ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำแห่งสายลมหนาว

    ลำดับตอนที่ #7 : เดิมพันด้วยชีวิต

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 50


    ณ ห้องบรรทมกว้างของเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งทราเวลที่บรรทมหลับไม่ได้สติ  เมื่อดูจากภายนอกเจ้าหญิงเจมีไนก็เหมือนว่าบรรทมหลับธรรมดา  แต่ความเป็นจริงพิษร้ายได้แทรกซึมไปทั่วพระวรองค์แล้ว 
    “เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอหลวง” เจ้าชายแห่งโอเรนรับสั่งถามอย่างร้อนรน  ไม่ต่างจากทุกคนที่เข้ามาเฝ้าภายในห้องบรรทมแห่งนี้
    หมอหลวงส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความจนใจ  เพราะพิษนี้ร้ายแรงเกินต้านทาน
    “เป็นไปได้อย่างไร  ท่านเป็นถึงหมอหลวงนะ!”
    “กระหม่อมสมควรตาย!” แพทย์หลวงประจำราชสำนักคุกเข่าด้วยความสำนึกผิด 
    “เจ้ามันก็สมควรตายเสียจริงๆ นั่นแหละ”
    ผู้สำเร็จราชการแทนก้าวพ้นพระทวารเข้ามาช้าๆ พระสุรเสียงดูกริ้วโกรธเป็นยิ่งนัก  แต่สายพระเนตรกลับแสดงตรงกันข้าม
    “ทหาร!” องค์พระปิตุลารับสั่งเรียกทหารของตนที่อยู่ภายนอกให้เข้ามาท่ามกลางความสงสัยของทุกคน
    “จับมันไป” ทรงชี้พระดัชนีไปที่ราชองครักษ์ที่ตอนนี้  ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าเจ้าหญิงรัชทายาท
    “จะทรงทำอะไรพะย่ะค่ะท่านอา” เจ้าชายเฟียร์  ชาลเล่ เข้ามาขวางทหารเอาไว้  ทอดพระเนตรมองผู้สำเร็จราชการอย่างไม่เข้าพระทัย
    “อาก็จะจับมันน่ะสิหลานชาย  มันเป็นราชองครักษ์ที่เจ้าหญิงรัชทายาททรงแต่งตั้ง  แต่กลับทำงานบกพร่องปล่อยให้องค์หญิงของเราต้อง...”
    “แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเรวิลนะพะย่ะค่ะ  ไม่มีใครต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้แน่  ขอทรงไตร่ตรองด้วย”
    “เห็นจะไม่ได้หรอกนะเฟียร์  มันทำให้เจ้าหญิงรัชทายาทต้องสิ้นพระชนม์”
    ดวงตาหลายคู่เพ่งมองมายังผู้สำเร็จราชการทันที  เมื่อคำที่ไม่เป็นมงคลได้หลุดออกมา  แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่จะเกิดในเวลาอันใกล้นี้ได้
    “ใครทูลเจ้าชายอาร์ลีว่าจะทรงสิ้นพระชนม์พะย่ะค่ะ” หลังจากที่เงียบอยู่นาน  ในที่สุดคำพูดก็ได้ออกจากริมฝีปากบางของเรวิลได้เสียที
    ท่ามกลางความมึนงง  เรวิลก็ช้อนพระวรองค์บางขึ้นอุ้ม  แม้ว่ารูปร่างของเธอจะบางไม่ต่างจากเจ้าหญิงมากนัก  แต่แข็งแรงเหลือเฟือที่จะแบกรับน้ำหนักที่ไม่มากนักเช่นนี้ได้สบายๆ
