ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Precious Jewel [WonHyuk ft KiHae]

    ลำดับตอนที่ #3 : My Precious Jewel : กำลังใจ

    • อัปเดตล่าสุด 9 มี.ค. 51


    ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน

     

    ทันทีที่สองเท้าแตะผืนแผ่นดิน ชายหนุ่มร่างสูงในชุดโค้ทหนังสีดำก็รีบเดินจ้ำอ้าวราวกับว่าเร่งรีบทั้งๆ ที่ไม่ได้มีธุระอะไร ...มันเป็นบุคลิกเฉพาะของคนร่างสูงใหญ่ที่ไม่ชอบมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว แต่เน้นให้ความสำคัญกับสิ่งที่สนใจตรงเบื้องหน้าเท่านั้น

     

    ชีวอน!”

     

    ชายหนุ่มร่างสูงชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงทักแล้วเปลี่ยนทิศทางเดินไปยังคนเรียกที่มีความสูงไม่ต่างกันเท่าไหร่นักแต่ดูตัวเล็กเพราะรูปร่างที่เพรียวกว่า  

     

    อะไรเนี่ย มีคนมารับคนเดียวเองเหรอ?”แว่นกันแดดถูกถอดออก เผยให้เห็นตาสองชั้นแต่เรียวเล็กและจมูกโด่งที่เป็นสันคมอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ไม่เคยปรากฏบนใบหน้านับตั้งแต่เขาก้าวลงเหยียบผืนแผ่นดินเกาหลีก็เพิ่งจะฉายออกมาเป็นครั้งแรก

     

    ผมต้องขออภัยคุณชายชีวอนด้วยขอรับ ผมผิดไปแล้วจริงๆ ที่ไม่ได้เตรียมขบวนมารับคุณชายคนร่างเล็กกว่าพูดเสียงใหญ่ แล้วทำท่าทางประหนึ่งว่าตัวเองมีความผิดเต็มประดา

     

    โห่พี่ฮันคยอง รับมุขไวเป็นจรวดเลยนะพี่ชีวอนหัวเราะเริงร่าแล้วใช้วงแขนกอดคอคนเป็นพี่อย่างสนิทสนม

     

    ฮันคยองยิ้มพราวทำให้ใบหน้าหล่อเข้มที่ดูมีเสน่ห์นั้นยิ่งน่ามองเข้าไปใหญ่ น้ำเสียงนุ่มทุ้มอันเป็นเสียงปกติของเขายิ่งช่วยส่งเสริมให้เขาแลดูเป็นผู้ชายน่ามองประดุจเป็นเจ้าชายผู้อ่อนโยนที่เดินออกมาจากเทพนิยายก็ไม่ปาน

     

    หิวรึเปล่า ไปหาอะไรกินกันมั้ย?”

     

    ผมเพิ่งลงจากเครื่องนะพี่ ไม่ได้อยู่ในห้องคุมขัง อะไร...มาถึงก็ชวนหาอะไรกินแล้ว

     

    ก็ฉันเห็นว่านายเห็นแก่กินก็เลยชวนไง แล้วสรุปจะไปไหมเขาถามพร้อมยิ้มอบอุ่น แววตาอ่อนโยนยามทอดมองญาติผู้น้องนับตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ยังคงเป็นไปอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

     

    ไปครับไปคนร่างสูงยิ้มเริงร่าเผยให้เห็นสองลักยิ้มแก้มขวาซ้ายที่เพิ่มให้ใบหน้าหล่อเหลายิ่งมีเสน่ห์น่ามอง

     

    งั้นก็ไปกันเถอะฮันคยองบอกและยังปล่อยให้วงแขนมีมัดกล้ามพาดวางอยู่ที่หัวไหล่ มันเป็นเรื่องปกติที่เจ้าน้องชายหัวรั้นจะชอบพาดมือ พาดแขน ไว้บนไหล่ของใครต่อใครที่เป็นญาติ   เคยมีญาติคนหนึ่งแซวชีวอนว่าเป็นพวกขาดความอบอุ่น ซึ่งชีวอนก็จะเถียงกลับอย่างหน้าตาเฉย

     

    ฉันไม่ได้ขาดความอบอุ่นนะแต่กล้ามฉันมันทั้งใหญ่ทั้งหนักก็เลยต้องพาดไว้บนไหล่คนอื่นแทน  ไหล่ฉันจะได้ไม่เมื่อยไง...

