คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ปะทะผู้ครองดาบแห่งความมืด
“หม่อมฉันไม่เป็นไรพะยะค่ะ...โอ๊ย!!!”
เสียงคำพูดที่ดูขัดกันดังคับกระท่อมหลังเล็กๆ แห่งนี้ เมื่อเจ้าหญิงเจมีไนผู้ที่เพิ่งหายจากอาการถูกพิษตั้งพระทัยจะจับราชองครักษ์ของพระองค์เองมาทำแผลที่เป็นอยู่ทั่วตัวให้ได้ โดยมีสายตาของหมอซินเดรลที่มองมาด้วยความขบขันบันเทิงใจมิใช่น้อย
“ไม่เป็นไรบ้าสิ แผลเต็มตัวขนาดนี้ แล้วนี้อะไรรอยเลือดที่ท้องนี่...”
“ไม่เป็นไรจริงๆ พะย่ะค่ะ หม่อมฉันทนได้ แผลก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลย...ใช่ไหมครับท่านอาจารย์” ประโยคสุดท้ายเรวิลลากผู้เป็นอาจารย์ให้ช่วยจากมหันตภัยที่องค์หญิงพยายามจะถอดเสื้อของเธอเมื่อทอดพระเนตรเห็นแผลจากรงเล็บของภูตจันทรา
“จริงเพคะ บาดแผลแค่นี้ไม่เป็นอะไรมากหรอก อีกอย่างเจ้าเรวิลมันอึดจะตาย ภาคเพียรพยายามหายาถอนพิษมาให้พระองค์ตั้งสองอาทิตย์ไม่หลับไม่นอน...เอาเถอะเพคะ ถ้าพระองค์ทรงเป็นห่วงลูกศิษย์จอมดื้อของหม่อมฉันมาก หม่อมฉันรับรองว่าจะดูแลจัดการทำแผลให้มันอย่างดีที่สุด”
“ขอบคุณค่ะ” องค์หญิงตรัสด้วยสุรเสียงซาบซึ้ง
“ถ้าอย่างนั้น เชิญพระองค์พักผ่อนเถิด เพราะยังต้องพักฟื้นอีกนาน เพื่อล้างพิษจากพระวรกายให้หมด” หมอซินเดรลเอ่ย ก่อนจะนำพาร่างของตนออกไปนอกกระท่อม เพื่อไปยังกระท่อมอีกหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างกันนัก โดยมีคนในชุดราชองครักษ์ตามติดไปด้วย
เพียงหญิงสาวเดินไปถึงกระท่อมที่พักของผู้เป็นอาจารย์ ร่างของเธอก็ทรุดฮวบลงตรงประตูที่เพิ่งปิดสนิททันที ความเจ็บปวดที่ปิดบังอยู่ให้พ้นจากพระเนตรพระกรรณแล่นมาเป็นริ้วๆ อาการแขนขาชาขยับแทบไม่ได้ บาดแผลที่พันด้วยผ้าสีขาวภายในชุดองครักษ์เริ่มมีเลือดสีแดงฉานซึมออกมา
“เจ็บมากไหม” ซินเดรลถามผู้เป็นลูกศิษย์
“ค่ะ...เจ็บมาก” เรวิลกัดฟันข่มความเจ็บปวด เปิดปากแผลที่เป็นสีม่วงคล้ำเนื่องจากต่อสู้กับเจ้ากระรอกพิษตัวแสบจนโดนมันกัดเข้าไปที่แขนซ้ายเต็มๆ
“มานี่ข้าจะทำแผลให้” ผู้เป็นหมอกวักมือเรียกลูกศิษย์ของตนให้มานั่ง พร้อมกับถอดชุดครึ่งบนราชองครักษ์ออกจนเหลือแค่ผ้าแถบผืนใหญ่ที่ปกปิดส่วนที่ควรปิดบังไว้ตรงกลางลำตัว เผยให้เห็นบาดแผลฉกรรณ์ห้ารอยจากกรงเล็บ ที่เลือดยังคงไหลซึมออกมาไม่หยุด
“ข้าจะเอาพิษออกให้ก่อน เอาแขนมา”
เรวิลยื่นแขนให้ผู้เป็นอาจารย์
หมอซินเดรลนำปลิงหลายตัวขึ้นมาจากไหใบหนึ่ง ก่อนจะจับมันไปวางไว้ที่แผลติดพิษของเรวิล เจ้าสัตว์พวกนั้นดูดเลือดจากแขนของเธอตามสันชาตญาณ แม้จะมองดูน่าสยดสยอง แต่นี่ก็เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พิษไม่ขยายไปจุดอื่น
“อะ...” เรวิลขบริมฝีปากจนเลือดซึม ไม่แม้จะยอมให้มีเสียงร้องออกมาสักแอะ เพราะไม่อยากให้คนที่ประทับอยู่ในกระท่อมอีกหลังนั้นตกพระทัยตื่นขึ้นมาทอดพระเนตรเธอในตอนนี้
เธอจะไม่ยอมเป็นคนอ่อนแอในสายพระเนตรขององค์หญิงเด็ดขาด
...เพื่อที่หม่อมฉันจะได้ดูแลพระองค์ตลอดไป...
