ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำแห่งสายลมหนาว

    ลำดับตอนที่ #8 : ยาถอนพิษ

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 50


    เรียวดาบสีขาวถูกอาบด้วยเลือดสีแดงฉานกระรอกพิษ  ที่บัดนี้มันได้อยู่ในอุ้งมือเรียวของเรวิลเป็นอันเรียบร้อย  ซินเดรลจำเป็นต้องใช้พิษที่อยู่ในฟันหน้าของมันมาเป็นส่วนผสมในการทำยาแก้พิษคูเวลล่า  เอสตันพิโอร่า  พิษที่ร้ายแรงที่สุด  สิ่งของทั้ง 32 ชนิดที่นำมาแก้พิษจึงได้มาอย่างยากลำบากที่สุดเช่นกัน 
    เวลาได้ล่วงเลยมาจวนเกือบสองสัปดาห์แล้ว  นับตั้งแต่ที่เรวิลได้พาเจ้าหญิงเจมีไนออกจากพระราชวังแห่งทราเวล  และเวลาก็เหลืออยู่เพียงสองสัปดาห์เท่านั้น
    และของ 32 ชนิด  ก็เหลืออยู่เพียง 3 ชนิดเช่นเดียวกัน
    แต่นั้นก็แลกกับบาดแผลตามร่างกายของหญิงสาว  แม้เลือดจะไหลรินมากเพียงใดเธอก็ไม่ปริปากบ่น  ไม่แม่แต่จะเสียเวลาทำแผลสักนิด  เพราะนับตามจริงแล้ว  เธอมีเวลารั้งพระชนม์ชีพขององค์หญิงเจมีไนอีกเพียงสองวันเท่านั้นเอง
    “เส้นผมภูตจันทรา  น้ำค้างจากยอดต้นสนกินคน  แล้วก็ลูกท้อเมืองบาดาล“ เจ้าของดาบโฮลี่  ซวอร์ดพึมพำร่ายรายชื่อของอีกสามชนิดที่เหลือเบาๆ พลางแหงนมองดวงจันทร์สีเหลืองนวลท่ามกลางค่ำคืนอันเยียบเย็น
    “อย่าให้มันยากนักเลยเส้นผมภูตจันทรา”
    ฉับพลันสายลมก็พัดโหมกระหน่ำรุนแรง  จนหญิงสาวแทบประคองตนไว้ไม่อยู่  ก่อนจะนิ่งสงบจนไม่เหลือเค้ารางแห่งความกรรโชกเมื่อครู่นี้เลย
    ดวงตาสีน้ำทะเลปะทะกับดวงตาสีเงินที่โผล่มาอยู่เบื้องหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  เส้นผมยาวสยายสีเงินยวง  ขับให้โดดเด่นท่ามกลางความมืดมิด  ทุกอย่างรวมเข้าเป็นความงดงามเฉิดฉายของภูตจันทรา
    “เรียกหาข้างั้นรึ” ริมฝีปากบางนั้นเอื้อนเอ่ยเพียงเล็กน้อย  แต่กลับดังก้องไปทั้งป่า
    “ยังไม่ทันจะเรียก  แค่ถ้ามาแล้วก็ดี” เรวิลตอบเสียงเรียบ  พลางกระชับดาบคู่กาย
    “หากเจ้าต้องการเส้นผมของข้าแล้วไซร้  เจ้าก็ควรใช้ฝีมือของเจ้ามาแลกไปถึงจะถูก  จริงไหมท่านองครักษ์”
    สิ้นเสียงภูตจันทราลมก็กรรโชกแรงอีกครั้ง  และคราวนี้ตามมาด้วยร่างระหงของภูตจันทราที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง  เรียวเล็บมือทั้งสองข้างยาวออก  ตวัดเข้าที่หน้าของหญิงสาว
    ยังดีที่เรวิลกระชากตัวหลบได้ทัน  มิเช่นนั้นคงไม่อาจรอดพ้นจากกรงเล็บแหลมคมนั้นได้เป็นแน่แท้  องครักษ์ถอยออกไปสองสามก้าว  ตั้งท่าเตรียมรับเต็มที่
    “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นองครักษ์” เรวิลถามออกไปอย่างสงสัย
    “แม้ว่าข้าจะเก็บตัวอยู่ในป่าลึก  แต่ก็ใช่ว่าข้าจะไม่รับรู้เรื่องราวใดเลย  อย่าลืมสิ  ว่าข้าคือภูตจันทรา  มีที่แห่งใดบ้างที่ในยามราตรีแสงแห่งจันทราจะสาดส่องไปไม่ถึง” พูดจบภูตจันทราก็พุ่งเข้าจู่โจมอีกครั้ง  แต่เรวิลเบี่ยงตัวไปด้านข้างหลบกรงเล็บนั้นได้อย่างหวุดหวิด
    ดาบโฮลี่  ซวอร์ดถูกนำมารับกรงเล็บแข็งแกร่งของภูตจันทราที่จู่โจมแบบไม่มีเวลาให้ตั้งตัวติด  ร่างเพรียวเบื่ยงตัวแล้วก็เตะกลับหลัง  แต่ก็ต้องตกใจ  เมื่อภูตจันทราได้หาบวับไปจากตรงนั้นเสียแล้ว
    สวบ!
