คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : My Precious Jewel : กำลังใจ
ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน
ทันทีที่สองเท้าแตะผืนแผ่นดิน ชายหนุ่มร่างสูงในชุดโค้ทหนังสีดำก็รีบเดินจ้ำอ้าวราวกับว่าเร่งรีบทั้งๆ ที่ไม่ได้มีธุระอะไร ...มันเป็นบุคลิกเฉพาะของคนร่างสูงใหญ่ที่ไม่ชอบมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว แต่เน้นให้ความสำคัญกับสิ่งที่สนใจตรงเบื้องหน้าเท่านั้น
“ชีวอน!”
ชายหนุ่มร่างสูงชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงทักแล้วเปลี่ยนทิศทางเดินไปยังคนเรียกที่มีความสูงไม่ต่างกันเท่าไหร่นักแต่ดูตัวเล็กเพราะรูปร่างที่เพรียวกว่า
“อะไรเนี่ย มีคนมารับคนเดียวเองเหรอ?”แว่นกันแดดถูกถอดออก เผยให้เห็นตาสองชั้นแต่เรียวเล็กและจมูกโด่งที่เป็นสันคมอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ไม่เคยปรากฏบนใบหน้านับตั้งแต่เขาก้าวลงเหยียบผืนแผ่นดินเกาหลีก็เพิ่งจะฉายออกมาเป็นครั้งแรก
“ผมต้องขออภัยคุณชายชีวอนด้วยขอรับ ผมผิดไปแล้วจริงๆ ที่ไม่ได้เตรียมขบวนมารับคุณชาย”คนร่างเล็กกว่าพูดเสียงใหญ่ แล้วทำท่าทางประหนึ่งว่าตัวเองมีความผิดเต็มประดา
“โห่พี่ฮันคยอง รับมุขไวเป็นจรวดเลยนะพี่”ชีวอนหัวเราะเริงร่าแล้วใช้วงแขนกอดคอคนเป็นพี่อย่างสนิทสนม
ฮันคยองยิ้มพราวทำให้ใบหน้าหล่อเข้มที่ดูมีเสน่ห์นั้นยิ่งน่ามองเข้าไปใหญ่ น้ำเสียงนุ่มทุ้มอันเป็นเสียงปกติของเขายิ่งช่วยส่งเสริมให้เขาแลดูเป็นผู้ชายน่ามองประดุจเป็นเจ้าชายผู้อ่อนโยนที่เดินออกมาจากเทพนิยายก็ไม่ปาน
“หิวรึเปล่า ไปหาอะไรกินกันมั้ย?”
“ผมเพิ่งลงจากเครื่องนะพี่ ไม่ได้อยู่ในห้องคุมขัง อะไร...มาถึงก็ชวนหาอะไรกินแล้ว”
“ก็ฉันเห็นว่านายเห็นแก่กินก็เลยชวนไง แล้วสรุปจะไปไหม”เขาถามพร้อมยิ้มอบอุ่น แววตาอ่อนโยนยามทอดมองญาติผู้น้องนับตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ยังคงเป็นไปอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
“ไปครับไป”คนร่างสูงยิ้มเริงร่าเผยให้เห็นสองลักยิ้มแก้มขวาซ้ายที่เพิ่มให้ใบหน้าหล่อเหลายิ่งมีเสน่ห์น่ามอง
“งั้นก็ไปกันเถอะ”ฮันคยองบอกและยังปล่อยให้วงแขนมีมัดกล้ามพาดวางอยู่ที่หัวไหล่ มันเป็นเรื่องปกติที่เจ้าน้องชายหัวรั้นจะชอบพาดมือ พาดแขน ไว้บนไหล่ของใครต่อใครที่เป็นญาติ เคยมีญาติคนหนึ่งแซวชีวอนว่าเป็นพวกขาดความอบอุ่น ซึ่งชีวอนก็จะเถียงกลับอย่างหน้าตาเฉย
“ฉันไม่ได้ขาดความอบอุ่นนะแต่กล้ามฉันมันทั้งใหญ่ทั้งหนักก็เลยต้องพาดไว้บนไหล่คนอื่นแทน ไหล่ฉันจะได้ไม่เมื่อยไง...”
