ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : chapter 2 ~The elemental reactions of four guardians~
                                                                ตำนานเห่งเทอร์เพนไทน์
                                                    ภาค ~เรื่องเล่าของมังกร~
                                    ตอนที่ 2 ปฏิกริยาตอบสนองทางธาตุของจตุเทพารักษ์
       
          ณ เมืองวาเลนซ์ เมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเวเนรา ที่นี่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพ่อมดผู้วิเศษ มีสภาผู้ใช้เวทย์มนตร์ตั้งอยู่
ใจกลางเมืองและตรงบริเวณที่เป็นหอคอยที่ใช้สังเกตการณ์ที่ส่วนใหญ่จะไม่คอยมีคนผ่านไปบ่อยนัก แต่ดูเหมือนว่าวันนี้บนยอด
ของหอสังเกตการณ์จะดูคับคั่งเป็นพิเศษ บนนี้เต็มไปด้วยชายที่ใส่เสื้อคลุมแบบมีที่ปิดหัวที่รายล้อมสิ่งๆหนึ่งเป็นวงกลมโดยรอบ
แต่ละคนก็มีคทาหลากหลายแบบต่างกันไป พวกเขาพึมพัมบทสวดภาษารูนอย่างยาวนานและมั่นคง เกิดแสงวาบขึ้นที่ปลายคทา
เล็กน้อย แต่ก็ค่อยๆทวีความเข้มขึ้นเรื่อยๆจนทุกแสงสว่างจากคทาทุกอันนั้นเริ่มหลอมรวมกันเป็นดวงแสงมหึมาตรงกึ่งกลาง
          สีของก้อนพลังนั้นเริ่มแรกเป็นสีนํ้าเงิน และค่อยๆกลายเป็นสีเหลือง จนกระทั่งกลายเป็นสีแดงเข้ม คราวนี้เสียงของ
พวกเขาเริ่มประสานกันอย่างพร้อมเพรียงและดูมีอำนาจจนน่าขนลุก สายลมภายนอกเริ่มถาโถมเข้ามาภายในหอสังเกตการณ์
ราวกับว่าก้อนพลังนั้นเป็นตัวดูดอากาศภายนอกเข้ามา กลุ่มเมฆอันหนาทึบเริ่มก่อตัวบนผืนฟ้า
          และแล้ว บทสวดพลันสงบลงอย่างกระทันหัน เหลือแต่เพียงเสียงของก้อนพลังดวงนั้นที่ดูใกล้จะปริแตกออกทุกเมื่อ
จากนั้น ชายที่สวมชุดคลุมสีเข้มที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก็ก้าวออกมา พลันกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า
\"ข้า ไอลาธ ประธานสภาเวทมนตร์แห่งวาเลนซ์ และเหล่าสมาชิกสภาทุกคน วันนี้ขอร่วมใจกันทำพิธีอัญเชิญจตุอารักษ์แห่ง
ทิศและธาตุทั้งสี่ ซึ่งประกอบด้วย ฮารว์ฟ เดอะ ซาลามันเดอร์, อิล์นดร้า เดอะ ลิไวอาธาน, นูร์ฟอล เดอะ สตรอมแคทเชอร์
และ โอเมส ดิ เอิร์ธเควกเกอร์ ให้มาตามพันธสัญญาที่เคยให้ไว้กับ บาร์ด เดอะแซงทัวรี่ เพื่อช่วยเหลือเหล่ามวลมนุษย์ให้
รอดพ้นจากภัยพิบัติของเงามืดที่เข้ามาคุกคามด้วยเทอญ...\" ว่าแล้วก็ปักคทาลงไปบนพื้นอย่างแรง
          จากนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นตามมา พร้อมกับลูกพลังที่แยกออกเป็นสี่สายพวยพุ่งขึ้นฟ้าเป็นรูปมังกรคำรามและแยก
ออกไปเป็นสี่ทิศตามที่ต่างๆ ผู้คนที่อยู่ตามที่ต่างๆก็หันมาเห็นเป็นรูปแยกออกมา เป็นเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้น
เป็นครั้งที่สองของวันนี้แล้วเท่าที่พวกเขาเห็น พวกเขาก็ได้แต่คิดจินตนาการไปต่างๆนานาเท่าที่จะทำได้เท่านั้น
          ที่ภูเขาไฟที่ทางด้านเหนือของทวีปอารีเซียก็ได้ปะทุขึ้นอีกครั้งหลังจากไม่ได้ปะทุมาเป็นเวลาร่วมร้อยปีแล้ว และ
อาจจะเป็นการปะทุครั้งที่ใหญ่ที่สุดก็ได้ เกิดแผ่นดินไหวขึ้นก่อนอย่างรุนแรง ส่งผลให้ต้นไม้น้อยใหญ่ที่อยู่แถบนั้นพากันโค่น
ล้มอย่างระเนระนาด เศษกรวดหินดินทรายกระจายคละคลุ้งก่อให้เกิดฝุ่นคลุ้งไปทั่ว จากนั้นก็ลาวาจากภายในโลกอันร้อนระอุ
ก็พุ่งออกเป็นแมกม่าตามมา อากาศร้อนระอุขึ้นอย่างรุนแรงแทบจะในทันที หินหนืดอันร้อนระอุเริ่มลามเลียตามขอบภูเขา
สิ่งมีชีวิตที่อยู่แถบนั้นก็ถูกความร้อนละลายหายไป ในไม่ช้าทุกสิ่งในแถบนั้นถูกย้อมชโลมด้วยสีแดงสดเสียสิ้น
          แล้วสายพลังสีแดงรูปมังกรที่มาจากเมืองวาเลนซ์นั้นก็พุ่งเข้ามากระแทกลงตรงกลางปล่องภูเขาไปอย่างพอดิบพอดี
เกิดก้อนพลังสีแดงสดคล้ายห่อหุ้มสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ มวลอากาศอัดตัวเข้ามาที่ก้อนพลังสีแดงนั้นแล้วระเบิดอย่างรุนแรงแทบ
จะในทันทีทันใด เหล่าลาวาที่พวยพุ่งออกมาเริ่มไหลกลับเข้ามาสู้ตำแหน่งที่เคยเป็นก้อนพลังสีแดง หล่อหลอมเป็นรูปร่างอัน
แข็งแกร่งและน่าเกรงขาม แววตาที่ดุดันดุจเปลวเพลิงนั้นส่องประกายทะลุออกมาสยบทุกสิ่งให้เงียบลงในทันใด...
          นี่คือการปรากฎกายของสิ่งที่ถูกเรียกว่า \"ฮารว์ฟ เดอะซาลามันเดอร์\" เทพแห่งไฟ
          แต่ว่าการสั่นสะเทือนของสิ่งที่อยู่ภายในผืนดินยังไม่หมดสิ้น มันเริ่มแผ่ลามไปยังตอนใต้ของทวีปแล้วจึงหยุดอยู่ที่
หุบเหวลึกแห่งหนึ่ง เนินผาแถบนั้นเริ่มร่วงกราวไปสู่เบื้องล่างจนทับถมเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อยๆ เกิดเสียงจากหลุมลึก เสียงนั้นนุ่ม
นวลแต่แข็งกร้าวปานหินผา ก้องผ่านกังวานไปทั่วหุบเขาจนดังสะท้อนออกไปโดยรอบ แล้วเสียงนั้นก็ค่อยๆจางหายไปอย่าง
ช้าๆ แต่เกิดเสียงคล้ายหินหรือดินกระทบกันแทน คล้ายกับกำลังรอบางสิ่งบางอย่าง...
          และสิ่งที่มันกำลังรอก็มาถึง สายพลังรูปมังกรสีนํ้าตาลพุ่งเข้ามา ดิ่งลงไปในใจกลางของหุบเขานั้น แล้วชั่วครู่หนึ่ง
ก็เกิดเสียงระเบิดตามมาพร้อมกับแสงสีเหลืองนํ้าตาลพวยพุ่งออกมาจากหุบเหวลึกอันนั้น แล้วดูเหมือนเศษหินเศษดินที่ร่วง
กราวลงไปในตอนแรกก็รวมต่อกันก่อให้เกิดเป็นรูปร่างหนึ่งที่ดูบึกบึนและแข็งกร้าวดุจหินผาขึ้นมา มันค่อยๆสะบัดปีกโบยบิน
จากหุบเหวลึกอันนั้น ทะยานขึ้นสูท้องฟ้าอันมืดหม่น แววตาอันคมกริบของมันดูอ่อนโยนอย่างลํ้าลึก ดูขัดกับร่างกายของมัน
อย่างชัดเจน มันค่อยๆส่งเสียงครางอันทุ้มตํ่าออกมาจากลำคอของมัน แล้วกู่ร้องก้องราวกับจะประกาศศักดาของมัน
          แล้ว โอเมส ดิเอิร์ธเควกเกอร์ บุตรแห่งผืนปฐพี ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น...
          แต่ก็ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่าธารนํ้าบาดาลใต้ผืนดินนั้นเริ่มไหลทอดตัวออกจากหุบเหวนั้น ไหลไปรวมกันที่
ชายฝั่งแถบตะวันตกของทวีป เมื่อเริ่มนานเข้าสายนํ้าก็เริ่มไหลวนเป็นเกลียวที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นํ้าวนเริ่มพยายามพัด
พาเอาทุกสิ่งที่อยู่แถบนั้นให้จมไปเบื้องล่าง สายนํ้าวนอันนั้นเริ่มก่อตัวจนครอบคลุมไปทั่วน่านนํ้าแถบนั้น จนกระทั่งมันแผ่ตัว
ไปจนกระทบกับชายฝั่ง สิ่งหนึ่งก็ได้มาถึง
          สายพลังมังกรรูปสีฟ้าที่มาจากเมืองวาเลนซ์อีกสายก็พุ่งตรงมาลงสู่ใจกลางของนํ้าวนไปจนสุดพื้นทะเล สายนํ้าพุ่งทะ
ลักขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นจึงก่อเป็นปราการนํ้ารูปทรงกลมห่อหุ้มลูกพลังนั้นไว้ สายนํ้าเริ่มแปรสภาพเป็นรูปร่างที่มีอวัยวะต่างๆที่
ดูปราดเปรียวและทะมัดทะแมง มันมีผิวกายที่ดูนวลเนียนแต่มันวาวราวเหล็กไหล เมื่อมันลืมตาขึ้นก็เผยให้เห็นถึงดวงตาที่ลื่น
ไหลดังสายนํ้า ที่ดูเหมือนจะบงการสายนํ้าที่ล้อมรอบตัวมันให้พลิ้วไหวไปมาได้ตามใจปรารถนา แล้วมันก็สั่งให้นํ้ากลับเข้าสู่
ที่ที่มันเคยอยู่
        ณ บัดนี้ อิล์นดร้า เดอะลิไวอาธาน ผู้ครอบครองผืนนํ้า ก็ได้จุติแล้ว...