หลังจากที่แผลถูกพิษจัดการเสร็จเรียบร้อย ท่านหมอก็หันมาจัดการกับแผลที่ช่วงท้องทันที นางนำสมุนไพรมาประคบที่แผล และสั่งให้เรวิลนอนนิ่งๆ เมื่อรอดูว่าเลือดหยุดไหลแล้วก็รีบจัดการพันผ้าสีขาวสะอาดเข้ากับปากแผลทันที เพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อ ส่วนแผลอื่นๆ ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
ซินเดรลสั่งให้เรวิลเปลี่ยนชุดที่นางเตรียมไว้ให้ อาภรทำจากผ้าฝ้ายสีทึบเนื่องจากย้อมด้วยเปลือกไม้ป่าหายาก เสื้อตัวในนั้นเป็นสีขาว แต่ตัวนอกยังเป็นแขนยาวสีกรมท่า กางเกงขายาว แถบรัดเอวผืนใหญ่สีขาว ทำให้หญิงสาวแปลกตาไปจากที่เคย เนื่องจากเจ้าตัวนิยมใส่แต่ชุดราชองครักษ์สีดำทั้งตัว
“เจ้าไปนอนพักเถอะ เจ้าไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันแล้วนะ” ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยด้วยความเป็นห่วง
“แต่องค์หญิง...”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลให้เอง รึเจ้าไม่ไว้ใจข้า”
“มิใช่เช่นนั้น”
“มิใช่เช่นนั้นเจ้าก็ไปนอนได้” ซินเดรลสั่งเฉียบขาด ทำให้หญิงสาวไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก ได้แต่ประคองตัวเองไปยังกระท่อมอีกหลังหนึ่ง
แม้นสภาพของเธอในตอนนี้จะยังไม่สามารถปกป้ององค์หญิงได้ แต่ขอให้พระองค์อยู่ในสายตาของเธอก็พอ
เสียงนกร้องชวนฟังในตอนเช้ากระทบเข้าหูของผู้มีเรือนผมสีชา เจ้าตัวค่อยปรือตาสีน้ำทะเลทีละน้อย แต่ร่างกายยังหนักอึ้งไปด้วยความอ่อนเพลีย บาดแผลหายไปเกือบครึ่งแล้วเพราะได้ยากสมานแผลของหมอซินเดรล ทำให้หายเร็วกว่าปกติ เรวิลค่อยๆ ขยับกายลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก แต่พอเหลียวหาคนที่น่าจะบรรทมอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ก็พบแต่ความว่างเปล่า
อารามตกใจ เรวิลลุกพรวดพราดขึ้น ความเจ็บปวดแล่นเข้าไปที่บาดแผลลุกลามผ่านสมองอย่างรวดเร็ว ทำให้หญิงสาวล้มไปในทันที แต่ยังดีทีมีพระหัตถ์นุ่มมาประคองไม่ให้เธอต้องหัวฟาดพื้นไปเสียก่อน
ดวงพระเนตรสีทองสว่างสบกับนัยน์ตาสีน้ำทะเลอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทั้งคู่ต่างนิ่งอึ้ง ประหนึ่งว่ากำลังฟังเสียงหัวใจของอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ แต่ความรู้สึกนั้นก็ได้มลายหายไปเนื่องจากองค์หญิงได้ผละพระวรองค์ออกมาเสียก่อน
“จะ เจ้าน่าจะระวังบ้าง” องค์รัชทายาทแห่งทราเวลรับสั่งด้วยความเก้อเขิน
“กระหม่อม...กระหม่อมไม่เป็นอะไรแล้วพะย่ะค่ะ” เรวิลเองก็พยายามเก็บอาการเขินอายไว้ไม่แพ้กัน