     

    ด้วยเหตุผลนี้ของเขา เลยทำให้ไม่ค่อยมีญาติคนไหนต่อว่าเวลาที่เขาชอบพาดแขนไว้บนไหล่คนอื่น แต่ฮันคยองไม่แน่ใจที่ทุกคนไม่ว่าอะไรชีวอนเป็นเพราะเชื่อในเหตุผลข้างๆ คูๆ  หรือเป็นเพราะกลัวคุณชายผู้เอาแต่ใจจะตีหน้ายักษ์ใส่แล้ววิ่งโร่ไปฟ้องคุณปู่ ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่ารักนักหนา ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ห้ามขัดใจหลานรักคนนี้ของคุณปู่ผู้ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้ร่ำรวยในอันดับต้นๆ ของประเทศ...

     

    .................................................................

     

    ไม่ได้กลับโซลตั้งนานแล้ว...

     

    ใบไม้ที่โซลสวยที่สุดเลยนะพี่ฮันคยองเขาพึมพำขณะมองผ่านกระจกใส ...เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ดอกไม้ต่างแข่งขันอวดตัวผลิใบ อีกไม่นานสีสันของดอกไม้ที่เคยแห้งแล้งด้วยฤดูหนาวอันยาวนานก็จะเริ่มเปลี่ยนแปร  ต้นไม้ใบหญ้าจะเบ่งบานสดใสต้อนรับแสงแดดที่สาดส่องอย่างอบอุ่น

     

    เขาว่ากันว่าคนที่จากบ้านไปนานมักมองเห็นความสวยของมันเสมอฮันคยองว่าพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ อากาศอบอุ่น...กาแฟสักแก้วในร้านที่ล้อมด้วยกระจกใสจนมองเห็นบรรยากาศภายนอกชัดเจนก็ทำให้ความเหนื่อยล้าผ่อนคลายลง

     

    ผมไปแป๊บเดียวเองเขาว่าขณะที่สายตายังมองเรื่อยผ่านกระจกใสราวกับการเห็นใบไม้สีเขียวแห่งต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นเรื่องน่าสนุก

     

    ....แต่ฮันคยองกลับเห็นรอยเศร้าที่ยังคงตกค้างอยู่ในแววตาของญาติผู้น้อง

     

     พี่ฮีชอลไม่ได้อยู่ที่โซลแล้วใช่ไหม?”อยู่ดีๆ น้ำเสียงแหบใหญ่ก็เอ่ยถามขึ้นมาจนคนโดนถามถึงกับชะงักยามกำลังจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ...

     

    ฮันคยองพยักหน้า เขาวางแก้วลงเบาๆ อยู่ดีๆ ก็รู้สึกฝืดคอจนไม่อยากกินอะไร...  

     

    เขาอยู่ที่เชจู…”

     

    ที่นั่นทะเลสวย อา...พี่ฮีชอลต้องชอบที่นั่นแน่ๆ เลยชีวอนละสายตาจากจากนอกร้านแล้วหันมาคุยกับญาติผู้พี่ ดวงตาเขาโตขึ้นพร้อมๆ กับรอยลักยิ้มที่ปรากฏบนสองข้างแก้ม

     

                ฮันคยองยิ้มฝืน...เพราะพอเอ่ยถึงบุคคลที่สามคนนั้นทีไร...เขาก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

     

    ....ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมาพี่ชายขอตัว ชีวอนพยักหน้ารับ แล้วเบนสายตามองเรื่อยผ่านหน้ากระจกใส...

     

    ตัวเล็กแค่นั้นยกไหวเหรอ?

     

    สายตาหยุดตรงที่รถตู้ส่งของซึ่งมีพนักงานสองคนเพิ่งเดินลงจากรถ คนหนึ่งรูปร่างอ้วนส่วนอีกคนรูปร่างผอมเพรียว ...

