ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำแห่งสายลมหนาว

    ลำดับตอนที่ #6 : ธนูอาบยาพิษ

    • อัปเดตล่าสุด 7 ม.ค. 50



    หมายกำหนดการของงานราชาพิเษกวางอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรของเจ้าหญิงเจมีไน  ซึ่งดูเหมือนว่าพระวรองค์บางไม่ใคร่จะใส่ใจนัก  พระองค์เพียงหยิบขึ้นมาทอดพระเนตรหลังจากนั้นจึงยื่นให้หญิงสาวร่างบางที่ยืนนบนอบอยู่ข้างๆ
    “เจ้าอ่านให้เราฟังทีเซนิน...อ่อ  ก่อนอ่านช่วยเรียกเรวิลให้เราด้วย” รับสั่งกับราชเลขาก่อนจะนั่งลงหยิบฎีกาปึกแรกขึ้นมาอ่านคร่าวๆ
    “เพคะ” เซนิน  รับคำอย่างว่าง่ายแล้วจึงเดินไปที่หน้าพระทวารเรียกราชองครักษ์ให้เข้ามาในห้องทรงพระอักษร
    “มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้หรือพะย่ะค่ะ”
    “ไม่มีอะไรหรอก  แค่อยากให้เจ้ารู้หมายกำหนดการนี่หน่อยน่ะ  ว่ามีข้อบกพร่องหรืออันตรายตรงไหนบ้าง” ตรัสเสียงเรียบ  พระพักตร์บึ้งตึงจนบรรยากาศโดยรอบชักเครียดไปถนัดตา
    “พะย่ะค่ะ”
    นัยน์ตาสีมรกตมองไปทางเจ้าหญิงรัชทายาททีทางราชองครักษ์ทีอย่างไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไรให้ปลอดภัยจากสถานการณ์มาคุๆ เช่นนี้  ทางด้านเรวิลนั้นก็ออกจะสงบเสงี่ยมจนหน้าแปลกใจ  ส่วนเจ้าหญิงเจมีไนหรือก็เย็นชาเกินเหตุ  ไม่มีเค้าของความสนิทสนมเหมือนเมื่อสองวันก่อนเลย
    ก็ตั้งแต่ได้ข่าวลือเกี่ยวกับทายาทของตระกูลเรนเดลกับหลานสาวของเสนาบดีฝ่ายซ้ายสนิทสนมกันเกินหน้าเกินตาคนรู้จักปานนั้น  แถมยังเป็นหัวข้อสนทนากันตั้งแต่ขุนนางในวังยันนางกำนัลทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในได้ยินถึงพระเนตรพระกรรณเป็นประจำ  เธอเองก็เป็นแค่ราชเลขาก็เลยต้องรับพระอารมณ์ที่บึ้งๆ ตึงๆ ระหว่างนี้ไปอย่างช่วยไม่ได้
    ...เฮ้อ...
    ไม่ได้อยากจะยุ่งเรื่องเจ้านายหรอกนะ  แต่ก็แค่คิดว่าราชองครักษ์หนุ่มน้อยหน้าหวานคนนี้คงจะสำคัญต่อพระทัยน้อยๆ ขององค์หญิงของเธอมากเอาการ
    “จะเริ่มอ่านได้รึยังล่ะเซนิน  ท่านราชองครักษ์เขาคงไม่อยากรอนานนักหรอกนะ  ไหนจะต้องไปคอยเอาอกเอาใจหลานสาวท่านเสนาบดีลาเปชอีก” พระสุรเสียงเรียบแต่หากกระแทกใจของท่านราชองครักษ์ไปเสียเต็มเหนี่ยว  แต่ก็ได้แต่แอบถอนหายใจเงียบๆ  แบบทำอะไรไม่ได้
    “อะ...เอ่อ...เพคะ”
