คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ยาถอนพิษ
เรียวดาบสีขาวถูกอาบด้วยเลือดสีแดงฉานกระรอกพิษ ที่บัดนี้มันได้อยู่ในอุ้งมือเรียวของเรวิลเป็นอันเรียบร้อย ซินเดรลจำเป็นต้องใช้พิษที่อยู่ในฟันหน้าของมันมาเป็นส่วนผสมในการทำยาแก้พิษคูเวลล่า เอสตันพิโอร่า พิษที่ร้ายแรงที่สุด สิ่งของทั้ง 32 ชนิดที่นำมาแก้พิษจึงได้มาอย่างยากลำบากที่สุดเช่นกัน
เวลาได้ล่วงเลยมาจวนเกือบสองสัปดาห์แล้ว นับตั้งแต่ที่เรวิลได้พาเจ้าหญิงเจมีไนออกจากพระราชวังแห่งทราเวล และเวลาก็เหลืออยู่เพียงสองสัปดาห์เท่านั้น
และของ 32 ชนิด ก็เหลืออยู่เพียง 3 ชนิดเช่นเดียวกัน
แต่นั้นก็แลกกับบาดแผลตามร่างกายของหญิงสาว แม้เลือดจะไหลรินมากเพียงใดเธอก็ไม่ปริปากบ่น ไม่แม่แต่จะเสียเวลาทำแผลสักนิด เพราะนับตามจริงแล้ว เธอมีเวลารั้งพระชนม์ชีพขององค์หญิงเจมีไนอีกเพียงสองวันเท่านั้นเอง
“เส้นผมภูตจันทรา น้ำค้างจากยอดต้นสนกินคน แล้วก็ลูกท้อเมืองบาดาล“ เจ้าของดาบโฮลี่ ซวอร์ดพึมพำร่ายรายชื่อของอีกสามชนิดที่เหลือเบาๆ พลางแหงนมองดวงจันทร์สีเหลืองนวลท่ามกลางค่ำคืนอันเยียบเย็น
“อย่าให้มันยากนักเลยเส้นผมภูตจันทรา”
ฉับพลันสายลมก็พัดโหมกระหน่ำรุนแรง จนหญิงสาวแทบประคองตนไว้ไม่อยู่ ก่อนจะนิ่งสงบจนไม่เหลือเค้ารางแห่งความกรรโชกเมื่อครู่นี้เลย
ดวงตาสีน้ำทะเลปะทะกับดวงตาสีเงินที่โผล่มาอยู่เบื้องหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เส้นผมยาวสยายสีเงินยวง ขับให้โดดเด่นท่ามกลางความมืดมิด ทุกอย่างรวมเข้าเป็นความงดงามเฉิดฉายของภูตจันทรา
“เรียกหาข้างั้นรึ” ริมฝีปากบางนั้นเอื้อนเอ่ยเพียงเล็กน้อย แต่กลับดังก้องไปทั้งป่า
“ยังไม่ทันจะเรียก แค่ถ้ามาแล้วก็ดี” เรวิลตอบเสียงเรียบ พลางกระชับดาบคู่กาย
“หากเจ้าต้องการเส้นผมของข้าแล้วไซร้ เจ้าก็ควรใช้ฝีมือของเจ้ามาแลกไปถึงจะถูก จริงไหมท่านองครักษ์”
สิ้นเสียงภูตจันทราลมก็กรรโชกแรงอีกครั้ง และคราวนี้ตามมาด้วยร่างระหงของภูตจันทราที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง เรียวเล็บมือทั้งสองข้างยาวออก ตวัดเข้าที่หน้าของหญิงสาว
ยังดีที่เรวิลกระชากตัวหลบได้ทัน มิเช่นนั้นคงไม่อาจรอดพ้นจากกรงเล็บแหลมคมนั้นได้เป็นแน่แท้ องครักษ์ถอยออกไปสองสามก้าว ตั้งท่าเตรียมรับเต็มที่
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นองครักษ์” เรวิลถามออกไปอย่างสงสัย
“แม้ว่าข้าจะเก็บตัวอยู่ในป่าลึก แต่ก็ใช่ว่าข้าจะไม่รับรู้เรื่องราวใดเลย อย่าลืมสิ ว่าข้าคือภูตจันทรา มีที่แห่งใดบ้างที่ในยามราตรีแสงแห่งจันทราจะสาดส่องไปไม่ถึง” พูดจบภูตจันทราก็พุ่งเข้าจู่โจมอีกครั้ง แต่เรวิลเบี่ยงตัวไปด้านข้างหลบกรงเล็บนั้นได้อย่างหวุดหวิด
ดาบโฮลี่ ซวอร์ดถูกนำมารับกรงเล็บแข็งแกร่งของภูตจันทราที่จู่โจมแบบไม่มีเวลาให้ตั้งตัวติด ร่างเพรียวเบื่ยงตัวแล้วก็เตะกลับหลัง แต่ก็ต้องตกใจ เมื่อภูตจันทราได้หาบวับไปจากตรงนั้นเสียแล้ว
สวบ!