“แล้วองค์หญิงทรงเป็นเยี่ยงไรบ้างพะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรแล้ว ต้องขอบคุณอาจารย์ของเจ้า ยาของอาจารย์ของเจ้า ทำให้ข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว อย่างมากก็แค่อ่อนเพลียนิดหน่อย”
เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำทะเลจ้องมองอีกฝ่ายที่เปลี่ยนฉลองพระองค์แปลกตาไปมาก ภูษาแบบชาวบ้านทำให้ดูแตกต่างจากที่คุ้นเคย พระเกศาสีม่วงก็ถูกรวบไว้เป็นหางม้าน่ามอง เมื่อผิดจากฉลองพระองค์ตามยศศักดิ์ เจ้าหญิงเจมีไนก็ไม่ได้ต่างไปจากหญิงสามัญ หากแต่แววพระเนตรทรงอำนาจ และท่วงท่าสง่างามดุจนางพญาด้วยขัตติยมานะแห่งจักรพรรดินีผู้ครองแคว้นนั้นต่างหากที่ทำให้พระองค์แตกต่างจากหญิงอื่นทั่วไป
“เจ้ามองอะไรนักหนาเรวิล” เจ้าหญิงเจมีไนตรัสถามดวงพระพักตร์ระเรื่อ
“พระองค์แม้จะทรงฉลองพระองค์เช่นไรก็ยังทรงงดงามไม่เปลี่ยนเลยพะย่ะค่ะ”
“มันแน่นอนอยู่แล้วล่ะ” เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งทราเวลแย้มสรวลด้วยความพึงพอพระทัย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงเมื่อทรงดำริอะไรขึ้นมาได้ รับสั่งประชด
“แต่อย่างไรเสีย ก็ยังสู้หญิงสาวนัยน์ตาสีแดงอิฐคนนั้นไม่ได้กระมัง”
...ไม่ว่าใครก็เทียบพระองค์ไม่ได้หรอกเพคะ...
“กระหม่อมยอมรับว่ามูลาเป็นคนสวยจริงพะยะค่ะ” เรวิลตอบออกมาได้หน้าตาเฉย ในใจแอบกระหยิ่มยิ้มย่องกับพระพักตร์แสนงอนแบบนี้นัก เลยอยากจะแกล้งไปอีกสักพักหนึ่ง
“สวยหาที่ติได้ยากเชียว นัยนาสีแดงอิฐน่ามองนัก ส่วนการเจรจาก็แสนหวาน...”
“ฮึ! เลิกพูดได้แล้ว เราไม่อยากได้ยิน!”
ยิ่งเรวิลได้เห็นองค์หญิงเจมีไนทรงค้อนพระพักตร์ให้แบบนั้น ยิ่งทำให้เธออยากหัวเราะออกมาให้ดังๆ ไม่ว่าอย่างไรเสีย กาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด เจ้าหญิงเจมีไนก็ยังทรงเป็นองค์หญิงน้อยที่แสนงอนองค์เดิมของเธออยู่นั่นเอง
“แต่ความหวานนั้นกลับเต็มไปด้วยยาพิษร้ายพะย่ะค่ะ กระหม่อมระวังตัวอยู่เสมอเมื่อเข้าใกล้คนในครอบครัวเสนาบดีมหาดไทย” น้ำเสียงที่พูดเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ดวงตาไร้แววขี้เล่นอีกต่อไป
“ท่านเสนาบดีมหาดไทยคิดหวังให้กระหม่อมไปเป็นพวก จึงคิดใช้หลานสาวมาหลอกล่อ กระหม่อมยอมรับว่ามูลางามจริง แต่ถ้าในความงามนั้นแฝงพิษที่น่าสะพรึงกลัวไว้ กระหม่อมก็ไม่คิดจะชื่นชมความงามจอมปลอมนั้นแต่อย่างใดพะยะค่ะ”
“จริงนะ”
“พะยะค่ะ” เรวิลให้คำมั่นอีกครั้ง