    ข้อความที่เซนินอ่านออกมาเรื่อยๆ นั้นไม่ได้เข้าถึงพระกรรณเลยแม้แต่น้อย  เพราะในพระทัยยังขุ่นมัวไปด้วยเรื่องของคนตรงหน้าเหนือสิ่งอื่นใด  แต่ดูเถอะคนๆ นั้นยังทำหน้าเฉยไม่รับรู้เรื่องราวที่ทำให้เจ้านายของตนไม่พอใจได้  ไม่รู้ว่าโง่หรือบื้อกันแน่นะ
    “พอแล้วเซนิน” ตรัสสั่งห้วนๆ ดวงพระเนตรยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นเยือก  ซึ่งเซนินที่ทำงานถวายองค์เจ้าหญิงมาหลายปีพอจะรู้ว่าทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง  และยิ่งถ้ามีคนมาขัดพระทัยแล้วละก็...  ภาวนาให้หัวอยู่กับร่างต่อไปเถอะ
    “เพคะ”
    “พวกเจ้าออกไปได้แล้ว  เราอยากอยู่คนเดียว”
    เซนินถอนสายบัวอย่างเรียบร้อยแล้วค่อยๆ เดินออกพระทวารไปอย่างเงียบๆ  เหลือเพียงเรวิลเท่านั้นที่ขัดรับสั่งยังคงยืนนิ่งไม่ไปไหน
    “เราบอกว่าเราอยากอยู่คนเดียวยังไงเล่า!” พระสุรเสียงเริ่มกร้าวขึ้น 
    แต่คนที่ถูกตวาดยังคงยืนอยู่กับที่  ดวงตามองตรงสบพระเนตรสีทองอร่ามแน่วนิ่งอย่างไม่กลัวเกรงเลยแม้แต่น้อย  ขายาวๆ เดินอ้อมมาเบื้องหลังโต๊ะทรงพระอักษร  ยืนนิ่งข้างๆ เจ้าหญิงเจมีไนที่ตอนนี้ทรงพระพิโรธจนไม่ยอมทอดพระเนตรคนที่อยู่ใกล้ไม่ถึงนิ้วนี้ด้วยซ้ำ
    “โกรธอะไรหม่อมฉัน?” ถามแผ่วเบา  ดวงตาทอดมองพระพักตร์แดงก่ำหากแต่แดงด้วยความโกรธเพราะถูกขัดพระทัยหาใช่อาการขวยเขินไม่
    “เจ้าขัดคำสั่งเรา!”
    “ไม่...ไม่ใช่เรื่องนี้แน่...เรื่องที่ทำให้พระองค์ไม่ยอมรับสั่งกับหม่อมฉันดีๆ” น้ำเสียงอ่อนหวานผิดจากเดิมโดยที่เจ้าตัวแทบไม่รู้สึก  มือเรียวเอื้อมไปแย่งสมุดฎีกาออกจากพระหัตถ์
    เจ้าหญิงรัชทายาทหันพระพักตร์มามองราชองครักษ์ของคน  แววพระเนตรเจือความน้อยพระทัยอยู่จางๆ  พระโอฐษ์สั่นระริกขณะตรัสโดยไม่ยอมสบพระเนตรกับคนตรงหน้า
    “ไม่ต้องมาสนใจเราหรอก”
    “โกรธเรื่องอันใด...บอกหม่อมฉันได้หรือไม่” นึกแล้วก็โกรธตัวเองแทนเพราะจนป่านนี้ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหญิงของเธอรวมทั้งตัวเธอเองด้วย 
    ...โธ่...เพิ่งรู้ว่าคนที่สอบได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็มใช่ว่าจะฉลาดไปทุกเรื่อง  (อย่างน้อยก็เรื่องหัวใจนี่แหละที่โง่เหลือแสน)...
    พระพี่เลี้ยงร่างท้วมที่แอบมอง(อย่างไม่ได้ตั้งใจ) ลอบรำพึงรำพันอยู่ในใจ 
    เอลม่ากะจะเอาของว่างมาให้เรวิลแต่ดันเห็นภาพนั้นเข้า  จึงคิดว่าตอนนี้ควรทำหน้าที่ต้นทางจะดีกว่า!
