ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำแห่งสายลมหนาว

    ลำดับตอนที่ #9 : ปะทะผู้ครองดาบแห่งความมืด

    • อัปเดตล่าสุด 1 เม.ย. 50


    “หม่อมฉันไม่เป็นไรพะยะค่ะ...โอ๊ย!!!”
    เสียงคำพูดที่ดูขัดกันดังคับกระท่อมหลังเล็กๆ แห่งนี้  เมื่อเจ้าหญิงเจมีไนผู้ที่เพิ่งหายจากอาการถูกพิษตั้งพระทัยจะจับราชองครักษ์ของพระองค์เองมาทำแผลที่เป็นอยู่ทั่วตัวให้ได้  โดยมีสายตาของหมอซินเดรลที่มองมาด้วยความขบขันบันเทิงใจมิใช่น้อย
    “ไม่เป็นไรบ้าสิ  แผลเต็มตัวขนาดนี้  แล้วนี้อะไรรอยเลือดที่ท้องนี่...”
    “ไม่เป็นไรจริงๆ พะย่ะค่ะ  หม่อมฉันทนได้  แผลก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลย...ใช่ไหมครับท่านอาจารย์” ประโยคสุดท้ายเรวิลลากผู้เป็นอาจารย์ให้ช่วยจากมหันตภัยที่องค์หญิงพยายามจะถอดเสื้อของเธอเมื่อทอดพระเนตรเห็นแผลจากรงเล็บของภูตจันทรา
    “จริงเพคะ  บาดแผลแค่นี้ไม่เป็นอะไรมากหรอก  อีกอย่างเจ้าเรวิลมันอึดจะตาย  ภาคเพียรพยายามหายาถอนพิษมาให้พระองค์ตั้งสองอาทิตย์ไม่หลับไม่นอน...เอาเถอะเพคะ  ถ้าพระองค์ทรงเป็นห่วงลูกศิษย์จอมดื้อของหม่อมฉันมาก  หม่อมฉันรับรองว่าจะดูแลจัดการทำแผลให้มันอย่างดีที่สุด”
    “ขอบคุณค่ะ” องค์หญิงตรัสด้วยสุรเสียงซาบซึ้ง
    “ถ้าอย่างนั้น  เชิญพระองค์พักผ่อนเถิด  เพราะยังต้องพักฟื้นอีกนาน  เพื่อล้างพิษจากพระวรกายให้หมด” หมอซินเดรลเอ่ย  ก่อนจะนำพาร่างของตนออกไปนอกกระท่อม  เพื่อไปยังกระท่อมอีกหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างกันนัก  โดยมีคนในชุดราชองครักษ์ตามติดไปด้วย

    เพียงหญิงสาวเดินไปถึงกระท่อมที่พักของผู้เป็นอาจารย์  ร่างของเธอก็ทรุดฮวบลงตรงประตูที่เพิ่งปิดสนิททันที  ความเจ็บปวดที่ปิดบังอยู่ให้พ้นจากพระเนตรพระกรรณแล่นมาเป็นริ้วๆ  อาการแขนขาชาขยับแทบไม่ได้  บาดแผลที่พันด้วยผ้าสีขาวภายในชุดองครักษ์เริ่มมีเลือดสีแดงฉานซึมออกมา
    “เจ็บมากไหม” ซินเดรลถามผู้เป็นลูกศิษย์
