ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    the legend of turpentine ~to the endless world~

    ลำดับตอนที่ #1 : prologue ~the revolution~

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.ค. 46


                                                                 ตำนานเห่งเทอร์เพนไทน์



                                                        ภาค ~สู่โลกสุดขอบฟ้า~



                                                      บทนำ ~การปฏิวัติ~
                                                              



              ถ้าเป็นสักเมื่อสองสามร้อยปีก่อน คงจะไม่มีใครโต้แย้งได้เลยว่า ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยความสมบูรณ์พูนสุข อาณา

    ประชาราษฎร์ ปราศจากความทุกร้อนใดๆ ที่เป็นเช่นนี้นั้น เนื่องมาจากมีเจ้าแผ่นดิน เหล่าวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางปกครอง

    โดยธรรม



    แต่เมื่อเวลาได้ล่วงเลยผ่านมา ธาตุแท้แห่งความชั่วที่มีติดตัว ที่อยู่ในทุกผู้ทุกคน ก็ได้เข้าครอบงำ ผู้ที่มีใจละโมบ ครอบครองได้

    ง่าย ทำให้เกิดการก่อกบฏ ขึ้นเหล่าขุนนางผู้จงรักภักดี ก็เริ่มแปรพักตร์ ก่อการลอบปลงพระชนม์ ราชาและผู้ที่จงรักต่อราชวงศ์

    มีผู้เหลือรอด จากเหตุการณ์นั้นน้อยมาก จะเหลือก็แต่หญิงม่ายและเด็กผู้หญิงที่ไม่ สามารถ เลี้ยงดูตัวเองได้ ก็ได้แต่ยอมรับโทษ

    แต่โดยดี ทำให้พวงนาง เหล่านั้นต้องโทษคุมขังอยู่ในราชวังนั้นเอง



    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำร้ายจิตใจประชาชนผู้เคารพรักในตัวกษัตริย์ผู้ทรงธรรม ทำให้เกิดการลุกฮือของกลุ่มชาวนาทั้งหลายขึ้น

    แต่ประชาชน ที่น่าสงสาร อาวุธที่จะไปสู้รบกับทหารแลเหล่าอัศวินผู้คดโกงนั้น ก็มีเพียงอุปกรณ์ทำไร่นาเท่านั้น ย่อมถูกปราบ

    ได้โดยง่าย เหล่าอัศวิน ผู้ภักดียังต้องหลบหนีการตามล่าจนแทบเอาตัวไม่รอด ในที่สุดยุคสมัย ที่ความชั่วเข้าครอบงำก็ได้มาถึง…



    อย่างไรก็ตามทุกสิ่งย่อมต้องมีความสมดุลในตัวมันเอง มีความดี ย่อมมีความชั่ว มีแสงสว่างย่อมต้องมีความมืด มีเหตุแห่งปัญหา

    ย่อมมีหนทางแก้ไข และไม่มีสิ่งใดจะจีรังยั่งยืนได้อย่างถาวร ถ้าหากว่าไม่มีต้นกำเนิด…

                                                

    บัดนี้หนทางแห่งความหวังได้ถูกจุดประกายขึ้นอีกครั้ง เหล่าชนเผ่าน้อยใหญ่ที่เมื่อก่อนถูกหาว่าเป็นพวกป่าเถื่อนไร้อารยธรรม

    เนื่องเพราะความเป็นอยู่ที่แปลกประหลาด ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิด ของพ่อมดผู้วิเศษ ที่บัดนี้เริ่มตระหนักถึงภัยที่เข้ามาครอบงำ

    ถิ่นมาตุภูมิของตนและได้เริ่มดำเนินการต่างๆที่จะตอบโต้ผู้ทรยศแล้ว...


                          

         ณ หมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญแห่งหนึ่ง หมู่บ้านนี้แต่ก่อน เคยมีคนไปมาหาสู่กันมากมาย แต่หลังจากมี “เทอร์เรซ”

    กษัตริย์ทรราช ขึ้นเสวยราชสมบัติก็ได้ขูดรีดภาษีอัตรามากกว่าเดิมถึงสามเท่า ไม่เว้น แม้แต่หมู่บ้านเล็กๆนี้ และได้ออกกฎ

    ต่างๆนานา ยิ่งเพิ่มความเจ็บแค้น ให้แก่ราษฎรมากขึ้น ได้แต่จนใจที่ไม่สามารถตอบโต้หรือประท้วง ใดๆได้เลย มิเช่นนั้นแล้ว

    จะต้องถูกทางการจับตัวไป ในกรณี ที่แข็งข้อมากๆ ก็จะทำการประหารต่อหน้าฝูงชน ทำให้ทุกคน ในตอนนี้เข้ดหลาบที่จะทำ

    ผิดกฎเลยทีเดียว ซึ่งในความจริงแล้ว หมู่บ้านนี้ก็เปรียบเสมือนระเบิดที่ใกล้ประทุแล้ว แต่ไฟที่ใช้จุดนั้น ยังไม่มี แต่มันก็ใกล้

    จะถึงเวลานั้นแล้ว



    บ่ายวันหนึ่ง ณ ริมทะเลสาบของหมู่บ้านนั้น เด็กหนุ่มสองคน กำลังหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่

    ยีงเด็ก เป็นสิ่งที่หายากในตอนนี้เนื่องจากคนในหมู่บ้านเอาแต่เก็บตัว ไม่มี ความสนิทสนมเหมือนแต่ก่อน และคนในหมู่บ้านก็

    ต้องเก็บตัวทำงาน หนัก เพื่อส่งค่าภาษีให้แก่ทางการ ดั้งนั้นแทนที่ทั้งสองจะมานั่งเล่นกัน ควรจะไปทำงานที่ได้รับมอบหมายจะดี

    กว่า หลังจากที่ทั้งสองเล่น กันจนเหนื่อยหอบแล้ว ก็ล้มตัวลงนอนข้างทะเลสาบอย่างเมื่อยล้า



    “เฮ่อ… ถ้าพวกเราสามารถออกไปผจญภัยได้ มันก็น่าจะดีนะ ใช่ไหม กุสต้า?” เสียงของเด็กหนุ่มที่ชื่อ วิลด์ เอ่ยทำลาย

    ความเงียบขึ้นมา



    “ใช่ ที่นี่มีแต่งานน่าเบื่อ ทำเพียงครู่เดียวก็เสร็จ ถึงแม้ว่าบรรยากาศ ที่นี่จะน่าอยู่ก็ตาม แต่ข้าก็อยากจะออกท่องเที่ยวดูความเจริญ