ด้วยเหตุผลนี้ของเขา เลยทำให้ไม่ค่อยมีญาติคนไหนต่อว่าเวลาที่เขาชอบพาดแขนไว้บนไหล่คนอื่น แต่ฮันคยองไม่แน่ใจที่ทุกคนไม่ว่าอะไรชีวอนเป็นเพราะเชื่อในเหตุผลข้างๆ คูๆ หรือเป็นเพราะกลัวคุณชายผู้เอาแต่ใจจะตีหน้ายักษ์ใส่แล้ววิ่งโร่ไปฟ้องคุณปู่ ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่ารักนักหนา ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ห้ามขัดใจหลานรักคนนี้ของคุณปู่ผู้ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้ร่ำรวยในอันดับต้นๆ ของประเทศ...
.................................................................
ไม่ได้กลับโซลตั้งนานแล้ว...
“ใบไม้ที่โซลสวยที่สุดเลยนะพี่ฮันคยอง”เขาพึมพำขณะมองผ่านกระจกใส ...เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ดอกไม้ต่างแข่งขันอวดตัวผลิใบ อีกไม่นานสีสันของดอกไม้ที่เคยแห้งแล้งด้วยฤดูหนาวอันยาวนานก็จะเริ่มเปลี่ยนแปร ต้นไม้ใบหญ้าจะเบ่งบานสดใสต้อนรับแสงแดดที่สาดส่องอย่างอบอุ่น
“เขาว่ากันว่าคนที่จากบ้านไปนานมักมองเห็นความสวยของมันเสมอ”ฮันคยองว่าพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ อากาศอบอุ่น...กาแฟสักแก้วในร้านที่ล้อมด้วยกระจกใสจนมองเห็นบรรยากาศภายนอกชัดเจนก็ทำให้ความเหนื่อยล้าผ่อนคลายลง
“ผมไปแป๊บเดียวเอง”เขาว่าขณะที่สายตายังมองเรื่อยผ่านกระจกใสราวกับการเห็นใบไม้สีเขียวแห่งต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นเรื่องน่าสนุก
....แต่ฮันคยองกลับเห็นรอยเศร้าที่ยังคงตกค้างอยู่ในแววตาของญาติผู้น้อง
“พี่ฮีชอลไม่ได้อยู่ที่โซลแล้วใช่ไหม?”อยู่ดีๆ น้ำเสียงแหบใหญ่ก็เอ่ยถามขึ้นมาจนคนโดนถามถึงกับชะงักยามกำลังจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ...
ฮันคยองพยักหน้า เขาวางแก้วลงเบาๆ อยู่ดีๆ ก็รู้สึกฝืดคอจนไม่อยากกินอะไร...
“เขาอยู่ที่เชจู
”
“ที่นั่นทะเลสวย อา...พี่ฮีชอลต้องชอบที่นั่นแน่ๆ เลย”ชีวอนละสายตาจากจากนอกร้านแล้วหันมาคุยกับญาติผู้พี่ ดวงตาเขาโตขึ้นพร้อมๆ กับรอยลักยิ้มที่ปรากฏบนสองข้างแก้ม
ฮันคยองยิ้มฝืน...เพราะพอเอ่ยถึงบุคคลที่สามคนนั้นทีไร...เขาก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“....ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา”พี่ชายขอตัว ชีวอนพยักหน้ารับ แล้วเบนสายตามองเรื่อยผ่านหน้ากระจกใส...
ตัวเล็กแค่นั้นยกไหวเหรอ?
สายตาหยุดตรงที่รถตู้ส่งของซึ่งมีพนักงานสองคนเพิ่งเดินลงจากรถ คนหนึ่งรูปร่างอ้วนส่วนอีกคนรูปร่างผอมเพรียว ...