เพลาผันไปไม่มีหยุดยั้ง นี่ก็ก้าวข้ามวันที่ห้าของสัปดาห์ที่สาม เจ้าหญิงเจมีไนกับราชองครักษ์ส่วนพระองค์ยังคงพักฟื้นร่างกายอยู่ที่กระท่อมของหมอซินเดรลจวบจนทั้งบาดแผลของทั้งเรวิลและพระอาการองค์หญิงเกือบจะหายเป็นปกติ ท่านราชองครักษ์จึงเตรียมของเพื่อจะกลับ
“ท่านอาจารย์เห็นองค์หญิงบ้างหรือเปล่าคะ” เรวิลหันไปถามคนข้างกาย เมื่อมองไปทางใดก็ไร้พระวรกายของเจ้าหญิงเจมีไน
“ไม่รู้สิ ข้าเองก็ไม่เห็นพระองค์ตั้งแต่เช้าแล้วนะ”
“ข้าว่ามันแปลกๆ นี่ก็จะเที่ยงอยู่แล้ว...หรือว่า...” เรวิลชักใจคอไม่ดี รู้สึกลางสังหรณ์แปลกๆ ที่ทำให้เธอหายใจไม่สะดวก และแน่นอนซินเดรลก็เช่นกัน
ทันใดนั้นเอง ลูกธนูดอกเล็กก็พุ่งเข้ามาปักแน่นิ่งตรงเสา เฉียดใบหน้าของหญิงสาวไม่เท่าไหร่
ลูกธนูนั้นผูกสารมาด้วย
‘ถ้าอยากได้หัวใจของเจ้าคืน มาพบข้าที่ชายป่าฝั่งตะวันออก’
โดยไม่ฟังเสียงทัดทาน คนที่เคยใจเย็นแต่เดี๋ยวนี้กลับร้อนเป็นไฟรีบวิ่งออกไปจับอาชาคู่ใจห้อตะบึงไปทางชายป่าฝั่งตะวันออกทันที โดยมีสายตาของซินเดรลมองตามด้วยความเป็นห่วง
...ไอ้บ้าที่ไหนมันจับองค์หญิงไปกัน!!...
ม้าสีดำสนิทหยุดกึกอยู่ตรงชายป่าด้านตะวันออกตามสารที่ส่งมา คนใจร้อนพยายามทำใจให้เย็นลงกวาดสายตามองไปรอบๆ แปลก...ทั้งๆ ที่แถวนี้เป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่าแท้ๆ แต่กลับมองไม่เห็นแม้เพียงมดสักตัว
รังสีการฆ่าฟันแผ่ขยายไปรอบๆ คลื่นอำมหิตที่ไม่รู้ที่มากำลังปั่นป่วนร่างกายของราชองครักษ์แทบจะหายใจไม่ออก มือเรียวเคลื่อนไปแตะดาบคู่ใจเพื่อเพิ่มกำลังใจ
ผู้มีดวงตาสีม่วงควบม้าออกมาจากป่าทึบ แต่นัยน์ตานั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอกริ่งเกรงเท่าดาบที่คาดอยู่ที่เอวของชายผู้นั้น ดาบที่มีสีดำสนิท...เงาจันทรา...ดาบแห่งความมืดในตำนาน
“เจ้าหญิงอยู่ไหน” เรวิลเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน ขณะที่ขี่ม้าคุมเชิงอยู่เป็นนาน
“ใจเย็นไว้ เจ้าจะได้พบพระองค์แน่” อีกฝ่ายตอบกลับมา
“ข้าจะถามอีกครั้งเดียว เจ้าหญิงอยู่ไหน!”
“ช่างห่วงใยกันจริงนะ องค์หญิงก็เกรงว่าเจ้าจะเป็นอันตราย ส่วนเจ้าก็ตามพระองค์มาถึงนี่”
“หุบปาก!! เจ้าหญิงอยู่ที่ไหน” เรวิลตะคอกด้วยความร้อนรุ่ม ดวงตาสีน้ำทะเลเข้มขึ้นจนเป็นสีคราม มือเรียวชักดาบโฮลี่ ซวอร์ดออกมาอย่างไม่รอ
“นั่นไง”
หญิงสาวมองตามนิ้วของชายแปลกหน้าผู้ไม่ประสงค์ดี และเห็นพระองค์อันเป็นที่รักถูกจับพระวรองค์มัดห้อยไว้กับต้นไม้ใหญ่ พระนัยนาทั้งคู่ปิดสนิท ทำให้เรวิลยิ่งขบฟันด้วยความแค้นใจ
“เจ้า!!”