กรงเล็บสีเงินแทงทะลุเข้าช่องท้องขององครักษ์อย่างที่เจ้าตัวไม่ทันได้รู้สึก ตาสีน้ำทะเลเบิกค้าง เหลือบมองผู้ที่อยู่เบื้องหลังด้วยความคิดไม่ถึงว่าจะเร็วได้ถึงปานนี้
ภูตจันทรากระชากกรงเล็บของตนเองออก ก่อนจะเงื้อหมายจะแทงเข้าอีกทีหนึ่ง แต่เรวิลตวัดดาบป้องกันจุดสำคัญของตนไว้ได้ ร่างเพรียวผละตัวออกมาให้พ้นระยะการโจมตี พิษของบาดแผลบวกกับความอ่อนล้าที่ต้องเผชิญมาตลอดทั้งวัน ทำให้เรี่ยวแรงในการประคองตัวแทบจะไม่มี ใบหน้านวลสีน้ำผึ้งซีดลงไปถนัดใจ แต่ยังคงยืนหยัดไม่คิดจะยอมแพ้จนภูตสาวมองด้วยความทึ่ง
“ข้าไม่ได้ต้องการชีวิตท่าน เพียงแต่ต้องการปลายเส้นผมเพียงน้อยนิดของท่านเท่านั้น” หญิงสาวในชุดราชองครักษ์ชายเอ่ย พลางใช้หลังมือเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปาก
ภูตสาวไม่ตอบคำ เพียงแต่หายวับไปจากตรงนั้น ก่อนจะมาปรากฏร่างอยู่เบื้องหลังของเรวิล เงื้อมือที่ส่วนปลายมีเรียวเล็บยาวทั้งห้านิ้วขึ้น แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ร่างเพรียวก็กระชากตัวหลบไปจากตรงนั้นให้พ้นวิถีแห่งการฆ่าฟัน ดาบโฮลี่ ซวอร์ดป่ายปัดอันตรายที่พุ่งเข้าใส่อยู่คร้ามครั่น ก่อนเจ้าของตำแหน่งราชองครักษ์จะกระโจนตัวขึ้น ขณะเดียวกันดาบคู่กายก็ส่องแสงสีขาวสว่าง จนไม่สามารถมองสิ่งใดเห็นได้ ก่อนที่ร่างเพรียวจะพุ่งปลายดาบเข้าหาภูตจันทราด้วยความเร็วสูงท่ามกลางแสงสีขาวนั้นเอง
จวบจนแสงนั้นได้จางไปคืนความมืดมิดให้สู่ช่วงเวลาแห่งราตรีกาลเช่นเดิม แต่ปลายเส้นผมสีเงินกระจุกหนึ่งก็ไปอยู่ในมือของเรวิลเสียแล้ว
“ขอบคุณท่านมาก ข้าจะไม่ลืมบุญคุณอันใหญ่หลวงนี้เลย” เรวิลโค้งให้ภูตสาว ขณะที่เจ้าของเส้นผมสีเงินนยวงยังไม่หายจากอาการตะลึงพรึงเพริด ก่อนที่อาการเบิกตาค้างอย่างนั้นจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม กรงเล็บทั้งสิบก็หดสั้นลงจนเหลือแค่นิ้วมือธรรมดา
“เดี๋ยวก่อน ท่านองครักษ์” ภูตจันทราร้องเรียกร่างเพรียวที่กำลังหันหลังจากไปให้เหลียวกลับมาอีกรอบ
“ถ้าท่านจะไปหาของอีกสองสิ่งนั้น ย่อมเสียเวลาเป็นแน่ ข้ามีอะไรจะให้ท่าน”พริบตาเดียว ร่างบางระหงของภูตจันทราก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าราชองครักษ์ ก่อนที่นางอันเป็นตัวแทนแห่งดวงจันทร์จะเรียกของสองสิ่งให้ปรากฏอยู่บนฝ่ามือน้อยๆ ของตน
“นี่คือ...” หญิงสาวมองขวดเล็กใสกับผลท้อสีชมพูสวยอย่างไม่วางตา ถ้าเธอเดาไม่ผิด ของสองสิ่งนี่คือ...
“อย่างที่ท่านคิด น้ำค้างจากยอดของต้นสนกินคน กับ ลูกท้อเมืองบาดาล ข้าขอมอบให้ท่านด้วยใจจริง เพื่อเป็นการไม่ให้ท่านเสียเวลา อีกทั้งการจะไปเอาของทั้งสองสิ่งนี้ด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย หากแต่คงต้องเดิมพันด้วยชีวิต ทว่าร่างกายของท่านในตอนนี้ แม้แต่พยุงร่างของตนเองยังลำบาก”
เรวิลมองบาดแผลตามเนื้อตัวของตนเองด้วยความสมเพช จริงอย่างที่ภูตจันทราว่า แม้แต่การประคองตัวให้ยืนอยู่ได้ ยังยากลำบากเต็มกลืน ถ้าจะให้บุกน้ำลุยไฟที่ไหนอีก เธอคงหมดเรี่ยวแรงเป็นแน่แท้