         
          หลังจากที่สายนํ้าคืนรูปไปได้พักหนึ่งแล้ว มันก็พุ่งทะลักขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ เกิดสายนํ้าแปดสายพุ่งสูงจนทะลุเลยยอด
เมฆขึ้นไป และสายนํ้าที่พุ่งขึ้นนั้นก็หมุนวนกันจนก่อเกิดเป็นเฮอริเคนลูกยักษ์ที่พุ่งสูงขึ้นจนหลุดจากพื้นนํ้าแล้วพายุหมุนนั้นก็
กระจายแผ่กว้างออกไปโดยรอบ แล้วกระจายตัวไปทางทิศตะวันออก สายลมพัดอย่างรวดเร็วจนไม่นานก็ถึงขอบทวีปอีกด้าน
          ซึ่งสายพลังรูปมังกรสีเขียวอ่อนๆก็ตามมาติดๆจนรวมตัวเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสายลมอันรุนแรงนั้น มันเริ่มหมุนวนอย่าง
บ้าคลั่ง จนเกิดพายุหมุนขึ้นอีกครั้ง แล้วจึงเกิดเป็นลูกพลังสีเขียวที่อัดแน่นไปด้วยอากาศที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
แต่แล้วมันกลับหดตัดตัวแล้วก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าแลบออกมา จนแตกแขนงและก่อตัวเป็นรูปทรงที่บองบางและปราดเปรียว
คล่องแคล่ว จนเมื่อมันก่อตัวสมบูรณ์แล้วมันก็สะบัดปีกในทันที พลางบินว่อนฉวัดเฉวียนไปมาอย่างสนุกสนาน แววตาที่มุ่งมั่น
ของมันนั้นทำให้มันดูเข้มแข็งไม่น้อยเลยทีเดียว
          ในที่สุด ผู้พิทักษ์คนสุดท้ายของธาตุทั้งสี่ นูร์ฟอล เดอะสตรอมแคทเชอร์ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น...
     
          กลับมาที่เมืองวาเลนซ์ หลังจากที่ ไอลาธ ประธานสภานักเวทย์ ได้รวบรวมกำลังอัญเชิญมังเทพพิทักษ์ทั้งสี่มา เหล่า
นักเวทย์ที่มาช่วยกันทำพิธีอัญเชิญก็แปรขบวน เปลี่ยนเป็นเรียงแถวหน้ากระดานตอนลึกอย่างเพรียงพร้อม คอยรอฟังสุนทร
พจน์ของหัวหน้าของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ เขาเริ่มขึ้นว่า
\"อย่างแรกเลย ข้าขอขอบคุณพวกท่านทุกคนที่มาเข้าร่วมพิธีอัญเชิญอันยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งข้าคิดว่าคงหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
ในชีวิตนี้ ที่เราจำเป็นต้องทำพิธีซึ่งมีทุกๆ100ปีนี้ ก็เพื่อเรียกผู้พิทักษ์ทิศทั้งสี่ที่จะคอยปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราไว้ ซึ่งก็คือ
เทพมังกรทั้งสี่ธาตุที่พวกเราได้เรียกมาเมื่อครู่นี่
          ทั้งนี้ก็เพื่อรับมือกับการคุกคามของมารร้าย ที่มาจุติในร่างของมังกรปีศาจที่มีชื่อว่า อัลลาดอร์น ซึ่งเมื่อครั้งหนึ่งเคยมี
ชื่อว่าฮาเดส และได้ถูกนักปราชญ์ผู้หนึ่งที่มีนามว่าบาร์ดปราบ ข้าคิดว่าพวกท่านคงรู้กันดีอยู่แล้ว จากหนังสือในราชสำนักที่
เขียนโดย กาเลส ยานอส จากในที่บันทึกไว้ว่า มังกรถูกกักขังให้อยู่แต่ในภูเขาครีเอเชียสซึ่งเป็นความจริงเป็นเพียงส่วนหนึ่ง
เท่านั้น แต่ในความจริงทั้งหมดเป็นดังนี้
          เมื่อบาร์ดได้กำราบฮาเดสลงแล้ว ก็ได้ให้มันทำสัญญาเลือดกับชนเผ่าของมัน ให้ฮาเดสและพวกของมันถูกผนึกและ
ไม่ได้ไปผุดไปเกิด เหล่าลูกหลานของมันจะไม่สามารถย่างกรายออกไปภายนอกภูเขาได้ ส่วนนี้ตรงตามในตำนาน แต่ในตอน
นั้น มังกรได้ถูกแบ่งออกเป็นสองพวกอยู่ก่อนแล้ว คือฝ่ายธรรมะ ซึ่งคือเทพพิทักษ์ของเราในปัจจุบัน และฝ่ายอธรรม นำโดย
มังกรดำหรือฮาเดส ทั้งสองฝ่ายนั้นเกิดข้อพิพาทมาก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น เกี่ยวกับเรื่องการออกไปนอกเขานั่นเอง
          ซึ่งในตอนนั้นฝ่ายธรรมะก็ได้เพลี่ยงลํ้าให้แก่ฝ่ายอธรรม จนต้องยอมให้ฝ่ายอธรรมลงเขาไป แต่กระนั้น ฝ่ายธรรมะก็
ยังคอยขัดขวางการกระทำของฝ่ายอธรรมอยู่อย่างลับ โดยอาศัยร่างของมนุษย์เป็นตัวกลางในการกระทำนั้น ซึ่งบาร์ดเองก็
เป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมมือกับฝ่ายธรรมะในครั้งนั้น โดยช่วยจัดหาเด็กที่มีความสามารถที่จะรองรับจิตและความแข็งแกร่งของมังกร
ได้
          จากนั้นโครงการ \"ผู้พิทักษ์\" ก็ได้เริ่มขึ้น ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของบ้านเมืองในขณะนั้น สมัยนั้นไม่ได้มีเพียง
แต่มังกรที่รุกรานเท่านั้น แต่เหล่าราชนิกูลก็ทำสงครามแย่งชิงบัลลังก์กันบ่อยครั้ง ทั้งเกิดความยากจนแห้งแล้งเนื่องจากภัย
สงครามอีกด้วย เพราะหลังการคุกคามของมังกรแล้วทุกอย่างที่เคยสงบก็กลับมายุ่งเหยิงอีกครั้ง จนกระทั่งบาร์ดปราบฮาเดสได้
นั่นล่ะ บ้านเมืองจึงสงบสุขมาได้ถึงทุกวันนี้...
          และมาถึงวันนี้เหตุกาณ์นั้นก็ย้อนกลับมาอีกรอบหนึ่ง สัญญาเลือดที่ฮาเดสได้ให้ไว้เริ่มอ่อนจางลงเรื่อยๆ มันจะมีอยู่
ช่วงหนึ่งที่ ทุกๆพันธนาการจะอ่อนกำลังลงถึงครึ่งหนึ่ง ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีมันจะสามารถแหวกม่านมิติแห่งพันธนาการออก
มาจุติอีกในร่างหนึ่งที่ทรงอำนาจขึ้นกว่าเดิม และในวันนี้เป็นวันที่มันได้เลือกที่จะถือกำเนิดขึ้น ข้าจึงขอยืมพลังของพวกท่าน
เป็นมาตรการรับมือกับเรื่องนี้ ซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์เพียงไร
          อำนาจทางด้านมืดของมันนับว่าน่ากลัวมาก นอกจากบาร์ดแล้วข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะมีใครปราบมันได้หรือเปล่า ขนาดเผ่า
มังกรที่เป็นพวกมันด้วยกันเองยังรับมือมันแทบไม่ได้เลย แม้แต่เทพพิทักษ์ทั้งสี่ก็เช่นกัน พลังในการทำลายของมันน่ะรุนแรง
จนสามารถสร้างนรกให้กับแผ่นดินนี้ได้เลย ถ้าหากว่าไม่มีผู้พิทักษ์ที่เป็นหนึ่งกับธรรมชาติคอยรองรับอยู่ ข้าก็ไม่รู้ว่าผลร้ายที่
ตามมาจะร้ายแรงถึงขนาดไหน ทีนี้พวกท่านคงจะรู้ถึงความสำคัญของพิธีนี้บ้างไม่มากก็น้อยแล้วกระมัง
          บางท่านอาจจะยังสงสัยว่า แล้วมังกรผู้พิทักษ์เป็นอย่างไรหลังจากนั้น คำตอบก็คือ พวกเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ในร่างของ
มนุษย์ซึ่งสามารถเข้าสู่วัยชราและบาดเจ็บได้ง่าย และได้สืบทอดเผ่าพันธุ์อยู่ในฐานะครึ่งคนครึ่งมังกร ซึ่งพวกเขาก็มิได้รัง
เกียจการเป็นมนุษย์ ยังคอยอยู่ช่วยเหลือเผ่าพันธ์มนุษย์ของเราอยู่ทุกเมื่อ เป็นที่น่าซาบซึ้งอย่างยิ่งใช่ไหม?
          เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของเหตุร้ายครั้งนี้ และโปรดทำงานที่ท่านได้รับมอบหมายด้วยความ
สมัครใจ เพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของเหล่าผองมนุษย์เรา เพื่อศักดิ์ศรี,เกียรติยศ และอำนาจของสภาผู้ใช้เวทมนตร์ เพื่อชาติ
ศาสน์ กษัตริย์ ไม่ว่างานนั้นจะยากลำบากเพียงใด ก็ขอให้พวกท่านฝ่าฟันไปได้ด้วยดีเทอญ...\"
แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันคุกเข่ารับพรจากไอลาธผู้เปี่ยมไปด้วยอำนาจ
\"ด้วยพลานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์แห่ง วัลโก เทพผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา ขอจงดลบันดาลให้พวกท่านได้รับการคุ้มครองในการปฎิบัติ
ภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้นด้วยเถิด\"
          ขณะที่เขาอวยพรออกมา ที่ปลายคทาของเขาก็เปล่งแสงอันเรืองรองออกมารายล้อมตัวของเขา แล้วแผ่กระจายครอบ
คลุมตัวทุกผู้คน ให้ได้รับความอบอุ่นทั่วร่างไปตามๆกัน หลังจากนั้น เขาจึงกล่าวส่งท้ายพิธีว่า
\"วันนี้ก็ต้องขอขอบคุณพวกท่านอีกครั้ง หากคราวหน้ามีงานใดอีกข้าจะเรียกพวกท่านมาชุมนุมกันอีกครั้ง ขอเชิญพวกท่านไป
ทำงานต่อเถิด...\"
          จากนั้นต่างคนก็พยักหน้าพลางค้อมตัวเป็นเชิงอำลาไอลาธ จากนั้นจึงพากันปักคทาลงพื้น เกิดแสงเปล่งออกมารอบตัว
พวกเขา จากนั้นทุกคนก็หายไป เหลือแต่เพียงตัวไอลาธกับคนสนิทของเขาเพียงสองคนเท่านั้น เมื่อนั้น เขาจึงเอ่ยกับคนสนิท
ของเขาว่า
\"ว่ายังไง รูโก้ เจ้าได้อะไรข่าวจากเวียรุสหรือยัง\"
\"ขอรับ ตอนนี้ท่านเวียรุสได้ไปถึงเมืองเวเนร่าแล้ว และท่านเคียร่าเป็นคนดูแลอยู่ขอรับ\"
\"งั้นหรือ งั้นทางเมืองเวเนร่าก็คงจะตื่นตัวขึ้นล่ะนะ แล้วก็เรื่องของดาโวลท์ เห็นว่ามีผู้สืบทอดคนใหม่นี่ เขาเป็นใครรึ\"
\"รู้สึกว่าจะเป็นศิษย์โปรดของเขาน่ะขอรับ แต่เท่าที่เวียรุสบอก ดูเหมือนว่าเขายังต้องเรียนรู้อะไรๆอีกมากมายเลยล่ะขอรับ เรา
จะต้องสอนวิถีนักปราชญ์และการใช้ \"เหรียญมังกรฟ้า\" ให้กับเขาแทนดาโวลท์ด้วยนะขอรับ\"
\"...ดีแล้ว เรื่องนี้ให้เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน ถ้าไม่มีอะไรก็ไปได้แล้ว\"
รูโก้พยักหน้าแล้วโค้งคำนับ จากนั้นจึงถอยหลังแล้วปักคทาลงบนพื้น จากนั้นจึงหายตัวไป จากนั้นไอลาธจึงหันไปสนทนากับ
คนสนิทอีกคนที่เหลือว่า
\"แล้วเจ้าล่ะ ยูเบีย เห็นว่ามาซันยกทัพมาใกล้แล้วนี่ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง\"
\"ก็ท่าทางจะแย่พอดูขอรับ พวกมาซันมีมากกว่าชายแดนเรากว่าสิบเท่า ดูท่าคงจะต้านได้ไม่เกินสามวันขอรับ\"
\"อืมม...ถ้าเช่นนั้นก็ส่งหน่วยพิเศษสักสองกองร้อยไปช่วยยันไว้ก่อนที่ทัพหลวงจะยกมาก็แล้วกัน\"
\"ขอรับ ที่นั่นอาเบลก็ประจำการอยู่ เหตุการณ์ยังไม่เลวร้ายเกินไปหรอกขอรับ\"
\"อ้อ อยู่ที่นั่นหรอกรึ ก็ดี งั้นเจ้าส่งป้ายประศิตให้เขาด้วยก็แล้วกันนะ เชิญ\"
          เช่นเดียวกัน ยูเบียโค้งคำนับให้เขาพลางถอยหลังไป ปักคทา แล้วก็หายตัวไป ตอนนี้เขาอยู่ตัวคนเดียวแล้ว เขามอง
ออกไปนอกหน้าต่างสังเกตการณ์เพื่อชมทัศนียภาพของเมืองนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะกลายเป็นสมรภูมิรบอย่างไม่อาจ
หลีกเลี่ยง...
          จากนั้นเขาจึงถอนหายใจพลางพูดกับตัวเองว่า
\"ดาโวลท์ ข้าจะไม่ทำให้สิ่งที่เจ้าได้มอบหมายต้องผิดหวัง...\"
          ที่ชายแดนเมืองลาฮาล ขณะนี้ทัพของชนเผ่ามาซันได้เช้ามาใกล้จนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว เมื่อเข้ามาจน
ใกล้ถึงระดับหนึ่ง ประมาณห้าไมล์ก็หยุดพักอย่างพร้อมเพียง และต่างคนต่างลงจากหลังม้า พากันแบ่งหน้าที่กันทำงาน เป็น
หน่วยตัดไม้ หน่วยสร้างค่าย หน่วยลาดตระเวน และหน่วยหาเสบียงอาหารตามลำดับ ทั้งหมดแบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นระเบียบเรียบ
ร้อย โดยมีธงของชายคนหนึ่งที่โบกสะบัดอยู่ที่ศูนย์กลางของกองทัพเป็นตัวสั่งการ
          ภายในเวลาไม่นาน ค่ายกระโจมของชนเผ่ามาซันก็สำเร็จเสร็จสิ้น เผยให้เห็นถึงกระโจมที่ถูกก่อเรียงรายไว้อย่างสวยงาม
ซึ่งเริ่มจากกระโจมวงนอกสุดที่มีขนาดเล็ก ไล่ไปวงในที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวงในสุดที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดที่ถูกตั้งอยู่ตรง
ศูนย์กลาง ซึ่งเป็นกระโจมของแม่ทัพหรือผู้นำของชนเผ่ามาซัน
        ภายในกระโจมมีโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งถูกวางไว้อยู่ ตัวโต๊ะมีเก้าอี้วางเรียงรายล้อมจนเต็มและมีโต๊ะประธานวางอยู่ตรงหัวโต๊ะ
จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็พากันเข้ามาในกระโจม แต่ละคนล้วนมีสีหน้าและแววตาอันมุ่งมั่น บ่งบอกถึงประสบการณ์ในการทำศึกมา
อย่างโชกโชน ดูท่าผู้ที่จะเข้ามาในกระโจมนี้ได้จะต้องเป็นขุนศึกผู้ทแกล้วกล้าและเป็นคนสนิทอย่างแน่นอน จากนั้นทุกคนก็พ
ากันไปประจำที่โต๊ะตำแหน่งของตน จากนั้น หลังจากทำความประธานเสร็จแล้ว ทุกคนก็ต่างนั่งประจำที่ของตน แล้วการประชุม
ก็เริ่มต้นด้วยการกล่าวเปิดของประธานว่า
\" อาเวลรอน ตอนนี้สภาพโดยรวมของกองทัพเราเป็นอย่างไรบ้าง\"
\" ตอนนี้ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างดึขอรับ ท่านคูชอน ไม่ว่าจะเป็นด้านกำลังใจรบซึ่งมีพร้อมทุกคน เสบียงอาหารที่สามารถ
ใช้ได้นานไม่ตํ่ากว่าครึ่งปี การสอดแนมที่กลมกลืนกับธรรมชาติได้ดีเยี่ยม และการสร้างค่ายที่มั่นคงและแข็งแรงอย่างที่ท่าน
เห็นนั่นแหละ สรุปก็คือ ภายในวันพรุ่งนี้ก็สามารถบุกได้เลยขอรับ\" แม่ทัพคนหนึ่งที่มีผ้าปิดตาข้างซ้ายตอบ
\" ดี แล้วเจ้าล่ะ ฮาร์น ทางหน่วยสอดแนมที่ไปดูลาดเลาแถบชานเมืองเป็นอย่างไรบ้าง\"
\"...จากการประเมินของข้า ข้อมูลที่หน่วยของเราตรวจสอบได้ อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ทีเดียว กำลังพลของศัตรูมีน้อยกว่าของเรา
ไม่ตํ่ากว่าสิบเท่าตามที่ท่านรอมูห์นคาดการณ์ไว้เลย และตอนนี้คนในเมืองก็เริ่มตื่นตัวและไปหลบภัยตามที่ต่างๆแล้ว จะเหลือก็
แต่ชายฉกรรจ์และเด็กหนุ่มเท่านั้นที่ร่วมรบ ข้าก็เห็นด้วยกับท่านรอห์มูนที่จะโจมตีพรุ่งนี้ โอกาสอย่างนี้หาไม่ได้อีกแล้ว\"
ชายในชุดคลุมสีดำเพื่อพรางตัวคล้ายเงามือกล่าวตอบอย่างมั่นใจ
\" มันก็จริง มีใครจะคัดค้านไหม?\" ไม่มีใครคัดค้าน เขาจึงพูดต่อว่า
\"แล้ว... รอมูห์น ท่านมีอะไรจะกล่าวเสริมเพิ่มเติมตรงไหนหรือไม่ เชิญเลย\"
\"อืม... สถานภาพโดยรวมก็ดีและทำให้ข้าพอใจทีเดียว แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจะเตือนพวกท่านทุกคนก็คือ อย่าประมาทพวก
เทอร์เพนไทเนี่ยนเด็ดขาด บรรพบุรุษของเราได้เคยแสดงให้เห็นถึงบทเรียนอันน่าสะเทือนใจอันใหญ่หลวงมาแล้ว ขอให้รุ่นของ
พวกเราต้องทำทุกสิ่งจากความประมาทเป็นครั้งที่สองอีกเลย ที่ข้าจะพูดก็มีเท่านี้แหละ\"
ชายชราที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตกล่าวเตือนใจอย่างช้าๆ แต่มั่นคง
\"แน่นอน ข้าไม่ละเลยต่อคำเตือนที่สำคัญของท่านแน่ ดีล่ะ ข้าขอสั่งให้พวกเราบุกในพรุ่งนี้ตอนเช้า เข้าใจหรือไม่?\"
ทุกคนขานรับคูชอน แล้วเขาจึงกล่าวปิดประชุมว่า
\"วันนี้ขอให้ทุกคนพักผ่อนให้เต็มที่ สำหรับการรบในวันพรุ่งนี้ ขอให้ทุกคนพยายามให้สุดความสามารถ เอาล่ะ แยกย้ายกันได้\"
แล้วทุกคนก็ลุกขึ้นทำความเคารพประธาน แล้วทุกคนก็ต่างแยกย้ายไปตามที่พักของตน เหลือเพียงแต่คูชอนที่อยู่ในกระโจม
จากนั้นสักพัก คูชอนก็พูดขึ้นมาว่า
\"ออกมาได้แล้ว เวียร์ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว\"
แล้วก็ปรากฎร่างหนึ่งที่มืดสนิทออกมาจากมุมมืดของกระโจม กลายเป็นชายคนหนึ่ง ที่พูดตอบคูชอนว่า
\"โฮ่ นี่ท่านรู้ตั้งแต่แรกแล้วรึว่าข้าอยู่ที่นี่มาตลอด น่าชื่นชมจริงๆ\"
\"ก็รู้ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเข้ามาในกระโจมของข้านั่นแหละ เจ้ามาที่นี่เพื่อต้องการที่จะบอกอะไรข้ารึ\"
\"ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่อยากจะบอกว่า ตอนนี้อาณาจักรเทอร์เพนไทน์กำลังจะเกิดวิกฤตการณ์ร้ายแรง ไม่ได้เฉพาะพวก
เราเท่านั้น ที่เป็นสาเหตุของวิกฤตการณ์นี้ แต่ยังมี อัลลาดอร์น มังกรดำจากนรกมาช่วยก่อหายนะเพื่อออมแรงให้พวกเราด้วย
ท่านว่าโอกาสอย่างนี้หาได้อีกไหมล่ะ ที่จะก่อสงครามน่ะ\"
\"อย่างนั้นรึ ถ้าเป็นเช่นนี้เราก็มีพันธมิตรที่ดียอดเยี่ยมเลยสินะ ดีมากเลย\"
\"แต่ก็อย่าประมาทชาวเทอร์เพนไทน์อย่างที่ท่านรอมูห์นกล่าวไว้ก็แล้วกัน เรายังไม่รู้ว่าพวกมันจะมีอะไรรับมือเราบ้าง ทำไมทั้ง
ๆที่เรามีความพร้อมถึงขนาดนี้ทำไมเราไม่เคยรบชนะสักครั้ง ท่านลองเอาไปคิดดูละกัน ข้าไปล่ะ\"
แล้วร่างของเวียร์ก็กลืนไปกับความมืดแล้วค่อยๆจางหายไป ทิ้งให้คูชอนนั่งจิบไวน์พลางครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆตามลำพัง...