    เสียบ้าง แทนที่จะมานั่งขลุกอยู่ที่นี่ แต่คิดดูแล้ว ที่นี่ก็มีภาระมากมาย ไม่ว่าจะ เรื่องความเป็นอยู่ในครอบครัว ไหนจะเรื่องของ

    น้องๆที่ต้องดูแลอีก ถ้าข้าสามารถแบ่งภาคได้ก็คงจะดีนะ” กุสต้า เด็กหนุ่มอีกคนกล่าวตอบ



    “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่มีภาระที่บ้านเหมือนเจ้า แต่พ่อของข้าก็กำชับ นักหนาว่า ‘อย่าพึ่งผจญโลกกว้าง เจ้ายังไม่โตพอที่จะตัดสินใจ

    อะไร ด้วยตัวเอง ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะไปมากแค่ไหน จริงอยู่ บ้านเรายังสามารถ

                                                

    หาเลี้ยงดูตัวเองได้ แม้จะไม่มีเจ้าคอยช่วยงานก็ตามที แต่อีกไม่นาน หรอก ยามใดที่เจ้าเรียนรู้วิชาต่างๆที่พ่อถ่ายทอดได้หมด

    เจ้าจะไป เมื่อไรก็ได้ ลูกพ่อ’



    ท่านพูดเช่นนี้ข้าก็เลยไม่รู้จะตอบโต้ไปอย่างไร จึงต้องทำตาม ประสงค์ของพ่อน่ะ ซึ่งความจริงข้าอยากร่วมเดินทางกับเจ้าใจ

    จะขาด” วิลด์ พูดด้วยอารมณ์เศร้าศร้อย ความมุ่งมั่นในใจเริ่มร่อยหรอ



        หลังจากนั้น ทั้งสองก็ร่ำลากันเนื่องจากว่าหมดอารมณ์ที่จะเล่น หรือทำอะไรต่างๆอีก ระหว่างทางกลับบ้าน ดวงตะวัน

    เริ่มคล้อยต่ำ ตัดกับขอบฟ้าที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นสีแดงฉาน ในใจเขาก็ได้แต่ครุ่นคิด ว่าเมื่อไรจะได้ผจญภัยสู่โลกกว้างเสียที วิชา

    ความรู้ที่เรียนนั้น นอกจาก วิชาดาบ และการต่อสู้นั้น อย่างอื่นเขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์

    การปกครอง ปรัชญา ซึ่งเป็นสิ่งที่เหล่า ลูกขุนนาง หรือลูกของคหบดีที่มั่งคั่งเรียนกัน เอาไว้ใช้ประจบ พวกพระราชาหรือแสดง

    ความสามารถให้เห็นต่อหน้าสตรีเท่านั้น เขาไม่จำเป็นจะต้องเรียนมันเลยด้วยซ้ำ เขาเคยถามพ่อของเขา ไว้ครั้งหนึ่งว่าทำไม

    บิดาของเขาจึงตอบว่า



    ‘นี่เป็นวิชาที่เจ้าน่าจะเรียนรู้ไว้เพราะว่า มันจะต้องมีผล ต่อการผจญภัยอย่างแน่นอน โลกไม่คับแคบอย่างที่เจ้าคิดไว้หรอกนะ

    วิลด์ และเมื่อถึงเวลาแล้วเจ้าก็จะตระหนักถึงคุณประโยชน์ของมันเอง’



    คำพูดเหล่านี้สร้างความฉงนสงสัยให้แก่เขาไม่น้อย อย่างไร ก็ตามเขาก็คิดว่าน่าจะปฏิบัติตามคำของพ่อ เพราะว่าคำเตือนของ

    พ่อมักจะฟังแล้วทำให้ไม่ค่อยพอใจ แต่มันก็จะมีประโยชน์ต่อเขาเสมอ



        หลังจากที่ครุ่นคิดไปเดินไปอยู่นานก็พบว่าเดินมาถึงละแวกบ้าน ของเขาแล้ว เมื่อนึกถึงบ้านท้องของเขาก็ร้อง

    ออกมาในทันที เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เขาไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว จึงรีบเดินเข้าบ้านในทันที



    “ข้ากลับมาแล้วครับ ท่านแม่ ท่านทำอาหารเสร็จหรือยัง”

    เขาพูดพลางลูบท้องของตนเองไปด้วย



    “กลับมาก็พูดถึงอาหารเชียวนะ อาหารแม่เพิ่งจะทำเสร็จเดี๋ยวนี้เอง เมนูวันนี้คือสตูเนื้อหมู เจ้าจะทานเลยใช่มั้ย เดี๋ยวแม่จะจัด

    ใส่จานให้เลย”

    แม่ของเขาพูดอย่างอ่อนโยน



    “ครับผม”เขาแลบลิ้นพลางจินตนาการถึงสตูเนื้อหมู อาหารจานโปรด



        และไม่กี่นาทีต่อมาเมื่อจานอาหารมาวางตรงหน้าเขาก็รีบจัดการ มันในทันที และเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อทุกสิ่ง

    เรียบร้อย จึงพบว่า พ่อยังไม่กลับมา จึงได้เอ่ยปากถาม นางจึงตอบว่า



    “วันนี้พ่อไปเข้าประชุมหมู่บ้านน่ะจ้ะ เห็นว่าคราวนี้ทางการมีนโยบาย ใหม่ๆ ให้ทุกคน ในหมู่บ้านต้องปฏิบัติตามอีกแล้ว”



    “มันกดขี่ข่มเหงเราแค่นี้ยังไม่พออีกเหรอครับ ท่านแม่ ทำไมไม่มีใคร ออกมาจัดการเจ้าทรราชนี่เสียที ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรกัน

    นักหนา!” เขาตะคอก



    “แม่ก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่แม่ก็คิดว่ามันน่าจะได้เวลาแล้ว”

    นางพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่



    “?เวลาอะไรหรือครับ”เขาถามอย่างงุนงง



    “อย่ารู้เลยจ้ะ เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าก็จะรู้เอง รีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องรีบ ไปทำงานไม่ใช่หรือ เดี๋ยวจะสายนะ” นางพูดคล้ายมี

    เรื่องกังวลใจ จากนั้นแม่ก็รีบให้เขาไปอาบน้ำแล้วก็เข้านอนในทันที วันนี้เขามี ความสงสัยและกังวลใจกลายอย่าง ก็ได้แต่คิด

    ว่าพรุ่งนี้ก็คงจะดีขึ้นเอง



        คืนนั้น เป็นเวลานานมากกว่าเขาจะข่มตาให้หลับได้ เหมือนมีลาง สังหรณ์บางอย่าง พ่อของเขาก็ยังไม่กลับมา

    ความกังวลก็เริ่มก่อต่อมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเขาก็เริ่มตกลงสู่ห้วงภวังค์แห่งความฝัน...

