คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ธนูอาบยาพิษ
หมายกำหนดการของงานราชาพิเษกวางอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรของเจ้าหญิงเจมีไน ซึ่งดูเหมือนว่าพระวรองค์บางไม่ใคร่จะใส่ใจนัก พระองค์เพียงหยิบขึ้นมาทอดพระเนตรหลังจากนั้นจึงยื่นให้หญิงสาวร่างบางที่ยืนนบนอบอยู่ข้างๆ
“เจ้าอ่านให้เราฟังทีเซนิน...อ่อ ก่อนอ่านช่วยเรียกเรวิลให้เราด้วย” รับสั่งกับราชเลขาก่อนจะนั่งลงหยิบฎีกาปึกแรกขึ้นมาอ่านคร่าวๆ
“เพคะ” เซนิน รับคำอย่างว่าง่ายแล้วจึงเดินไปที่หน้าพระทวารเรียกราชองครักษ์ให้เข้ามาในห้องทรงพระอักษร
“มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้หรือพะย่ะค่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากให้เจ้ารู้หมายกำหนดการนี่หน่อยน่ะ ว่ามีข้อบกพร่องหรืออันตรายตรงไหนบ้าง” ตรัสเสียงเรียบ พระพักตร์บึ้งตึงจนบรรยากาศโดยรอบชักเครียดไปถนัดตา
“พะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาสีมรกตมองไปทางเจ้าหญิงรัชทายาททีทางราชองครักษ์ทีอย่างไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไรให้ปลอดภัยจากสถานการณ์มาคุๆ เช่นนี้ ทางด้านเรวิลนั้นก็ออกจะสงบเสงี่ยมจนหน้าแปลกใจ ส่วนเจ้าหญิงเจมีไนหรือก็เย็นชาเกินเหตุ ไม่มีเค้าของความสนิทสนมเหมือนเมื่อสองวันก่อนเลย
ก็ตั้งแต่ได้ข่าวลือเกี่ยวกับทายาทของตระกูลเรนเดลกับหลานสาวของเสนาบดีฝ่ายซ้ายสนิทสนมกันเกินหน้าเกินตาคนรู้จักปานนั้น แถมยังเป็นหัวข้อสนทนากันตั้งแต่ขุนนางในวังยันนางกำนัลทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในได้ยินถึงพระเนตรพระกรรณเป็นประจำ เธอเองก็เป็นแค่ราชเลขาก็เลยต้องรับพระอารมณ์ที่บึ้งๆ ตึงๆ ระหว่างนี้ไปอย่างช่วยไม่ได้
...เฮ้อ...
ไม่ได้อยากจะยุ่งเรื่องเจ้านายหรอกนะ แต่ก็แค่คิดว่าราชองครักษ์หนุ่มน้อยหน้าหวานคนนี้คงจะสำคัญต่อพระทัยน้อยๆ ขององค์หญิงของเธอมากเอาการ
“จะเริ่มอ่านได้รึยังล่ะเซนิน ท่านราชองครักษ์เขาคงไม่อยากรอนานนักหรอกนะ ไหนจะต้องไปคอยเอาอกเอาใจหลานสาวท่านเสนาบดีลาเปชอีก” พระสุรเสียงเรียบแต่หากกระแทกใจของท่านราชองครักษ์ไปเสียเต็มเหนี่ยว แต่ก็ได้แต่แอบถอนหายใจเงียบๆ แบบทำอะไรไม่ได้
“อะ...เอ่อ...เพคะ”
ข้อความที่เซนินอ่านออกมาเรื่อยๆ นั้นไม่ได้เข้าถึงพระกรรณเลยแม้แต่น้อย เพราะในพระทัยยังขุ่นมัวไปด้วยเรื่องของคนตรงหน้าเหนือสิ่งอื่นใด แต่ดูเถอะคนๆ นั้นยังทำหน้าเฉยไม่รับรู้เรื่องราวที่ทำให้เจ้านายของตนไม่พอใจได้ ไม่รู้ว่าโง่หรือบื้อกันแน่นะ
“พอแล้วเซนิน” ตรัสสั่งห้วนๆ ดวงพระเนตรยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นเยือก ซึ่งเซนินที่ทำงานถวายองค์เจ้าหญิงมาหลายปีพอจะรู้ว่าทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งถ้ามีคนมาขัดพระทัยแล้วละก็... ภาวนาให้หัวอยู่กับร่างต่อไปเถอะ
“เพคะ”
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว เราอยากอยู่คนเดียว”
เซนินถอนสายบัวอย่างเรียบร้อยแล้วค่อยๆ เดินออกพระทวารไปอย่างเงียบๆ เหลือเพียงเรวิลเท่านั้นที่ขัดรับสั่งยังคงยืนนิ่งไม่ไปไหน
“เราบอกว่าเราอยากอยู่คนเดียวยังไงเล่า!” พระสุรเสียงเริ่มกร้าวขึ้น
แต่คนที่ถูกตวาดยังคงยืนอยู่กับที่ ดวงตามองตรงสบพระเนตรสีทองอร่ามแน่วนิ่งอย่างไม่กลัวเกรงเลยแม้แต่น้อย ขายาวๆ เดินอ้อมมาเบื้องหลังโต๊ะทรงพระอักษร ยืนนิ่งข้างๆ เจ้าหญิงเจมีไนที่ตอนนี้ทรงพระพิโรธจนไม่ยอมทอดพระเนตรคนที่อยู่ใกล้ไม่ถึงนิ้วนี้ด้วยซ้ำ
“โกรธอะไรหม่อมฉัน?” ถามแผ่วเบา ดวงตาทอดมองพระพักตร์แดงก่ำหากแต่แดงด้วยความโกรธเพราะถูกขัดพระทัยหาใช่อาการขวยเขินไม่
“เจ้าขัดคำสั่งเรา!”