          ณ เนินเขาออสไมน์ ที่นี่เป็นที่ที่กษัตริย์ วงศานุวงศ์ และเหล่าขุนนาง นิยมมาล่าสัตว์กันที่นี่ และวันนี้ก็เป็นวันหนึ่งที่
พวกเขาเลือกที่จะล่าสัตว์ในป่าออร์ทังของเนินเขาลูกนี้ ขณะนี้การล่าสัตว์ดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ไม่มีผู้ใดรู้ล่วงถึงหายนะ
ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเหล่าประชาชนของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
          ดูเหมือนว่าโชคจะยังเข้าข้างอาณาจักรนี้อยู่ ที่ในคณะที่ไปร่วมล่าสัตว์นั้นที่ผู้ที่สามารถจับกระแสจิตอันมุ่งมั่นของมูร่าที่
ส่งมาถึงองค์กษัตริย์ได้ รูปลักษณ์เขาเป็นชายวังกลางคนแล้วก็จริง แต่แววตาของเขาไม่ได้บอกอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือน
ว่ากษัตริย์นั้นจะให้เกียรติเขาเป็นอย่างสูง ดูได้จากท่าทางของกษัตริย์ที่ดูนอบน้อมต่อเขาและให้เขาขี่ม้าไปควบคู่ด้วยกัน หลัง
จากองค์กษัตริย์หนุ่มที่ได้เห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของเขา พระองค์จึงตรัสว่า
\"มีอะไรรึ ท่านเซอร์เอสลาฟ ท่านที่เป็นอาจารย์ของเราเมื่อเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นทีไรมักจะตีสีหน้าแบบนี้อยู่เรื่อยเลย\"
\"...หม่อมฉันรู้สึกว่า มีผู้ต้องการจะส่งข้อความบางอย่างที่สำคัญมากให้ถึงฝ่าบาท เป็นเรื่องที่สำคัญถึงการดำรงอยู่ของอาณาจักร
นี้เลยทีเดียว ถ้าฝ่าบาทจะทรงเชื่อหม่อมฉันสักครั้ง หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาท โปรดยกเลิกการล่าสัตว์ครั้งนี้ด้วยพะย่ะค่ะ\"
\"ขนาดท่านที่เป็นผู้ที่สงบเยือกเย็นขนาดนั้นยังเป็นได้ถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะยอมเชื่อท่านสักครั้งก็แล้วกัน\"
แล้วพระองค์ก็คว้าเขาสัตว์ที่คล้องพระศออยู่ออกมาเป่าเป็นสัญญาณให้ทุกคนมารวมตัวกัน จากนั้นไม่นานไพร่พลของพระองค์
ก็มารวมตัวกันจนครบ แล้วพระองค์จึงตรัสด้วยสุรเสียงอันดังว่า
\"พวกท่านที่มาร่วมล่าสัตว์กับเราในวันนี้ เราต้องขอโทษด้วย เนื่องจากว่าเราคิดว่ามีเหตุร้ายกำลังจะเกิดขึ้น จึงอยากจะขอให้ทุก
คนกลับไปประจำการที่วังไปกับเราด้วยจะได้ไหม\"
ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต้องตอบรับ เมื่อเห็นดังนั้นแล้วพระองค์จึงควบม้าคู่กับเซอร์เอสลาฟนำทุกคนออกจากป่าไป สู่นครหลวงอัน
เป็นที่ตั้งของพระราชวังด้วยความรวดเร็ว...
          ขณะเดียวกับที่มูร่ากำลังควบขับม้าเดินทางมาสู่เมืองหลวงอย่างเร่งรีบจนแทบไม่คิดชีวิต แม้ว่าเขาสามารถส่งนกพิราบ
สื่อสารมาได้ซึ่งจะเร็วกว่าเขาเดินทางมา แต่เขาก็เลือกที่จะมาเพราะเกรงว่านกพิราบจะถูกดักยิงไปเสียก่อน อย่างไรก็ตาม สิ่ง
ที่อาเบล เพื่อนของเขาฝากไว้ จะต้องนำไปส่งให้ถึงมือของกษตริย์แห่งเทอร์เพนไทน์ให้ได้
          ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลหรือมีอุปสรรคกีดขวางมากมายเพียงใด เขาจะไปให้ถึง เพราะนี่คือมิตรภาพ เพราะนี่คือความเป็น
เพื่อนแท้ และนี่คือการกระทำเพื่อการดำรงอยู่ของชาติบ้านเมือง คือการกระทำของชายชาตินักรบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารอมานาน...
          ขณะนี้ทั้งสี่ทิศของทวีปถูกประจำตำแหน่งด้วยเทพารักษ์ที่สี่ ซึ่งขนาดที่มหึมาของพวกเขาได้ทำให้ผู้คนที่อยู่แถบนั้นต่าง
ตกตะลึง ต่างเกิดความหวาดกลัวและพยายามที่จะหลบหนีสัตว์ประหลาดที่พวกเขาเห็นกันจ้าละหวั่น บางคนก็ไปป่าวประกาศว่า
สัตว์ประหลาดมาแล้ว ให้รีบหลบหนี บางคนก็ตื่นตะตึงจนไม่กล้าขยับไปไหน
          แต่หลังจากที่ความสับสนเกิดขึ้นไม่นานทุกๆจุดที่เทพารักษ์ปรากฏขึ้นมานั้น ก็ปรากฏร่างของบุรุษในชุดคลุมขาวขึ้นมา
จากกลุ่มก้อนพลังสีขาว แม้ว่าสถานที่ที่พวกเขาปรากฏจะห่างกันไกลสุดลูกหูลูกตา แต่ท่าทางของบุรุษทั้งสี่นั้นเกิดขึ้นพร้อมกัน
พวกเขาค่อยๆหยิบคทาขึ้นมาจากผ้าคลุม แล้วควงมันอย่างพร้อมเพรียง แสงสว่างส่องเรื่อขึ้นจากปลายคทา แล้วจากนั้นจึงเกิด
วงแหวนโปร่งใสหลายชั้นที่มีตัวอักษรรูนประดับประดาอยู่รอบวง
          วงแหวนนั้นเริ่มขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จนใหญ่พอที่จะครอบร่างของเหล่าเทพารักษ์ได้ แล้ววงแหวนก็ลอยขึ้นจากตัวของชาย
ในผ้าคลุม แล้วค่อยๆครอบลงบนตัวเทพารักษ์อย่างบรรจง เรื่มจาก หัวไปศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อวงแหวนนั้นไล่กลับไปที่ศีรษะ
อีกครั้งก็เกิดแสงสว่างบางๆส่องลงจนจรดพื้นดิน กลายเป็นรูปทรงกระบอก
          แล้ววงแหวนนั้นก็หดตัวพร้อมทั้งยุบขนาดลงอย่างรวดเร็ว เกิดการกดอัดอย่างรุนแรงจนห้วงอากาศบิดเบี้ยว จากนั้นวง
แหวนอันนั้นก็ยุบตัวจนกลายเป็นแหวนจริงๆที่ที่มีสีสันแตกต่างกันไปตามธาตุประจำตัวของเทพารักษ์ แหวนแต่ละวงตกลงมาจาก
ฟ้ามาถึงมือของบุรุษทั้งสี่โดยพร้อมเพรียง  จากนั้นพวกเขาก็นำมาสวมแล้วก็หายวับไปกับตา คงเหลือแต่ประโยคที่พวกเขาพูด
ทิ้งท้ายไว้ว่า
\"ไฟก่อกำเนิดดิน ดินก่อกำเนิดนํ้า นํ้าก่อกำเนิดลม ลมก่อกำเนิดไฟ ก่อเกิดเป็นวัฏจักรแห่งธรรมชาติที่สมบูรณ์ ทุกสิ่งก่อกำเนิด
จากวัฏจักรนี้ ทุกคนเมื่อตายก็กลับสู่วัฏจักรนี้ มิอาจขัดขืน หากขัดขืน ก็เท่ากับขัดขืนตัวเอง เมื่อใดที่คิดจะฝ่าฝืนกฏแห่งธรรมชาติ
เมื่อนั้นเราจะจุติมาเพื่อลงโทษผู้ฝ่าฝืนนั้น\"
(to the next chapter!)