งานที่ต้องใช้แรงยกลัง ชายร่างอ้วนน่าจะไม่มีปัญหา แต่คนที่ดูบอบบางแขนเล็กขนาดนั้นจะยกของแบบนั้นไหวได้ยังไง...
แต่หมอนั่นก็ยกไหวแฮะ ...
ชีวอนมองพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉายออกมาอย่างไม่รู้ตัว อาจเป็นเพราะว่าได้เห็นยิ้มแจ่มใสของคนสองคนที่แม้ต้องทำงานหนักท่ามกลางแดดกล้า แต่คนทั้งคู่ก็ดูมีความสุข...ต่างกับคนที่นั่งในร้านอย่างสบายๆ แบบเขาที่ยิ้มออกมากี่ครั้งก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นความสุข...
เขามองจนเพลินทีเดียว มองตั้งแต่คนทั้งสองลงจากรถ โค้งคำนับแรกให้กับเจ้าของร้าน ยกของเสร็จ และโค้งคำนับให้กับเจ้าของร้านนั้นอีกหน
...ชายร่างเพรียวบาง หนึ่งในพนักงานนั่งพักตรงเก้าอี้หน้าร้านที่ส่งของ เขาถลกแขนเสื้อยาวขึ้นมาถึงข้อศอกและถอดหมวกใช้แทนพัด ส่วนอีกมือก็ยกขวดน้ำที่ได้รับจากชายร่างอ้วนขึ้นดื่ม...
ผมสีแดง... ไม่ใช่สิ...สีส้มต่างหาก อือ...หรือว่าเป็นน้ำตาลทองกันนะ
จะสีอะไรก็แล้วแต่ แต่มันก็เข้ากับคนผิวขาวร่างบางคนนั้น แสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาจากผืนฟ้าขับให้คนที่อยู่กลางแดดดูโดดเด่นราวกับว่าผิวเนื้อกับสีผมสะท้อนต้องกับแสงอาทิตย์ได้ยังไงยังงั้น...
...เขาเห็น...คนร่างอ้วนสะกิดแล้วกระซิบอะไรบางอย่างกับชายร่างเพรียว ซึ่งต่อจากนั้นคนๆ นั้นก็หันมามองที่เขา
แม้จะอยู่คนละฝั่งของถนนแต่ชีวอนก็มองเห็นชัดเจน แล้วก็ได้สบตากันอย่างตรงๆ...
คนๆ นั้นโค้งหัวให้แล้วส่งยิ้มกลับมาทำเอาหัวใจทั้งดวงของเขาถึงกับสะท้าน...
บ้า...รึเปล่า
ยังมีคนในโซลหลงเหลือรอยยิ้มให้กับคนแปลกหน้าง่ายดายแบบนี้อีกเหรอ?
หมอนั่นยิ้มให้เขาทำไม? กำลังหวังผลประโยชน์อะไรอยู่รึไง?...
แต่
ชีวอนปฏิเสธไม่ได้ว่ารอยยิ้มนั้นช่างบริสุทธ์...
“
ชีวอน...ชีวอน...”
“อะ..ครับพี่”เขาสะดุ้งกับเสียงเรียกของพี่ชาย หันกลับไปก็เห็นพี่ชายยืนสองมือกอดอกและมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย
“เหม่อลอยอะไรของนาย ฉันถามว่านายจะกลับรึยัง?”
“ยังครับพี่ ยังไม่กลับ”ชีวอนรีบปฏิเสธ แล้วหันไปมองยังต้นเหตุที่พี่ชายเรียกว่าความเหม่อลอย...
เพียงชั่วครู่ที่เขาหันไปคุยกับฮันคยอง คนร่างบางคนนั้นก็หายไปพร้อมๆ กับรถตู้ที่กำลังแล่นออก ชีวอนจึงพยายามเพ่งสายตาอ่านป้ายเล็กๆ ที่ติดอยู่ข้างหลังรถ
“ซ-อ-ง-จู”
ฮันคยองหันไปมองตามสายตาของน้องชาย แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆ
“บริษัทในเครือโจกรุ๊ป ทำไมเหรอ..อยากไปฝึกงานที่นั่นรึไง?”