    “นั่นเจ้าจะทำอะไร?” เสียงขุนนางบางคนถามขึ้นมา
    “พาเจ้าหญิงไปรักษาพิษ”
    “เจ้ามีทางงั้นรึ”
    สรรพเสียงแส่ส้องสงสัยกันไปต่างๆ นาๆ  ดวงพระเนตรสีแดงเพลิงของเจ้าชายอาร์ลีจ้องมองอย่างเอาเรื่อง
    “ย่อมมีแน่นอน  กระหม่อมไม่มีวันปล่อยให้องค์หญิงเป็นอะไรไปเด็ดขาด”ดวงตาสีน้ำทะเลของเรวิลจ้องตอบอย่างไม่กลัวเกรงเช่นกัน
    “หมอ่มฉันเชื่อเรวิลนะพะย่ะค่ะ” เจ้าชายเฟียร์ถือข้างเริวลอีกคน
    “แต่เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่นะพะย่ะค่ะ เรวิลมีความผิดจริง” เสนาบดีคนหนึ่งกราบทูล
    “ถ้าเช่นนั้นก็เอาหัวของเกล้ากระหม่อมเป็นประกัน” ท่านเสนาบดีกลาโหมยืนเคียงข้างบุตรของตน  คำกล่าวของเขาทำให้ขุนนางหลายคนฮือฮาขึ้นมาอีกรอบ
    “ได้...ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้า  เรวิล  เรนเดล...ภายในเวลาหนึ่งเดือนเจ้าจะต้องหาทางรักษาพิษของเจ้าหญิงเจมีไนให้ได้  มิเช่นนั้น  หัวของพ่อเจ้าจะถูกเสียบประจานอยู่หน้าพระราชวังหลวง  ให้คนภายนอกได้ชมเป็นขวัญตา!” เจ้าชายอาร์ลีตวาดเกรี้ยว  ก่อนจะสะบัดผ้าคลุมเสด็จจากไป
    “หนึ่งเดือน...” หลายคนพึมพำขึ้น
    “เวลาเหลืออยู่เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น  เวลาของเจ้า  ที่จริงมันเหลืออยู่เพียงสองสัปดาห์เท่านั้นเรวิล” คำที่แพทย์หลวงประจำราชสำนักเอ่ยออกมา  ทำให้หัวใจทุกคนแทบหยุดเต้น  ยกเว้นคนที่รับคำเจ้าชายอาร์ลีไปเมื่อครู่
    เรวิลยังคงยืนนิ่งโดยมีเจ้าหญิงเจมีไนอยู่ในอ้อมกอด  ก่อนจะเดินจากออกไป  เหลือแต่คำพูดที่ทิ้งท้ายเอาไว้...
    “เรื่องเวลา  มันไม่เป็นปัญหาสำหรับข้าหรอกท่านหมอหลวง”

    “ลูกคิดจะทำอะไรเรวิล” ท่านเสนาบดีกลาโหมเอ่ยถามลูกสาวขณะที่กำลังง่วนเก็บข้าวของสำหรับเดินทางไกลอยู่
    “นั่นสิ  หรือว่าเจ้ามีทางรักษาพิษนั่น” นายทหารฟิลเอ่ยถามด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน
    “ไม่ใช่ข้าหรอก...แต่รับรอง  เจ้าหญิงเจมีไนต้องหายแน่ๆ“ เรวิลตอบด้วยความมั่นใจ
    “ใครกันล่ะที่เก่งพอที่สามารถรักษาพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลกได้”
    “เชื่อลูกเถอะท่านพ่อ  องค์หญิงต้องทรงหายภายในระยะเวลาที่กำหนดแน่  เพียงแต่ระหว่างนี้คงต้องจับตาดูเจ้าชายอาร์ลีกับครอบครัวเสนาบดีมหาดไทยนั่น  ข้าไม่ไว้ใจเลย”
    “จะเอาทหารไปด้วยไหม  ข้าจะได้เตรียมให้” ฟิลว่า