    “เราบอกว่าไม่ต้องมาสนใจเราไง...ไปสนใจแม่สาวมูลาคนนั้นดีกว่า!” ในที่สุดก็หลุดคำที่อยู่ในพระทัยออกไปจนได้อย่างไม่ได้ตั้งใจ  วรองค์บางจึงหันขวับ  สาวพระบาทออกมาให้ห่างจากองครักษ์ของตัวเองให้มากที่สุด
    “หม่อมฉันจะไปสนใจมูลาทำไม” เรวิลแอบยิ้มในหน้า  หัวใจพองโตอย่างไม่ทราบสาเหตุ  เพราะอะไรล่ะที่ทำให้เจ้าหญิงโกรธเธอ  เพราะมูลาสาวสวยคนนั้นน่ะหรือ  เธอคงไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองไปหรอกนะ
    ...ทรงหึงเธอกับหลานสาวเสนาบดีนั่น...
    “ถ้าทรงคิดมากเรื่องงานเลี้ยงที่คฤหาสน์ไดมอน  จีเนียส...”
    “เราไม่ได้คิดมาก!!” ขัดด้วยความเร็วแสง  พระพักตร์ขึ้นสีจัด  แม้นจะปฏิเสธตอนนี้ก็คงไม่ได้เพราะหลักฐานมันเด่นชัดคาตา  ดวงพระทัยเต้นแรงและเร็วขึ้นทุกครั้งที่ร่างสูงเคลื่อนกายมาใกล้แต่ละก้าว  อยากจะเบือนพระพักตร์ให้หนีห่าง  แต่ดูเหมือนว่าจะถูกดวงตาสีน้ำทะเลนั่นสะกดนิ่งไม่ให้ไปจับจ้องที่อื่น
    “หม่อมฉันไม่ได้คิดอะไรกับมูลา...ไม่เคยคิด...ต่อไปก็จะไม่คิด” น้ำเสียงช้าๆ เนิบนาบ  เน้นชัดทุกคำพูด  แต่ไม่ได้ตั้งใจให้องค์หญิงของเธอสั่นขนาดนี้
    พระวรองค์บางสั่นเทาระริกคล้ายจะหมดแรงไปเรื่อยๆ  พระองค์เริ่มรู้สึกว่าพระชานุสั่นอ่อนราวกับว่าจะล้มกองไปได้ทุกเมื่อ  หัตถาแห่งจอมเจ้าหญิงจึงจับแน่นที่ชายเสื้อของอีกฝ่าย  แต่ดูเหมือนว่าเรวิลจะไม่รู้ตัวเลยว่าทำให้พระองค์เป็นแบบนี้  ยังคงขยับเข้ามาใกล้จนชิด
    “เป็นอะไรไปพะย่ะค่ะ...ทรงประชวรหรือ?”
    “ปะ...เปล่า”
    “แต่พระพักตร์แดง...แล้วก็ร้อนด้วย” ว่าไม่ว่าเปล่ายังเอามือมาจับที่พระปรางแล้วต่อด้วยพระนลาฏ
    “หม่อมฉันไม่ได้ชอบมูลาจริงๆ  ทรงเชื่อเถอะ”
    “แล้วข่าวลือเรื่องงานเลี้ยงคืนนั้นล่ะ  เจ้าจะปฏิเสธเหรอ”
    “ไม่”
    ทรงก้มพระพักตร์ลง  แอบกัดพระโอฐษ์ล่างข่มพระอารมณ์น้อยพระทัยไว้ไม่ให้แสดงออกมา
    “พูดจากลับกลอก  เจ้าบอกว่าไม่ชอบแต่กลับไม่ปฏิเสธ  เห็นเราเป็นตัวตลกของเจ้ารึไง!” ตวาดกลับ  น้ำพระเนตรรินลงมาช้าๆ เนื่องจากทรงห้ามไว้ไม่อยู่  นี่นะหรือที่บอกว่าทุกลมหายใจเพื่อพระองค์เพียงผู้เดียว  โกหกทั้งเพ...  หลงลืมแม้แต่คำสัญญาที่เพียรเฝ้ารอนับสิบปี  ที่แท้มันก็แค่ลมปากของคนไม่จริงใจคนหนึ่งเท่านั้นเอง
    “ไม่ใช่! ไม่ใช่นะพะย่ะค่ะ  นั่นมันก็แค่แผนหลอกล่อให้พวกนั้นวางใจเท่านั้นเอง  หม่อมฉันไม่ได้คิดชอบมูลาจริงๆ!”