“ไม่...ไม่ใช่เรื่องนี้แน่...เรื่องที่ทำให้พระองค์ไม่ยอมรับสั่งกับหม่อมฉันดีๆ” น้ำเสียงอ่อนหวานผิดจากเดิมโดยที่เจ้าตัวแทบไม่รู้สึก มือเรียวเอื้อมไปแย่งสมุดฎีกาออกจากพระหัตถ์
เจ้าหญิงรัชทายาทหันพระพักตร์มามองราชองครักษ์ของคน แววพระเนตรเจือความน้อยพระทัยอยู่จางๆ พระโอฐษ์สั่นระริกขณะตรัสโดยไม่ยอมสบพระเนตรกับคนตรงหน้า
“ไม่ต้องมาสนใจเราหรอก”
“โกรธเรื่องอันใด...บอกหม่อมฉันได้หรือไม่” นึกแล้วก็โกรธตัวเองแทนเพราะจนป่านนี้ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหญิงของเธอรวมทั้งตัวเธอเองด้วย
...โธ่...เพิ่งรู้ว่าคนที่สอบได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็มใช่ว่าจะฉลาดไปทุกเรื่อง (อย่างน้อยก็เรื่องหัวใจนี่แหละที่โง่เหลือแสน)...
พระพี่เลี้ยงร่างท้วมที่แอบมอง(อย่างไม่ได้ตั้งใจ) ลอบรำพึงรำพันอยู่ในใจ
เอลม่ากะจะเอาของว่างมาให้เรวิลแต่ดันเห็นภาพนั้นเข้า จึงคิดว่าตอนนี้ควรทำหน้าที่ต้นทางจะดีกว่า!
“เราบอกว่าไม่ต้องมาสนใจเราไง...ไปสนใจแม่สาวมูลาคนนั้นดีกว่า!” ในที่สุดก็หลุดคำที่อยู่ในพระทัยออกไปจนได้อย่างไม่ได้ตั้งใจ วรองค์บางจึงหันขวับ สาวพระบาทออกมาให้ห่างจากองครักษ์ของตัวเองให้มากที่สุด
“หม่อมฉันจะไปสนใจมูลาทำไม” เรวิลแอบยิ้มในหน้า หัวใจพองโตอย่างไม่ทราบสาเหตุ เพราะอะไรล่ะที่ทำให้เจ้าหญิงโกรธเธอ เพราะมูลาสาวสวยคนนั้นน่ะหรือ เธอคงไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองไปหรอกนะ
...ทรงหึงเธอกับหลานสาวเสนาบดีนั่น...
“ถ้าทรงคิดมากเรื่องงานเลี้ยงที่คฤหาสน์ไดมอน จีเนียส...”