                                                

    มันเป็นความฝันที่แปลกประหลาดมากสำหรับเขา ราวกับจะบอก เหตุเป็นนัยๆบางอย่าง เขาฝันว่าเขาเดินไปเรื่อยๆในความมืด

    พบกับ เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ห้อยจี้แปลกๆเปล่งประกายในความมืด ใบหน้า ของเธอดูคลับคล้ายคลับคลามาก เขารู้สึกเหมือนเคย

    เจอเธอ ที่ไหนมาก่อน เธอปรายตาบอกเขาเป็นนัยๆว่าให้ตามมา เดินมาเรื่อย ทั้งที่ยังอยู่ในความมืดมิด แต่เขาก็รู้สึกอบอุ่นอย่าง

    ประหลาด เดินมาถึง จุดๆหนึ่งจากความมืดก็ปรากฏแสงเจิดจ้าจนต้องเอามือป้องตา  

                                            

    แล้วภาพวิหารอันยิ่งใหญ่ก็ปรากฎสู่สายตาของเขา จากนั้นภาพ วิหารนั้น ก็ถูกดึงผ่านเข้าไปในตัววิหาร ซึ่งภายในใจกลางวิหารนั้น

    ก็พบกับเหรียญที่สลักเป็นรูปลายมังกรคำราม ข้างรูปมังกรเป็นรูป ดวงพลังงานชนิดหนึ่ง วิลด์พยายามที่จะจดจำให้อะไรได้มาก

    กว่านี้ แต่ภาพของวิหาร ก็หายไปอีก



    จากนั้นภาพก็เปลี่ยนไปเป็นรูปหอคอยขึ้นมาแทนที่ ซึ่งไม่นาน รูปหอคอยก็ถูกดึงเข้าไปข้างในอีก เป็นภาพของชั้นบนสุดตรงยอด

    มีชุดเกราะถูกวางไว้ ดูล้ำค่ามากที่สุดเท่าที่เขารู้จัก น่าจะทำมาจาก เหล็กกล้าผสมกับแร่มิธริล แร่ในตำนาน บริเวณส่วนทรวงอก

    ก็สลักลาย มังกรไว้เช่นเดียวกัน



    ไม่ทันที่เขาจะจดจำได้อีก ก็กลายเป็นภาพถ้ำ ซึ่งภายในก็พบกับ โล่สีทอง มีลายมังกรสลักอีกครั้ง แล้วภาพก็เปลี่ยนรูปไปสู่เ

    กาะกลางน้ำ และเกาะกลางฟ้า ซึ่งก็มีทั้งหมวกเกราะและรองเท้าบู๊ทที่มีปีกเล็กๆ ขนาบข้าง และก็เข้าสู่ภาพสุดท้าย ...



    มันเป็นปราสาท ซึ่งปราสาทนั้น เปรียบเสมือนที่ๆเขาเคยอยู่ มาก่อน แตเขารู้สึกว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไป เนื่องจากท้องฟ้า

    ที่มืดหม่น ตัดกับสีของตัวปราสาท แต่ภายในนั้น แทนที่จะเป็น รูปของล้ำค่าต่างๆ กลับเป็นรูปของชายที่นั่งบนบัลลังก์ ใบหน้า

    นั้น แฝงด้วย ความทะยานอยากที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น ข้างกายของเขาก็พบกับ ชายผู้ที่แต่งกายคล้ายอำมาตย์ดูแล้วเจ้าเล่ห์นัก



              แล้วภาพก็ถอยออกไปให้เห็นเหล่าทหารเรียงรายออกไป แล้วเผยให้เห็นเงามืดขนาดใหญ่ ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมนั้นราวกับ

    จะยิ้มเยาะราชาที่อยู่บนหลังก็ไม่ปาน แล้วภาพนั้นก็หดหายไป หลงเหลือแต่ความมืดมิด เว้นแต่แสงบนจี้ห้อยคอของเด็กผู้หญิงคน

    นั้นที่ยังเรืองรองอยู่



        มาถึงตรงนี้ เขาเกิดความงุนงงเป็นอย่างมาก มันเกิดอะไรขึ้น กับเขา สิ่งที่เขาเห็นพยายามจะสื่อความหมายอะไรกัน

    เขาพยายามที่จะ เอ่ยปากถามเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า แต่เขา ก็ไม่สามารถเอ่ยปากถามออกมาได้ แต่เขา

    ก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งแว่วขึ้นมา ไม่ใช่เสียงของสาวน้อย แต่น่าจะเป็นเสียงที่มาจากจี้นั้นซึ่งกล่าว ออกมาอย่างแผ่วเบาว่า

                                                

    “จงเชื่อในพลังของเจ้า จงเชื่อในสิ่งที่เจ้าเป็น เมื่อนั้น สิ่งที่เจ้าต้องการ จะรู้ก็จะประจักษ์สิ้น”



        หลังจากที่จี้เอ่ยออกมาแล้ว เด็กผู้หญิงคนนั้นก็หายตัวไป ทุกอย่าง ก็กลับคืนสู่ความมืดมิดมากกว่าเดิม แม้เขาจะยัง

    ประหลาดใจไม่หาย แต่เขาก็เดินต่อไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ทันใดนั้น ภาพของดินแดน แห่งหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของเขา...