“ท่านรีบไปเถอะ เจ้าหญิงเจมีไนรอท่านอยู่”
เรวิลจึงได้แต่รับของสองสิ่งนั้นมา ก่อนที่ร่างเพรียวจะหันกลับไป แต่ยังไม่วายเหลียวกลับมามองลึกเข้าไปในดวงตาสีเงินนั้นอีกครั้ง ราวกับจะส่งผ่านคำขอบคุณที่มีมากล้นจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
ราชองครักษ์ได้แต่กอดสองสิ่งนั้นไว้แนบอก และวิ่งออกจากตรงนั้นด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ น้ำตาจากความปีติรินรื้นออกมาไม่ขาดสาย
“ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ”
ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีม่วงลึกลับ ใบหน้านั้นถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมปิดหน้าสีดำสนิทกำลังจับจ้องไปยังหญิงสาวในชุดราชองครักษ์ชายที่วิ่งฝ่าป่าดงเพื่อมุ่งหน้าไปยังกระท่อมหลังเล็กอีกด้าน
ศัตราวุทธประจำกายที่คาดอยู่ที่เอวของชายหนุ่มสั่นอย่างเห็นได้ชัด เจ้าของดาบเงาจันทราเอื้อมมือไปจับอาวุธของตนราวกับจะปลอบ โทรลยกมุมปากขึ้นเหยียดยิ้ม
“อีกไม่นานหรอกเงาจันทรา เจ้าจะได้ลิ้มรสเลือดของเจ้าของดาบสีขาวนั้นอย่างแน่นอน”
มือเรียวเกาะกุมพระหัตถ์บางไว้ไม่ให้คลาดไป ดวงเนตรสีน้ำทะเลมองพระวรองค์บางที่หลับใหลด้วยฤทธิ์ของยาพิษราวกับจะจับภาพทุกภาพให้ตราตรึงในทุกความรู้สึก ทั้งพระเกศาสีม่วงสดที่คลอเคลียพระพักตร์ขาวนวล ริมฝีปากบางที่เคยเป็นสีกุหลาบสวยแต่กลับซีดแห้ง พระหัตถ์ที่เคยจับดาบประลองกันไร้เรี่ยวแรงแตกต่างจากวันวาน
“เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง เป็นความผิดของหม่อมฉัน...” เรวิลได้แต่พึมพำกล่าวโทษตัวเองไม่หยุดปาก ที่บังอาจปล่อยให้องค์หญิงเป็นอันตราย หญิงสาวขบกรามแน่นปล่อยให้สิ่งที่เรียกว่าน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างไม่ขาดสาย พร้อมทั้งแช่งชักหักกระดูกตัวเองที่ไม่สามารถถวายอารักขาได้อย่างดีตามที่ตัวได้ตั้งใจไว้
ทั้งที่บอกว่าจะปกป้องหัวใจของตัวเองให้ถึงที่สุด แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เธอทำได้ก็มีเพียงแค่นี้เองหรือไร...
“เจ้าโทษตัวเองไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก เจ้าก็รู้ดีนี่” หมอซินเดรลเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ไม้ที่เยื้องไปเล็กน้อย พลางวางถ้วยยาลงบนโต๊ะข้างๆ กัน
“เอายาให้องค์หญิงเสวยซะ”
“ค่ะ” เจ้าของมือเรียวประคองพระวรองค์อันซูบเซียวให้ประทับขึ้นอย่างแผ่วเบา เรวิลค่อยๆ ป้อนยาสีเขียวเข้มกลิ่นน่ากลัวนั่นให้กับเจ้าหญิง แต่ด้วยความที่ทรงไร้ซึ่งสติสัมปัชชัญญะอยู่ ทำให้ยาที่ป้อนเข้าไปไหลออกมาตามริมพระโอษฐ์
“เจ้าก็ใช้วิธีเดิมนั่นแหละ ก็รู้ๆ อยู่ว่ายังทรงไม่ได้สติ จะกินยาด้วยองค์เองได้อย่างไร” หมอชรากล่าวเตือน
“เร็วเข้าสิ นี่เป็นยาชุดสุดท้ายแล้วนะ ข้าใช้เวลาเคี่ยวยาก็เป็นวันแล้ว นี่ก็เหลือแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง” ซินเดรลเตือนอีกครั้ง แต่ราชองครักษ์ของเจ้าหญิงเจมีไนยังคงถือถ้วยยาค้าง ก้มหน้าที่เป็นสีระเรื่อขึ้นด้วยความขวยเขิน
“ก็อาจารย์...”