    กรงเล็บสีเงินแทงทะลุเข้าช่องท้องขององครักษ์อย่างที่เจ้าตัวไม่ทันได้รู้สึก  ตาสีน้ำทะเลเบิกค้าง  เหลือบมองผู้ที่อยู่เบื้องหลังด้วยความคิดไม่ถึงว่าจะเร็วได้ถึงปานนี้
    ภูตจันทรากระชากกรงเล็บของตนเองออก  ก่อนจะเงื้อหมายจะแทงเข้าอีกทีหนึ่ง  แต่เรวิลตวัดดาบป้องกันจุดสำคัญของตนไว้ได้  ร่างเพรียวผละตัวออกมาให้พ้นระยะการโจมตี  พิษของบาดแผลบวกกับความอ่อนล้าที่ต้องเผชิญมาตลอดทั้งวัน  ทำให้เรี่ยวแรงในการประคองตัวแทบจะไม่มี  ใบหน้านวลสีน้ำผึ้งซีดลงไปถนัดใจ  แต่ยังคงยืนหยัดไม่คิดจะยอมแพ้จนภูตสาวมองด้วยความทึ่ง
    “ข้าไม่ได้ต้องการชีวิตท่าน  เพียงแต่ต้องการปลายเส้นผมเพียงน้อยนิดของท่านเท่านั้น” หญิงสาวในชุดราชองครักษ์ชายเอ่ย  พลางใช้หลังมือเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปาก
    ภูตสาวไม่ตอบคำ  เพียงแต่หายวับไปจากตรงนั้น  ก่อนจะมาปรากฏร่างอยู่เบื้องหลังของเรวิล  เงื้อมือที่ส่วนปลายมีเรียวเล็บยาวทั้งห้านิ้วขึ้น  แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ  ร่างเพรียวก็กระชากตัวหลบไปจากตรงนั้นให้พ้นวิถีแห่งการฆ่าฟัน  ดาบโฮลี่  ซวอร์ดป่ายปัดอันตรายที่พุ่งเข้าใส่อยู่คร้ามครั่น  ก่อนเจ้าของตำแหน่งราชองครักษ์จะกระโจนตัวขึ้น  ขณะเดียวกันดาบคู่กายก็ส่องแสงสีขาวสว่าง  จนไม่สามารถมองสิ่งใดเห็นได้  ก่อนที่ร่างเพรียวจะพุ่งปลายดาบเข้าหาภูตจันทราด้วยความเร็วสูงท่ามกลางแสงสีขาวนั้นเอง
    จวบจนแสงนั้นได้จางไปคืนความมืดมิดให้สู่ช่วงเวลาแห่งราตรีกาลเช่นเดิม  แต่ปลายเส้นผมสีเงินกระจุกหนึ่งก็ไปอยู่ในมือของเรวิลเสียแล้ว
    “ขอบคุณท่านมาก  ข้าจะไม่ลืมบุญคุณอันใหญ่หลวงนี้เลย” เรวิลโค้งให้ภูตสาว  ขณะที่เจ้าของเส้นผมสีเงินนยวงยังไม่หายจากอาการตะลึงพรึงเพริด  ก่อนที่อาการเบิกตาค้างอย่างนั้นจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม  กรงเล็บทั้งสิบก็หดสั้นลงจนเหลือแค่นิ้วมือธรรมดา
    “เดี๋ยวก่อน  ท่านองครักษ์” ภูตจันทราร้องเรียกร่างเพรียวที่กำลังหันหลังจากไปให้เหลียวกลับมาอีกรอบ
    “ถ้าท่านจะไปหาของอีกสองสิ่งนั้น  ย่อมเสียเวลาเป็นแน่  ข้ามีอะไรจะให้ท่าน”พริบตาเดียว  ร่างบางระหงของภูตจันทราก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าราชองครักษ์  ก่อนที่นางอันเป็นตัวแทนแห่งดวงจันทร์จะเรียกของสองสิ่งให้ปรากฏอยู่บนฝ่ามือน้อยๆ ของตน
    “นี่คือ...” หญิงสาวมองขวดเล็กใสกับผลท้อสีชมพูสวยอย่างไม่วางตา  ถ้าเธอเดาไม่ผิด  ของสองสิ่งนี่คือ...
    “อย่างที่ท่านคิด น้ำค้างจากยอดของต้นสนกินคน  กับ ลูกท้อเมืองบาดาล  ข้าขอมอบให้ท่านด้วยใจจริง  เพื่อเป็นการไม่ให้ท่านเสียเวลา  อีกทั้งการจะไปเอาของทั้งสองสิ่งนี้ด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย  หากแต่คงต้องเดิมพันด้วยชีวิต  ทว่าร่างกายของท่านในตอนนี้  แม้แต่พยุงร่างของตนเองยังลำบาก”
    เรวิลมองบาดแผลตามเนื้อตัวของตนเองด้วยความสมเพช  จริงอย่างที่ภูตจันทราว่า  แม้แต่การประคองตัวให้ยืนอยู่ได้  ยังยากลำบากเต็มกลืน  ถ้าจะให้บุกน้ำลุยไฟที่ไหนอีก  เธอคงหมดเรี่ยวแรงเป็นแน่แท้