เจ้าของร่างเพรียวกระชับดาบในมือแน่น สั่งให้คาริเน็ตควบไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง อาชาสีดำพุ่งทะยานเข้าหาม้าสีน้ำตาลแดงทันที โฮลี่ ซวอร์ดตวัดไปที่อกของคู่ต่อสู้ แต่ชายผู้นั้นก็ยังคงใช้ดาบที่ยังไม่ได้ชักออกจากฝักมารับอย่างใจเย็น
“อย่าใจร้อนซี ท่านราชองครักษ์”
“เจ้าเป็นใคร ถึงได้มีดาบเงาจันทรา อีกทั้งยังจ้องปลงพระชนม์เจ้าหญิงรัชทายาทอีก”
เรวิลชี้ดาบไปยังชายนัยน์ตาสีม่วง แต่ชายผู้นั้นยังไม่เอ่ยคำใด ทว่าหญิงสาวก็รู้ดีว่าใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมนั้นกำลังยิ้มเย้ยหยันเธออยู่
โทรลชักดาบเงาจันทราออกมาจากฝักช้าๆ รังสีอำมหิตที่ก่อนหน้านี้มีมากอยู่แล้วกลับเพิ่มขึ้นอีกทบทวี คาริเน็ตเริ่มหายใจฟึดฟัด มันรู้สึกไม่ชอบบรรยากาศเช่นนี้เฉกเดียวกับเจ้านายของมัน เรวิลกระตุกบังเหียนให้อาชาคู่ใจอยู่นิ่งๆ พยายามปลอบมันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกระซิบบางสิ่งบางอย่างกับมัน
จากที่เคยขลาดกับบรรยากาศที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น อาชาสีดำสนิทก็ยกสองขาหน้าของมันด้วยความฮึกเหิม เปล่งเสียงร้องดังก้องป่า ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าหาอีกฝ่ายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เต็มไปด้วยแรงมหาศาล และพลังที่ทำให้อีกฝ่ายยิ้มอย่างพึงพอใจ
ดาบสีขาวตวัดเข้าใส่ดาบสีดำ แรงปะทะนั้นทำให้เกิดสายฟ้าฟาดเปรี้ยงปร้าง ทั้งสองผละจากกัน แล้วก็เข้าประดาบกันใหม่ ทำอย่างนี้ซ้ำๆ กันเป็นสิบครั้ง ทั้งคู่ถอยห่างออกจากกัน ควบม้าคุมเชิงอยู่ในระยะไกล
เรวิลรู้สึกปวดหนึบที่มือขวาที่จับดาบ ง่ามมือเริ่มบวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด ต้นแขนชาลามไปถึงช่วงขาข้างขวา แม้นจะเป็นเยี่ยงนั้นแต่เธอก็ไม่แสดงอาการเจ็บปวดให้ศัตรูเห็นแม้แต่น้อย
...ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก...
เรวิลคิดด้วยความตระหนก แม้นจะปะทะกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่แรงที่ส่งมานั้นกลับรุนแรงเกินกว่าที่เธอคาดคิดไว้มากมายนัก จะประมาทคนผู้นี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าเป็นใครกัน” เรวิลลองเชิงถามออกไป
“ไม่มีประโยชน์อันใดที่เจ้าจะรู้ รู้แต่เพียงว่าข้าจะเป็นคนมาเด็ดชีวิตเจ้าก็เพียงพอ”
ดาบเงาจันทราจู่โจมเข้าหาองครักษ์อีกครั้ง หญิงสาวหลบวูบด้วยคาดไม่ถึงว่าจะเร็วถึงเพียงนี้ ปลายดาบจึงเฉือนเข้าที่หัวไหล่ซ้ายอย่างช่วยไม่ได้ เรวิลผงะถอยออกมา คาริเน็ตเองก็ส่งเสียงร้องด้วยความเป็นห่วงนายของมัน
“ข้าพึงใจเจ้า” คำพูดที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของโทรลทำให้เรวิลตัวแข็ง อึ้งไปด้วยความคิดไม่ถึง
“ข้าพึงใจเจ้าจริงๆ เพราะไม่มีใครประดาบกับข้าได้นานเท่านี้มาก่อน ถ้าไม่นับบิดาของเจ้า”
“เจ้าพึงใจคนที่คนที่เจ้าจะเอาชีวิตเยี่ยงนี้ทุกคนหรือไม่” เรวิลเอ่ยด้วยอารมณ์ระอุ
“ไม่” โทรลตอบอย่างไม่ลังเล
“น่าขัน แม้นว่าข้าจะเป็นชายเนี่ยนะ”
“เจ้าเป็นหญิง” เจ้าของดวงตาสีม่วงตอบกลับมาโดยทันที ทำให้เรวิลเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่อีกฝ่ายรู้สถานะของตน
“เจ้า...”