        มันเป็นดินแดนแห่งความตาย ซึ่งดูได้จากความเป็นอยู่ ที่เสื่อม โทรม ที่น่าจะทำให้รู้ถึงรูปร่างหน้าตาของกษัตริย์

    ที่ปกครองได้เป็น อย่างดี เหล่าทหารที่พากันเดินให้ว่อนอยู่ภายในเมือง ดูเข้มงวด และไร้ซึ่งชีวิตชีวาจนเกินปกติ แล้วเขาก็พบว่า

    มีชายผู้หนึ่งกำลังเดินมา อยู่ข้างหลังเขา



                   เมื่อได้พบหน้ากันก็พบว่า ภายใต้หน้ากากที่ครอบลงมาถึงจมูกนั้น ได้เผยรอยยิ้มอันถือดีชนิดหนึ่งแก่เขา แต่ไม่ทันที่

    จะได้คุยกัน ชายผู้นั้นก็ชักดาบตรงรี่เข้ามา วิลด์ผงะถอยด้วยความกลัว แล้วเขา ก็เริ่มวิ่งหนีไปเรื่อยๆ แต่ไม่นานก็ถูกชายผู้นั้นตาม

    ทัน เนื่องจากเขา สะดุดล้มกับก้อนหิน ก่อนที่เขากำลังจะฟันดาบนั้น เขาก็ได้แสยะยิ้ม อันอำมหิตออกมาและฟันวูบลงไป วิลด์ร้องตะโกนอย่างสุดเสียง แล้วชั่วเวลานั้น ทุกสิ่งก็ปริแตกออกจากกัน …

            

    เช้ามืดของวันรุ่งขึ้น วิลด์สะดุ้งตื่นจากความฝันอันแปลกประหลาด พลันได้ยินเสียงไก่ขัน เสียงนกร้องและเสียงส่ายไหวของหมู่

    แมกไม้ ซึ่งช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้น หลังจากลุกขึ้นจากที่นอนได้สักพัก เขาก็เดินลงไปข้างล่างเพื่อที่จะอาบน้ำล้างหน้า ต้อนรับ

    รุ่งอรุณอันสดใส ขณะที่เดินลงบันไดมา ก็ได้ยินเสียงของพ่อกับแม่คุยกัน เขาคิดว่าพ่อน่าจะเพิ่งกลับมา น้ำเสียงแฝงความอ่อน

    ล้าอย่างยิ่ง กล่าวว่า



    “ โดโรธี ข้าคิดว่าเราน่าจะเตรียมอพยพย้ายบ้านได้แล้วนะ สงคราม กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้ จากความเห็นของคนในหมู่บ้าน

    ได้ลงมติกัน เป็นเอกฉันท์แล้วว่า เราจะไม่งอมืองอเท้านั่งรอความอดอยากตาย เราจะประกาศสงครามกับทางการอย่างแน่นอน

    ในไม่ช้านี้ และที่นี่ ก็คงจะไม่รอดพ้นจากเป็นสมรภูมิเป็นแน่

                  หมู่บ้านของเราเริ่มมีความหวัง กับแผนก่อการครั้งนี้ หัวหน้า หมู่บ้าน บอกพวกเราว่า ทางเรามีแนวร่วมมากมาย และจะ

    คอยรวมตัว กันสนับสนุน ด้านอาวุธและเสบียง ซึ่งคราวนี้จะไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา ตรงที่เรามีเหล่าอัศวินจากราชนิกูลเก่าที่นำโดย

    ลอร์ดราจัส พระญาติ ที่ยังเหลืออยู่ คราวนี้เหล่าชาวนาก็มีกำลังใจขึ้นมากแล้ว ดังนั้นข้าจะอยู่ที่นี่

                                              

    ร่วมรบกับชายในหมู่บ้าน เจ้าก็รีบนำวิลด์และข้าวของต่างๆ ไปให้ เร็วที่สุด และไปที่บ้านของพี่แซนธี ไม่ต้องเป็นห่วงข้า แล้วข้า

    จะไป สมทบกับเจ้าทีหลัง เข้าใจหรือไม่?”



    “แต่ว่ารามีอัส” นางกล่าวอย่างเหนื่อยล้า ราวกับยังไม่สามารถทำใจกับ เรื่องราวที่เกิดขึ้น



    “ท่านยังไม่ทันที่จะถ่ายทอดวิทยาการต่างๆให้วิลด์ครบเลยนะ ข้าไม่นึก เลยว่าไฟสงครามจะลามมาเร็วขนาดนี้ โอ ช่างน่าเศร้า

    ใจนัก”



    “เจ้าต้องทำใจนะ โดโรธี” รามีอัสกล่าวปลอบ



    “ยุคสมัยแห่งสงครามนองเลือดมาถึงแล้ว เนื่องจากการกดขี่ข่ม เหงที่มีมานานของ เจ้าเทอร์เรซนั่น ข้าเตรียมใจมานานแล้ว

    ส่วนเรื่อง ของวิลด์นั้น พี่แซนธีมีเรื่องที่จะสอนมากกว่าข้าอีก อย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่คิดที่จะไปตายซักหน่อย เอาล่ะ ข้ามีเรื่อง

    ต้องทำอีกมาก ต้องไป ป่าวประกาศให้ทุกบ้านรับรู้ด้วย ข้าไปล่ะ” สิ้นเสียงก็วิ่งออกนอกบ้านไป



    โดโรธีถอนหายใจยาว ซึ่งตัววิลด์เองก็รู้สึกเสียใจไม่แพ้แม่ของ เขาเช่นกัน เขามีความผูกพันกับหมู่บ้านเล็กๆนี้มาตั้งแต่เด็ก

    เมื่อมาลอง คิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ก็รู้สึกใจหาย ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรอีก ได้แต่เดินอย่างเศร้าศร้อยลงบันได แล้วลงไป

    ล้างหน้าอาบน้ำ เตรียมตัว ออกไปหากุสต้า เมื่อมีเรื่องที่เขาค้างคาใจเขาก็จะไปหากุสต้าเสมอ แล้วเปิดอกคุยกันอย่างไม่ปิดบัง

    มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน หลังจากแยกทางกับกุสต้าเมื่อวาน ส่วนตัวกุสต้าจะคิดอย่างไรกับเรื่อง สงครามนี้นั้น วิลด์เอง

    ก็เกิดความอยากรู้ขึ้น จึงรีบไปอาบน้ำแต่งตัว



    หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ วิลด์ก็มุ่งหน้าไปที่บ้านของกุสต้าทันที บ้านของทั้งสองอยู่ไม่ห่างจากกันนัก ไม่นานก็ถึง เมื่อไปถึงแล้ว

    ก็พบว่า บ้านของกุสต้ากำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก เนื่องจากสมาชิกในครอบครัว ที่มีกันถึง7คน กำลังเตรียมตัวที่จะย้ายบ้านกัน

    วิลด์เห็นจึงรีบเข้าไปช่วย ถือข้าวของทันที เมื่อทุกอย่างถูกเก็บไว้ในห่อสัมภาระแล้ว ทั้งสองจึงปลีกตัวมาคุยกัน ดูท่าว่ากุสต้า