    “ท่านรีบไปเถอะ  เจ้าหญิงเจมีไนรอท่านอยู่”
    เรวิลจึงได้แต่รับของสองสิ่งนั้นมา  ก่อนที่ร่างเพรียวจะหันกลับไป  แต่ยังไม่วายเหลียวกลับมามองลึกเข้าไปในดวงตาสีเงินนั้นอีกครั้ง  ราวกับจะส่งผ่านคำขอบคุณที่มีมากล้นจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
    ราชองครักษ์ได้แต่กอดสองสิ่งนั้นไว้แนบอก  และวิ่งออกจากตรงนั้นด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้  น้ำตาจากความปีติรินรื้นออกมาไม่ขาดสาย
    “ขอบคุณ  ขอบคุณจริงๆ”

    ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีม่วงลึกลับ  ใบหน้านั้นถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมปิดหน้าสีดำสนิทกำลังจับจ้องไปยังหญิงสาวในชุดราชองครักษ์ชายที่วิ่งฝ่าป่าดงเพื่อมุ่งหน้าไปยังกระท่อมหลังเล็กอีกด้าน
    ศัตราวุทธประจำกายที่คาดอยู่ที่เอวของชายหนุ่มสั่นอย่างเห็นได้ชัด  เจ้าของดาบเงาจันทราเอื้อมมือไปจับอาวุธของตนราวกับจะปลอบ  โทรลยกมุมปากขึ้นเหยียดยิ้ม
    “อีกไม่นานหรอกเงาจันทรา  เจ้าจะได้ลิ้มรสเลือดของเจ้าของดาบสีขาวนั้นอย่างแน่นอน”

    มือเรียวเกาะกุมพระหัตถ์บางไว้ไม่ให้คลาดไป  ดวงเนตรสีน้ำทะเลมองพระวรองค์บางที่หลับใหลด้วยฤทธิ์ของยาพิษราวกับจะจับภาพทุกภาพให้ตราตรึงในทุกความรู้สึก  ทั้งพระเกศาสีม่วงสดที่คลอเคลียพระพักตร์ขาวนวล  ริมฝีปากบางที่เคยเป็นสีกุหลาบสวยแต่กลับซีดแห้ง  พระหัตถ์ที่เคยจับดาบประลองกันไร้เรี่ยวแรงแตกต่างจากวันวาน
    “เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง  เป็นความผิดของหม่อมฉัน...” เรวิลได้แต่พึมพำกล่าวโทษตัวเองไม่หยุดปาก  ที่บังอาจปล่อยให้องค์หญิงเป็นอันตราย  หญิงสาวขบกรามแน่นปล่อยให้สิ่งที่เรียกว่าน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างไม่ขาดสาย  พร้อมทั้งแช่งชักหักกระดูกตัวเองที่ไม่สามารถถวายอารักขาได้อย่างดีตามที่ตัวได้ตั้งใจไว้
    ทั้งที่บอกว่าจะปกป้องหัวใจของตัวเองให้ถึงที่สุด  แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เธอทำได้ก็มีเพียงแค่นี้เองหรือไร...
    “เจ้าโทษตัวเองไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก  เจ้าก็รู้ดีนี่” หมอซินเดรลเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ไม้ที่เยื้องไปเล็กน้อย  พลางวางถ้วยยาลงบนโต๊ะข้างๆ กัน
    “เอายาให้องค์หญิงเสวยซะ”
    “ค่ะ” เจ้าของมือเรียวประคองพระวรองค์อันซูบเซียวให้ประทับขึ้นอย่างแผ่วเบา  เรวิลค่อยๆ ป้อนยาสีเขียวเข้มกลิ่นน่ากลัวนั่นให้กับเจ้าหญิง  แต่ด้วยความที่ทรงไร้ซึ่งสติสัมปัชชัญญะอยู่  ทำให้ยาที่ป้อนเข้าไปไหลออกมาตามริมพระโอษฐ์
    “เจ้าก็ใช้วิธีเดิมนั่นแหละ  ก็รู้ๆ อยู่ว่ายังทรงไม่ได้สติ  จะกินยาด้วยองค์เองได้อย่างไร” หมอชรากล่าวเตือน 
    “เร็วเข้าสิ  นี่เป็นยาชุดสุดท้ายแล้วนะ  ข้าใช้เวลาเคี่ยวยาก็เป็นวันแล้ว  นี่ก็เหลือแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง” ซินเดรลเตือนอีกครั้ง  แต่ราชองครักษ์ของเจ้าหญิงเจมีไนยังคงถือถ้วยยาค้าง  ก้มหน้าที่เป็นสีระเรื่อขึ้นด้วยความขวยเขิน
    “ก็อาจารย์...”