    “ค่ะ...เจ็บมาก” เรวิลกัดฟันข่มความเจ็บปวด  เปิดปากแผลที่เป็นสีม่วงคล้ำเนื่องจากต่อสู้กับเจ้ากระรอกพิษตัวแสบจนโดนมันกัดเข้าไปที่แขนซ้ายเต็มๆ
    “มานี่ข้าจะทำแผลให้” ผู้เป็นหมอกวักมือเรียกลูกศิษย์ของตนให้มานั่ง  พร้อมกับถอดชุดครึ่งบนราชองครักษ์ออกจนเหลือแค่ผ้าแถบผืนใหญ่ที่ปกปิดส่วนที่ควรปิดบังไว้ตรงกลางลำตัว  เผยให้เห็นบาดแผลฉกรรณ์ห้ารอยจากกรงเล็บ  ที่เลือดยังคงไหลซึมออกมาไม่หยุด
    “ข้าจะเอาพิษออกให้ก่อน  เอาแขนมา”
    เรวิลยื่นแขนให้ผู้เป็นอาจารย์
    หมอซินเดรลนำปลิงหลายตัวขึ้นมาจากไหใบหนึ่ง  ก่อนจะจับมันไปวางไว้ที่แผลติดพิษของเรวิล  เจ้าสัตว์พวกนั้นดูดเลือดจากแขนของเธอตามสันชาตญาณ  แม้จะมองดูน่าสยดสยอง  แต่นี่ก็เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พิษไม่ขยายไปจุดอื่น
    “อะ...” เรวิลขบริมฝีปากจนเลือดซึม  ไม่แม้จะยอมให้มีเสียงร้องออกมาสักแอะ  เพราะไม่อยากให้คนที่ประทับอยู่ในกระท่อมอีกหลังนั้นตกพระทัยตื่นขึ้นมาทอดพระเนตรเธอในตอนนี้
    เธอจะไม่ยอมเป็นคนอ่อนแอในสายพระเนตรขององค์หญิงเด็ดขาด
    ...เพื่อที่หม่อมฉันจะได้ดูแลพระองค์ตลอดไป...
    หลังจากที่แผลถูกพิษจัดการเสร็จเรียบร้อย  ท่านหมอก็หันมาจัดการกับแผลที่ช่วงท้องทันที  นางนำสมุนไพรมาประคบที่แผล  และสั่งให้เรวิลนอนนิ่งๆ  เมื่อรอดูว่าเลือดหยุดไหลแล้วก็รีบจัดการพันผ้าสีขาวสะอาดเข้ากับปากแผลทันที  เพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อ  ส่วนแผลอื่นๆ ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ 
    ซินเดรลสั่งให้เรวิลเปลี่ยนชุดที่นางเตรียมไว้ให้  อาภรทำจากผ้าฝ้ายสีทึบเนื่องจากย้อมด้วยเปลือกไม้ป่าหายาก  เสื้อตัวในนั้นเป็นสีขาว  แต่ตัวนอกยังเป็นแขนยาวสีกรมท่า  กางเกงขายาว  แถบรัดเอวผืนใหญ่สีขาว  ทำให้หญิงสาวแปลกตาไปจากที่เคย  เนื่องจากเจ้าตัวนิยมใส่แต่ชุดราชองครักษ์สีดำทั้งตัว
    “เจ้าไปนอนพักเถอะ  เจ้าไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันแล้วนะ” ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยด้วยความเป็นห่วง
    “แต่องค์หญิง...”