    งานที่ต้องใช้แรงยกลัง ชายร่างอ้วนน่าจะไม่มีปัญหา แต่คนที่ดูบอบบางแขนเล็กขนาดนั้นจะยกของแบบนั้นไหวได้ยังไง...

     

    แต่หมอนั่นก็ยกไหวแฮะ ...

     

    ชีวอนมองพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉายออกมาอย่างไม่รู้ตัว อาจเป็นเพราะว่าได้เห็นยิ้มแจ่มใสของคนสองคนที่แม้ต้องทำงานหนักท่ามกลางแดดกล้า แต่คนทั้งคู่ก็ดูมีความสุข...ต่างกับคนที่นั่งในร้านอย่างสบายๆ แบบเขาที่ยิ้มออกมากี่ครั้งก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นความสุข...

     

    เขามองจนเพลินทีเดียว มองตั้งแต่คนทั้งสองลงจากรถ โค้งคำนับแรกให้กับเจ้าของร้าน ยกของเสร็จ และโค้งคำนับให้กับเจ้าของร้านนั้นอีกหน

     

    ...ชายร่างเพรียวบาง หนึ่งในพนักงานนั่งพักตรงเก้าอี้หน้าร้านที่ส่งของ เขาถลกแขนเสื้อยาวขึ้นมาถึงข้อศอกและถอดหมวกใช้แทนพัด ส่วนอีกมือก็ยกขวดน้ำที่ได้รับจากชายร่างอ้วนขึ้นดื่ม...

     

    ผมสีแดง... ไม่ใช่สิ...สีส้มต่างหาก อือ...หรือว่าเป็นน้ำตาลทองกันนะ

     

    จะสีอะไรก็แล้วแต่ แต่มันก็เข้ากับคนผิวขาวร่างบางคนนั้น แสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาจากผืนฟ้าขับให้คนที่อยู่กลางแดดดูโดดเด่นราวกับว่าผิวเนื้อกับสีผมสะท้อนต้องกับแสงอาทิตย์ได้ยังไงยังงั้น...

     

    ...เขาเห็น...คนร่างอ้วนสะกิดแล้วกระซิบอะไรบางอย่างกับชายร่างเพรียว ซึ่งต่อจากนั้นคนๆ นั้นก็หันมามองที่เขา 

     

    แม้จะอยู่คนละฝั่งของถนนแต่ชีวอนก็มองเห็นชัดเจน แล้วก็ได้สบตากันอย่างตรงๆ...

     

    คนๆ นั้นโค้งหัวให้แล้วส่งยิ้มกลับมาทำเอาหัวใจทั้งดวงของเขาถึงกับสะท้าน...

     

    บ้า...รึเปล่า

     

    ยังมีคนในโซลหลงเหลือรอยยิ้มให้กับคนแปลกหน้าง่ายดายแบบนี้อีกเหรอ?

     

    หมอนั่นยิ้มให้เขาทำไม?  กำลังหวังผลประโยชน์อะไรอยู่รึไง?...

     

    แต่

     

    ชีวอนปฏิเสธไม่ได้ว่ารอยยิ้มนั้นช่างบริสุทธ์...

     

    “…ชีวอน...ชีวอน...

     

    อะ..ครับพี่เขาสะดุ้งกับเสียงเรียกของพี่ชาย หันกลับไปก็เห็นพี่ชายยืนสองมือกอดอกและมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย

     

    เหม่อลอยอะไรของนาย ฉันถามว่านายจะกลับรึยัง?”

     

    ยังครับพี่ ยังไม่กลับชีวอนรีบปฏิเสธ แล้วหันไปมองยังต้นเหตุที่พี่ชายเรียกว่าความเหม่อลอย...

     

    เพียงชั่วครู่ที่เขาหันไปคุยกับฮันคยอง คนร่างบางคนนั้นก็หายไปพร้อมๆ กับรถตู้ที่กำลังแล่นออก ชีวอนจึงพยายามเพ่งสายตาอ่านป้ายเล็กๆ ที่ติดอยู่ข้างหลังรถ 

     

    -อ-ง-จู

     

    ฮันคยองหันไปมองตามสายตาของน้องชาย แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆ

     

    บริษัทในเครือโจกรุ๊ป ทำไมเหรอ..อยากไปฝึกงานที่นั่นรึไง?”