    “โธ่! ตายจริง  นี่เจ้าจะอายอะไรกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง  พอเวลาเจ้าจะป้อนโอสถถวายองค์หญิงทีไร  ข้าก็ต้องออกไปข้างนอกทุกที   คนอื่นจะว่าอย่างไรนะถ้าเห็นว่าองครักษ์ที่แสนจะเก่งกาจกลับมาขวยเขินกับอีแค่เรื่องป้อนยา” คนเป็นอาจารย์บ่นหงุบ  ก่อนจะนำพาร่างตัวเองให้พ้นจากประตูบ้านไม้คร่ำคร่าของตน
    หญิงสาวพยายามสงบจิตสงบใจให้คิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่การถวายโอสถเท่านั้น  จากนั้นจึงดื่มยาสีเขียวเข้มอมไว้ในปาก  ก่อนจะใช้มืออีกข้างเชยพระพักตร์งามขึ้น  เพื่อให้เธอจะได้ถวายโอสถได้ถนัดๆ
    ริมฝีปากบางประกบเข้ากับพระโอฐษ์อันซีดเซียวของเจ้าหญิงเจมีไน  ถ่ายทอดตัวยาให้ผ่านช่องปากลงไปในลำคอ  และทำอย่างนั้นซ้ำๆ กันจนยาหมดถ้วย  จึงค่อยๆ วางองค์รัชทายาทแห่งทราเวลลงบนแคร่ไม้ไผ่รองด้วยฟูกนุ่ม  จัดแจงพระเขนยรองพระเศียรให้เข้าที่  ก่อนเจ้าตัวจะพ้นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
    จากนี้ก็เหลือเพียงแค่รอ
    แต่การรอคอยต่างหากที่ทรมานเสียยิ่งกว่า
    มือเรียวกุมพระหัตถ์อ่อนแรงไว้แผ่วเบา  แม้ว่าบาดแผลตามตัวจะยังคงอยู่ตามเดิม  ไม่ได้ทำแผล  หรือไม่ได้แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ  ดูเหมือนเธอจะลืมความจ็บปวดไปชั่วขณะ  เพราะมัวแต่ห่วงในพระอาการขององค์หญิงอันเป็นที่รัก
    เชื่อไหมว่าเมื่อหัวใจได้หลุดลอยจากไปแล้ว  เราจะไม่รู้สึกอะไรอีกเลย...

    เวลาได้พ้นผ่านมาเนิ่นนานสมควรแก่เวลาแล้ว  แต่พระวรองค์ของเจ้าหญิงเจมีไนกลับไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมแม้แต่น้อย  ยังคงบรรทมนิ่งไม่ได้สติเฉกเช่นเดิม  จนเรวิลเริ่มกระวนกระวายใจมากขึ้น
