่าทหารรักษาเมืองลาฮาลก็กรูกันออกมาด้วความฮึกเหิม หมายมั่นจะกวาดหลังทหารมาซันที่เหลือให้สิ้นซาก
          ทันใดนั้นก็เกิดปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดขึ้น จู่ๆท้องฟ้าก็มืดมัวไปด้วยเมฆทั้งๆที่ท้องฟ้าวันนี้สดใส แล้วก็เกิดฟ้าแลบแปลบปลาบตามมา อาเบลมีสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด รีบตะคอกสั่งการให้ทหารถอยทัพกลับมาให้เร็วที่สุด คำสั่งนี้ส่งผลให้ทหารบางคนมีสีหน้างุนงง แต่ก็รีบถอยทัพแต่โดยดี อาเบลยังมีทีท่ากระวนกระวายราวกับว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้จริงๆ
          ชั่วพริบตาหลังจากนั้นเกิดฟ้าผ่าลงมาตรงที่ที่เกิดไฟพอดิบพอดี แล้วก็มีสายฟ้าอีกหลายเส้นแลบเข้ามาที่เมืองลาฮาลเป็นเส้นตรง ทหารรักษาเมืองลาฮาลและนักรบมาซันหนีตายกันจ้าละหวั่น มีทหารลาฮาลเคราะห์ร้ายหลายคนที่ถอยกลับเข้าเมืองไม่ทัน ต้องถูกฟ้าผ่าดำเป็นตอตะโกไปทั้งตัว อาเบลกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ และยิ่งกัดฟันแน่นมากขึ้นเมื่อเห็นฝนที่เทกระหนํ่าลงมาอย่างรุนแรงที่ทำให้กำแพงไฟที่อาเบลสร้างไว้มอดดับลงอย่างรวดเร็ว
          เมื่อไฟดับหมดแล้วก็ปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งที่ก้าวข้ามหลุมบ่อที่เมื่อครู่นี้ยังเป็นกำแพงไฟอยู่ ชายผู้นี้แม้จะชราแล้วแต่กลับมีพลังอำนาจคุกคุกคามที่กล้าแกร่งกว่าที่คนหนุ่มมีเสียอีก ชายผู้นี้ก็คือรอมูห์นที่เป็นที่ปรึกษาให้กับคูชอนนั่นเอง ที่เบื้องหลังของเขาเรียงรายไปด้วยทัพหลักของมาซันที่ยืนคุมเชิงอยู่ พร้อมที่จะบุกโจมตีเมืองได้ทุกเมื่อ กำลังใจของทหารและอาเบลเริ่มลดลงเมื่อได้เห็นกองทัพอันมโหฬารของมาซันอีกครั้ง...
แล้วเขาจะแก้วิกฤตการณ์ที่กำลังคืบคลานเข้ามาอีกครั้งได้อย่างไร...
(to the next chapter!)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น