    “ไม่ล่ะ  เกะกะเปล่าๆ  ข้าไปกับเจ้าหญิงสองคนจะสะดวกกว่า” เรวิลปฏิเสธ  ในมือก็คว้าดาบโฮลี่ ซวอร์ดติดเอว
    “ดูแลองค์หญิงด้วยนะ  แล้วก็เจ้าด้วย  ดูแลตัวเองล่ะ  อย่างไรเสียพ่อก็ไม่ไว้ใจเจ้าชายอาร์ลีเอาเสียเลย  อาจจะมีคนตามปองร้ายพวกเจ้าอยู่ก็ได้” ท่านเสนาบดีรัชเชลยังไม่วายห่วง
    “ค่ะ...แล้วก็...ขอบคุณนะคะที่เชื่อใจลูก” เรวิลหันมายิ้มอ่อนโยนให้ผู้เป็นบิดา  กอ่นที่จะเก็บของขึ้นเกวียนไป
    ม้าสีดำพ่วงพี  กับอาชาสีขาวสะอาดเทียมเกวียนพุ่งทะยานออกไปจากคฤหาสน์ ซัน วอลเรนท์  ซึ่งภายในเกวียนยังมีเจ้าหญิงรัชทายาทผู้สูงศักดิ์อีกพระองค์หนึ่งนอนสลบเพราะพิษร้าย 
    กว่าจะพาองค์หญิงออกมาได้ก็ต้องผ่านการเห็นชอบจากเหล่าขุนนางน้อยใหญ่  และนั่นก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเรวิล  แต่ยังดีหน่อยที่มีเสนาบดีรัชเชลออกหน้าให้  ทำให้หลายคนค่อยคลายใจ  และคิดว่าคงไม่มีอะไรที่จะต้องเสีย  ในเมื่อแม้แต่หมอหลวงยังไม่สามารถรักษาอาการประชวรได้  ดังนั้นจึงต้องทำทุกวิถีทางที่พอจะทำได้ 
    ทางการยังยืนยันที่จะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ  เพราะเกรงว่าประชาชนอาจแตกตื่นจนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต  จนถึงขั้นควบคุมได้ยาก

    วันที่ 3
    อาชาทั้งสองตัววิ่งมาโดยไม่หยุดพักเลยทั้งวันทั้งคืน  เรวิลจึงตัดสินใจให้ม้าทั้งสองตัวได้พักเสียบ้าง  มิฉะนั้นคงจะป่วยกันทั้งม้าทั้งคน
    หญิงสาว(ในคราบชาย)ผูกคาริเน็ตกับไวโอลินไว้ทางหนึ่งปล่อยให้มันกินอาหารตามสบาย  ส่วนเธอก็  พยายามใช้พลังของตนระงับพิษไม่ให้ไหลเวียนไปทั่วทั้งพระวรองค์ของเจ้าหญิงเจมีไน  แสงสีขาวเปล่งออกมาจากมือเรียว  ก่อนจะหายไปแทนที่ด้วยอาการหอบของเธอเอง
    “รอก่อนนะพะย่ะค่ะ  อีกไม่นานแล้ว  อีกไม่นาน...”
    ในตาสีน้ำทะเลกวาดมองรอบๆ  ใบไม้บางต้นเริ่มร่วงหล่นแล้ว  บ่งบอกถึงฤดูหนาวที่ใกลเข้ามาเรื่อยๆ  หนทางข้างหน้าคือป่าวงกต  เป็นป่าลึกและอันตรายที่สุด  น้อยคนนักที่เข้ามาแล้วสามารถออกไปได้  แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาของเธอมากนัก  เพราะเธอเข้าออกที่นี่จนเป็นกิจวัตรเสียแล้ว
    ด้วยประสาตหูที่ไวเป็นพิเศษจากการฝึกหนัก  เรวิลได้ยินเสียงบางอย่างเหมือนคนเหยียบกิ่งไม้แห้ง  แน่นอนว่าเสียงในการลงน้ำหนักย่อมแตกต่างจากเท้าของสัตว์  เพราะฉะนั้นเธอมั่นใจว่าไม่ผิด