“โธ่! ตายจริง นี่เจ้าจะอายอะไรกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง พอเวลาเจ้าจะป้อนโอสถถวายองค์หญิงทีไร ข้าก็ต้องออกไปข้างนอกทุกที คนอื่นจะว่าอย่างไรนะถ้าเห็นว่าองครักษ์ที่แสนจะเก่งกาจกลับมาขวยเขินกับอีแค่เรื่องป้อนยา” คนเป็นอาจารย์บ่นหงุบ ก่อนจะนำพาร่างตัวเองให้พ้นจากประตูบ้านไม้คร่ำคร่าของตน
หญิงสาวพยายามสงบจิตสงบใจให้คิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่การถวายโอสถเท่านั้น จากนั้นจึงดื่มยาสีเขียวเข้มอมไว้ในปาก ก่อนจะใช้มืออีกข้างเชยพระพักตร์งามขึ้น เพื่อให้เธอจะได้ถวายโอสถได้ถนัดๆ
ริมฝีปากบางประกบเข้ากับพระโอฐษ์อันซีดเซียวของเจ้าหญิงเจมีไน ถ่ายทอดตัวยาให้ผ่านช่องปากลงไปในลำคอ และทำอย่างนั้นซ้ำๆ กันจนยาหมดถ้วย จึงค่อยๆ วางองค์รัชทายาทแห่งทราเวลลงบนแคร่ไม้ไผ่รองด้วยฟูกนุ่ม จัดแจงพระเขนยรองพระเศียรให้เข้าที่ ก่อนเจ้าตัวจะพ้นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
จากนี้ก็เหลือเพียงแค่รอ
แต่การรอคอยต่างหากที่ทรมานเสียยิ่งกว่า
มือเรียวกุมพระหัตถ์อ่อนแรงไว้แผ่วเบา แม้ว่าบาดแผลตามตัวจะยังคงอยู่ตามเดิม ไม่ได้ทำแผล หรือไม่ได้แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ ดูเหมือนเธอจะลืมความจ็บปวดไปชั่วขณะ เพราะมัวแต่ห่วงในพระอาการขององค์หญิงอันเป็นที่รัก
เชื่อไหมว่าเมื่อหัวใจได้หลุดลอยจากไปแล้ว เราจะไม่รู้สึกอะไรอีกเลย...
เวลาได้พ้นผ่านมาเนิ่นนานสมควรแก่เวลาแล้ว แต่พระวรองค์ของเจ้าหญิงเจมีไนกลับไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมแม้แต่น้อย ยังคงบรรทมนิ่งไม่ได้สติเฉกเช่นเดิม จนเรวิลเริ่มกระวนกระวายใจมากขึ้น
“นี่มันอะไรกันคะ ทำไมองค์หญิงถึงยังไม่ฟื้นสักทีล่ะคะอาจารย์”