    “ไม่ต้องห่วง  ข้าจะดูแลให้เอง  รึเจ้าไม่ไว้ใจข้า”
    “มิใช่เช่นนั้น”
    “มิใช่เช่นนั้นเจ้าก็ไปนอนได้” ซินเดรลสั่งเฉียบขาด  ทำให้หญิงสาวไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก  ได้แต่ประคองตัวเองไปยังกระท่อมอีกหลังหนึ่ง
    แม้นสภาพของเธอในตอนนี้จะยังไม่สามารถปกป้ององค์หญิงได้  แต่ขอให้พระองค์อยู่ในสายตาของเธอก็พอ
     
    เสียงนกร้องชวนฟังในตอนเช้ากระทบเข้าหูของผู้มีเรือนผมสีชา  เจ้าตัวค่อยปรือตาสีน้ำทะเลทีละน้อย  แต่ร่างกายยังหนักอึ้งไปด้วยความอ่อนเพลีย  บาดแผลหายไปเกือบครึ่งแล้วเพราะได้ยากสมานแผลของหมอซินเดรล  ทำให้หายเร็วกว่าปกติ  เรวิลค่อยๆ ขยับกายลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก  แต่พอเหลียวหาคนที่น่าจะบรรทมอยู่บนแคร่ไม้ไผ่  ก็พบแต่ความว่างเปล่า
    อารามตกใจ  เรวิลลุกพรวดพราดขึ้น  ความเจ็บปวดแล่นเข้าไปที่บาดแผลลุกลามผ่านสมองอย่างรวดเร็ว  ทำให้หญิงสาวล้มไปในทันที  แต่ยังดีทีมีพระหัตถ์นุ่มมาประคองไม่ให้เธอต้องหัวฟาดพื้นไปเสียก่อน
    ดวงพระเนตรสีทองสว่างสบกับนัยน์ตาสีน้ำทะเลอย่างไม่ได้ตั้งใจ  ทั้งคู่ต่างนิ่งอึ้ง  ประหนึ่งว่ากำลังฟังเสียงหัวใจของอีกฝ่ายหนึ่งอยู่  แต่ความรู้สึกนั้นก็ได้มลายหายไปเนื่องจากองค์หญิงได้ผละพระวรองค์ออกมาเสียก่อน
    “จะ  เจ้าน่าจะระวังบ้าง” องค์รัชทายาทแห่งทราเวลรับสั่งด้วยความเก้อเขิน
    “กระหม่อม...กระหม่อมไม่เป็นอะไรแล้วพะย่ะค่ะ” เรวิลเองก็พยายามเก็บอาการเขินอายไว้ไม่แพ้กัน
    “แล้วองค์หญิงทรงเป็นเยี่ยงไรบ้างพะย่ะค่ะ”
    “ไม่เป็นไรแล้ว  ต้องขอบคุณอาจารย์ของเจ้า  ยาของอาจารย์ของเจ้า  ทำให้ข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว  อย่างมากก็แค่อ่อนเพลียนิดหน่อย”
    เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำทะเลจ้องมองอีกฝ่ายที่เปลี่ยนฉลองพระองค์แปลกตาไปมาก  ภูษาแบบชาวบ้านทำให้ดูแตกต่างจากที่คุ้นเคย  พระเกศาสีม่วงก็ถูกรวบไว้เป็นหางม้าน่ามอง  เมื่อผิดจากฉลองพระองค์ตามยศศักดิ์  เจ้าหญิงเจมีไนก็ไม่ได้ต่างไปจากหญิงสามัญ  หากแต่แววพระเนตรทรงอำนาจ  และท่วงท่าสง่างามดุจนางพญาด้วยขัตติยมานะแห่งจักรพรรดินีผู้ครองแคว้นนั้นต่างหากที่ทำให้พระองค์แตกต่างจากหญิงอื่นทั่วไป
    “เจ้ามองอะไรนักหนาเรวิล” เจ้าหญิงเจมีไนตรัสถามดวงพระพักตร์ระเรื่อ
    “พระองค์แม้จะทรงฉลองพระองค์เช่นไรก็ยังทรงงดงามไม่เปลี่ยนเลยพะย่ะค่ะ”
    “มันแน่นอนอยู่แล้วล่ะ” เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งทราเวลแย้มสรวลด้วยความพึงพอพระทัย  ก่อนจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงเมื่อทรงดำริอะไรขึ้นมาได้  รับสั่งประชด
    “แต่อย่างไรเสีย  ก็ยังสู้หญิงสาวนัยน์ตาสีแดงอิฐคนนั้นไม่ได้กระมัง”
    ...ไม่ว่าใครก็เทียบพระองค์ไม่ได้หรอกเพคะ...
    “กระหม่อมยอมรับว่ามูลาเป็นคนสวยจริงพะยะค่ะ” เรวิลตอบออกมาได้หน้าตาเฉย  ในใจแอบกระหยิ่มยิ้มย่องกับพระพักตร์แสนงอนแบบนี้นัก  เลยอยากจะแกล้งไปอีกสักพักหนึ่ง
    “สวยหาที่ติได้ยากเชียว  นัยนาสีแดงอิฐน่ามองนัก  ส่วนการเจรจาก็แสนหวาน...”