    ก็ยังงุนงงกับเรื่องนี้มากเหมือนกัน



                                                          

    “สงครามมาถึงแล้วสินะ…” เขาเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย



    “ดูท่าว่าพวกเราอาจจะไม่ได้เห็นที่นี่ในสภาพเดิมอีก ดูไปแล้วก็อาจจะดี เหมือนกันนะ ข้าจะได้เป็นอิสระจากที่นี่เสียที และได้

    ออกผจญภัย ไปกับเจ้า เพราะดูเหมือนว่าหมู่บ้านที่เป็นแนวร่วมกับเรานั้น มีเสบียง และที่อยู่คอยสนับสนุนเราอยู่ ข้าจึงหมดห่วง

    เรื่องภาระของที่นี่เสียที อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่าจะอยู่ช่วยพวกผู้ใหญ่รบกัน อย่างน้อยที่สุดก็ช่วย ส่งสารให้ ทางพ่อข้าก็เห็นด้วย

    เหมือนกัน ท่านบอกว่าข้าโตพอที่จะ ออกรบแล้ว ทางเจ้าว่าอย่างไร จะช่วยข้าไหม”



    “แน่นอน เพื่อนรัก” เขาตอบ



    “ถึงแม้ว่าพ่อข้าจะไม่อนุญาตก็ตาม แต่ข้าคิดว่าตอนนี้ข้าสามารถ ต่อกรกับพวกทหารหลวงได้แล้ว จากวิชาดาบที่พ่อของข้าได้

    ถ่ายทอดมา และจากการที่ข้าฝึกกับเจ้าทุกวัน ข้าเชื่อมั่นว่าเราจะต้องจัดการได้” แววตาของวิลด์ทอประกายแห่งความเชื่อมั่น

    ออกมา



    “ ประเสริฐ นี่จึงเป็นเพื่อนรัก ว่าแต่ว่าเจ้าแน่ใจหรือ สงครามครั้งนี้นั้น อาจทำให้เจ้าถึงแก่ชีวิตได้นะ เจ้ายังเรียนรู้มาจากพ่อของ

    เจ้าไม่ครบ สมบูรณ์เลยนี่นา”



    “มาถึงป่านนี้แล้วยังต้องกลัวสิ่งใด ลูกผู้ชายเกิดมา ย่อมต้องทำหน้าที่ ให้สมเกียรติ แม้ตายก็ไม่ควรที่จะเสียใจ เจ้าไม่คิดเช่น

    นั้นรึ กุสต้า”



        กุสต้าใช้สีหน้าและแววตามุ่งมั่นอ้นแรงกล้าแทนคำตอบ จากนั้น ทั้งสองก็มอง หน้ากันอย่างรู้ใจ แล้วทั้งสองก็สัมผัส

    มือซึ่งกันและกัน และได้ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน



    ในยามสงครามเช่นนี้ มิตรภาพเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในยามที่ต้อง ป้องกันข้าศึกที่เก่งกล้า สิ่งที่จะทำให้มีชัยก็คือการร่วมแรง

    ร่วมใจ และมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างผองเพื่อนกันนี่เอง



        หลังจากนั้นทั้งคู่เดินกลับไปที่บ้านของวิลด์ ปรากฏว่านางโดโรธี กำลังจัดข้าวของจวนจะเสร็จแล้วเพราะว่าสัมภาระ

    บ้านวิลด์มีไม่มาก

                                                                                                  

    เมื่อนางเห็นทั้งสอง จึงรีบตรงเข้ามาหา สีหน้าของนางดูผ่อนคลาย ลงมาก อาจเพราะนางทำใจได้แล้วซึ่งทำให้พวกเขาโล่งใจ

    ขึ้นเช่นกัน วิลด์จึงเอ่ยขึ้นก่อนว่า



    “ท่านแม่ ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะอยู่ช่วยรบที่นี่ ไม่ว่าท่านจะอนุญาต หรือไม่ก็ตาม นี่คือบททดสอบสู่การไปโลกยังกว้างของข้า

    เพราะฉะนั้น ข้าจะไม่ยอมตายเด็ดขาด และจะไปสมทบกับท่านแม่ทีหลัง ท่านแม่ ไปก่อนเถิด ข้าจะไปสมทบพร้อมกับท่านพ่อ

    ขอให้ท่านรักษาตัว ให้ดีด้วย แล้วพบกันที่เมืองอี่สเตอร์ลิงนะครับ”



    “ข้ารู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงจนได้ แม่มีอะไรจะให้เจ้า มารับนี่ไปสิ”



    นางล้วงดาบขึ้นมาจากถุงย่าม วิลด์แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตอนที่ได้ชักดาบออกมา ดาบนั้นเปล่งประกายสีทองเรืองรอง ตามตัว

    ด้ามดาบสลักไว้ดูคาถารูนโบราณที่ดูล้ำค่า ตัวดาบเบาหวิวแต่ แน่นแข็งและ คมกริบยิ่งนัก ที่ฝักดาบก็ฝังไว้ด้วยอัญมณีหลากสี

    เขาลูบตามตัว ดาบไปมาอย่างระมัดระวัง ของสิ่งนี้ดูล้ำค่ายิ่งนัก เขารีบรับมาด้วยความ ตื่นเต้น โดโรธีก็ยังล้วง ของออกมาอีก

    และพูดว่า



    “ข้ามีของจะให้เจ้าเช่นกันกุสต้า” นางล้วงธนูออกมา ตามตัวธนูสีทอง ที่เปล่งประกายเรืองรองก็ดูเหมือนจะสลักคาถารูนไว้

    เช่นเดียวกัน กุสต้าก็รับคันธนูนั้นมาประคองด้วยความประหม่าเช่นกัน จากนั้นโดโรธีจึงพูดต่อว่า



    “ของสิ่งนี้เจ้าต้องพวกเก็บมันไว้ให้ดี สองสิ่งนี้จะมีอานุภาพมากเมื่อมัน  อยู่ร่วมกัน เพราะครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของพี่น้องแห่ง

    ราชวงศ์บาซิลซาร์ ตระกูลโบราณที่เคยกอบกู้บ้านเมืองจากกลียุคด้วยสองศาสตราวิเศษนี้มาแล้ว พวกมันถูกหล่อหลอมมา

    อย่างพิถีพิถันที่สุดบนเตาหลอมของ พวกคนแคระ คาถารูนที่เหล่าผู้วิเศษได้ร่ายกำกับไว้ สามารถต่อกร กับอสูรร้ายที่ใช้