“คงเป็นเพราะเจ้าหญิงรัชทายาทผ่านช่วงเวลาแห่งการหลับใหลมาเป็นเวลานานเกินไป จนร่างกายบางส่วนตอบสนองกับตัวยาได้ช้ากว่าปกติ” หญิงชราอธิบายด้วยท่าทีหนักใจไม่แพ้กัน
“แล้วพระองค์จะเป็นอะไรไหมคะ”
“ข้าก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ คงสุดแต่โชคชะตาเสียกระมัง” หมอซินเดรลถอนหายใจอย่างหมดปัญญา
“ไม่จริง! ข้าไม่ยอม โชคชะตาคงไม่ใจร้ายพอที่จะทำให้ราชวงค์บาซาลแห่งทราเวลต้องสูญสิ้นหรอก” เรวิลกุมพระหัตถ์ของเจ้าหญิงเจมีไนแน่นกว่าเดิม น้ำตาพาลจะไหลลงมาอีกรอบ
อยากได้ยินเสียงสรวลใสยามดีพระทัย รอยแย้มสรวลที่เคยทรงมอบให้ครั้งยังเยาว์ พระปรางป่องๆ นั่นยามทรงองครักษ์คนนี้ขัดพระทัย อยาก...
อยากให้ลืมพระเนตรมามองคนๆ นี้อีกสักครา อยากให้พระองค์มีเธออยู่ในสายตาตลอดไป ไม่ว่าจะฐานะใดก็ตาม
“กลับมาหาหม่อมฉันสิเพคะ กลับมา...อย่าทิ้งหม่อมฉํนไปแบบนี้ ได้โปรดเถิด”
ในห้วงแห่งเมฆหมอกสีขาว เจ้าของดวงพระเนตรสีทองสว่างกำลังทอดพระเนตรมองหาใครบางคนท่ามกลางกลุ่มหมอกหน้าทึบนั้น เจ้าของเสียงที่กำลังเรียกพระองค์อยู่ในขณะนี้
“เจ้าเป็นใคร เรียกเราทำไม เจ้าอยู่ที่ไหนกัน”
เงียบ...ไร้เสียงตอบกลับมา แต่เสียงที่ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงเศร้าลึกนั้นยังคงอยู่ เสียงที่พูดพร่ำแต่คำว่ากลับมาไม่ขาดปาก แปลก...ที่พระองค์รู้สึกเหมือนจะผูกพันกับเสียงนั้นเหลือเกิน แค่ได้ฟังน้ำเสียงที่ทรมานแทบขาดใจนั้นก็ทำให้พระทัยแทบขาดรอนไปด้วย น้ำพระเนตรหลั่งออกมาจากพระจักษุโดยไม่รู้องค์ ก่อนพระชานุทั้งสองข้างจะหมดแรงทรุดฮวบอยู่ตรงนั้น เพราะความรวดร้าวที่ทรงได้รับมากมายเกินกว่าจะทานทนไหว
ทำไมถึงเจ็บขนาดนี้นะ ทำไม...