    “ฮึ!  เลิกพูดได้แล้ว  เราไม่อยากได้ยิน!”
    ยิ่งเรวิลได้เห็นองค์หญิงเจมีไนทรงค้อนพระพักตร์ให้แบบนั้น  ยิ่งทำให้เธออยากหัวเราะออกมาให้ดังๆ  ไม่ว่าอย่างไรเสีย  กาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด  เจ้าหญิงเจมีไนก็ยังทรงเป็นองค์หญิงน้อยที่แสนงอนองค์เดิมของเธออยู่นั่นเอง
    “แต่ความหวานนั้นกลับเต็มไปด้วยยาพิษร้ายพะย่ะค่ะ  กระหม่อมระวังตัวอยู่เสมอเมื่อเข้าใกล้คนในครอบครัวเสนาบดีมหาดไทย”  น้ำเสียงที่พูดเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม  ดวงตาไร้แววขี้เล่นอีกต่อไป
    “ท่านเสนาบดีมหาดไทยคิดหวังให้กระหม่อมไปเป็นพวก  จึงคิดใช้หลานสาวมาหลอกล่อ  กระหม่อมยอมรับว่ามูลางามจริง  แต่ถ้าในความงามนั้นแฝงพิษที่น่าสะพรึงกลัวไว้  กระหม่อมก็ไม่คิดจะชื่นชมความงามจอมปลอมนั้นแต่อย่างใดพะยะค่ะ”
    “จริงนะ”
    “พะยะค่ะ” เรวิลให้คำมั่นอีกครั้ง

    เพลาผันไปไม่มีหยุดยั้ง  นี่ก็ก้าวข้ามวันที่ห้าของสัปดาห์ที่สาม  เจ้าหญิงเจมีไนกับราชองครักษ์ส่วนพระองค์ยังคงพักฟื้นร่างกายอยู่ที่กระท่อมของหมอซินเดรลจวบจนทั้งบาดแผลของทั้งเรวิลและพระอาการองค์หญิงเกือบจะหายเป็นปกติ  ท่านราชองครักษ์จึงเตรียมของเพื่อจะกลับ
    “ท่านอาจารย์เห็นองค์หญิงบ้างหรือเปล่าคะ” เรวิลหันไปถามคนข้างกาย  เมื่อมองไปทางใดก็ไร้พระวรกายของเจ้าหญิงเจมีไน
    “ไม่รู้สิ  ข้าเองก็ไม่เห็นพระองค์ตั้งแต่เช้าแล้วนะ”
    “ข้าว่ามันแปลกๆ นี่ก็จะเที่ยงอยู่แล้ว...หรือว่า...” เรวิลชักใจคอไม่ดี  รู้สึกลางสังหรณ์แปลกๆ ที่ทำให้เธอหายใจไม่สะดวก  และแน่นอนซินเดรลก็เช่นกัน
    ทันใดนั้นเอง  ลูกธนูดอกเล็กก็พุ่งเข้ามาปักแน่นิ่งตรงเสา  เฉียดใบหน้าของหญิงสาวไม่เท่าไหร่
    ลูกธนูนั้นผูกสารมาด้วย
    ‘ถ้าอยากได้หัวใจของเจ้าคืน  มาพบข้าที่ชายป่าฝั่งตะวันออก’
    โดยไม่ฟังเสียงทัดทาน  คนที่เคยใจเย็นแต่เดี๋ยวนี้กลับร้อนเป็นไฟรีบวิ่งออกไปจับอาชาคู่ใจห้อตะบึงไปทางชายป่าฝั่งตะวันออกทันที  โดยมีสายตาของซินเดรลมองตามด้วยความเป็นห่วง
    ...ไอ้บ้าที่ไหนมันจับองค์หญิงไปกัน!!...