                                                    ภาค ~เรื่องเล่าของมังกร~
                                    ตอนที่ 2 ปฏิกริยาตอบสนองทางธาตุของจตุเทพารักษ์
       
          ณ เมืองวาเลนซ์ เมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเวเนรา ที่นี่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพ่อมดผู้วิเศษ มีสภาผู้ใช้เวทย์มนตร์ตั้งอยู่
ใจกลางเมืองและตรงบริเวณที่เป็นหอคอยที่ใช้สังเกตการณ์ที่ส่วนใหญ่จะไม่คอยมีคนผ่านไปบ่อยนัก แต่ดูเหมือนว่าวันนี้บนยอด
ของหอสังเกตการณ์จะดูคับคั่งเป็นพิเศษ บนนี้เต็มไปด้วยชายที่ใส่เสื้อคลุมแบบมีที่ปิดหัวที่รายล้อมสิ่งๆหนึ่งเป็นวงกลมโดยรอบ
แต่ละคนก็มีคทาหลากหลายแบบต่างกันไป พวกเขาพึมพัมบทสวดภาษารูนอย่างยาวนานและมั่นคง เกิดแสงวาบขึ้นที่ปลายคทา
เล็กน้อย แต่ก็ค่อยๆทวีความเข้มขึ้นเรื่อยๆจนทุกแสงสว่างจากคทาทุกอันนั้นเริ่มหลอมรวมกันเป็นดวงแสงมหึมาตรงกึ่งกลาง
          สีของก้อนพลังนั้นเริ่มแรกเป็นสีนํ้าเงิน และค่อยๆกลายเป็นสีเหลือง จนกระทั่งกลายเป็นสีแดงเข้ม คราวนี้เสียงของ
พวกเขาเริ่มประสานกันอย่างพร้อมเพรียงและดูมีอำนาจจนน่าขนลุก สายลมภายนอกเริ่มถาโถมเข้ามาภายในหอสังเกตการณ์
ราวกับว่าก้อนพลังนั้นเป็นตัวดูดอากาศภายนอกเข้ามา กลุ่มเมฆอันหนาทึบเริ่มก่อตัวบนผืนฟ้า
          และแล้ว บทสวดพลันสงบลงอย่างกระทันหัน เหลือแต่เพียงเสียงของก้อนพลังดวงนั้นที่ดูใกล้จะปริแตกออกทุกเมื่อ
จากนั้น ชายที่สวมชุดคลุมสีเข้มที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก็ก้าวออกมา พลันกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า
\"ข้า ไอลาธ ประธานสภาเวทมนตร์แห่งวาเลนซ์ และเหล่าสมาชิกสภาทุกคน วันนี้ขอร่วมใจกันทำพิธีอัญเชิญจตุอารักษ์แห่ง
ทิศและธาตุทั้งสี่ ซึ่งประกอบด้วย ฮารว์ฟ เดอะ ซาลามันเดอร์, อิล์นดร้า เดอะ ลิไวอาธาน, นูร์ฟอล เดอะ สตรอมแคทเชอร์
และ โอเมส ดิ เอิร์ธเควกเกอร์ ให้มาตามพันธสัญญาที่เคยให้ไว้กับ บาร์ด เดอะแซงทัวรี่ เพื่อช่วยเหลือเหล่ามวลมนุษย์ให้
รอดพ้นจากภัยพิบัติของเงามืดที่เข้ามาคุกคามด้วยเทอญ...\" ว่าแล้วก็ปักคทาลงไปบนพื้นอย่างแรง
          จากนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นตามมา พร้อมกับลูกพลังที่แยกออกเป็นสี่สายพวยพุ่งขึ้นฟ้าเป็นรูปมังกรคำรามและแยก
ออกไปเป็นสี่ทิศตามที่ต่างๆ ผู้คนที่อยู่ตามที่ต่างๆก็หันมาเห็นเป็นรูปแยกออกมา เป็นเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้น
เป็นครั้งที่สองของวันนี้แล้วเท่าที่พวกเขาเห็น พวกเขาก็ได้แต่คิดจินตนาการไปต่างๆนานาเท่าที่จะทำได้เท่านั้น
          ที่ภูเขาไฟที่ทางด้านเหนือของทวีปอารีเซียก็ได้ปะทุขึ้นอีกครั้งหลังจากไม่ได้ปะทุมาเป็นเวลาร่วมร้อยปีแล้ว และ
อาจจะเป็นการปะทุครั้งที่ใหญ่ที่สุดก็ได้ เกิดแผ่นดินไหวขึ้นก่อนอย่างรุนแรง ส่งผลให้ต้นไม้น้อยใหญ่ที่อยู่แถบนั้นพากันโค่น
ล้มอย่างระเนระนาด เศษกรวดหินดินทรายกระจายคละคลุ้งก่อให้เกิดฝุ่นคลุ้งไปทั่ว จากนั้นก็ลาวาจากภายในโลกอันร้อนระอุ
ก็พุ่งออกเป็นแมกม่าตามมา อากาศร้อนระอุขึ้นอย่างรุนแรงแทบจะในทันที หินหนืดอันร้อนระอุเริ่มลามเลียตามขอบภูเขา
สิ่งมีชีวิตที่อยู่แถบนั้นก็ถูกความร้อนละลายหายไป ในไม่ช้าทุกสิ่งในแถบนั้นถูกย้อมชโลมด้วยสีแดงสดเสียสิ้น
          แล้วสายพลังสีแดงรูปมังกรที่มาจากเมืองวาเลนซ์นั้นก็พุ่งเข้ามากระแทกลงตรงกลางปล่องภูเขาไปอย่างพอดิบพอดี
เกิดก้อนพลังสีแดงสดคล้ายห่อหุ้มสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ มวลอากาศอัดตัวเข้ามาที่ก้อนพลังสีแดงนั้นแล้วระเบิดอย่างรุนแรงแทบ
จะในทันทีทันใด เหล่าลาวาที่พวยพุ่งออกมาเริ่มไหลกลับเข้ามาสู้ตำแหน่งที่เคยเป็นก้อนพลังสีแดง หล่อหลอมเป็นรูปร่างอัน
แข็งแกร่งและน่าเกรงขาม แววตาที่ดุดันดุจเปลวเพลิงนั้นส่องประกายทะลุออกมาสยบทุกสิ่งให้เงียบลงในทันใด...
          นี่คือการปรากฎกายของสิ่งที่ถูกเรียกว่า \"ฮารว์ฟ เดอะซาลามันเดอร์\" เทพแห่งไฟ
          แต่ว่าการสั่นสะเทือนของสิ่งที่อยู่ภายในผืนดินยังไม่หมดสิ้น มันเริ่มแผ่ลามไปยังตอนใต้ของทวีปแล้วจึงหยุดอยู่ที่
หุบเหวลึกแห่งหนึ่ง เนินผาแถบนั้นเริ่มร่วงกราวไปสู่เบื้องล่างจนทับถมเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อยๆ เกิดเสียงจากหลุมลึก เสียงนั้นนุ่ม
นวลแต่แข็งกร้าวปานหินผา ก้องผ่านกังวานไปทั่วหุบเขาจนดังสะท้อนออกไปโดยรอบ แล้วเสียงนั้นก็ค่อยๆจางหายไปอย่าง
ช้าๆ แต่เกิดเสียงคล้ายหินหรือดินกระทบกันแทน คล้ายกับกำลังรอบางสิ่งบางอย่าง...
          และสิ่งที่มันกำลังรอก็มาถึง สายพลังรูปมังกรสีนํ้าตาลพุ่งเข้ามา ดิ่งลงไปในใจกลางของหุบเขานั้น แล้วชั่วครู่หนึ่ง
ก็เกิดเสียงระเบิดตามมาพร้อมกับแสงสีเหลืองนํ้าตาลพวยพุ่งออกมาจากหุบเหวลึกอันนั้น แล้วดูเหมือนเศษหินเศษดินที่ร่วง
กราวลงไปในตอนแรกก็รวมต่อกันก่อให้เกิดเป็นรูปร่างหนึ่งที่ดูบึกบึนและแข็งกร้าวดุจหินผาขึ้นมา มันค่อยๆสะบัดปีกโบยบิน
จากหุบเหวลึกอันนั้น ทะยานขึ้นสูท้องฟ้าอันมืดหม่น แววตาอันคมกริบของมันดูอ่อนโยนอย่างลํ้าลึก ดูขัดกับร่างกายของมัน
อย่างชัดเจน มันค่อยๆส่งเสียงครางอันทุ้มตํ่าออกมาจากลำคอของมัน แล้วกู่ร้องก้องราวกับจะประกาศศักดาของมัน
          แล้ว โอเมส ดิเอิร์ธเควกเกอร์ บุตรแห่งผืนปฐพี ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น...
          แต่ก็ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่าธารนํ้าบาดาลใต้ผืนดินนั้นเริ่มไหลทอดตัวออกจากหุบเหวนั้น ไหลไปรวมกันที่
ชายฝั่งแถบตะวันตกของทวีป เมื่อเริ่มนานเข้าสายนํ้าก็เริ่มไหลวนเป็นเกลียวที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นํ้าวนเริ่มพยายามพัด
พาเอาทุกสิ่งที่อยู่แถบนั้นให้จมไปเบื้องล่าง สายนํ้าวนอันนั้นเริ่มก่อตัวจนครอบคลุมไปทั่วน่านนํ้าแถบนั้น จนกระทั่งมันแผ่ตัว
ไปจนกระทบกับชายฝั่ง สิ่งหนึ่งก็ได้มาถึง
          สายพลังมังกรรูปสีฟ้าที่มาจากเมืองวาเลนซ์อีกสายก็พุ่งตรงมาลงสู่ใจกลางของนํ้าวนไปจนสุดพื้นทะเล สายนํ้าพุ่งทะ
ลักขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นจึงก่อเป็นปราการนํ้ารูปทรงกลมห่อหุ้มลูกพลังนั้นไว้ สายนํ้าเริ่มแปรสภาพเป็นรูปร่างที่มีอวัยวะต่างๆที่
ดูปราดเปรียวและทะมัดทะแมง มันมีผิวกายที่ดูนวลเนียนแต่มันวาวราวเหล็กไหล เมื่อมันลืมตาขึ้นก็เผยให้เห็นถึงดวงตาที่ลื่น
ไหลดังสายนํ้า ที่ดูเหมือนจะบงการสายนํ้าที่ล้อมรอบตัวมันให้พลิ้วไหวไปมาได้ตามใจปรารถนา แล้วมันก็สั่งให้นํ้ากลับเข้าสู่
ที่ที่มันเคยอยู่
        ณ บัดนี้ อิล์นดร้า เดอะลิไวอาธาน ผู้ครอบครองผืนนํ้า ก็ได้จุติแล้ว...