    ร่างสูงรวบพระวรองค์บางมากอดแน่น  ตอนนี้หัวใจคงสั่งการแทนสมองไปเสียแล้ว  จึงทำให้เธอทำอะไรบ้าๆ ทั้งผิดต่อหน้าที่  ผิดต่อความเป็นไปได้แบบนี้
    ...ถึงยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงนะ!...
    จะอย่างไรก็ช่าง  เธอไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว  แค่เพียงเห็นหยาดน้ำตาเพียงเล็กน้อยขององค์หญิงหัวใจเธอก็แทบสลาย  หากนี่คือความรักแม้ต้องแลกด้วยชีวิตเธอก็ยังยืนยันว่าจะรัก
    “เชื่อหม่อมฉันนะ...อย่าทำแบบนี้อีกเลย...หม่อมฉันจะตาย...อย่ากรรแสงอีก...ได้โปรด” เรวิลวอนกับพระเกศาที่แนบอยู่กับใบหน้าของตน 
    “เจ้าไม่ได้คิดอะไรกับนางจริงเหรอ?” รับสั่งถามเสียงเครือ
    “สาบานพะย่ะค่ะ”
    “หากเจ้าไม่ได้ชอบนาง...แล้ว...แล้วเจ้าชอบใคร?”
    “หม่อมฉัน...”
    เจ้าหญิงรัชทายาทผลักร่างสูงของเรวิลออกไปอย่างแรง  ดวงพระเนตรทอแววน้อยพระทัยลึกๆ  แม้นไม่ทรงแสดงออกมากนัก  แต่ก็ทำให้คนที่ยืนบื้อใบ้พูดไม่ออกอย่างเรวิลอยากจะตบหน้าตัวเองนักที่ไม่เอาไหนเอาเสียเลย
    “....” แต่ทันที่ราชองครักษ์จะได้พูดอะไรออกมา  เจ้าหญิงเจมีไนก็สาวพระบาทออกนอกพระทวารไปเสียแล้ว  ทิ้งให้เรวิลยืนถอนหายใจเฮือกเพราะไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี

    พระวรองค์บางทรงชุดนักรบด้วยเกราะอ่อนสีทอง  พระเกศาสีม่วงถูกรวบเป็นหางม้าไว้เรียบร้อย  ดวงเนตรแข็งกร้าวเมื่อตวัดดาบประจำพระองค์  จนอัศวินที่ถวายการฝึกแทบจะถอยร่นไม่เป็นกระบวน
    เคร้ง!!!!
    ดาบเล่มงามสีขาวประดับอักขระทองตวัดเข้ารับดาบแห่งองค์เจ้าหญิงไม่ให้เฉือดคออัศวินด้อยฝีมือได้อย่างหวุดหวิด  ดวงเนตรสีทองกร้าวขึ้นเมื่อมองมายังราชองครักษ์ส่วนพระองค์ที่ยืนแน่วแน่  สบตาตอบอย่างไม่หวั่นเกรง
    “เจ้า!!!”
    “ถ้าฝ่าบาทต้องการคู่ซ้อม  กระหม่อมจะถวายเองพะย่ะค่ะ” แม้ดวงตาสีน้ำทะเลนั้นจะแข็งกร้าว  แต่ภายในนั้นกลับอ่อนยวบไปกว่าครึ่งเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าต้นเหตุของพระอาการเลือดร้อนแบบนี้มาจากใคร
    ...จะใครอีก...นอกจากตัวเอง...