    เวทย์มนตร์ได้เป็นอย่างดี



    จงใช้มันให้ดีที่สุด เสมือนหนึ่งว่านี่เป็นตัวแทนแห่งความดีที่พวกเจ้าจะต้องรักษาไว้ เข้าใจหรือไม่”



    คำสุดท้ายนางทำเสียงหนักแน่น ส่งผลให้ทั้งสองต้องคุกเข่าลง กล่าวว่า

                                                

    “พวกข้าขอให้คำสัตย์ว่า จะรักษาศัสตรานี้ยิ่งชีพ จะกวัดแกว่งมันยาม เมื่อเกิดภัยร้ายคุกคามต่อผองชน และจะใช้ศัสตรานี้

    ปัดเป่าความชั่วร้ายให้มลายสิ้น”



    พวกเขากล่าวขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ในใจบังเกิดความซาบซึ้งเหนืออื่นใด แต่พวกเขารู้ว่านางไม่ต้องการให้กล่าวคำขอบคุณ

    ออกมาผ่านทางคำพูด แต่ให้ใช้การกระทำขอบคุณจึงสงบปากสงบคำไว้ เห็นดังนั้นนางจึงยิ้ม อย่างพึงพอใจและกล่าวว่า



    “พวกเจ้าโตขึ้นมากนะ ข้าภูมิใจในตัวพวกเจ้ามากที่สุด จงอย่าทำให้ข้า ผิดหวัง ข้าไปแล้ว”



    จากนั้นนางจึงพยุงให้ทั้งสองคนลุกขึ้น แล้วจึงเดินลับจากสายตา ไปพร้อมกับสัมภาระ เมื่อนางจากไปพวกเขาจึงหันไปมอง

    หน้ากัน อย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง แล้วก็โห่ร้องยินดีอย่างลิงโลด พวกเขาได้อาวุธ ในตำนานมาอย่างไม่คาดฝัน และมันจะอยู่

    กับพวกเขาตลอดไป ทีนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวต่อไป



        เวลาล่วงเลยมาจนถึงยามบ่าย ที่หมู่บ้าน เหล่าเด็กและผู้หญิง ต่างอพยพไปกันหมดแล้ว จะเหลือก็แต่พวกผู้ชาย

    ที่อยู่เตรียมแผน การ รบขึ้นที่จวนของหัวหน้าหมู่บ้าน พวกเขาพกพาความฮีกเหิม มาเต็มที่ แม้จะห่างเหินจากสมรภูมิมานาน

    มากแล้ว แต่หลายคนก็เคยเป็นทหาร ผู้ชาญศึกมาก่อน ส่วนพวกที่จะทำสงครามเป็นครั้งแรกเมื่อได้รับฟัง ข้อแนะนำ จากผู้

    ที่มีประสบการณ์มาแล้วก็ดูจะมีกำลังใจมากขึ้นทีเดียว โดยเฉพาะวิลด์กับกุสต้า



        เมื่อทุกคนมาประจำที่กันเรียบร้อยแล้ว โกลด์แบลม หัวหน้า หมู่บ้านก็กล่าวเปิดประชุมขึ้นว่า



    “เอาล่ะ ข้าคิดว่าทุกคนคงจะรู้จุดประสงค์ของการประชุมครั้งนี้แล้ว ด้วยว่าข้าจะมาเสนอแผนการความร่วมมือและการดำเนิน

    งานด้านต่างๆ ของฝ่ายเรา เริ่มจาก หน่วยเสบียงและอาวุธ ให้เป็นหน้าที่ของเทอร์รี่ หน่วยสอดแนม ให้เวสต์วู้ดเป็นคนจัดการ

    ส่วนคนวางกลไกและกับดัก ให้วิลด้าดำเนินการ

    และที่สำคัญ ด้านหน่วยบัญชาการกลางและการฝึกสมรรถภาพ ความพร้อมทางการรบนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าและรามี

    อัสเอ มาถึงตรงนี้ พวกเราเข้าใจหรือไม่” ทุกคนรับคำ



    “ จากนั้น ข้ากับรามีอัสมีแผนการที่จะรับมือศัตรูดังนี้



    ทางเราจะส่งหน่วยสอดแนมออกไปลาดตระเวนทุกๆชั่วโมง เพื่อ คอยดูความคืบหน้าของศัตรู เมื่อพบศัตรูแล้ว เราจะวางมาตร

    การ ป้องกันและสร้างค่ายกลเพื่อหลอกล่อศัตรู ซึ่งให้หน่วยกลไกจัดการ เราจะจัดการแบ่งศัตรูเป็นกลุ่มๆและพยายามที่จะ

    เกลี้ยกล่อมให้เข้ามา ร่วมกับเรา เพราะข้าคิดว่าหากพวกมันยังมีจิตสำนึกอยู่ย่อมต้องรับฟัง พวกเรา เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคน

    พยายามลดการล้มตายให้ได้มากที่สุด



        อีกเรื่องหนึ่งทางหมู่บ้านใกล้เคียงเราจะส่งกำลังสนับสนุนมาให้ ในประมาณวันมะรืนนี้ ข้าจะให้พลุสัญญาณกับทุกๆ

    หน่วย หากว่ามีเหตุ คับขัน หรือมีคนบาดเจ็บหนักก็ให้จุดพลุนี้ ซึ่งจะเป็นการเร่งให้หน่วย เสริมหรือหน่วยพยาบาลของเราไปหา

    คงจะเข้าใจกันแล้วนะ



    แผนการนี้จะต้องไม่ผิดพลาด ศึกครั้งนี้พวกเราจะแสดงให้เห็นว่า ทัพชาวนาไม่ได้ดูถูกได้ง่ายๆ การกดขี่ข่มเหงจะทำให้เราแข็ง

    แกร่ง ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานได้ ขอให้พระผู้เป็นเจ้าอยู่ข้างเรา!” ทุกผู้คนบังเกิดความฮึกเหิมเต็มประดา



        หลังประชุมเสร็จแล้ว ทุกคนต่างก็รีบไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยที่กุสต้ากับวิลด์อยู่กองกลาง ซึ่งจะทำหน้าที่

    เป็นกำลังเสริมเวลาที่ต้องการความช่วยเหลือ เนื่องจากพวกเขาอายุยังน้อยนั่นเอง แต่ทั้งสองก็ไปช่วยงานหน่วยอื่นเท่าที่จะทำ

    ได้ เพื่อเตรียมพร้อมให้สติคงที่ ทั้งสองได้ไปช่วยหน่วยเสบียงไปไว้ในที่ๆต้องการ และช่วยหน่วยกลไกโดยนำกับดักไปวาง ณ

    จุดต่างๆ เมื่อทุกคนช่วยกันงานก็เสร็จเพียงชั่วข้ามคืน รามีอัสบอกให้พวกเขารีบเข้านอน จะได้เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์

    ฉุกเฉิน ซึ่งทั้งคู่ก็ตามใจ เข้านอนในกระโจมที่หมู่บ้านจัดไว้ให้ แล้วทั้งสองก็เข้าสู่ห้วงนิทรารมย์…และแล้ว ฝันร้ายที่แท้จริงก็

    เริ่มขึ้น...