         
          หลังจากที่สายนํ้าคืนรูปไปได้พักหนึ่งแล้ว มันก็พุ่งทะลักขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ เกิดสายนํ้าแปดสายพุ่งสูงจนทะลุเลยยอด
เมฆขึ้นไป และสายนํ้าที่พุ่งขึ้นนั้นก็หมุนวนกันจนก่อเกิดเป็นเฮอริเคนลูกยักษ์ที่พุ่งสูงขึ้นจนหลุดจากพื้นนํ้าแล้วพายุหมุนนั้นก็
กระจายแผ่กว้างออกไปโดยรอบ แล้วกระจายตัวไปทางทิศตะวันออก สายลมพัดอย่างรวดเร็วจนไม่นานก็ถึงขอบทวีปอีกด้าน
          ซึ่งสายพลังรูปมังกรสีเขียวอ่อนๆก็ตามมาติดๆจนรวมตัวเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสายลมอันรุนแรงนั้น มันเริ่มหมุนวนอย่าง
บ้าคลั่ง จนเกิดพายุหมุนขึ้นอีกครั้ง แล้วจึงเกิดเป็นลูกพลังสีเขียวที่อัดแน่นไปด้วยอากาศที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
แต่แล้วมันกลับหดตัดตัวแล้วก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าแลบออกมา จนแตกแขนงและก่อตัวเป็นรูปทรงที่บองบางและปราดเปรียว
คล่องแคล่ว จนเมื่อมันก่อตัวสมบูรณ์แล้วมันก็สะบัดปีกในทันที พลางบินว่อนฉวัดเฉวียนไปมาอย่างสนุกสนาน แววตาที่มุ่งมั่น
ของมันนั้นทำให้มันดูเข้มแข็งไม่น้อยเลยทีเดียว
          ในที่สุด ผู้พิทักษ์คนสุดท้ายของธาตุทั้งสี่ นูร์ฟอล เดอะสตรอมแคทเชอร์ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น...
     
          กลับมาที่เมืองวาเลนซ์ หลังจากที่ ไอลาธ ประธานสภานักเวทย์ ได้รวบรวมกำลังอัญเชิญมังเทพพิทักษ์ทั้งสี่มา เหล่า
นักเวทย์ที่มาช่วยกันทำพิธีอัญเชิญก็แปรขบวน เปลี่ยนเป็นเรียงแถวหน้ากระดานตอนลึกอย่างเพรียงพร้อม คอยรอฟังสุนทร
พจน์ของหัวหน้าของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ เขาเริ่มขึ้นว่า
\"อย่างแรกเลย ข้าขอขอบคุณพวกท่านทุกคนที่มาเข้าร่วมพิธีอัญเชิญอันยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งข้าคิดว่าคงหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
ในชีวิตนี้ ที่เราจำเป็นต้องทำพิธีซึ่งมีทุกๆ100ปีนี้ ก็เพื่อเรียกผู้พิทักษ์ทิศทั้งสี่ที่จะคอยปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราไว้ ซึ่งก็คือ
เทพมังกรทั้งสี่ธาตุที่พวกเราได้เรียกมาเมื่อครู่นี่
          ทั้งนี้ก็เพื่อรับมือกับการคุกคามของมารร้าย ที่มาจุติในร่างของมังกรปีศาจที่มีชื่อว่า อัลลาดอร์น ซึ่งเมื่อครั้งหนึ่งเคยมี
ชื่อว่าฮาเดส และได้ถูกนักปราชญ์ผู้หนึ่งที่มีนามว่าบาร์ดปราบ ข้าคิดว่าพวกท่านคงรู้กันดีอยู่แล้ว จากหนังสือในราชสำนักที่
เขียนโดย กาเลส ยานอส จากในที่บันทึกไว้ว่า มังกรถูกกักขังให้อยู่แต่ในภูเขาครีเอเชียสซึ่งเป็นความจริงเป็นเพียงส่วนหนึ่ง
เท่านั้น แต่ในความจริงทั้งหมดเป็นดังนี้
          เมื่อบาร์ดได้กำราบฮาเดสลงแล้ว ก็ได้ให้มันทำสัญญาเลือดกับชนเผ่าของมัน ให้ฮาเดสและพวกของมันถูกผนึกและ
ไม่ได้ไปผุดไปเกิด เหล่าลูกหลานของมันจะไม่สามารถย่างกรายออกไปภายนอกภูเขาได้ ส่วนนี้ตรงตามในตำนาน แต่ในตอน
นั้น มังกรได้ถูกแบ่งออกเป็นสองพวกอยู่ก่อนแล้ว คือฝ่ายธรรมะ ซึ่งคือเทพพิทักษ์ของเราในปัจจุบัน และฝ่ายอธรรม นำโดย
มังกรดำหรือฮาเดส ทั้งสองฝ่ายนั้นเกิดข้อพิพาทมาก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น เกี่ยวกับเรื่องการออกไปนอกเขานั่นเอง
          ซึ่งในตอนนั้นฝ่ายธรรมะก็ได้เพลี่ยงลํ้าให้แก่ฝ่ายอธรรม จนต้องยอมให้ฝ่ายอธรรมลงเขาไป แต่กระนั้น ฝ่ายธรรมะก็
ยังคอยขัดขวางการกระทำของฝ่ายอธรรมอยู่อย่างลับ โดยอาศัยร่างของมนุษย์เป็นตัวกลางในการกระทำนั้น ซึ่งบาร์ดเองก็
เป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมมือกับฝ่ายธรรมะในครั้งนั้น โดยช่วยจัดหาเด็กที่มีความสามารถที่จะรองรับจิตและความแข็งแกร่งของมังกร
ได้
          จากนั้นโครงการ \"ผู้พิทักษ์\" ก็ได้เริ่มขึ้น ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของบ้านเมืองในขณะนั้น สมัยนั้นไม่ได้มีเพียง
แต่มังกรที่รุกรานเท่านั้น แต่เหล่าราชนิกูลก็ทำสงครามแย่งชิงบัลลังก์กันบ่อยครั้ง ทั้งเกิดความยากจนแห้งแล้งเนื่องจากภัย
สงครามอีกด้วย เพราะหลังการคุกคามของมังกรแล้วทุกอย่างที่เคยสงบก็กลับมายุ่งเหยิงอีกครั้ง จนกระทั่งบาร์ดปราบฮาเดสได้
นั่นล่ะ บ้านเมืองจึงสงบสุขมาได้ถึงทุกวันนี้...
          และมาถึงวันนี้เหตุกาณ์นั้นก็ย้อนกลับมาอีกรอบหนึ่ง สัญญาเลือดที่ฮาเดสได้ให้ไว้เริ่มอ่อนจางลงเรื่อยๆ มันจะมีอยู่
ช่วงหนึ่งที่ ทุกๆพันธนาการจะอ่อนกำลังลงถึงครึ่งหนึ่ง ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีมันจะสามารถแหวกม่านมิติแห่งพันธนาการออก
มาจุติอีกในร่างหนึ่งที่ทรงอำนาจขึ้นกว่าเดิม และในวันนี้เป็นวันที่มันได้เลือกที่จะถือกำเนิดขึ้น ข้าจึงขอยืมพลังของพวกท่าน
เป็นมาตรการรับมือกับเรื่องนี้ ซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์เพียงไร
          อำนาจทางด้านมืดของมันนับว่าน่ากลัวมาก นอกจากบาร์ดแล้วข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะมีใครปราบมันได้หรือเปล่า ขนาดเผ่า
มังกรที่เป็นพวกมันด้วยกันเองยังรับมือมันแทบไม่ได้เลย แม้แต่เทพพิทักษ์ทั้งสี่ก็เช่นกัน พลังในการทำลายของมันน่ะรุนแรง
จนสามารถสร้างนรกให้กับแผ่นดินนี้ได้เลย ถ้าหากว่าไม่มีผู้พิทักษ์ที่เป็นหนึ่งกับธรรมชาติคอยรองรับอยู่ ข้าก็ไม่รู้ว่าผลร้ายที่
ตามมาจะร้ายแรงถึงขนาดไหน ทีนี้พวกท่านคงจะรู้ถึงความสำคัญของพิธีนี้บ้างไม่มากก็น้อยแล้วกระมัง
          บางท่านอาจจะยังสงสัยว่า แล้วมังกรผู้พิทักษ์เป็นอย่างไรหลังจากนั้น คำตอบก็คือ พวกเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ในร่างของ
มนุษย์ซึ่งสามารถเข้าสู่วัยชราและบาดเจ็บได้ง่าย และได้สืบทอดเผ่าพันธุ์อยู่ในฐานะครึ่งคนครึ่งมังกร ซึ่งพวกเขาก็มิได้รัง
เกียจการเป็นมนุษย์ ยังคอยอยู่ช่วยเหลือเผ่าพันธ์มนุษย์ของเราอยู่ทุกเมื่อ เป็นที่น่าซาบซึ้งอย่างยิ่งใช่ไหม?
          เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของเหตุร้ายครั้งนี้ และโปรดทำงานที่ท่านได้รับมอบหมายด้วยความ
สมัครใจ เพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของเหล่าผองมนุษย์เรา เพื่อศักดิ์ศรี,เกียรติยศ และอำนาจของสภาผู้ใช้เวทมนตร์ เพื่อชาติ
ศาสน์ กษัตริย์ ไม่ว่างานนั้นจะยากลำบากเพียงใด ก็ขอให้พวกท่านฝ่าฟันไปได้ด้วยดีเทอญ...\"
แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันคุกเข่ารับพรจากไอลาธผู้เปี่ยมไปด้วยอำนาจ
\"ด้วยพลานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์แห่ง วัลโก เทพผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา ขอจงดลบันดาลให้พวกท่านได้รับการคุ้มครองในการปฎิบัติ
ภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้นด้วยเถิด\"
          ขณะที่เขาอวยพรออกมา ที่ปลายคทาของเขาก็เปล่งแสงอันเรืองรองออกมารายล้อมตัวของเขา แล้วแผ่กระจายครอบ
คลุมตัวทุกผู้คน ให้ได้รับความอบอุ่นทั่วร่างไปตามๆกัน หลังจากนั้น เขาจึงกล่าวส่งท้ายพิธีว่า
\"วันนี้ก็ต้องขอขอบคุณพวกท่านอีกครั้ง หากคราวหน้ามีงานใดอีกข้าจะเรียกพวกท่านมาชุมนุมกันอีกครั้ง ขอเชิญพวกท่านไป
ทำงานต่อเถิด...\"
          จากนั้นต่างคนก็พยักหน้าพลางค้อมตัวเป็นเชิงอำลาไอลาธ จากนั้นจึงพากันปักคทาลงพื้น เกิดแสงเปล่งออกมารอบตัว
พวกเขา จากนั้นทุกคนก็หายไป เหลือแต่เพียงตัวไอลาธกับคนสนิทของเขาเพียงสองคนเท่านั้น เมื่อนั้น เขาจึงเอ่ยกับคนสนิท
ของเขาว่า
\"ว่ายังไง รูโก้ เจ้าได้อะไรข่าวจากเวียรุสหรือยัง\"
\"ขอรับ ตอนนี้ท่านเวียรุสได้ไปถึงเมืองเวเนร่าแล้ว และท่านเคียร่าเป็นคนดูแลอยู่ขอรับ\"
\"งั้นหรือ งั้นทางเมืองเวเนร่าก็คงจะตื่นตัวขึ้นล่ะนะ แล้วก็เรื่องของดาโวลท์ เห็นว่ามีผู้สืบทอดคนใหม่นี่ เขาเป็นใครรึ\"
\"รู้สึกว่าจะเป็นศิษย์โปรดของเขาน่ะขอรับ แต่เท่าที่เวียรุสบอก ดูเหมือนว่าเขายังต้องเรียนรู้อะไรๆอีกมากมายเลยล่ะขอรับ เรา
จะต้องสอนวิถีนักปราชญ์และการใช้ \"เหรียญมังกรฟ้า\" ให้กับเขาแทนดาโวลท์ด้วยนะขอรับ\"
\"...ดีแล้ว เรื่องนี้ให้เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน ถ้าไม่มีอะไรก็ไปได้แล้ว\"
รูโก้พยักหน้าแล้วโค้งคำนับ จากนั้นจึงถอยหลังแล้วปักคทาลงบนพื้น จากนั้นจึงหายตัวไป จากนั้นไอลาธจึงหันไปสนทนากับ
คนสนิทอีกคนที่เหลือว่า
\"แล้วเจ้าล่ะ ยูเบีย เห็นว่ามาซันยกทัพมาใกล้แล้วนี่ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง\"
\"ก็ท่าทางจะแย่พอดูขอรับ พวกมาซันมีมากกว่าชายแดนเรากว่าสิบเท่า ดูท่าคงจะต้านได้ไม่เกินสามวันขอรับ\"
\"อืมม...ถ้าเช่นนั้นก็ส่งหน่วยพิเศษสักสองกองร้อยไปช่วยยันไว้ก่อนที่ทัพหลวงจะยกมาก็แล้วกัน\"
\"ขอรับ ที่นั่นอาเบลก็ประจำการอยู่ เหตุการณ์ยังไม่เลวร้ายเกินไปหรอกขอรับ\"
\"อ้อ อยู่ที่นั่นหรอกรึ ก็ดี งั้นเจ้าส่งป้ายประศิตให้เขาด้วยก็แล้วกันนะ เชิญ\"
          เช่นเดียวกัน ยูเบียโค้งคำนับให้เขาพลางถอยหลังไป ปักคทา แล้วก็หายตัวไป ตอนนี้เขาอยู่ตัวคนเดียวแล้ว เขามอง
ออกไปนอกหน้าต่างสังเกตการณ์เพื่อชมทัศนียภาพของเมืองนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะกลายเป็นสมรภูมิรบอย่างไม่อาจ
หลีกเลี่ยง...
          จากนั้นเขาจึงถอนหายใจพลางพูดกับตัวเองว่า
\"ดาโวลท์ ข้าจะไม่ทำให้สิ่งที่เจ้าได้มอบหมายต้องผิดหวัง...\"
          ที่ชายแดนเมืองลาฮาล ขณะนี้ทัพของชนเผ่ามาซันได้เช้ามาใกล้จนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว เมื่อเข้ามาจน
ใกล้ถึงระดับหนึ่ง ประมาณห้าไมล์ก็หยุดพักอย่างพร้อมเพียง และต่างคนต่างลงจากหลังม้า พากันแบ่งหน้าที่กันทำงาน เป็น
หน่วยตัดไม้ หน่วยสร้างค่าย หน่วยลาดตระเวน และหน่วยหาเสบียงอาหารตามลำดับ ทั้งหมดแบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นระเบียบเรียบ
ร้อย โดยมีธงของชายคนหนึ่งที่โบกสะบัดอยู่ที่ศูนย์กลางของกองทัพเป็นตัวสั่งการ
          ภายในเวลาไม่นาน ค่ายกระโจมของชนเผ่ามาซันก็สำเร็จเสร็จสิ้น เผยให้เห็นถึงกระโจมที่ถูกก่อเรียงรายไว้อย่างสวยงาม
ซึ่งเริ่มจากกระโจมวงนอกสุดที่มีขนาดเล็ก ไล่ไปวงในที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวงในสุดที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดที่ถูกตั้งอยู่ตรง
ศูนย์กลาง ซึ่งเป็นกระโจมของแม่ทัพหรือผู้นำของชนเผ่ามาซัน
        ภายในกระโจมมีโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งถูกวางไว้อยู่ ตัวโต๊ะมีเก้าอี้วางเรียงรายล้อมจนเต็มและมีโต๊ะประธานวางอยู่ตรงหัวโต๊ะ
จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็พากันเข้ามาในกระโจม แต่ละคนล้วนมีสีหน้าและแววตาอันมุ่งมั่น บ่งบอกถึงประสบการณ์ในการทำศึกมา
อย่างโชกโชน ดูท่าผู้ที่จะเข้ามาในกระโจมนี้ได้จะต้องเป็นขุนศึกผู้ทแกล้วกล้าและเป็นคนสนิทอย่างแน่นอน จากนั้นทุกคนก็พ
ากันไปประจำที่โต๊ะตำแหน่งของตน จากนั้น หลังจากทำความประธานเสร็จแล้ว ทุกคนก็ต่างนั่งประจำที่ของตน แล้วการประชุม
ก็เริ่มต้นด้วยการกล่าวเปิดของประธานว่า
\" อาเวลรอน ตอนนี้สภาพโดยรวมของกองทัพเราเป็นอย่างไรบ้าง\"
\" ตอนนี้ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างดึขอรับ ท่านคูชอน ไม่ว่าจะเป็นด้านกำลังใจรบซึ่งมีพร้อมทุกคน เสบียงอาหารที่สามารถ
ใช้ได้นานไม่ตํ่ากว่าครึ่งปี การสอดแนมที่กลมกลืนกับธรรมชาติได้ดีเยี่ยม และการสร้างค่ายที่มั่นคงและแข็งแรงอย่างที่ท่าน
เห็นนั่นแหละ สรุปก็คือ ภายในวันพรุ่งนี้ก็สามารถบุกได้เลยขอรับ\" แม่ทัพคนหนึ่งที่มีผ้าปิดตาข้างซ้ายตอบ
\" ดี แล้วเจ้าล่ะ ฮาร์น ทางหน่วยสอดแนมที่ไปดูลาดเลาแถบชานเมืองเป็นอย่างไรบ้าง\"
\"...จากการประเมินของข้า ข้อมูลที่หน่วยของเราตรวจสอบได้ อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ทีเดียว กำลังพลของศัตรูมีน้อยกว่าของเรา
ไม่ตํ่ากว่าสิบเท่าตามที่ท่านรอมูห์นคาดการณ์ไว้เลย และตอนนี้คนในเมืองก็เริ่มตื่นตัวและไปหลบภัยตามที่ต่างๆแล้ว จะเหลือก็
แต่ชายฉกรรจ์และเด็กหนุ่มเท่านั้นที่ร่วมรบ ข้าก็เห็นด้วยกับท่านรอห์มูนที่จะโจมตีพรุ่งนี้ โอกาสอย่างนี้หาไม่ได้อีกแล้ว\"
ชายในชุดคลุมสีดำเพื่อพรางตัวคล้ายเงามือกล่าวตอบอย่างมั่นใจ
\" มันก็จริง มีใครจะคัดค้านไหม?\" ไม่มีใครคัดค้าน เขาจึงพูดต่อว่า
\"แล้ว... รอมูห์น ท่านมีอะไรจะกล่าวเสริมเพิ่มเติมตรงไหนหรือไม่ เชิญเลย\"
\"อืม... สถานภาพโดยรวมก็ดีและทำให้ข้าพอใจทีเดียว แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจะเตือนพวกท่านทุกคนก็คือ อย่าประมาทพวก
เทอร์เพนไทเนี่ยนเด็ดขาด บรรพบุรุษของเราได้เคยแสดงให้เห็นถึงบทเรียนอันน่าสะเทือนใจอันใหญ่หลวงมาแล้ว ขอให้รุ่นของ
พวกเราต้องทำทุกสิ่งจากความประมาทเป็นครั้งที่สองอีกเลย ที่ข้าจะพูดก็มีเท่านี้แหละ\"
ชายชราที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตกล่าวเตือนใจอย่างช้าๆ แต่มั่นคง
\"แน่นอน ข้าไม่ละเลยต่อคำเตือนที่สำคัญของท่านแน่ ดีล่ะ ข้าขอสั่งให้พวกเราบุกในพรุ่งนี้ตอนเช้า เข้าใจหรือไม่?\"
ทุกคนขานรับคูชอน แล้วเขาจึงกล่าวปิดประชุมว่า
\"วันนี้ขอให้ทุกคนพักผ่อนให้เต็มที่ สำหรับการรบในวันพรุ่งนี้ ขอให้ทุกคนพยายามให้สุดความสามารถ เอาล่ะ แยกย้ายกันได้\"
แล้วทุกคนก็ลุกขึ้นทำความเคารพประธาน แล้วทุกคนก็ต่างแยกย้ายไปตามที่พักของตน เหลือเพียงแต่คูชอนที่อยู่ในกระโจม
จากนั้นสักพัก คูชอนก็พูดขึ้นมาว่า
\"ออกมาได้แล้ว เวียร์ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว\"
แล้วก็ปรากฎร่างหนึ่งที่มืดสนิทออกมาจากมุมมืดของกระโจม กลายเป็นชายคนหนึ่ง ที่พูดตอบคูชอนว่า
\"โฮ่ นี่ท่านรู้ตั้งแต่แรกแล้วรึว่าข้าอยู่ที่นี่มาตลอด น่าชื่นชมจริงๆ\"
\"ก็รู้ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเข้ามาในกระโจมของข้านั่นแหละ เจ้ามาที่นี่เพื่อต้องการที่จะบอกอะไรข้ารึ\"
\"ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่อยากจะบอกว่า ตอนนี้อาณาจักรเทอร์เพนไทน์กำลังจะเกิดวิกฤตการณ์ร้ายแรง ไม่ได้เฉพาะพวก
เราเท่านั้น ที่เป็นสาเหตุของวิกฤตการณ์นี้ แต่ยังมี อัลลาดอร์น มังกรดำจากนรกมาช่วยก่อหายนะเพื่อออมแรงให้พวกเราด้วย
ท่านว่าโอกาสอย่างนี้หาได้อีกไหมล่ะ ที่จะก่อสงครามน่ะ\"
\"อย่างนั้นรึ ถ้าเป็นเช่นนี้เราก็มีพันธมิตรที่ดียอดเยี่ยมเลยสินะ ดีมากเลย\"
\"แต่ก็อย่าประมาทชาวเทอร์เพนไทน์อย่างที่ท่านรอมูห์นกล่าวไว้ก็แล้วกัน เรายังไม่รู้ว่าพวกมันจะมีอะไรรับมือเราบ้าง ทำไมทั้ง
ๆที่เรามีความพร้อมถึงขนาดนี้ทำไมเราไม่เคยรบชนะสักครั้ง ท่านลองเอาไปคิดดูละกัน ข้าไปล่ะ\"
แล้วร่างของเวียร์ก็กลืนไปกับความมืดแล้วค่อยๆจางหายไป ทิ้งให้คูชอนนั่งจิบไวน์พลางครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆตามลำพัง...