     

    ชีวอนรีบส่ายหน้า

     

    ไม่เอาหรอก ผมขอเรียนเฉยๆ ดีกว่าชายหนุ่มบอกพลางคิดพลาง

     

    บริษัทในเครือโจกรุ๊ป..งั้นก็...บริษัทของลุงอินซอล... พ่อของคยูฮยอนน่ะสิ

     

    คนบนรถตู้สินค้าที่แตกต่างกันทางรูปร่างกลับกลายเป็นเพื่อนกันได้นับตั้งแต่วันที่ได้ร่วมงาน ชินดงกับฮยอกแจเป็นพนักงานส่งของให้กับบริษัทซองจู บริษัทน้ำดื่มรายย่อยหนึ่งในเครือโจกรุ๊ปที่มีส่วนแบ่งทางตลาดรายใหญ่ของเกาหลีในธุรกิจประเภทไวน์

     

    ฮู้ย...เมื่อยเป็นบ้าเลยคนร่างอ้วนบ่นพร้อมกับใช้มือบีบที่ต้นคอ

     

    ให้ฉันช่วยนวดมั้ยชินดง?”คนข้างๆ ถาม เจ้าของชื่อชินดงก็รีบปฏิเสธไปทันที

     

    นายก็ขับรถไปเซ่ ไม่ต้องคิดจะมานวดให้ฉัน เกิดรถชนขึ้นมาทำไงล่ะ ฉันยังไม่อยากตายน๊าคนขับรถยิ้มที่ใบหน้า สองมือกุมพวงมาลัยและมองตรงไปยังเส้นทางด้านหน้า

     

     เออ...ว่าแต่หมอนั่นน่ะชินดงพูดขึ้นมาลอยๆ ก่อน เขากลัวว่าถ้าถามไปตรงๆ ฮยอกแจอาจจะไม่ตอบเพราะฮยอกแจไม่ใช่คนช่างพูด เวลาอยู่ด้วยกันเขาจะพูดสักสิบคำ แต่ฮยอกแจจะพูดแค่สองคำ แล้วส่วนมากเวลาถามอะไรไปเพื่อนร่วมงานคนนี้ก็มักจะไม่ค่อยตอบ

     

    หมอนั่น…?”ฮยอกแจทวนคำชินดง พอเห็นว่าฮยอกแจสนใจเขาเลยรีบคุยต่อ

     

    ก็คนที่นายโค้งหัวแล้วก็ยิ้มให้ไง รู้จักกันเหรอ?”ฮยอกแจร้องอ๋อ แล้วตอบกลับ

     

    เปล่าไม่รู้จัก

     

    ฮ๊า...นายไม่รู้จักแล้วนายไปยิ้มให้เขาทำไม๊ตาเล็กๆ ของชินดงโตขึ้นมาในทันที

     

    อ้าวทำไมล่ะ

     

    หมอนั่นจ้องนายไม่กระพริบเลยนา แถมยังยิ้มแปลกๆ อีก เป็นพวกโรคจิตรึเปล่าก็ไม่รู้

     

    ฮยอกแจยิ้มเล็กๆ ให้กับเพื่อนร่วมงาน

     

    คนโรคจิตคงไม่นั่งร้านนั้นหรอกมั้ง ขนาดแค่น้ำเปล่าแก้วเดียวราคายังสูงเลย

     

    พวกมีเงินล่ะตัวดี โรคจิตติดอันดับเลยนา ฮยอกแจฮยอกแจ นายไม่น่าไปยิ้มให้หมอนั่นเลยชินดงบ่น เขาเป็นประเภทพวกเกลียดคนรวย พ่อแม่ของเขาโดนพวกคนรวยเอารัดเอาเปรียบเสมอแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกไปจากทำใจให้โดนเอาเปรียบเพราะว่าโชคร้ายที่เกิดมาจนกว่า

     

    มันไม่ได้ขับรถตามมาใช่ไหมแถมยังเป็นพวกขี้ระแวงอีกต่างหาก

     

    อะไรของนายเนี่ยชินดงฮยอกแจเหลือบมองเพื่อนพลางยิ้มขำ

     

    คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้นายก็น่าจะรู้นี่นาชินดงว่า...