    “นี่มันอะไรกันคะ  ทำไมองค์หญิงถึงยังไม่ฟื้นสักทีล่ะคะอาจารย์”
    “คงเป็นเพราะเจ้าหญิงรัชทายาทผ่านช่วงเวลาแห่งการหลับใหลมาเป็นเวลานานเกินไป  จนร่างกายบางส่วนตอบสนองกับตัวยาได้ช้ากว่าปกติ” หญิงชราอธิบายด้วยท่าทีหนักใจไม่แพ้กัน
    “แล้วพระองค์จะเป็นอะไรไหมคะ”
    “ข้าก็ไม่อาจล่วงรู้ได้  คงสุดแต่โชคชะตาเสียกระมัง” หมอซินเดรลถอนหายใจอย่างหมดปัญญา
    “ไม่จริง! ข้าไม่ยอม  โชคชะตาคงไม่ใจร้ายพอที่จะทำให้ราชวงค์บาซาลแห่งทราเวลต้องสูญสิ้นหรอก” เรวิลกุมพระหัตถ์ของเจ้าหญิงเจมีไนแน่นกว่าเดิม  น้ำตาพาลจะไหลลงมาอีกรอบ
    อยากได้ยินเสียงสรวลใสยามดีพระทัย  รอยแย้มสรวลที่เคยทรงมอบให้ครั้งยังเยาว์  พระปรางป่องๆ นั่นยามทรงองครักษ์คนนี้ขัดพระทัย  อยาก...
    อยากให้ลืมพระเนตรมามองคนๆ นี้อีกสักครา  อยากให้พระองค์มีเธออยู่ในสายตาตลอดไป  ไม่ว่าจะฐานะใดก็ตาม
    “กลับมาหาหม่อมฉันสิเพคะ  กลับมา...อย่าทิ้งหม่อมฉํนไปแบบนี้  ได้โปรดเถิด”

    ในห้วงแห่งเมฆหมอกสีขาว  เจ้าของดวงพระเนตรสีทองสว่างกำลังทอดพระเนตรมองหาใครบางคนท่ามกลางกลุ่มหมอกหน้าทึบนั้น  เจ้าของเสียงที่กำลังเรียกพระองค์อยู่ในขณะนี้
    “เจ้าเป็นใคร  เรียกเราทำไม  เจ้าอยู่ที่ไหนกัน”
    เงียบ...ไร้เสียงตอบกลับมา  แต่เสียงที่ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงเศร้าลึกนั้นยังคงอยู่  เสียงที่พูดพร่ำแต่คำว่ากลับมาไม่ขาดปาก  แปลก...ที่พระองค์รู้สึกเหมือนจะผูกพันกับเสียงนั้นเหลือเกิน  แค่ได้ฟังน้ำเสียงที่ทรมานแทบขาดใจนั้นก็ทำให้พระทัยแทบขาดรอนไปด้วย  น้ำพระเนตรหลั่งออกมาจากพระจักษุโดยไม่รู้องค์  ก่อนพระชานุทั้งสองข้างจะหมดแรงทรุดฮวบอยู่ตรงนั้น  เพราะความรวดร้าวที่ทรงได้รับมากมายเกินกว่าจะทานทนไหว
    ทำไมถึงเจ็บขนาดนี้นะ  ทำไม...