    มือเรียวค่อยๆ เอื้อมไปแถวดาบโฮลี่ ซวอร์ดอย่างช้าๆ  พยายามเปิดสัมผัสทางหูให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้   ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มเล็กน้อย  ก่อนจะซัดมีดสั้นสองเล่มเข้าไปในพุ่มไม้ทางด้านขวา  เสียงร้องโหยหวนดังตามมา  ทำให้ผู้ร้ายอีกแปดคนรีบพุ่งออกมา
    พวกมันแบ่งคนออกเป็นสองทีม  ทีมแรกพยายามดึงเรวิลให้ออกห่างจากเจ้าหญิงมากที่สุด  ส่วนทีมที่สองก็รีบเข้าไปในเกวียน  แต่เรวิลก็กลับมาดักทางเอาไว้ได้
    ดาบโฮลี่  ซวอร์ดถูกชักออกมาจากฝัก  ตวัดผ่านร่างของคนร้ายไปหนึ่งคน  พวกมันชะงักไปชั่วขณะ  กอ่นที่ดาบของมันจะตวัดเฉียงเข้าใส่เรวิล  หญิงสาวเอี้ยวตัวหลบ  หมุนตัวด้วยความเร็วสูง  หันกลับมาฟาดดาบเข้าไปที่ท้องแต่พลาดจึงเปลี่ยนไปเป็นเงื้อเท้าเตะใส่แทน
    หนึ่งในผู้ร้ายแอบเข้ามาทางข้างหลังของเรวิล  เงือ้ดาบหมายจะแทง  แต่หญิงสาวก้มหลบดาบที่มาจากด้านหน้าและสามารถหลบดาบที่มาจากด้านหลังในคราวเดียว  แล้วเอี้ยวตัวถีบเข้าไปที่ชายโครงจนมันเซถลา  ตามด้วยดาบโฮลี่  ซวอร์ดที่ตวัดผ่านร่างของมัน
    ดาบสีขาวประดับอักขระทองถูกยกขึ้นกันอาวุธของศัตรูที่มาจากด้านหลัง  ร่างเพรียวใช้ความรวดเร็วในการเอี้ยวตัวไปด้านข้าง  แทงดาบของตนเข้าที่ท้องของอีกฝ่ายอย่างแรง
    เรวิลตีลังกาสองรอบครึ่ง  ก่อนที่เท้าจะแตะพื้นก็ตวัดดาบอีกสองที  คู่ต่อสู้จึงล้มไปอีกสองคน
    “เสร็จไปห้า  ก็เหลืออีกแค่สาม” พึมพำสองสามคำ  ร่างเพรียววิ่งผ่านอีกฝ่ายด้วยความเร็วแสง  จนเห็นเพียงเงารางๆ  กว่าจะหยุด  ร่างของผู้ร้ายอีกสามคนก็ล้มจมกองเลือดแน่นิ่งไป
    “อะไรกัน  เหงื่อยังไม่ทันจะออกด้วยซ้ำไป” บ่นหงุบ  เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความผิดหวัง 
    แต่ก็เพียงชั่วครู่ชั่วยาม  เรวิลจึงใช้ขายาวๆ  สาวเท้าไปที่ม้าสีดำกับขาวสองตัวนั่น  ก่อนพามันมาผูกกับเกวียน  และเริ่มเดินทางต่อ 
    โดยไม่รู้เลยว่ามีคนบางคนแอบมองอยู่ที่ไหนสักแห่ง

    “พลาด” ริมฝีปากงามสีกุหลาบเอ่ยเบาๆ  กับผู้เป็นลุง
    “ไม่เป็นไร  ลุงยังไม่หมดปัญญาแค่นี้หรอก   ลุงจะให้โทรลไปจัดการเรื่องนี้” เสนาบดีลาเปชเอ่ย  มุมปากยกขึ้นมาเล็กน้อย
    “ท่านลุง...”
    “มีอะไรหรือมูลา” เสนาเฒ่าเลิกคิ้วสูง  ถามด้วยความสงสัย
    “คือ...ท่านเรวิล...” หญิงสาวอ้ำอึ้ง  ไม่กล้าพูดคำต่อไป  ดวงหน้างามระเรื่อขึ้นด้วยความเขินอาย
    “อะไรกันมูล่า  เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้า...”