    ม้าสีดำสนิทหยุดกึกอยู่ตรงชายป่าด้านตะวันออกตามสารที่ส่งมา  คนใจร้อนพยายามทำใจให้เย็นลงกวาดสายตามองไปรอบๆ  แปลก...ทั้งๆ ที่แถวนี้เป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่าแท้ๆ แต่กลับมองไม่เห็นแม้เพียงมดสักตัว
    รังสีการฆ่าฟันแผ่ขยายไปรอบๆ  คลื่นอำมหิตที่ไม่รู้ที่มากำลังปั่นป่วนร่างกายของราชองครักษ์แทบจะหายใจไม่ออก  มือเรียวเคลื่อนไปแตะดาบคู่ใจเพื่อเพิ่มกำลังใจ
    ผู้มีดวงตาสีม่วงควบม้าออกมาจากป่าทึบ  แต่นัยน์ตานั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอกริ่งเกรงเท่าดาบที่คาดอยู่ที่เอวของชายผู้นั้น  ดาบที่มีสีดำสนิท...เงาจันทรา...ดาบแห่งความมืดในตำนาน
    “เจ้าหญิงอยู่ไหน” เรวิลเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน  ขณะที่ขี่ม้าคุมเชิงอยู่เป็นนาน
    “ใจเย็นไว้  เจ้าจะได้พบพระองค์แน่” อีกฝ่ายตอบกลับมา
    “ข้าจะถามอีกครั้งเดียว  เจ้าหญิงอยู่ไหน!”
    “ช่างห่วงใยกันจริงนะ  องค์หญิงก็เกรงว่าเจ้าจะเป็นอันตราย  ส่วนเจ้าก็ตามพระองค์มาถึงนี่”
    “หุบปาก!!  เจ้าหญิงอยู่ที่ไหน” เรวิลตะคอกด้วยความร้อนรุ่ม  ดวงตาสีน้ำทะเลเข้มขึ้นจนเป็นสีคราม  มือเรียวชักดาบโฮลี่  ซวอร์ดออกมาอย่างไม่รอ
    “นั่นไง”
    หญิงสาวมองตามนิ้วของชายแปลกหน้าผู้ไม่ประสงค์ดี  และเห็นพระองค์อันเป็นที่รักถูกจับพระวรองค์มัดห้อยไว้กับต้นไม้ใหญ่  พระนัยนาทั้งคู่ปิดสนิท  ทำให้เรวิลยิ่งขบฟันด้วยความแค้นใจ
    “เจ้า!!”
    เจ้าของร่างเพรียวกระชับดาบในมือแน่น  สั่งให้คาริเน็ตควบไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง  อาชาสีดำพุ่งทะยานเข้าหาม้าสีน้ำตาลแดงทันที  โฮลี่  ซวอร์ดตวัดไปที่อกของคู่ต่อสู้  แต่ชายผู้นั้นก็ยังคงใช้ดาบที่ยังไม่ได้ชักออกจากฝักมารับอย่างใจเย็น
    “อย่าใจร้อนซี  ท่านราชองครักษ์”
    “เจ้าเป็นใคร  ถึงได้มีดาบเงาจันทรา  อีกทั้งยังจ้องปลงพระชนม์เจ้าหญิงรัชทายาทอีก”
    เรวิลชี้ดาบไปยังชายนัยน์ตาสีม่วง   แต่ชายผู้นั้นยังไม่เอ่ยคำใด  ทว่าหญิงสาวก็รู้ดีว่าใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมนั้นกำลังยิ้มเย้ยหยันเธออยู่
    โทรลชักดาบเงาจันทราออกมาจากฝักช้าๆ  รังสีอำมหิตที่ก่อนหน้านี้มีมากอยู่แล้วกลับเพิ่มขึ้นอีกทบทวี  คาริเน็ตเริ่มหายใจฟึดฟัด  มันรู้สึกไม่ชอบบรรยากาศเช่นนี้เฉกเดียวกับเจ้านายของมัน  เรวิลกระตุกบังเหียนให้อาชาคู่ใจอยู่นิ่งๆ พยายามปลอบมันอย่างอ่อนโยน  ก่อนจะกระซิบบางสิ่งบางอย่างกับมัน 