     

    ฮยอกแจยิ้มน้อยๆ แววตาอ่อนลงยามพูดถึงคนคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในหัวใจของเขา...

     

    พ่อฉันสอนว่ารอยยิ้มไม่เคยฆ่าคน ถึงแม้ว่าเขาจะมีมีดอยู่ในมือแต่ถ้าเรายิ้มให้เขาอย่างจริงใจ ชีวิตของเราอาจจะยืนยาวไปได้อีก

     

    คำสอนของพ่อนายใช้ไม่ได้กับยุคสมัยนี้อีกแล้วฮยอกแจ

     

    เพื่อนร่วมงานส่ายหัวไปมาอย่างไม่เห็นด้วย...

     

     ฮยอกแจไม่ได้ต่อความอะไรกับเพื่อนอีก...เขาเพียงแค่ยิ้มออกมาบางๆ เท่านั้น...

     

    นับจากวันที่ลาออกจากโรงเรียน เขาก็ออกหางานทำ วุฒิมัธยมศึกษาตอนต้นไม่มีทางเลือกในการงานมากนัก แต่ด้วยความที่เขาขับรถได้จึงโชคดีได้งานของบริษัทซองจูมาง่ายๆ ตอนเริ่มงานวันแรกไม่ได้ง่ายเหมือนตอนสมัครเข้ามา งานหนักและลำบากน่าดู หน้าที่ของเขาไม่ได้มีแค่ขับรถ เขาต้องยกของแบกของและเช็คสต๊อกไปในตัวด้วย แรกๆ เขาโดนหัวหน้างานตำหนิในความงุ่มง่าม  แต่พอทำบ่อยๆ จนเริ่มชินเข้า หัวหน้าก็เลยบ่นน้อยลง  

     

    นอกจากจะเป็นพนักงานของบริษัทซองจูในตอนกลางวันแล้ว ในช่วงหกโมงเย็นถึงเที่ยงคืนเขาก็ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารแถวๆ อินซาดง มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการทำงานสองอย่างไปพร้อมๆ กัน แต่เพราะชีวิตที่ไม่มีทางเลือก เขาจึงต้องพยายามทำความคุ้นเคย....

     

    แม้พี่ซองมินจะเป็นห่วงเพราะเห็นว่างานหนักเกินไป หรือแม้ว่าดงเฮจะคอยอ้อนวอนขอลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยทำงานบ้าง แต่เขาก็บอกกับคนทั้งสองว่าอย่ากังวลไปเลย งานแค่นี้เขาทำได้...  

     

    แล้วระยะเวลากว่าเจ็ดเดือนที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เขาทำได้จริงๆ...

     

    ...นั่นเป็นเพราะว่าเขามีกำลังใจเป็นสิ่งขับเคลื่อนชีวิตให้เดินต่อไปข้างหน้า

     

     

     พี่ฮยอกแจมาแล้วเสียงเล็กแหลมร้องขึ้นทันทีที่ประตูห้องเปิด คนเป็นพี่ย่อตัวต่ำลงเพื่ออ้าแขนรับคนตัวเล็กที่วิ่งมาหาได้อย่างถนัด 

     

    อะไรกันเรา ดึกแล้วนะทำไมยังไม่นอนอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่นสายหรอกพี่ชายว่าพลางใช้มือขยี้หัวน้องสาวเล่นอย่างเอ็นดู

     

    ก็หนูมีเรื่องจะบอกพี่นี่ก็เลยยังไม่นอนคนตัวเล็กอยู่ในชุดนอนสีชมพูหวาน ดวงตากลมโตสดใสโดดเด่นบนใบหน้ารูปไข่ที่ขาวนวล พ่อกับแม่ชอบเรียกดาบินว่าเจ้าหญิงตัวน้อย ซึ่งในสายตาของฮยอกแจแล้วเธอก็เหมือนเป็นเจ้าหญิงจริงๆ เธอเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของเขาทั้งตอนตื่นตอนหลับและตอนที่อยู่ในอ้อมกอดเขาแบบนี้