    อาการก้มหน้าไม่ยอมสบตาผู้สูงวัยกว่าก็เป็นคำตอบอย่างดีสำหรับคำถาม  และนั้นทำให้ลาเปชยิ่งทำหน้าไม่ถูก  ก่อนที่ใบหน้าจะร้อนผ่าวด้วยความโกรธจัด
    “เทพเจ้าองค์ไหนดลใจให้เจ้าคิดอะไรโง่ๆ แบบนั้นได้หา!  ข้าให้เจ้าไปโปรยเสน่ห์ใส่ไอ้หนุ่มนั้น  ไม่ใช่ให้หลงรักมันเข้าซะเองแบบนี้!!”
    “ข้ารักเขาท่านลุง  ได้โปรด  อย่าทำอะไรเขาเลยนะคะ”
    “ได้...เพื่อเห็นแก่เจ้า  ไอ้เด็กนั่นก็ดูจะสนใจเจ้าอยู่ไม่น้อย  ไปเรียกโทรลมา!” ประโยคสุดท้ายเสนาบดีชราตวาดใช้คนรับใช้ที่อยื่เบื้องนอก
    “ข้ามาแล้วท่านลุง” ไม่ทันที่สาวใช้จะขยับกายออกไป  ชายเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงลึกลับก็ได้เดินเข้ามาในหอ้ง  พร้อมกับดาบสีดำในมือ
    “ลุงจะให้เจ้าไปจัดการกับเจ้าหญิงรัชทายาท  อย่าให้พลาดนะโทรล  ส่วนไอ้เด็กที่ชื่อเรวิล  ก็อย่าลงมือให้มันหนักนัก  ถ้ามันขัดขวางก็จัดการได้  แต่อย่าให้ถึงตาย”
    “ครับ”
    โทรลรับคำ  ก่อนร่างทั้งร่างจะหายไปราวกับเล่นกล

    เสียงใบไม้เสียดสีกันดังหวีดหวิวน่าสพรึงกลัว  ในท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมิดแหห่งราตรีกาล  เกวียนหลังใหญ่เคลื่อนเข้ามาใกล้กระทอ่มหลังเล็กที่มีเพียงหนึ่งเดียวโดดเด็นอยู่ในกลางป่าที่ลึกลับและน่ากลัวที่สุด
    ในขณะเดียวกันที่พาหนะของราชองครักษ์หยุดกึก  เจ้าของร่างเพรียวก็ได้กระโจนลงสู่พื้นพร้อมกับวิ่งไปเคาะประตูไม้คร่ำคร่านั้นด้วยความรีบเร่ง
    “ท่านอาจารย์  ข้าเองเรวิล”
    ยังไม่ทันสิ้นสเยงดี  เจ้าของมือแห้งกร้านเหี่ยวห่นตามวัยที่ผ่านไม่มากแล้ว  ก็ค่อยๆ แว้มเปิดประตูให้เห็นแสงไฟจากดวงตะเกียงดวงเล็กๆ ที่อยู่ภายใน
    หญิงชราผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตเจิดจ้าขัดกับรูปร่างที่ปล่อยคล้อยไปตามวัยและเป็นเจ้าของกระท่อมหลังน้อยนี้เช่นกัน  นางเปิดประตูให้กว้างออกพอที่จะให้องครักษ์ประจำพระองค์ของเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งแคว้นทราเวลเห็นนางได้เต็มตา  ดวงเนตรที่เปี่ยมด้วยความวิตกกังวลและความร้อนรนนั้นแจ่มชัดถึงความรู้สึกที่มีอยู่ในใจ
    “รีบพาองค์หญิงเข้ามา” หญิงชราว่าสั้นๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปภายในบ้านก่อน
    ไม่ช้านานเจ้าของดวงตาร้อนรนสีน้ำทะเลก็โอบอุ้มพระวรองค์บอบบางและซูบเซียวด้วยพิษเข้ามาวางบนแคร่ไม้ไผ่ที่ดูเหมือนว่าได้เตรียมไว้ก่อนแล้ว