    “ได้!  ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น”
    หัตถาจอมเจ้าหญิงแกว่งไกวดาบเพรียวสีทองอย่างคล่องแคล่ว  เรวิลรับดาบทองนั้นไว้ด้วยความรวดเร็วโดยใช้ดาบโฮลี่ ซวอร์ดของตน  ก่อนจะรุกไล่ไม่ยั้งแต่ยังไม่ยอมผนวกพลังเวทของตนเข้าไปด้วยจึงไม่ได้สร้างความหนักใจให้กับเจ้าหญิงเจมีไนมากนัก  แม้นจะเป็นเช่นนั้นพลังที่ส่งมาก็ยังนับว่าหนักหน่วงเอาการ
    เคร้งๆๆๆๆ
    เสียงดาบกระทบกันดังลั่นไปทั่วลานฝึก  เจ้าหญิงน้อยตวัดดาบเฉียงขึ้นและใช้เวทสายลมช่วยหนุน  ราชองครักษ์ยังรับไว้ได้ทันท่วงที  ก่อนจะสะบัดพลังนั้นให้พ้นไป  รัชทายาทแห่งทราเวลรุกไล่อีกครั้งโดยการจู่โจมลงไปที่ท้อง  ดาบโฮลี่ซวอร์ดจึงเคลื่อนไปบังจุดนั้นโดยนึกไม่ถึงว่าการจู่โจมนั้นจะเป็นเพียงกลลวง  พระวรองค์บางหมุนตัวอย่างรวดเร็ว  ปรากฏอยู่เบื้องหลังของร่างสูง  พระแสงดาบสีทองอร่ามพุ่งด้วยความรวดเร็ว  เป้าหมายคือลำคอของคู้ต่อสู้
    โฮลี่ ซวอร์ดฉายแสงเรืองรองออกมา  ก่อนตัวดาบจะแยกออกเป็นหลายๆ เล่ม  ช่วยกันเจ้าของให้พ้นคมพระแสงดาบขององค์หญิงรัชทายาทที่หมายเอาชีวิตเลยทีเดียว
    ทั้งสองถอยผละออกจากกัน  ทิ้งระยะห่างกันพอสมควร  ทั้งคู่ต่างค่อยๆ เคลื่อนกายอย่างระมัดระวัง 
    เจ้าหญิงเจมีไนในชุดนักรบเข้าประจันหน้ากับราชองครักษ์ส่วนพระองค์  ดาบงามปะทะกันดังเคร้งคร้างจนคนในที่นั้นพากันอกสั่นขวัญแขวน  แม้นอีกคนหนึ่งจะเป็นถึงเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ผู้เป็นองค์เหนือหัวของตน  แต่สัญชาตินักรบก็คือนักรบ  เมื่อขึ้นสังเวียนก็ต้องสู้ให้เต็มที่  มิเช่นนั้นจะถือเป็นการดูถูกผู้ที่ประลองด้วย
    “ฝีมือดาบเจ้าเก่งขึ้นมากนะ” ตรัสขึ้นขณะที่ยังตวัดดาบอยู่อย่างไม่ยั้ง
    “เล็กน้อยเท่านั้นพะย่ะค่ะ” ตอบพลางโต้ดาบกลับไป
    “เจ้าจะเล่นกับเราไปถึงไหน!!”
    “หม่อมฉัน...”
    เคร้ง!!!!!!
    ฟันพระแสงดาบเข้ากลางแสกหน้า  แต่ยังดีที่เรวิลสามารถตั้งดาบรับไว้ได้
    “เรารู้ว่านี่ยังไม่ถึงเสี้ยวของฝีมือเจ้าด้วยซ้ำ!!!”
    “แต่...”
    “ไม่มีแต่  เจ้าจะดูถูกเรางั้นรึ”
    เรวิลตีลังกาถอยกลับ  สะบัดดาบเป็นรูปครึ่งวงกลมครั้งหนึ่ง  ก่อนดวงตาทรงเสน่ห์คู่นั้นจะฉายแววดุดัน  จริงจังขึ้นมา  มือเรียวกำด้ามดาบโฮลี่ซวอร์ดแน่นเข้า  ร่างสูงวิ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ผู้สูงศักดิ์ด้วยความเร็วสูง  จนร่างนั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าจะแบ่งออกเป็นหลายร่าง  ร่างทุกร่างต่างขยับไปคนละแบบซึ่งยากกับการจะมองออกว่าใครคือตัวจริง 
    เรวิลทุกร่างพุ่งจู่โจมไปที่องค์หญิง  ในพริบตาเดียว  เจ้าหญิงรัชทายาทก็ต้องชะงักหยุดนิ่ง  เมื่อดาบโฮวี่  ซวอร์ดได้จ่อเข้าที่พระศอของพระองค์เป็นที่เรียบร้อย
    ราชองครักษ์ถอนดาบออกมาขณะที่อัศวินหลายๆ คนในที่นั้นต่างพากันวิ่งเข้ามาจ่อดาบไว้กับคอของเธอแทน
    “พวกเจ้าทำอะไร?” รับสั่งถามเสียงขุ่น
    “ก็มันบังอาจ...”