     

    เรื่องอะไรเหรอคนเป็นพี่ชายมองน้องสาวตัวเล็กอย่างเอ็นดู

     

    วันนี้พี่ดงเฮทำกิมชีจิแกให้หนูกินด้วยริมฝีปากสีชมพูพยายามจะกระซิบกระซาบ แต่เพราะอยู่ในห้องที่เงียบสงัดก็เลยทำให้คนอีกคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำได้ยินชัดจนต้องร้องห้าม

     

    ดาบิ๊นนนน หยุดเลยนะ

     

    แต่น้องสาวไม่ได้หยุดตามคำสั่ง เธอหัวเราะคิกคักแล้วบอกกับพี่ชายคนโตต่อ

     

    มันเปรี้ยวมากจนต้องเททิ้งเลยล่ะพี่ฮยอกแจฮยอกแจยิ้มขำกับคำฟ้องของน้องสาว ขำทั้งเรื่องฝีมือทำอาหารของน้องชายที่ไม่เคยพัฒนาขึ้น แล้วก็ขำกับสีหน้าท่าทางของน้องสาวที่กำลังจีบปากจีบคอเล่าอย่างเป็นตุเป็นตะ

     

    พี่ไม่ต้องมายิ้มเยาะเย้ยผมเลย ก็ผมเข้าครัวทีไรแม่ก็ไล่ผมออกมาทุกที ผมจะทำอร่อยเท่าพี่ได้ยังไงน้องชายหน้าแดงแล้วก็แก้เขินด้วยการโวยวาย

     

    ก็นายซุ่มซ่าม เข้าครัวทีไรทำจานแตกทุกทีนี่ตอนที่แม่ยังอยู่เขามักเป็นลูกมือให้แม่เสมอ เลยทำให้เขามีความรู้ด้านการทำครัวติดมือมาบ้าง ดงเฮเห็นเขาอยู่ในห้องครัวกับแม่ เห็นเป็นเรื่องน่าสนุกก็เลยชอบวิ่งเข้ามามีส่วนร่วม แต่เข้ามาทีไรทำของตกหรือไม่ก็จานแตกจนภายหลังแม่ต้องออกปากห้ามไม่ให้เข้าครัวทันทีที่เห็นว่าดงเฮจะก้าวเข้าครัว 

     

    ฮิฮิ แล้ววันนี้พี่ดงเฮก็ทำจานแตกไปสองใบแน่ะน้องสาวยังคงจีบปากจีบคอฟ้อง พี่ชายคนรองเลยต้องตีหน้าดุและสั่งให้น้องสาวหยุดพูด

     

    ดาบิน...เงียบไปเลยนะแต่น้องสาวกลับยิ้มเริงร่าภายในอ้อมแขนของพี่ชายคนโต

     

    เมื่อไหร่น๊า พี่ดงเฮจะทำอาหารอร่อยได้เท่าพี่ฮยอกแจบ้าง พี่ฮยอกแจจะได้ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามาทำของกินให้เราทุกวัน พี่ดงเฮน๊าพี่ดงเฮน้องสาวส่ายหน้าช้าๆ เลียนแบบคุณครูจีวูที่มักจะส่ายหน้าไปมาเวลาที่เธอและเพื่อนๆ ทำอะไรบางอย่างที่คุณครูมักจะบ่นว่ามันไม่เข้าท่า

     

    น้อยๆ หน่อยดาบิน เธอน่ะเป็นผู้หญิงยังทำอะไรไม่เป็นนอกจากหุงข้าว พี่น่ะเป็นผู้ชายทำกับข้าวไม่เป็นไม่เห็นจะแปลกเลย

     

    แล้วทำไมพี่ฮยอกแจทำเป็นล่ะพี่ดงเฮ

     

    อ่า... ใครจะไปเก่งเหมือนพี่ชายเธอล่ะ

     

    พี่ก็เป็นพี่หนูเหมือนกันทำไมไม่เก่งเลยล่ะ

     