ชีวอนรีบส่ายหน้า
“ไม่เอาหรอก ผมขอเรียนเฉยๆ ดีกว่า”ชายหนุ่มบอกพลางคิดพลาง
บริษัทในเครือโจกรุ๊ป..งั้นก็...บริษัทของลุงอินซอล... พ่อของคยูฮยอนน่ะสิ
คนบนรถตู้สินค้าที่แตกต่างกันทางรูปร่างกลับกลายเป็นเพื่อนกันได้นับตั้งแต่วันที่ได้ร่วมงาน ชินดงกับฮยอกแจเป็นพนักงานส่งของให้กับบริษัทซองจู บริษัทน้ำดื่มรายย่อยหนึ่งในเครือโจกรุ๊ปที่มีส่วนแบ่งทางตลาดรายใหญ่ของเกาหลีในธุรกิจประเภทไวน์
“ฮู้ย...เมื่อยเป็นบ้าเลย”คนร่างอ้วนบ่นพร้อมกับใช้มือบีบที่ต้นคอ
“ให้ฉันช่วยนวดมั้ยชินดง?”คนข้างๆ ถาม เจ้าของชื่อชินดงก็รีบปฏิเสธไปทันที
“นายก็ขับรถไปเซ่ ไม่ต้องคิดจะมานวดให้ฉัน เกิดรถชนขึ้นมาทำไงล่ะ ฉันยังไม่อยากตายน๊า”คนขับรถยิ้มที่ใบหน้า สองมือกุมพวงมาลัยและมองตรงไปยังเส้นทางด้านหน้า
“เออ...ว่าแต่หมอนั่นน่ะ”ชินดงพูดขึ้นมาลอยๆ ก่อน เขากลัวว่าถ้าถามไปตรงๆ ฮยอกแจอาจจะไม่ตอบเพราะฮยอกแจไม่ใช่คนช่างพูด เวลาอยู่ด้วยกันเขาจะพูดสักสิบคำ แต่ฮยอกแจจะพูดแค่สองคำ แล้วส่วนมากเวลาถามอะไรไปเพื่อนร่วมงานคนนี้ก็มักจะไม่ค่อยตอบ
“หมอนั่น
?”ฮยอกแจทวนคำชินดง พอเห็นว่าฮยอกแจสนใจเขาเลยรีบคุยต่อ
“ก็คนที่นายโค้งหัวแล้วก็ยิ้มให้ไง รู้จักกันเหรอ?”ฮยอกแจร้องอ๋อ แล้วตอบกลับ
“เปล่าไม่รู้จัก”
“ฮ๊า...นายไม่รู้จักแล้วนายไปยิ้มให้เขาทำไม๊”ตาเล็กๆ ของชินดงโตขึ้นมาในทันที
“อ้าวทำไมล่ะ”
“หมอนั่นจ้องนายไม่กระพริบเลยนา แถมยังยิ้มแปลกๆ อีก เป็นพวกโรคจิตรึเปล่าก็ไม่รู้”
ฮยอกแจยิ้มเล็กๆ ให้กับเพื่อนร่วมงาน
“คนโรคจิตคงไม่นั่งร้านนั้นหรอกมั้ง ขนาดแค่น้ำเปล่าแก้วเดียวราคายังสูงเลย”
“พวกมีเงินล่ะตัวดี โรคจิตติดอันดับเลยนา ฮยอกแจฮยอกแจ นายไม่น่าไปยิ้มให้หมอนั่นเลย”ชินดงบ่น เขาเป็นประเภทพวกเกลียดคนรวย พ่อแม่ของเขาโดนพวกคนรวยเอารัดเอาเปรียบเสมอแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกไปจากทำใจให้โดนเอาเปรียบเพราะว่าโชคร้ายที่เกิดมาจนกว่า
“มันไม่ได้ขับรถตามมาใช่ไหม”แถมยังเป็นพวกขี้ระแวงอีกต่างหาก
“อะไรของนายเนี่ยชินดง”ฮยอกแจเหลือบมองเพื่อนพลางยิ้มขำ
“คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้นายก็น่าจะรู้นี่นา”ชินดงว่า...