    “ให้ข้าดูอาการก่อน”
    ร่างเพรียวหลบให้หญิงชราเข้าไปตรวจพระอาการใกล้ๆ  นางจับชีพจรอย่างแผ่วเบา  เพียงเท่านั้นก็รับรู้ถึงพระอาการที่น่าวิตกมากเพียงใด
    “เป็นอย่างไรบ้างคะ  ท่านอาจารย์” เสียงที่เปล่งออกมาไม่มีแล้วซึ่งความทระนงตน  ความเชื่อมั่น  และความจริงที่ต้องปิดบังอยู่  เพราะไม่มีอะไรที่เธอต้องปิดบังเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงชราผู้นี้
    ซินเดรล  ชามียา  หมอที่เก่งและลึกลับที่สุด  และนักเวทย์ที่เก่งกาจจนไร้คู้ต่อสู้  แต่กลับยากเย็นยิ่งนักที่จะมีใครพบเห็น  เมื่อหมอชราผู้นี้ไม่มีประสงค์จะพบ
    อาจารย์ที่เรวิลได้ฝากตัวเป็นศิษย์เมื่อห้าปีก่อน  หญิงชราผู้นี้ได้มองออกแต่แรกในความจริงที่ปิดบังได้อย่างแนบเนียนตลอดมา  แม้นว่าซินเดรลจะไม่ปรารถนารับศิษย์คนไหน  แต่ก็ยากจะปฏิเสธหัวใจอันกล้าแกร่งของเด็กสาวคนนั้น  ในตอนนั้น  และหัวใจรักที่แน่วแน่ของเธอ...ในตอนนี้
    อย่าทรงเป็นอะไรไปนะเพคะ...ทูลกระหม่อมแก้ว
    เสียงคร่ำครวญดังก้องอยู่ภายในใจอันร้อนรุมของหญิงสาว  ขณะที่มองดูอาจารย์ของตนตรวจดูพระอาการของเจ้าหญิงผู้เป็นยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดด้วยความวิตกกังวลอย่างหาที่สุดไม่ได้  แม้นว่าจะเชื่อใจในฝีมือของซินเดรลแค่ไหน  แต่ก็ยังอดร้อนรนไม่ได้อยู่ดี
    “แย่...พิษลามไปทุกส่วนของร่างกายแล้ว  ยากยิ่งที่จะรักษาพระชนม์ชีพไว้ได้  ข้า...”
    “ไม่นะคะ  ต้องมีวิธีสิ  บอกข้ามาเถอะ  ถึงยากลำบากแค่ไหนข้าก็จะทำ!”
    “แน่ใจรึ” หญิงชราถามซ้ำให้แน่ใจ
    “ค่ะ”
    “แม้ว่าจะต้องใช้ชีวิตของเจ้าน่ะรึ”
    “ค่ะ!” เรวิลตอบอย่างไม่ลังเล
    “หึ...ข้าเชื่อแล้ว  ว่าเจ้ารักเจ้าหญิงองค์นี้จริงๆ  รักยิ่งกว่าชีวิตของเจ้าเองที่เจ้าเคยพูดไว้กับข้า” หมอซินเดรลหัวเราะออกมาเบาๆ หลังจากได้พูดลองใจศิษย์แล้ว แต่ถ้อยต่อมาก็ทำให้ใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาว  ได้แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมไปทันที
    “พิษจากต้นไม้ชนิดนี้ยากยิ่งต่อการรักษาจริงๆ นั่นแหละ  การจะเอาพิษจากต้นไม้ปิศาจที่กินเลือดสิ่งมีชีวิตและดูดกลืนวิญญาณได้แบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน  ศัตรูของเจ้าหญิงคงจะไม่ใช่ธรรมดาแน่”
    “ข้าเองก็คิดเช่นนั้นท่านอาจารย์  แต่ใครกันที่เก่งกาจได้น่ากลัวถึงเพียงนั้น” เรวิลตอบกลับด้วยท่าทีกังวล