    “ถึงเวลาที่ลูกจะต้องกลับไปแล้ว”
    เจ้าหญิงเจมีไน บาซาล เหลียวพระพักตร์ไปทอดพระเนตรที่ต้นเสียงทันที  จึงได้พบกับพระชนกพระชนนีมอบรอยแย้มสรวลอบอุ่นมาให้
    “เสด็จพ่อ!  เสด็จแม่!” องค์รัชทายาทแห่งทราเวลรีบลุกขึ้น  ก่อนจะวิ่งเข้าหาพระบิดามารดาทันทีด้วยความดีพระทัยเป็นล้นพ้น
    “หยุดอยู่ตรงนั้นก่อนลูกรัก”
    “ทำไมเพคะ” รับสั่งถามหลังจากที่ทรงหยุดพระบาททั้งสองข้างขององค์เองกะทันหัน
    “ลูกยังไม่สมควรมาที่นี่”
    “ทำไม...หรือทั้งสองพระองค์ไม่รักหม่อมฉันแล้ว” ตรัสถามด้วยพระสุรเสียงเจือความน้อยพระทัย
    “ไม่ใช่  ลูกรัก...ลูกยังเป็นที่รักของพ่อกับแม่เสมอ  แต่บัดนี้ยังไม่สมควรแก่เวลาที่ลูกจะมาอยู่ที่นี่  ด้วยเหตุที่ลุกมีภาระหน้าที่มากมายและคนที่รอลูกอยู่  แล้ววันหนึ่งลูกจะได้กลับมาอยู่กับพ่อและแม่แน่นอน”
    “จริงๆ นะเพคะ”
    “จริงแน่นอนจ้ะ”
    “พ่อว่าตอนนี้มีคนรอให้ลูกกลับไปหาเขาอยู่นะ”
    “ใครกันเพคะ”
    ไม่ทันที่จะได้ยินคำตอบ  พระวรองค์บอบบางก็ถูกสายลมลึกลับพัดหมุนวนจนไม่รู้ว่าทิศไหนเป็นทิศไหน  และแล้วสติของพระองค์ก็หลุดหายไปเช่นกัน

    ณ คฤหาสน์ ซัน วอลเรนท์
    เสนาธิการฟิลลอบมองกำลังทหารสังกัดหน่วยของเจ้าชายอาร์ลีกับกองกำลังส่วนตัวของเสนบดีมหาดไทยกับมหาบัญฑิตลาอู  ที่ยกพลกันมาเฝ้าไว้หน้าคฤหาสน์อย่างไม่ใครจะพอใจนัก  จึงได้หันไปพูดกับผู้บังคับบัญชาของตนด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยไว้วางใจไอ้พวกทหารพวกนี้สักเท่าไหร่
    “ไม่รู้ว่ามันมาเฝ้าพวกเราหรือมาคอยดักปล้นใครกันแน่”
    “เอาน่า  พวกมันก็ได้แค่มอง  เจ้าเองก็อย่าใส่ใจนักเลย”เสนาบดีกลาโหมตอบกลับอย่างใจเย็นราวน้ำแข็งขั้งโลกใต้
    “แต่  ท่านเสนาฯดูสิขอรับ  พวกมันมาล้อมคฤหาสน์ของท่านเสียจนหมดทางเข้าออก  รวมกันแล้วก็นับเป็นยี่สิบห้าสิบคน  ถ้ามันคิดจะทำอะไรก็ไม่ได้ยากเลยนะขอรับ”
    “เจ้าน่ะเลิกสนใจได้แล้ว  ข้าเชื่อมั่นในตัวลูกของข้า  เจ้าเองก็มาช่วยข้าสอนดาบให้ลูกชายของเจ้าด้วยสิ  อย่าให้ข้าต่อกรกับเจ้าลิงนี่เพียงลำพัง”