ฮยอกแจยิ้มน้อยๆ แววตาอ่อนลงยามพูดถึงคนคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในหัวใจของเขา...
“พ่อฉันสอนว่ารอยยิ้มไม่เคยฆ่าคน ถึงแม้ว่าเขาจะมีมีดอยู่ในมือแต่ถ้าเรายิ้มให้เขาอย่างจริงใจ ชีวิตของเราอาจจะยืนยาวไปได้อีก”
“คำสอนของพ่อนายใช้ไม่ได้กับยุคสมัยนี้อีกแล้วฮยอกแจ”
เพื่อนร่วมงานส่ายหัวไปมาอย่างไม่เห็นด้วย...
ฮยอกแจไม่ได้ต่อความอะไรกับเพื่อนอีก...เขาเพียงแค่ยิ้มออกมาบางๆ เท่านั้น...
นับจากวันที่ลาออกจากโรงเรียน เขาก็ออกหางานทำ วุฒิมัธยมศึกษาตอนต้นไม่มีทางเลือกในการงานมากนัก แต่ด้วยความที่เขาขับรถได้จึงโชคดีได้งานของบริษัทซองจูมาง่ายๆ ตอนเริ่มงานวันแรกไม่ได้ง่ายเหมือนตอนสมัครเข้ามา งานหนักและลำบากน่าดู หน้าที่ของเขาไม่ได้มีแค่ขับรถ เขาต้องยกของแบกของและเช็คสต๊อกไปในตัวด้วย แรกๆ เขาโดนหัวหน้างานตำหนิในความงุ่มง่าม แต่พอทำบ่อยๆ จนเริ่มชินเข้า หัวหน้าก็เลยบ่นน้อยลง
นอกจากจะเป็นพนักงานของบริษัทซองจูในตอนกลางวันแล้ว ในช่วงหกโมงเย็นถึงเที่ยงคืนเขาก็ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารแถวๆ อินซาดง มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการทำงานสองอย่างไปพร้อมๆ กัน แต่เพราะชีวิตที่ไม่มีทางเลือก เขาจึงต้องพยายามทำความคุ้นเคย....
แม้พี่ซองมินจะเป็นห่วงเพราะเห็นว่างานหนักเกินไป หรือแม้ว่าดงเฮจะคอยอ้อนวอนขอลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยทำงานบ้าง แต่เขาก็บอกกับคนทั้งสองว่าอย่ากังวลไปเลย งานแค่นี้เขาทำได้...
แล้วระยะเวลากว่าเจ็ดเดือนที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เขาทำได้จริงๆ...
...นั่นเป็นเพราะว่าเขามีกำลังใจเป็นสิ่งขับเคลื่อนชีวิตให้เดินต่อไปข้างหน้า
“พี่ฮยอกแจมาแล้ว”เสียงเล็กแหลมร้องขึ้นทันทีที่ประตูห้องเปิด คนเป็นพี่ย่อตัวต่ำลงเพื่ออ้าแขนรับคนตัวเล็กที่วิ่งมาหาได้อย่างถนัด
“อะไรกันเรา ดึกแล้วนะทำไมยังไม่นอนอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่นสายหรอก”พี่ชายว่าพลางใช้มือขยี้หัวน้องสาวเล่นอย่างเอ็นดู
“ก็หนูมีเรื่องจะบอกพี่นี่ก็เลยยังไม่นอน”คนตัวเล็กอยู่ในชุดนอนสีชมพูหวาน ดวงตากลมโตสดใสโดดเด่นบนใบหน้ารูปไข่ที่ขาวนวล พ่อกับแม่ชอบเรียกดาบินว่าเจ้าหญิงตัวน้อย ซึ่งในสายตาของฮยอกแจแล้วเธอก็เหมือนเป็นเจ้าหญิงจริงๆ เธอเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของเขาทั้งตอนตื่นตอนหลับและตอนที่อยู่ในอ้อมกอดเขาแบบนี้