    ดาบิน...วันนี้เธอพูดมากเกินไปแล้วนะ...ดงเฮทำเสียงขรึมแล้วก็เดินไปใกล้ๆ น้องสาว

     

    ตายซะ!”พูดจบก็ดึงคนตัวเล็กออกมาจากอ้อมแขนของพี่ชาย เขาจี้ไปที่เอวของน้องสาวจนเด็กน้อยหัวเราะร่า

     

     พี่ฮยอกแจช่วยหนูด้วย คิกๆๆน้องสาวหัวเราะคิกคักเพราะถูกจี้ตรงจุดขำ แต่ฮยอกแจก็ไม่ได้เข้าไปช่วย นอกจากหัวเราะกับการหยอกล้อของคนทั้งสอง

     

    หนูยอมแล้วพี่ดงเฮ คิกๆน้องสาวร้องบอกแต่ก็ยังไม่สิ้นเสียงหัวเราะ

     

    ต่อไปนี้ห้ามว่าพี่อีกรู้เปล่า ไม่งั้นจะจับจี้ให้ตายเลยดงเฮพูดขู่แต่สีหน้าดูมีความสุขเพราะได้แกล้งน้องสาวตัวน้อย

     

    คิกๆ ๆ ค่า รู้แล้วน้องสาวบอกพลาง หัวเราะพลาง ดงเฮเลยหยุดแล้วดึงคนตัวน้อยที่ยืนขำเข้ามากอด

     

    ไปนอนได้แล้วไป...เป็นเด็กนอนดึกไม่ดีรู้เปล่าดงเฮบอกน้องสาว ดาบินพยักหน้า รอยยิ้มสดใสพราวเต็มใบหน้า แล้วเธอก็หอมแก้มพี่ชายคนรองหนึ่งที

     

    หนูนอนแล้วนะเธอบอกแล้วก็เดินไปยังที่นอนซึ่งปูไว้กับพื้นเรียบร้อยแล้ว

     

    พอดาบินไปนอนดงเฮก็เดินไปหาพี่ชาย เขาสวมกอดพี่ชายจากด้านหลัง แล้วนำคางของเขาเกยไปที่ไหล่พร้อมกับพูดเสียงออดอ้อน     

     

    พี่ครับ...

     

    จะอ้อนเอาอะไรเหรอเราน่ะพี่ชายถามอย่างรู้เท่าทัน เวลาน้องชายคนนี้อยากได้อะไรเป็นต้องเข้ามาอ้อนแบบนี้ทุกที

     

    ดงเฮยิ้มสดใสแล้วบอกกับพี่ชาย   

     

    ...โรงเรียนใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ก่อนโรงเรียนจะเปิด เราไปเที่ยวกันดีมั้ยพี่

     

    ก็ได้ฮยอกแจตอบโดยไม่ต้องคิดนาน มันก็นานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้ไปเที่ยวไหนพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งสามคน

     

    อยากไปที่ไหนล่ะ?”ฮยอกแจถามกลับ

     

    สวนสนุกค่ายังไม่ทันที่ดงเฮจะตอบ ดาบินก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

     

    ดาบิน...มันดึกแล้วนะ...นอนได้แล้วฮยอกแจทำเสียงดุ แต่น้องสาวไม่ได้กลัวเลยสักนิด

     

    หนูไม่ได้ตั้งใจจะไม่หลับนะ แต่ลืมไปว่าเมื่อกี๊ลืมหอมแก้มพี่นี่นาน้องสาวบอกพร้อมกับลุกจากที่นอน เธอวิ่งมาหอมแก้มพี่ชายคนโตฟอดใหญ่ ๆ แล้วยิ้มให้คนเป็นพี่อย่างสดใส

     

    ไปนอนได้แล้วดงเฮเอื้อมมือไปตีก้นน้องสาวอย่างหมั่นเขี้ยวทั้งๆ ที่คางยังเกยอยู่ที่ไหล่ของพี่ชาย ดาบินยิ้มร่าเริงแล้วก็วิ่งไปที่นอนตัวเอง

     

    สวนสนุกก็ดีนะพี่ ผมไม่ได้ไปตั้งนานแล้วพอดาบินวิ่งกลับไปที่นอนแล้ว ดงเฮเลยพูดกับพี่ชายต่อ แต่เสียงเล็กๆ ของน้องสาวก็ดังแทรกขึ้นอีกจนได้

     

    เย้!”