“ถึงเวลาที่ลูกจะต้องกลับไปแล้ว”
เจ้าหญิงเจมีไน บาซาล เหลียวพระพักตร์ไปทอดพระเนตรที่ต้นเสียงทันที จึงได้พบกับพระชนกพระชนนีมอบรอยแย้มสรวลอบอุ่นมาให้
“เสด็จพ่อ! เสด็จแม่!” องค์รัชทายาทแห่งทราเวลรีบลุกขึ้น ก่อนจะวิ่งเข้าหาพระบิดามารดาทันทีด้วยความดีพระทัยเป็นล้นพ้น
“หยุดอยู่ตรงนั้นก่อนลูกรัก”
“ทำไมเพคะ” รับสั่งถามหลังจากที่ทรงหยุดพระบาททั้งสองข้างขององค์เองกะทันหัน
“ลูกยังไม่สมควรมาที่นี่”
“ทำไม...หรือทั้งสองพระองค์ไม่รักหม่อมฉันแล้ว” ตรัสถามด้วยพระสุรเสียงเจือความน้อยพระทัย
“ไม่ใช่ ลูกรัก...ลูกยังเป็นที่รักของพ่อกับแม่เสมอ แต่บัดนี้ยังไม่สมควรแก่เวลาที่ลูกจะมาอยู่ที่นี่ ด้วยเหตุที่ลุกมีภาระหน้าที่มากมายและคนที่รอลูกอยู่ แล้ววันหนึ่งลูกจะได้กลับมาอยู่กับพ่อและแม่แน่นอน”
“จริงๆ นะเพคะ”
“จริงแน่นอนจ้ะ”
“พ่อว่าตอนนี้มีคนรอให้ลูกกลับไปหาเขาอยู่นะ”
“ใครกันเพคะ”
ไม่ทันที่จะได้ยินคำตอบ พระวรองค์บอบบางก็ถูกสายลมลึกลับพัดหมุนวนจนไม่รู้ว่าทิศไหนเป็นทิศไหน และแล้วสติของพระองค์ก็หลุดหายไปเช่นกัน
ณ คฤหาสน์ ซัน วอลเรนท์
เสนาธิการฟิลลอบมองกำลังทหารสังกัดหน่วยของเจ้าชายอาร์ลีกับกองกำลังส่วนตัวของเสนบดีมหาดไทยกับมหาบัญฑิตลาอู ที่ยกพลกันมาเฝ้าไว้หน้าคฤหาสน์อย่างไม่ใครจะพอใจนัก จึงได้หันไปพูดกับผู้บังคับบัญชาของตนด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยไว้วางใจไอ้พวกทหารพวกนี้สักเท่าไหร่
“ไม่รู้ว่ามันมาเฝ้าพวกเราหรือมาคอยดักปล้นใครกันแน่”
“เอาน่า พวกมันก็ได้แค่มอง เจ้าเองก็อย่าใส่ใจนักเลย”เสนาบดีกลาโหมตอบกลับอย่างใจเย็นราวน้ำแข็งขั้งโลกใต้
“แต่ ท่านเสนาฯดูสิขอรับ พวกมันมาล้อมคฤหาสน์ของท่านเสียจนหมดทางเข้าออก รวมกันแล้วก็นับเป็นยี่สิบห้าสิบคน ถ้ามันคิดจะทำอะไรก็ไม่ได้ยากเลยนะขอรับ”
“เจ้าน่ะเลิกสนใจได้แล้ว ข้าเชื่อมั่นในตัวลูกของข้า เจ้าเองก็มาช่วยข้าสอนดาบให้ลูกชายของเจ้าด้วยสิ อย่าให้ข้าต่อกรกับเจ้าลิงนี่เพียงลำพัง”