    “หุบปาก!  เมื่อกี้เจ้าไม่ได้ยินหรือไงว่าเราให้เรวิลเอาจริง...พวกเจ้านั่นแหละที่ต้องถอยออกไป!!”
    “พะย่ะค่ะ” อัศวินทั้งหลายแหล่ต่างก็ขยับถอยออกไปอย่างไม่ใคร่จะเข้าใจนัก
    เจ้าหญิงรัชทายาทเก็บพระแสงดาบเข้าฝัก  ความบึ้งตึงเฉยชายังคงปรากฏอยู่บนดวงพระพักตร์งาม  พระเนตรสีทองมองข้ามผ่านไหล่ของเรวิลที่ยืนขึ้น  แย้มพระสรวลขึ้นทันทีที่เห็นใครบางคนก้าวเข้ามาในลานฝึก
    “ท่านพี่เฟียร์มาตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ” พระสุรเสียงใสกังวานจนคนที่ถูกมองข้ามสะดุด  องค์หญิงเจมีไนสาวพระบาทเลยไปเบื้องหลังของเรวิล  ทักทายปราศรัยกับใครคนหนึ่งด้วยท่าทีสนิทสนม
    ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ้มรับคำกล่าวทักทายของเจ้าหญิงน้อย  เฟียร์  ชาลเล่  เจ้าชายหนุ่มแห่งโอเรนแคว้นข้างเคียงทางฝั่งตะวันออก  พระหัตถ์หนาข้างหนึ่งกุมดาบใหญ่เอาไว้ส่วนอีกข้างก็ลูบพระเกศาของเจ้าหญิงรัชทายาทด้วยความรักใคร่เอ็นดู
    ดวงพระเนตรสีดำสนิท  พระเกศาสีทองแดงแปลกตาสำหรับคนแคว้นนี้  พระพักตร์หล่อเหลาคมคายส่งรอยแย้มสรวลอยู่เป็นนิจ  สร้างความเป็นมิตรและสนิทใจให้แก่ผู้คนที่พบเห็น  สามารถบอกได้เลยว่าเสน่ห์ของเจ้าชายพระองค์นี้ก็คือความมีพระอารมณ์ดีอยู่เสมอนั่นเอง
    เรวิลโค้งถวายคำนับอย่างนอบน้อม  แม้นจะแปลกใจอยู่มากเมื่อเห็นท่าทีสนิมสนมระหว่างผู้สูงศักดิ์ทั้งคู่  และยอมรับได้เลยว่าภาพนั้นทำให้เธอหายใจไม่สะดวกเอาเสียเลย
    “นี่น่ะหรือราชองครักษ์คนใหม่ของน้องเจมีไน”
    “เพคะ...เรวิล  เรนเดลเพคะ  เป็นลูกของท่านเสนาบดีรัชเชลแล้วก็จบจากสุลามาร์ด้วยเพคะ” ดวงพระเนตรสีทองฉายแววเริงร่าแบบเด็กๆ  ระหว่างที่สนพระทัยในการรับสั่งกับเจ้าชายแห่งโอเรนมากกว่าจะแนะนำ
    “ถวายบังคมพะย่ะค่ะ” เรวิลคำนับอีกครั้ง
    “เราเองก็ชื่นชมในความสามารถของท่านรัชเชลมานานแล้ว  และยิ่งได้เห็นฝีมือดาบของเจ้าด้วยนับว่าเชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ นะ”
    “รับสั่งเกินจริงไปแล้วพะย่ะค่ะ  กระหม่อมคงไม่สามารถไปเปรียบกับท่านพ่อได้หรอกพะย่ะค่ะ”
    “ไปกันเถอะเพคะ  น้องมีของจะให้ท่านพี่ด้วย” พระหัตถ์บางเกาะกุมพระกรหนาไว้อย่างหลวมๆ ก่อนพาเจ้าชายตัวโตออกจากลานฝึก  ทิ้งให้ราชองครักษ์ยืนนิ่งด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
    มือเรียวเก็บดาบโฮลี่  ซวอร์ดเข้าฝัก  อาการเหนื่อยอ่อนจากการต่อสู้เมื่อกี้แทบไม่มีด้วยซ้ำ  แต่ทำไมขาของเธอแทบจะไม่มีแรง  รู้สึกโหวงในช่องท้องอย่างประหลาด  กระอักกระอ่วนจนร่างกายรวนไปหมด  หรือว่า...