     

    ดาบิน...เสียงพี่ชายทั้งสองพูดพร้อมกัน ซึ่งคราวนี้น้องสาวจึงได้แต่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมาอีกเลย

     

    นายก็ไปนอนได้แล้วพี่ชายตบไปที่แก้มน้องชายเบาๆ ดงเฮยิ้มให้พี่ชายแล้วลุกไปนอนข้างๆ ดาบินและสวมกอดน้องสาวไว้หลวมๆ

     

    สองคนนี้เองที่เป็นกำลังใจในการขับเคลื่อนชีวิตของเขา...

     

    ฮยอกแจหันไปมองน้องสาวน้องชายพลางระลึกถึงคนสองคนที่รักและคิดถึงสุดดวงใจ...

     

    พ่อครับแม่ครับ... พวกเราสบายดีไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ...

     

     

    write~ 9  มีนาคม 2551

     

    มาแล้วค่ะขอโทษที่ให้ต้องรอนะคะ

    เวลาในการอัพตอนถ้าอย่างเร็วเราจะอัพประมาณสัปดาห์ละสองครั้งค่ะ

    แต่ถ้าช้ากว่านั้นเราคงต้องขออภัยด้วย  เพราะว่าเราไม่มีปิดเทอมน่ะค่ะ T^T

    เลยต้องแบ่งเวลาให้การเรียนด้วย แต่เราก็จะพยายามอัพให้ได้สัปดาห์ละสองตอนนะคะ ^^

     

    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ ถึงจะบอกว่าไม่ต้องคอมเม้นท์ก็ได้ เพราะเราก็ไม่ค่อยจะบ้าคอมเม้นท์เท่าไหร่น่ะค่ะ แค่ปริ๊นแล้วพกใส่สมุดส่วนตัวเก็บไว้เป็นกำลังใจว่ามีคนมาอ่านเรื่องของเราเวลาไปไหนๆ ก็เท่านั้นเอ๊ง... หุหุ

     

    ส่วนตัวเนื้อเรื่องเราค่อนข้างกังวลว่าจะมีคนอ่านเรื่องของเราต่อรึเปล่า เพราะเราชอบพูดโน่นพูดนี่พูดนั่น กลัวคนอ่านจะเบื่อก่อนเรื่องจบ เลยอยากบอกว่ายังไงก็ถ้าเข้ามาอ่านแล้วอย่าทิ้งกันกลางคันนะคะ แล้วเรื่องนี้จะเป็นรักที่ไม่เน้นความเศร้านะคะ ชีวิตคนเรามันต้องยิ้ม คนอ่านฟิคก็ต้องยิ้ม คนรักเอสเจก็ต้องยิ้มเยอะๆ นะคะ  

    แล้วเราก็จะพยายามค่ะ aja aja Fighting!

    ปล.~อินฉาดาบิน อยากหอมแก้มฮยอกกับด๊องมั่ง T ^T

    ปล.อีกที~ระหว่างวอนกับฮัน อยากได้คนไหนเป็นคู่ฮยอกคะ?

    ถามเพราะอยากรู้น่ะค่ะว่าถ้าฮยอกเป็นคนสไตล์นี้

    คนอ่านจะเทใจให้หนุ่มคนไหนระหว่างฮันกับวอน

    แต่คำตอบของคนอ่านในเรื่องนี้ไม่ได้มีผลต่อคนเขียนค่ะ

    เพราะคนเขียนไม่มีวันพลิกโผ เลือกไว้แล้ววววเรียบร้อย หุหุ (แล้วจะถามเพื่ออาไร๊)

     

    ไปละค่ะ อัน-ยอง-ฮี-คา-เซ-โย

    오호호 =โอ-โฮ-โฮ = โฮะ โฮะ โฮะ = หัวเราะแบบไฮโซ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×