    จากที่เคยขลาดกับบรรยากาศที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น  อาชาสีดำสนิทก็ยกสองขาหน้าของมันด้วยความฮึกเหิม  เปล่งเสียงร้องดังก้องป่า  ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าหาอีกฝ่ายอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้เต็มไปด้วยแรงมหาศาล  และพลังที่ทำให้อีกฝ่ายยิ้มอย่างพึงพอใจ
    ดาบสีขาวตวัดเข้าใส่ดาบสีดำ  แรงปะทะนั้นทำให้เกิดสายฟ้าฟาดเปรี้ยงปร้าง  ทั้งสองผละจากกัน  แล้วก็เข้าประดาบกันใหม่  ทำอย่างนี้ซ้ำๆ กันเป็นสิบครั้ง  ทั้งคู่ถอยห่างออกจากกัน   ควบม้าคุมเชิงอยู่ในระยะไกล
    เรวิลรู้สึกปวดหนึบที่มือขวาที่จับดาบ  ง่ามมือเริ่มบวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด  ต้นแขนชาลามไปถึงช่วงขาข้างขวา  แม้นจะเป็นเยี่ยงนั้นแต่เธอก็ไม่แสดงอาการเจ็บปวดให้ศัตรูเห็นแม้แต่น้อย
    ...ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก...
    เรวิลคิดด้วยความตระหนก  แม้นจะปะทะกันเพียงไม่กี่ครั้ง  แต่แรงที่ส่งมานั้นกลับรุนแรงเกินกว่าที่เธอคาดคิดไว้มากมายนัก  จะประมาทคนผู้นี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
    “เจ้าเป็นใครกัน” เรวิลลองเชิงถามออกไป
    “ไม่มีประโยชน์อันใดที่เจ้าจะรู้  รู้แต่เพียงว่าข้าจะเป็นคนมาเด็ดชีวิตเจ้าก็เพียงพอ”
    ดาบเงาจันทราจู่โจมเข้าหาองครักษ์อีกครั้ง  หญิงสาวหลบวูบด้วยคาดไม่ถึงว่าจะเร็วถึงเพียงนี้  ปลายดาบจึงเฉือนเข้าที่หัวไหล่ซ้ายอย่างช่วยไม่ได้  เรวิลผงะถอยออกมา  คาริเน็ตเองก็ส่งเสียงร้องด้วยความเป็นห่วงนายของมัน
    “ข้าพึงใจเจ้า” คำพูดที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของโทรลทำให้เรวิลตัวแข็ง  อึ้งไปด้วยความคิดไม่ถึง
    “ข้าพึงใจเจ้าจริงๆ เพราะไม่มีใครประดาบกับข้าได้นานเท่านี้มาก่อน  ถ้าไม่นับบิดาของเจ้า”
    “เจ้าพึงใจคนที่คนที่เจ้าจะเอาชีวิตเยี่ยงนี้ทุกคนหรือไม่” เรวิลเอ่ยด้วยอารมณ์ระอุ
    “ไม่” โทรลตอบอย่างไม่ลังเล
    “น่าขัน  แม้นว่าข้าจะเป็นชายเนี่ยนะ”
    “เจ้าเป็นหญิง” เจ้าของดวงตาสีม่วงตอบกลับมาโดยทันที  ทำให้เรวิลเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่อีกฝ่ายรู้สถานะของตน
    “เจ้า...”