“เรื่องอะไรเหรอ”คนเป็นพี่ชายมองน้องสาวตัวเล็กอย่างเอ็นดู
“วันนี้พี่ดงเฮทำกิมชีจิแกให้หนูกินด้วย”ริมฝีปากสีชมพูพยายามจะกระซิบกระซาบ แต่เพราะอยู่ในห้องที่เงียบสงัดก็เลยทำให้คนอีกคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำได้ยินชัดจนต้องร้องห้าม
“ดาบิ๊นนนน หยุดเลยนะ”
แต่น้องสาวไม่ได้หยุดตามคำสั่ง เธอหัวเราะคิกคักแล้วบอกกับพี่ชายคนโตต่อ
“มันเปรี้ยวมากจนต้องเททิ้งเลยล่ะพี่ฮยอกแจ”ฮยอกแจยิ้มขำกับคำฟ้องของน้องสาว ขำทั้งเรื่องฝีมือทำอาหารของน้องชายที่ไม่เคยพัฒนาขึ้น แล้วก็ขำกับสีหน้าท่าทางของน้องสาวที่กำลังจีบปากจีบคอเล่าอย่างเป็นตุเป็นตะ
“พี่ไม่ต้องมายิ้มเยาะเย้ยผมเลย ก็ผมเข้าครัวทีไรแม่ก็ไล่ผมออกมาทุกที ผมจะทำอร่อยเท่าพี่ได้ยังไง”น้องชายหน้าแดงแล้วก็แก้เขินด้วยการโวยวาย
“ก็นายซุ่มซ่าม เข้าครัวทีไรทำจานแตกทุกทีนี่”ตอนที่แม่ยังอยู่เขามักเป็นลูกมือให้แม่เสมอ เลยทำให้เขามีความรู้ด้านการทำครัวติดมือมาบ้าง ดงเฮเห็นเขาอยู่ในห้องครัวกับแม่ เห็นเป็นเรื่องน่าสนุกก็เลยชอบวิ่งเข้ามามีส่วนร่วม แต่เข้ามาทีไรทำของตกหรือไม่ก็จานแตกจนภายหลังแม่ต้องออกปากห้ามไม่ให้เข้าครัวทันทีที่เห็นว่าดงเฮจะก้าวเข้าครัว
“ฮิฮิ แล้ววันนี้พี่ดงเฮก็ทำจานแตกไปสองใบแน่ะ”น้องสาวยังคงจีบปากจีบคอฟ้อง พี่ชายคนรองเลยต้องตีหน้าดุและสั่งให้น้องสาวหยุดพูด
“ดาบิน...เงียบไปเลยนะ”แต่น้องสาวกลับยิ้มเริงร่าภายในอ้อมแขนของพี่ชายคนโต
“เมื่อไหร่น๊า พี่ดงเฮจะทำอาหารอร่อยได้เท่าพี่ฮยอกแจบ้าง พี่ฮยอกแจจะได้ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามาทำของกินให้เราทุกวัน พี่ดงเฮน๊าพี่ดงเฮ”น้องสาวส่ายหน้าช้าๆ เลียนแบบคุณครูจีวูที่มักจะส่ายหน้าไปมาเวลาที่เธอและเพื่อนๆ ทำอะไรบางอย่างที่คุณครูมักจะบ่นว่ามันไม่เข้าท่า
“น้อยๆ หน่อยดาบิน เธอน่ะเป็นผู้หญิงยังทำอะไรไม่เป็นนอกจากหุงข้าว พี่น่ะเป็นผู้ชายทำกับข้าวไม่เป็นไม่เห็นจะแปลกเลย”
“แล้วทำไมพี่ฮยอกแจทำเป็นล่ะพี่ดงเฮ”
“อ่า... ใครจะไปเก่งเหมือนพี่ชายเธอล่ะ”
“พี่ก็เป็นพี่หนูเหมือนกันทำไมไม่เก่งเลยล่ะ”
“ดาบิน...วันนี้เธอพูดมากเกินไปแล้วนะ...”ดงเฮทำเสียงขรึมแล้วก็เดินไปใกล้ๆ น้องสาว