“ข้าไม่ใช่ลิงนะขอรับท่านเสนาฯ” เสียงเล็กแทรกขึ้นมาขัดจังหวะการหัวเราะของเสนาบดีรัชเชลใบหน้าอวบอูมมองแล้วช่างน่าขันยิ่งกว่าเดิม
“ถ้าไม่ใช่ลิง แล้วเจ้าเป็นอะไรล่ะ”
“ข้าชื่อมัล โตขึ้นข้าจะเป็นราชองครักษ์และเก่งอย่างพี่เรวิลต่างหาก” เด็กชายวัยสิบสองขวบตั้งปณิธานก่อนจะชูดาบไม้ขึ้นเหนือหัว
ผู้สูงวัยกว่าทั้งสองจึงได้แต่หัวเราะด้วยความภาคภูมิใจ
พระดัชนีที่เคยแต่นิ่งไม่ไหวติง ได้เริ่มขยับ เจ้าหญิงเจมีไนค่อยๆ ลืมพระเนตรสีทองสว่างขึ้นช้าๆ เพื่อพระนัยนาชินกับแสงที่สอดแทงเข้ามา ทรงพยายามจะประทับนั่ง แต่ก็เหมือนมีอะไรหนักๆ มาวางอยู่ที่พระกรทางด้านขวา
เรวิลเฝ้ารอคอยการกลับมาขององค์หญิงรัชทายาทจนเผลอหลับไปด้วยความอ่อนล้าเกินต้านทานทั้งๆ ที่บาดแผลต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่ตามเดิม ไม่ได้ผ่านการพันแผล ล้างสิ่งสกปรกหรือใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่เสื้อผ้าองครักษ์ชุดเดิมก็ยังไม่ได้เปลี่ยน ชุดที่มีแต่ดินทราย เศษใบไม้ใบหญ้า รวมถึงรอยเลือดจากหลายจุดก็ยังคงอยู่
“เรวิล เรวิล” องค์หญิงเจมีไนทรงรับสั่งเรียกราชองครักษ์ส่วนพระองค์ที่ยังคงหลับอยู่ให้ตื่นขึ้นมา
“เจ้าหญิง...เจ้าหญิง! เจ้าหญิงเจมีไนจริงๆ ด้วย ทรงกลับมาแล้ว ทรงกลับมาแล้ว” เรวิลตะโกนอย่างดีใจ ก่อนลืมตัวโผเข้ากอดพระวรองค์แน่น
“เป็นเจ้าหรือนี่” เจ้าหญิงเจมีไนทรงคลายปริศนาได้แล้ว ว่าเสียงเจ้าของเสียงเศร้าลึกที่เรียกพระองค์ในดินแดนแห่งนั้นคือใคร ที่แท้ก็คือเรวิลนี่เอง
องค์รัชทายาทไม่ทรงขัดขืนหรือไม่พอพระทัยกับอาการของราชองครักษ์ แต่กลับทรงดีพระทัยด้วยซ้ำที่ได้รู้ว่าเรวิลห่วงพระองค์มากถึงเพียงนี้ ก่อนที่โอบพระกรให้กระชับเข้า น้ำพระเนตรหลั่งออกมาด้วยความปลื้มปีติ
ที่บัดนี้ชีวิตและหัวใจได้กลับคืนสู่พระองค์อีกครั้ง
ความคิดเห็น