    “ข้าล่วงรู้ความลับของเจ้ามานาน  เพียงแต่ไม่บอกให้ใครรู้  ข้ารอคอยวันที่จะได้พบเจ้าอีกครั้ง  นับแต่วันที่หิมะถล่ม  หรือแม้แต่วันที่องค์หญิงทรงต้องศรพิษ  และในที่สุด  ข้าก็ได้รับคำสั่งให้มาฆ่าองค์หญิงอีกครั้ง”
    ดวงตาของราชองครักษ์เข้มขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า  เมื่อรู้ว่าใครเป็นคนบังอาจลอบยิงธนูอาบยาพิษร้ายแรงใส่พระองค์อันเป็นที่รัก  เมื่อความโกรธาเข้าครอบงำ  ความแค้นเข้าบังตา  แม้แต่ถ้อยคำที่เจรจาเมื่อครู่ก็ลืมสิ้น  เรวิลสั่งให้คาริเน็ตจู่โจมทันที  ส่วนปลายดาบของโฮลี่ ซวอร์ดพุ่งเข้าใส่คอหอยของอีกฝ่าย
    นัยน์ตาสีม่วงเปล่งประกายวาววับเสียยิ่งกว่าเดิม  เมื่อประดาบกับคนที่ตนบอกว่าพึงใจอีกครั้ง  ดาบสีขาวรับพลาด  ศัตราวุธแห่งความมืดก็เข้าแทงใส่หัวไหล่ของหญิงสาวทันที  เลือดสีแดงทะลักออกมาไม่ขาดสายแต่ผู้ที่ถือดาบเปื้อนเลือดยังคงยิ้มเหี้ยมให้กับบาดแผลของคนที่ตนพึงใจ  ราวกับไม่สะทกสะท้านในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเลย
    ...นี่นะหรือที่บอกว่าพึงใจ...
    เรวิลคิดอย่างคับแค้นใจ   ถ้าเธอแข็งแกร่งขึ้นอีกสักนิด  เธอคงปกป้ององค์หญิงได้ดีกว่านี้
    ดาบเงาจันทราพุ่งเข้าใส่เธออีกครั้ง  แต่คราวนี้  ด้วยความที่บาดแผลที่ได้รับก่อนหน้านั้นล้วนฉกาจน์ฉกรรณ์ทั้งสิ้น  ทำให้เรี่ยวแรงในการรับดาบก็ลดน้อยถอยลง  จนดาบเล่มงามของตนเลื่อนหลุดมือไปอย่างไม่น่าให้อภัย 
    โทรลสบโอกาสจึงตวัดดาบใส่หญิงสาวอีกครั้ง  และอีกครั้ง  โดยที่เธอไม่มีปัญญาแม้แต่จะปัดป้อง  เนื่องด้วยดาบเองก็ลงไปนอนเค้เก้กับพื้นเสียแล้ว
    เริวลโดนด้ามดาบของชายหนุ่มกระแทกเข้าเจ็มแรงจนตัวเองตกจากหลังอาชาสีดำจนได้  เจ้าม้าร้องด้วยความตกใจ
    “เมื่อข้าพึงใจเจ้า  ใครหน้าไหนก็มาทำร้ายเจ้าไม่ได้  เจ้าต้องตายด้วยมือของข้าเท่านั้นเรวิล”
    เรวิลทั้งเจ็บหนัก  ทั้งงงงันกับนิยามรักที่ไม่เคยได้ยินที่ไหน  ร่างกายก็กระถดกระถอยหนีไปเรื่อยๆ ปลายดาบสีดำก็จ่อเข้าที่ลำคอ  แต่แล้วโทรลก็เปลี่ยนใจ
    มาเป็นเงื้อดาบเข้าแทงที่ท้องแทน!!
    น้ำสีแดงมากมายไหลหลั่งมาจากบาดแผลฉกรรณ์  เรวิลไม่มีปัญญาที่จะถอยหนีอีกต่อไป  เรี่ยวแรงในการครองสติก็หลุดลายไปเรื่อยๆ  น้ำตาแห่งความเสียใจหลั่งออกมาไม่ขาดสาย
    เสียใจที่เธอปกป้องคนที่เธอรักไว้ไม่ได้อีกครั้งหนึ่ง...
    และอาจจะไม่มีทางได้ปกป้องอีกตลอดไป...
    ...องค์หญิง...หม่อมฉัน...หม่อมฉันรักพระองค์...

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×