        บึ้มมม……………………………. เสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบ ทั้งสองสะดุ้งตื่นขึ้นทันที และก็ได้ยินเสียงตะโกน

    โหวกเหวกมาจากนอกกระโจม ทั้งสองจึงรีบออกมาจากกระโจม สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกคือหมู่บ้านที่ถูกไฟไหม้มีคนเข้ามาดับไฟ

    มากมาย ทั้งสองจึงรีบเข้าไปช่วยดับไฟด้วยและถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงรู้ว่าเพิ่งจะมีศัตรูบุกมากะทันหันตอนที่ทุกคนหลับ

    แม้ว่าศัตรูจะมีเพียงหยิบมือแต่ทุกคนก็ได้ขี่ มังกรซาลามันเดอร์มาด้วย เพราะทุกคนลืมความเป็นไปได้ที่จะมีศัตรู อยู่บนฟ้าจน

    ต้องพลาดท่า และขณะนี้หัวหน้าหมู่บ้านและผู้มีฝีมือ รวมทั้ง พ่อของวิลด์ ได้ไปสกัดกั้นการโจมตีของศัตรูและถูกปิดล้อมอย่าง

    แน่นหนา ซึ่งทุกคนกำลังช่วยกู้สถานการณ์กันอย่างเต็มที่ หลังจากที่ ได้ฟังคำบอกเล่าแล้วทั้งคู่ก็รีบมุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุทันที

    โดยไม่สนใจ คำทัดทานคนรอบข้างแต่อย่างใด...



    ที่เกิดเหตุอยู่ที่บริเวณเมาน์ครีเอเชียส ที่เป็นหอคอย สังเกดการณ์ของคนละแวกนี้ เพราะเมื่อมีความเคลื่อนไหวใดๆ ก็จะเห็นได้

    จากที่นี่ก่อนทุกครั้ง และที่หมู่บ้านนี้สามารถยันไว้ได้ขนาดนี้ก็เพราะ มีพลุสัญญาณที่ส่งมาจากหอสังเกตการณ์นี้เอง



    ขณะนี้รามีอัสและพรรคพวกจากหมู่บ้านหลบอยู่ในป้อม เนื่องจากป้อมนี้หุ้มด้วยหนังวัวชุบน้ำมันและลงอาคมพิเศษกันไฟได้

    ไฟของมังกรจึงไม่เป็นผล แต่มันก็ทำให้พวกเขาอยู่ในวงล้อมของศัตรู และไม่สามารถออกไปข้างนอกป้อมได้เช่นกัน ดังนั้น

    พวกเขาจึง วางแผนกับหัวหน้าหมู่บ้านว่าจะทำอย่างไรกันดี



    “เราจะรอกำลังเสริมดีไหม รามีอัส เสบียงของที่นี่มีมากพอที่จะใช้ได้ เป็นอาทิตย์ทีเดียว” โกลด์แบลมเปรยขึ้น



    “ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก แม้ว่าเราจะมีเสบียงมากและสามารถอยู่ที่นี่เพื่อ รอกำลังเสริมจากหมู่บ้านได้ก็ตาม แต่ท่านไม่คิดหรือว่า

    เมื่อศัตรูคาดว่า มันไม่สามารถโจมตีที่นี่ได้ มันก็จะต้องตรงไปโจมตีที่หมู่บ้านแน่นอน ตอนนี้ข้าคิดว่าตอนนี้หมู่บ้านจะต้องเผชิญ

    ปัญหาหนักทีเดียว” รามีอัสตอบ



    “แล้วนี่จะทำอย่างไรกันดี เราจะฝ้าวงล้อมไปดีไหม”

    สีหน้าของโกลด์แบลมเคร่งเครียดขึ้น



    “ไม่ได้เด็ดขาด นอกจากศัตรูจะได้เปรียบเรื่องที่สูงกว่าแล้ว พวกมันยัง สามารถเรียกกำลังเสริมมาช่วยกันรุมเราเมื่อไหร่ก็ได้

    ออกไป ตอนนี้มีแต่ตายสถานเดียว แต่ข้าคิดว่ายังมีอีกวิธีหนึ่งที่ดูจะเสี่ยงทีเดียว”



    “วิธีไหนหรือ บอกข้ามาเร็ว” สีหน้าของโกลด์แบลมดูดีขึ้นมาก



    “วิธีนั้นก็คือ ข้าจะออกไปท้าสู้กับหัวหน้าของมันตัวต่อตัว และเมื่อชนะ ได้จะทำให้พวกมันเสียกำลังใจและอาจถอนกำลัง

    กลับไปได้”



    “มันอาจเป็นแผนที่ยอดเยี่ยมก็จริง แต่ท่านมั่นใจหรือว่าพวกมันจะยอม ท้าสู้กับท่าน แล้วมันก็อันตรายมากทีเดียวนะท่าน”



    “มั่นใจทีเดียว”รามีอัสตอบ แววตาเปล่งประกายสุกใส คล้ายบันดาลให้ผู้คนพบเห็นว่าชายผู้นี้ไม่ว่ากระทำเรื่องใดล้วนสำเร็จ

    ได้โดยง่าย แล้วเขาก็พูดต่อว่า



    “หัวหน้าศัตรูจะต้องตอบรับข้า รามีอัสแน่ โดยเฉพาะกับเทอร์เทสแห่งหน่วยรบมังกรดำ ดูท่าคราวนี้จะสนุกแน่”



    โกลด์แบลมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย กล่าวว่า



    “เอาล่ะ ข้าเชื่อท่านแล้ว รามีอัส บุตรแห่งคอร์เซล ด้วยตำแหน่งอดีต มหาแม่ทัพอย่างท่าน ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี

    ขอให้แสงสว่างสถิตอยู่กับท่าน”



    รามีอัสไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นสักพักจึงส่งรอยยิ้ม ที่เชื่อมั่นแล้ว จึงเดินออกไปอย่างองอาจไปที่เชิงเทินของป้อม แล้วก็

    กู่ร้องเสียงดัง กึกก้องว่า



    “เทอร์เทส มาจิสต้า แห่งหน่วยมังกรดำ ท่านกล้าดวลตัวต่อตัวกับข้า รามีอัส วาเลนติโน่หรือไม่”

            

    จากนั้นทุกสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบ แม้กระทั่งศัตรูที่บินสังเกต การณ์อยู่ที่ไกลๆ ก็ยังหันมามองที่เขาเป็นจุดเดียว สักพักหนึ่ง

    ก็มีเสียง ที่ดัง ไม่แพ้กันตอบกลับมาว่า



    “เราเทอร์เทสไหนเลยปฏิเสธคำท้าจากรามีอัสท่านได้ ทุกคนถอยไป ที่จุดพักก่อน”

    หลังจากนั้นก็มีเสียงมังกรหลายตัวกระพือปีกจากไป



    “ยอดเยี่ยม สมกับที่เป็นแม่ทัพมังกรดำจริงๆ เชิญทางนี้”



    กล่าวแล้วจึงกระโดดจากเชิงเทินลงไปที่พื้นเบื้องล่างและพุ่งตัวไปแถบเนินเขาสูงชันแห่งหนึ่งซึ่งเทอร์เทสก็ปฏิบัติตาม ผิวปาก

    ไล่มังกร แล้วจึงกระโดดลงมา มังกรส่งเสียงร้องแล้วจากไป จากนั้นเขาก็พุ่งตัวติด ตามรามีอัสไป เมื่อทั้งรามีอัสและเทอร์เทส

    ถึงยอดเขาแล้ว ทั้งสองจึงหยุดอยู่เผชิญหน้ากัน



    “นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้พบกัน น่าเสียดายท่านกลับกลาย เป็นศัตรู ของข้าไปเสียนี่ ทำไมท่านถึงจงรักภักดีต่อมันได้” รามีอัสเอ่ยขึ้น



    “ท่านไม่เข้าใจหรอก รามีอัส ข้าไม่เหมือนท่านหรอก ที่จะท่องไปไหน ต่อไหนได้โดยเสรีกับคนที่รักโดยไม่ต้องพะวงถึงชื่อเสียง

    และศักดิ์ฐานะ แต่ข้า ก็จำต้องทนทำหน้าที่นี้ต่อไป เพราะข้าที่มีภาระหน้าที่เป็นผู้นำ ตระกูลใหญ่ที่มีผู้ติดตามมากมายนั้น ข้าไม่

    สามารถแปรพักตร์ได้เลย เพราะฉะนั้นหากท่านปรารถนาจะให้ข้านำความพ่ายแพ้กลับไป นั่นหมายความว่าท่านจำเป็นต้องสังหาร

    ข้าด้วย หว้งว่าท่านคงจะเข้าใจ ข้า ช่วยให้ข้าได้ตายอย่างมีเกียรติ” เขาชักดาบออกมา



        รามีอัสถอนหายใจหลับตาลงแล้วชักดาบออกมาเช่นกัน กล่าวว่า



    “หากว่านั่นคือความปรารถนาของท่าน ท่านจะต้องไม่ผิดหวัง”



    แล้วการตัดสินความเป็นตายก็เริ่มขึ้น…



        วิลด์และกุสต้ามาถึงป้อมที่เมาท์ครีเอเชียส ถามไถ่ถึงรามีอัส ผู้เฝ้า ป้อมก็บอกว่า ตอนนี้รามีอัสกำลังดวลกับผู้นำ

    ของฝ่ายศัตรูอยู่ที่เนินเขา แห่งหนึ่ง แต่ตัวผู้เฝ้าหอเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนกัน เมื่อพวกเขา กำลังจะจากไปก็พบกับโกลด์

    แบลมที่ออกมาปรามพวกเขาทั้งสองไม่ให้ ออกไปไหน เพราะว่าอาจทำให้ฝ่ายศัตรูตื่นตัวและเข้ามาโจมตีได้



        คนที่กระวนกระวายมากที่สุดดูเหมือนจะเป็นวิลด์ เพราะคำที่ โกลด์แบลมกล่าวมาดูหมือนจะไม่เข้าหูของเขาเลย

    ร้อนแต่จะไปหาพ่อ ของตนท่าเดียว จนต้องเรียกชายฉกรรจ์หลายคนมาช่วยฉุดเขาไว้ จน กุสต้าต้องเกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่า

    เขาจะสงบลง แต่วิลด์ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยดี นัก ราวกับว่ามีบางอย่างที่เลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น...

              

              การประลองดาบยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง เทอร์เทสเป็นฝ่ายโหมรุกไล่รามีอัสอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งดูเหมือนจะได้เปรียบ

    แต่ว่าด้วยชั้นเชิงและประสบการณ์ที่เหนือกว่าทำให้รามีอัสหลบได้อย่างไม่หวั่นไหว จนเมื่อเทอร์เทสเริ่มล้าเขาจึงตวัดดาบขึ้นปัด

    ดาบของเทอร์เทสกระเด็นไปและเหวี่ยงดาบหมายประชิดคอหอยของเทอร์เทส แต่ทันใดเทอร์เทสก็ก้มหลบหร้อมหมุนตัวพลาง

    ชัดดาบสั้นที่ต้นขาขึ้นมากวาดเป็นวงกว้างจนรามีอัสต้องกระโดดถอยหลังอย่างลุกลี้ลุกลน



              เมื่อตั้งตัวใหม่ได้อีกครั้ง เทอร์เทสจึงรีบไปคว้าดาบของตนกลับขึ้นมา แล้วกระชับดาบมั่นพร้อมกับตั้งดาบให้ตรง คราวนี้

    ดูเหมือนเขาจะใจเย็นขึ้นแล้ว ค่อยๆเดินเข้าหารามีอัสอย่างช้าๆแต่มันคง รามีอัสก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน ทั้งสองวนดูเชิงไป

    รอบๆ แล้วหยุดกึกพร้อมๆกัน ต่างคนต่างเกาะกุมดาบมั่น แล้วพุ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ...

    (to be updated soon!)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×