    “นั่นยังไม่ใช่ประเด็นเรวิล  ตอนนี้วิธีแก้พิษสำคัญกว่า”
    “ใช่  ท่านช่วยบอกมาเถอะท่านอาจารย์  ต่อให้แลกด้วยชิวจของข้าจริงๆ ข้าก็ยอม”
    “ถึงไม่ใช้ชีวิตของเจ้าโดยตรง  แต่เจ้าก็ต้องไปเอาสิ่งที่แก้พิษ 32 ชนิดมาด้วยตัวของเจ้าเอง  เพราะดวงจิตที่มีแต่ความคิดที่จะปกป้องเท่านั้น  จึงจะสามารถชนะสิ่งที่จะคร่าชีวิตนี้ได้  หวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจนะเรวิล”
    อาการพยักหน้าอย่างสงบของหญิงสาวทำให้ผู้เป็นอาจารย์รับรู้ได้ว่า  บัดนี้สิ่งที่นางได้ปลูกฝังให้แก่ลูกศิษย์เพียงคนเดียว  นางจะได้เห็นเป็นประจักษ์ต่อสายตาแล้ว
    “ของทั้งหมด 32 อย่าง มีอะไรบ้าง  ว่ามาเถอะท่านอาจารย์” ดวงตาสีน้ำทะเลกร้าวขึ้น  รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างทั้งกำลังกายกำลังใจที่มี  ไม่ว่าอย่างไรเจ้าหญิงเจมีไนจะต้องหายจากอาการประชวรให้ได้

    คาริเน็ต  อาชาสีดำสนิททั้งตัวม้าที่ใครกล่าวขานกันว่าเป็นม้าวิเศษที่คู่เคียงกับม้าทรงของเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งทราเวลนามว่าไวโอลิน  อาชาสีขาวบริสุทธิ์ทั้งตัวเฉกเดียวกัน  เหตุเพราะมันทั้งคู่ล้วนแต่สง่างามและทรงพละกำลังเหนือกว่าม้าตัวอื่นทั่วไป  อีกทั้งยังอายุยืนยาวกว่าม้าธรรมดา  ราวกับว่ามันได้เติบโตไปพร้อมกับเจ้านายของมัน  เนื่องจากดูลักษณะของมันแล้ว  บ่งบอกได้ว่าร่าวกายของมันยังคงอยู่ในช่วงวัยรุ่นอยู่นั่นเอง
    “คาริเน็ต  ขืนเจ้ายังวิ่งช้าเป็นเต่าอยู่อย่างนี้ล่ะก็  เจ้าอดมื้อเย็นแน่ๆ” ผู้เป็นนายสั่งเฉียบขาด  เมื่ออาชาคู่ใจยังคงวิ่งไม่ทันความร้อนที่สุมทรวงแทบมอดไหม้  เจ้าม้าเองก็คงยังไม่อยากลดอาหารเห็นตอนนี้เป็นแน่แท้  จึงรีบตะบึงเร่งความเร็วอีกสามเท่าเพื่อเอาใจนาย
    ‘ของอย่างแรกที่เจ้าต้องไปเอาคือเลือดสีเงินของต้นซิลเวอร์  จากนั้นก็ไปเอาเขี้ยวของจระเข้ยักษ์ที่สระอาถรรณ์ใกล้ๆ กัน  อย่าลืมว่าเวลาสำคัญกับเจ้ามาก’
    เสียงแหบแห้งของหมอชราดังก้องอยู่ในหัว  สองอย่างแรกต้องเอามาให้ได้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน  เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่มีโอกาสอีกเลย  เนื่องจากจะเอาของจากที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย
    “จะเลือดสีเงินหรือเขี้ยวไอ้เข้ก็ช่าง  ข้าจะเอามาให้หมดนั้นแหละ!”
    รอหม่อมฉันก่อนองค์หญิง

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×