“ตายซะ!”พูดจบก็ดึงคนตัวเล็กออกมาจากอ้อมแขนของพี่ชาย เขาจี้ไปที่เอวของน้องสาวจนเด็กน้อยหัวเราะร่า
“พี่ฮยอกแจช่วยหนูด้วย คิกๆๆ”น้องสาวหัวเราะคิกคักเพราะถูกจี้ตรงจุดขำ แต่ฮยอกแจก็ไม่ได้เข้าไปช่วย นอกจากหัวเราะกับการหยอกล้อของคนทั้งสอง
“หนูยอมแล้วพี่ดงเฮ คิกๆ”น้องสาวร้องบอกแต่ก็ยังไม่สิ้นเสียงหัวเราะ
“ต่อไปนี้ห้ามว่าพี่อีกรู้เปล่า ไม่งั้นจะจับจี้ให้ตายเลย”ดงเฮพูดขู่แต่สีหน้าดูมีความสุขเพราะได้แกล้งน้องสาวตัวน้อย
“คิกๆ ๆ ค่า รู้แล้ว”น้องสาวบอกพลาง หัวเราะพลาง ดงเฮเลยหยุดแล้วดึงคนตัวน้อยที่ยืนขำเข้ามากอด
“ไปนอนได้แล้วไป...เป็นเด็กนอนดึกไม่ดีรู้เปล่า”ดงเฮบอกน้องสาว ดาบินพยักหน้า รอยยิ้มสดใสพราวเต็มใบหน้า แล้วเธอก็หอมแก้มพี่ชายคนรองหนึ่งที
“หนูนอนแล้วนะ”เธอบอกแล้วก็เดินไปยังที่นอนซึ่งปูไว้กับพื้นเรียบร้อยแล้ว
พอดาบินไปนอนดงเฮก็เดินไปหาพี่ชาย เขาสวมกอดพี่ชายจากด้านหลัง แล้วนำคางของเขาเกยไปที่ไหล่พร้อมกับพูดเสียงออดอ้อน
“พี่ครับ...”
“จะอ้อนเอาอะไรเหรอเราน่ะ”พี่ชายถามอย่างรู้เท่าทัน เวลาน้องชายคนนี้อยากได้อะไรเป็นต้องเข้ามาอ้อนแบบนี้ทุกที
ดงเฮยิ้มสดใสแล้วบอกกับพี่ชาย
“...โรงเรียนใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ก่อนโรงเรียนจะเปิด เราไปเที่ยวกันดีมั้ยพี่”
“ก็ได้”ฮยอกแจตอบโดยไม่ต้องคิดนาน มันก็นานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้ไปเที่ยวไหนพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งสามคน
“อยากไปที่ไหนล่ะ?”ฮยอกแจถามกลับ
“สวนสนุกค่า”ยังไม่ทันที่ดงเฮจะตอบ ดาบินก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ดาบิน...มันดึกแล้วนะ...นอนได้แล้ว”ฮยอกแจทำเสียงดุ แต่น้องสาวไม่ได้กลัวเลยสักนิด
“หนูไม่ได้ตั้งใจจะไม่หลับนะ แต่ลืมไปว่าเมื่อกี๊ลืมหอมแก้มพี่นี่นา”น้องสาวบอกพร้อมกับลุกจากที่นอน เธอวิ่งมาหอมแก้มพี่ชายคนโตฟอดใหญ่ ๆ แล้วยิ้มให้คนเป็นพี่อย่างสดใส
“ไปนอนได้แล้ว”ดงเฮเอื้อมมือไปตีก้นน้องสาวอย่างหมั่นเขี้ยวทั้งๆ ที่คางยังเกยอยู่ที่ไหล่ของพี่ชาย ดาบินยิ้มร่าเริงแล้วก็วิ่งไปที่นอนตัวเอง
“สวนสนุกก็ดีนะพี่ ผมไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว”พอดาบินวิ่งกลับไปที่นอนแล้ว ดงเฮเลยพูดกับพี่ชายต่อ แต่เสียงเล็กๆ ของน้องสาวก็ดังแทรกขึ้นอีกจนได้
“เย้!”