“ข้าล่วงรู้ความลับของเจ้ามานาน เพียงแต่ไม่บอกให้ใครรู้ ข้ารอคอยวันที่จะได้พบเจ้าอีกครั้ง นับแต่วันที่หิมะถล่ม หรือแม้แต่วันที่องค์หญิงทรงต้องศรพิษ และในที่สุด ข้าก็ได้รับคำสั่งให้มาฆ่าองค์หญิงอีกครั้ง”
ดวงตาของราชองครักษ์เข้มขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า เมื่อรู้ว่าใครเป็นคนบังอาจลอบยิงธนูอาบยาพิษร้ายแรงใส่พระองค์อันเป็นที่รัก เมื่อความโกรธาเข้าครอบงำ ความแค้นเข้าบังตา แม้แต่ถ้อยคำที่เจรจาเมื่อครู่ก็ลืมสิ้น เรวิลสั่งให้คาริเน็ตจู่โจมทันที ส่วนปลายดาบของโฮลี่ ซวอร์ดพุ่งเข้าใส่คอหอยของอีกฝ่าย
นัยน์ตาสีม่วงเปล่งประกายวาววับเสียยิ่งกว่าเดิม เมื่อประดาบกับคนที่ตนบอกว่าพึงใจอีกครั้ง ดาบสีขาวรับพลาด ศัตราวุธแห่งความมืดก็เข้าแทงใส่หัวไหล่ของหญิงสาวทันที เลือดสีแดงทะลักออกมาไม่ขาดสายแต่ผู้ที่ถือดาบเปื้อนเลือดยังคงยิ้มเหี้ยมให้กับบาดแผลของคนที่ตนพึงใจ ราวกับไม่สะทกสะท้านในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเลย
...นี่นะหรือที่บอกว่าพึงใจ...
เรวิลคิดอย่างคับแค้นใจ ถ้าเธอแข็งแกร่งขึ้นอีกสักนิด เธอคงปกป้ององค์หญิงได้ดีกว่านี้
ดาบเงาจันทราพุ่งเข้าใส่เธออีกครั้ง แต่คราวนี้ ด้วยความที่บาดแผลที่ได้รับก่อนหน้านั้นล้วนฉกาจน์ฉกรรณ์ทั้งสิ้น ทำให้เรี่ยวแรงในการรับดาบก็ลดน้อยถอยลง จนดาบเล่มงามของตนเลื่อนหลุดมือไปอย่างไม่น่าให้อภัย
โทรลสบโอกาสจึงตวัดดาบใส่หญิงสาวอีกครั้ง และอีกครั้ง โดยที่เธอไม่มีปัญญาแม้แต่จะปัดป้อง เนื่องด้วยดาบเองก็ลงไปนอนเค้เก้กับพื้นเสียแล้ว
เริวลโดนด้ามดาบของชายหนุ่มกระแทกเข้าเจ็มแรงจนตัวเองตกจากหลังอาชาสีดำจนได้ เจ้าม้าร้องด้วยความตกใจ
“เมื่อข้าพึงใจเจ้า ใครหน้าไหนก็มาทำร้ายเจ้าไม่ได้ เจ้าต้องตายด้วยมือของข้าเท่านั้นเรวิล”
เรวิลทั้งเจ็บหนัก ทั้งงงงันกับนิยามรักที่ไม่เคยได้ยินที่ไหน ร่างกายก็กระถดกระถอยหนีไปเรื่อยๆ ปลายดาบสีดำก็จ่อเข้าที่ลำคอ แต่แล้วโทรลก็เปลี่ยนใจ
มาเป็นเงื้อดาบเข้าแทงที่ท้องแทน!!
น้ำสีแดงมากมายไหลหลั่งมาจากบาดแผลฉกรรณ์ เรวิลไม่มีปัญญาที่จะถอยหนีอีกต่อไป เรี่ยวแรงในการครองสติก็หลุดลายไปเรื่อยๆ น้ำตาแห่งความเสียใจหลั่งออกมาไม่ขาดสาย
เสียใจที่เธอปกป้องคนที่เธอรักไว้ไม่ได้อีกครั้งหนึ่ง...
และอาจจะไม่มีทางได้ปกป้องอีกตลอดไป...
...องค์หญิง...หม่อมฉัน...หม่อมฉันรักพระองค์...
ความคิดเห็น