          ณ เนินเขาออสไมน์ ที่นี่เป็นที่ที่กษัตริย์ วงศานุวงศ์ และเหล่าขุนนาง นิยมมาล่าสัตว์กันที่นี่ และวันนี้ก็เป็นวันหนึ่งที่
พวกเขาเลือกที่จะล่าสัตว์ในป่าออร์ทังของเนินเขาลูกนี้ ขณะนี้การล่าสัตว์ดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ไม่มีผู้ใดรู้ล่วงถึงหายนะ
ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเหล่าประชาชนของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
          ดูเหมือนว่าโชคจะยังเข้าข้างอาณาจักรนี้อยู่ ที่ในคณะที่ไปร่วมล่าสัตว์นั้นที่ผู้ที่สามารถจับกระแสจิตอันมุ่งมั่นของมูร่าที่
ส่งมาถึงองค์กษัตริย์ได้ รูปลักษณ์เขาเป็นชายวังกลางคนแล้วก็จริง แต่แววตาของเขาไม่ได้บอกอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือน
ว่ากษัตริย์นั้นจะให้เกียรติเขาเป็นอย่างสูง ดูได้จากท่าทางของกษัตริย์ที่ดูนอบน้อมต่อเขาและให้เขาขี่ม้าไปควบคู่ด้วยกัน หลัง
จากองค์กษัตริย์หนุ่มที่ได้เห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของเขา พระองค์จึงตรัสว่า
\"มีอะไรรึ ท่านเซอร์เอสลาฟ ท่านที่เป็นอาจารย์ของเราเมื่อเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นทีไรมักจะตีสีหน้าแบบนี้อยู่เรื่อยเลย\"
\"...หม่อมฉันรู้สึกว่า มีผู้ต้องการจะส่งข้อความบางอย่างที่สำคัญมากให้ถึงฝ่าบาท เป็นเรื่องที่สำคัญถึงการดำรงอยู่ของอาณาจักร
นี้เลยทีเดียว ถ้าฝ่าบาทจะทรงเชื่อหม่อมฉันสักครั้ง หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาท โปรดยกเลิกการล่าสัตว์ครั้งนี้ด้วยพะย่ะค่ะ\"
\"ขนาดท่านที่เป็นผู้ที่สงบเยือกเย็นขนาดนั้นยังเป็นได้ถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะยอมเชื่อท่านสักครั้งก็แล้วกัน\"
แล้วพระองค์ก็คว้าเขาสัตว์ที่คล้องพระศออยู่ออกมาเป่าเป็นสัญญาณให้ทุกคนมารวมตัวกัน จากนั้นไม่นานไพร่พลของพระองค์
ก็มารวมตัวกันจนครบ แล้วพระองค์จึงตรัสด้วยสุรเสียงอันดังว่า
\"พวกท่านที่มาร่วมล่าสัตว์กับเราในวันนี้ เราต้องขอโทษด้วย เนื่องจากว่าเราคิดว่ามีเหตุร้ายกำลังจะเกิดขึ้น จึงอยากจะขอให้ทุก
คนกลับไปประจำการที่วังไปกับเราด้วยจะได้ไหม\"
ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต้องตอบรับ เมื่อเห็นดังนั้นแล้วพระองค์จึงควบม้าคู่กับเซอร์เอสลาฟนำทุกคนออกจากป่าไป สู่นครหลวงอัน
เป็นที่ตั้งของพระราชวังด้วยความรวดเร็ว...
          ขณะเดียวกับที่มูร่ากำลังควบขับม้าเดินทางมาสู่เมืองหลวงอย่างเร่งรีบจนแทบไม่คิดชีวิต แม้ว่าเขาสามารถส่งนกพิราบ
สื่อสารมาได้ซึ่งจะเร็วกว่าเขาเดินทางมา แต่เขาก็เลือกที่จะมาเพราะเกรงว่านกพิราบจะถูกดักยิงไปเสียก่อน อย่างไรก็ตาม สิ่ง
ที่อาเบล เพื่อนของเขาฝากไว้ จะต้องนำไปส่งให้ถึงมือของกษตริย์แห่งเทอร์เพนไทน์ให้ได้
          ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลหรือมีอุปสรรคกีดขวางมากมายเพียงใด เขาจะไปให้ถึง เพราะนี่คือมิตรภาพ เพราะนี่คือความเป็น
เพื่อนแท้ และนี่คือการกระทำเพื่อการดำรงอยู่ของชาติบ้านเมือง คือการกระทำของชายชาตินักรบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารอมานาน...
          ขณะนี้ทั้งสี่ทิศของทวีปถูกประจำตำแหน่งด้วยเทพารักษ์ที่สี่ ซึ่งขนาดที่มหึมาของพวกเขาได้ทำให้ผู้คนที่อยู่แถบนั้นต่าง
ตกตะลึง ต่างเกิดความหวาดกลัวและพยายามที่จะหลบหนีสัตว์ประหลาดที่พวกเขาเห็นกันจ้าละหวั่น บางคนก็ไปป่าวประกาศว่า
สัตว์ประหลาดมาแล้ว ให้รีบหลบหนี บางคนก็ตื่นตะตึงจนไม่กล้าขยับไปไหน
          แต่หลังจากที่ความสับสนเกิดขึ้นไม่นานทุกๆจุดที่เทพารักษ์ปรากฏขึ้นมานั้น ก็ปรากฏร่างของบุรุษในชุดคลุมขาวขึ้นมา
จากกลุ่มก้อนพลังสีขาว แม้ว่าสถานที่ที่พวกเขาปรากฏจะห่างกันไกลสุดลูกหูลูกตา แต่ท่าทางของบุรุษทั้งสี่นั้นเกิดขึ้นพร้อมกัน
พวกเขาค่อยๆหยิบคทาขึ้นมาจากผ้าคลุม แล้วควงมันอย่างพร้อมเพรียง แสงสว่างส่องเรื่อขึ้นจากปลายคทา แล้วจากนั้นจึงเกิด
วงแหวนโปร่งใสหลายชั้นที่มีตัวอักษรรูนประดับประดาอยู่รอบวง
          วงแหวนนั้นเริ่มขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จนใหญ่พอที่จะครอบร่างของเหล่าเทพารักษ์ได้ แล้ววงแหวนก็ลอยขึ้นจากตัวของชาย
ในผ้าคลุม แล้วค่อยๆครอบลงบนตัวเทพารักษ์อย่างบรรจง เรื่มจาก หัวไปศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อวงแหวนนั้นไล่กลับไปที่ศีรษะ
อีกครั้งก็เกิดแสงสว่างบางๆส่องลงจนจรดพื้นดิน กลายเป็นรูปทรงกระบอก
          แล้ววงแหวนนั้นก็หดตัวพร้อมทั้งยุบขนาดลงอย่างรวดเร็ว เกิดการกดอัดอย่างรุนแรงจนห้วงอากาศบิดเบี้ยว จากนั้นวง
แหวนอันนั้นก็ยุบตัวจนกลายเป็นแหวนจริงๆที่ที่มีสีสันแตกต่างกันไปตามธาตุประจำตัวของเทพารักษ์ แหวนแต่ละวงตกลงมาจาก
ฟ้ามาถึงมือของบุรุษทั้งสี่โดยพร้อมเพรียง  จากนั้นพวกเขาก็นำมาสวมแล้วก็หายวับไปกับตา คงเหลือแต่ประโยคที่พวกเขาพูด
ทิ้งท้ายไว้ว่า
\"ไฟก่อกำเนิดดิน ดินก่อกำเนิดนํ้า นํ้าก่อกำเนิดลม ลมก่อกำเนิดไฟ ก่อเกิดเป็นวัฏจักรแห่งธรรมชาติที่สมบูรณ์ ทุกสิ่งก่อกำเนิด
จากวัฏจักรนี้ ทุกคนเมื่อตายก็กลับสู่วัฏจักรนี้ มิอาจขัดขืน หากขัดขืน ก็เท่ากับขัดขืนตัวเอง เมื่อใดที่คิดจะฝ่าฝืนกฏแห่งธรรมชาติ
เมื่อนั้นเราจะจุติมาเพื่อลงโทษผู้ฝ่าฝืนนั้น\"
(to the next chapter!)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น