    ความรักจะทำพิษเสียแล้ว...

    แม้ไม่อยากจะรับว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไรทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก  แต่สามัญสำนึกบอกกับเธอว่า  มันไม่มีทางเป็นไปได้  ไม่คู่ควร...
    อย่างน้อย  เธอก็ไม่มีอะไรไปเทียบกับเจ้าชายจากโอเรนนั่นได้สักอย่าง
    เรวิลเดินตามหลังพระวรองค์ของทั้งคู่ไปอย่างเงียบเชียบ  ดวงเนตรสีทองชำเลืองมองมาเป็นระยะๆ  แต่เมื่อสบกับดวงตาสีน้ำทะเลที่นิ่งเฉยราวกับไม่รับรู้อันใด ก็หันพระพักตร์กลับอย่างรวดเร็ว  ขยับพระวรกายเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างจงใจ
    ...อีตาบ้าเอ้ย  ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยรึไงนะ!...
    ในบรรยากาศขมุกขมัวอยู่นั้น  ไม่ได้มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามีใครบางคนลอบยืนอยู่ในเงามืดของต้นไม้ใหญ่ในอุทยาน  ดวงตาสีม่วงจับจ้องไปที่บุคคลที่สำคัญที่สุดแห่งทราเวล
    มือหนาเหนี่ยวคันธนูที่ขึ้นสายเอาไว้  เป้าหมายยังคงไม่รู้สึกตัวว่ามีคนปองร้าย  ก่อนที่ธนูปลายแหลมคมจะพุ่งจากแหล่ง  ตรงดิ่งไปยังเจ้าหญิงแห่งทราเวล
    ฉึก!
    โดยไม่มีใครตั้งตัว  พระโลหิตสีแดงฉานก็ซึมออกจากพระวรองค์ผ่านชุดเกราะอ่อนสีทองอย่างแช่มช้า  ธนูดอกเล็กนั่นฝังลึกลงในพระอุระ  เจ้าหญิงพระองค์น้อยทรุดลงตามแรงโน้มถ่วง  เจ้าชายเฟียร์  ชาลเช่พุ่งเข้ารับพระวรกายขององค์หญิงไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มลงกับพื้น
    เรวิลสะบัดดาบของตน  พุ่งพลังเข้าใส่ตรงที่คิดว่าคนร้ายจะซุ้มอยู่  แต่ตรงนั้นกลับร้างผู้คน  เหลือเพียงกลุ่มควันสีม่วงให้ดูต่างหน้าเท่านั้น
    “บ้าชิบ!!!!”
    “เรวิลดูเจ้าหญิงก่อน!” เจ้าชายเฟียร์รับสั่งเรียกอย่างร้อนรน  ทอดพระเนตรมองร่างไร้สติของรัชทายาทแห่งทราเวลด้วยความเป็นห่วง
    “ฝ่าบาท!!!...ฝ่าบาท!!!...ฝ่าบาท!!!” เรวิลร้องเรียกด้วยเสียงอันดัง  แต่พระสติของเจ้าหญิงเจมีไนก็ไม่กลับคืนมา  อาการแบบนี้  แน่นอนแล้ว
    “ฝ่าบาท” ราชองครักษ์กราบทูลเจ้าชายหนุ่มอย่างยากเย็น
    “องค์หญิงถูกพิษพะย่ะค่ะ”
    “พิษ!...พิษชนิดไหนกัน!”
    คูเวล่า เอสตันพิโอร่า  ที่สกัดมาจากต้นเอสตันพะย่ะค่ะ”
    เสียงที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบ  พิษที่ร้ายแรงที่สุด  ยากนักต่อการที่จะหาทางแก้  ยาถอนพิษยิ่งหายากกว่าการหาตัวพิษหลายเท่านัก
    ราชวงค์บาซาลจะถึงกาลสิ้นสุดวันนี้หรือ!


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×