“ดาบิน...”เสียงพี่ชายทั้งสองพูดพร้อมกัน ซึ่งคราวนี้น้องสาวจึงได้แต่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมาอีกเลย
“นายก็ไปนอนได้แล้ว”พี่ชายตบไปที่แก้มน้องชายเบาๆ ดงเฮยิ้มให้พี่ชายแล้วลุกไปนอนข้างๆ ดาบินและสวมกอดน้องสาวไว้หลวมๆ
สองคนนี้เองที่เป็นกำลังใจในการขับเคลื่อนชีวิตของเขา...
ฮยอกแจหันไปมองน้องสาวน้องชายพลางระลึกถึงคนสองคนที่รักและคิดถึงสุดดวงใจ...
พ่อครับแม่ครับ... พวกเราสบายดีไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ...
write~ 9 มีนาคม 2551
มาแล้วค่ะขอโทษที่ให้ต้องรอนะคะ
เวลาในการอัพตอนถ้าอย่างเร็วเราจะอัพประมาณสัปดาห์ละสองครั้งค่ะ
แต่ถ้าช้ากว่านั้นเราคงต้องขออภัยด้วย เพราะว่าเราไม่มีปิดเทอมน่ะค่ะ T^T
เลยต้องแบ่งเวลาให้การเรียนด้วย แต่เราก็จะพยายามอัพให้ได้สัปดาห์ละสองตอนนะคะ ^^
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ ถึงจะบอกว่าไม่ต้องคอมเม้นท์ก็ได้ เพราะเราก็ไม่ค่อยจะบ้าคอมเม้นท์เท่าไหร่น่ะค่ะ แค่ปริ๊นแล้วพกใส่สมุดส่วนตัวเก็บไว้เป็นกำลังใจว่ามีคนมาอ่านเรื่องของเราเวลาไปไหนๆ ก็เท่านั้นเอ๊ง... หุหุ
ส่วนตัวเนื้อเรื่องเราค่อนข้างกังวลว่าจะมีคนอ่านเรื่องของเราต่อรึเปล่า เพราะเราชอบพูดโน่นพูดนี่พูดนั่น กลัวคนอ่านจะเบื่อก่อนเรื่องจบ เลยอยากบอกว่ายังไงก็ถ้าเข้ามาอ่านแล้วอย่าทิ้งกันกลางคันนะคะ แล้วเรื่องนี้จะเป็นรักที่ไม่เน้นความเศร้านะคะ ชีวิตคนเรามันต้องยิ้ม คนอ่านฟิคก็ต้องยิ้ม คนรักเอสเจก็ต้องยิ้มเยอะๆ นะคะ
แล้วเราก็จะพยายามค่ะ aja aja Fighting!
ปล.~อินฉาดาบิน อยากหอมแก้มฮยอกกับด๊องมั่ง T ^T
ปล.อีกที~ระหว่างวอนกับฮัน อยากได้คนไหนเป็นคู่ฮยอกคะ?
ถามเพราะอยากรู้น่ะค่ะว่าถ้าฮยอกเป็นคนสไตล์นี้
คนอ่านจะเทใจให้หนุ่มคนไหนระหว่างฮันกับวอน
แต่คำตอบของคนอ่านในเรื่องนี้ไม่ได้มีผลต่อคนเขียนค่ะ
เพราะคนเขียนไม่มีวันพลิกโผ เลือกไว้แล้ววววเรียบร้อย หุหุ (แล้วจะถามเพื่ออาไร๊)
ไปละค่ะ อัน-ยอง-ฮี-คา-เซ-โย
오호호 =โอ-โฮ-โฮ = โฮะ โฮะ โฮะ = หัวเราะแบบไฮโซ
ความคิดเห็น