    “ข้าไม่ใช่ลิงนะขอรับท่านเสนาฯ” เสียงเล็กแทรกขึ้นมาขัดจังหวะการหัวเราะของเสนาบดีรัชเชลใบหน้าอวบอูมมองแล้วช่างน่าขันยิ่งกว่าเดิม
    “ถ้าไม่ใช่ลิง  แล้วเจ้าเป็นอะไรล่ะ”
    “ข้าชื่อมัล  โตขึ้นข้าจะเป็นราชองครักษ์และเก่งอย่างพี่เรวิลต่างหาก”  เด็กชายวัยสิบสองขวบตั้งปณิธานก่อนจะชูดาบไม้ขึ้นเหนือหัว
    ผู้สูงวัยกว่าทั้งสองจึงได้แต่หัวเราะด้วยความภาคภูมิใจ

    พระดัชนีที่เคยแต่นิ่งไม่ไหวติง  ได้เริ่มขยับ  เจ้าหญิงเจมีไนค่อยๆ ลืมพระเนตรสีทองสว่างขึ้นช้าๆ เพื่อพระนัยนาชินกับแสงที่สอดแทงเข้ามา  ทรงพยายามจะประทับนั่ง  แต่ก็เหมือนมีอะไรหนักๆ มาวางอยู่ที่พระกรทางด้านขวา
    เรวิลเฝ้ารอคอยการกลับมาขององค์หญิงรัชทายาทจนเผลอหลับไปด้วยความอ่อนล้าเกินต้านทานทั้งๆ ที่บาดแผลต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่ตามเดิม  ไม่ได้ผ่านการพันแผล  ล้างสิ่งสกปรกหรือใดๆ ทั้งสิ้น  แม้แต่เสื้อผ้าองครักษ์ชุดเดิมก็ยังไม่ได้เปลี่ยน  ชุดที่มีแต่ดินทราย  เศษใบไม้ใบหญ้า  รวมถึงรอยเลือดจากหลายจุดก็ยังคงอยู่
    “เรวิล  เรวิล” องค์หญิงเจมีไนทรงรับสั่งเรียกราชองครักษ์ส่วนพระองค์ที่ยังคงหลับอยู่ให้ตื่นขึ้นมา
    “เจ้าหญิง...เจ้าหญิง! เจ้าหญิงเจมีไนจริงๆ ด้วย  ทรงกลับมาแล้ว  ทรงกลับมาแล้ว” เรวิลตะโกนอย่างดีใจ  ก่อนลืมตัวโผเข้ากอดพระวรองค์แน่น
    “เป็นเจ้าหรือนี่” เจ้าหญิงเจมีไนทรงคลายปริศนาได้แล้ว  ว่าเสียงเจ้าของเสียงเศร้าลึกที่เรียกพระองค์ในดินแดนแห่งนั้นคือใคร  ที่แท้ก็คือเรวิลนี่เอง
    องค์รัชทายาทไม่ทรงขัดขืนหรือไม่พอพระทัยกับอาการของราชองครักษ์  แต่กลับทรงดีพระทัยด้วยซ้ำที่ได้รู้ว่าเรวิลห่วงพระองค์มากถึงเพียงนี้  ก่อนที่โอบพระกรให้กระชับเข้า  น้ำพระเนตรหลั่งออกมาด้วยความปลื้มปีติ
    ที่บัดนี้ชีวิตและหัวใจได้กลับคืนสู่พระองค์อีกครั้ง


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×