“เราไม่ได้คิดมาก!!” ขัดด้วยความเร็วแสง พระพักตร์ขึ้นสีจัด แม้นจะปฏิเสธตอนนี้ก็คงไม่ได้เพราะหลักฐานมันเด่นชัดคาตา ดวงพระทัยเต้นแรงและเร็วขึ้นทุกครั้งที่ร่างสูงเคลื่อนกายมาใกล้แต่ละก้าว อยากจะเบือนพระพักตร์ให้หนีห่าง แต่ดูเหมือนว่าจะถูกดวงตาสีน้ำทะเลนั่นสะกดนิ่งไม่ให้ไปจับจ้องที่อื่น
“หม่อมฉันไม่ได้คิดอะไรกับมูลา...ไม่เคยคิด...ต่อไปก็จะไม่คิด” น้ำเสียงช้าๆ เนิบนาบ เน้นชัดทุกคำพูด แต่ไม่ได้ตั้งใจให้องค์หญิงของเธอสั่นขนาดนี้
พระวรองค์บางสั่นเทาระริกคล้ายจะหมดแรงไปเรื่อยๆ พระองค์เริ่มรู้สึกว่าพระชานุสั่นอ่อนราวกับว่าจะล้มกองไปได้ทุกเมื่อ หัตถาแห่งจอมเจ้าหญิงจึงจับแน่นที่ชายเสื้อของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าเรวิลจะไม่รู้ตัวเลยว่าทำให้พระองค์เป็นแบบนี้ ยังคงขยับเข้ามาใกล้จนชิด
“เป็นอะไรไปพะย่ะค่ะ...ทรงประชวรหรือ?”
“ปะ...เปล่า”
“แต่พระพักตร์แดง...แล้วก็ร้อนด้วย” ว่าไม่ว่าเปล่ายังเอามือมาจับที่พระปรางแล้วต่อด้วยพระนลาฏ
“หม่อมฉันไม่ได้ชอบมูลาจริงๆ ทรงเชื่อเถอะ”
“แล้วข่าวลือเรื่องงานเลี้ยงคืนนั้นล่ะ เจ้าจะปฏิเสธเหรอ”
“ไม่”
ทรงก้มพระพักตร์ลง แอบกัดพระโอฐษ์ล่างข่มพระอารมณ์น้อยพระทัยไว้ไม่ให้แสดงออกมา
“พูดจากลับกลอก เจ้าบอกว่าไม่ชอบแต่กลับไม่ปฏิเสธ เห็นเราเป็นตัวตลกของเจ้ารึไง!” ตวาดกลับ น้ำพระเนตรรินลงมาช้าๆ เนื่องจากทรงห้ามไว้ไม่อยู่ นี่นะหรือที่บอกว่าทุกลมหายใจเพื่อพระองค์เพียงผู้เดียว โกหกทั้งเพ... หลงลืมแม้แต่คำสัญญาที่เพียรเฝ้ารอนับสิบปี ที่แท้มันก็แค่ลมปากของคนไม่จริงใจคนหนึ่งเท่านั้นเอง
“ไม่ใช่! ไม่ใช่นะพะย่ะค่ะ นั่นมันก็แค่แผนหลอกล่อให้พวกนั้นวางใจเท่านั้นเอง หม่อมฉันไม่ได้คิดชอบมูลาจริงๆ!”
ร่างสูงรวบพระวรองค์บางมากอดแน่น ตอนนี้หัวใจคงสั่งการแทนสมองไปเสียแล้ว จึงทำให้เธอทำอะไรบ้าๆ ทั้งผิดต่อหน้าที่ ผิดต่อความเป็นไปได้แบบนี้
...ถึงยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงนะ!...
จะอย่างไรก็ช่าง เธอไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว แค่เพียงเห็นหยาดน้ำตาเพียงเล็กน้อยขององค์หญิงหัวใจเธอก็แทบสลาย หากนี่คือความรักแม้ต้องแลกด้วยชีวิตเธอก็ยังยืนยันว่าจะรัก
“เชื่อหม่อมฉันนะ...อย่าทำแบบนี้อีกเลย...หม่อมฉันจะตาย...อย่ากรรแสงอีก...ได้โปรด” เรวิลวอนกับพระเกศาที่แนบอยู่กับใบหน้าของตน
“เจ้าไม่ได้คิดอะไรกับนางจริงเหรอ?” รับสั่งถามเสียงเครือ
“สาบานพะย่ะค่ะ”
“หากเจ้าไม่ได้ชอบนาง...แล้ว...แล้วเจ้าชอบใคร?”
“หม่อมฉัน...”
เจ้าหญิงรัชทายาทผลักร่างสูงของเรวิลออกไปอย่างแรง ดวงพระเนตรทอแววน้อยพระทัยลึกๆ แม้นไม่ทรงแสดงออกมากนัก แต่ก็ทำให้คนที่ยืนบื้อใบ้พูดไม่ออกอย่างเรวิลอยากจะตบหน้าตัวเองนักที่ไม่เอาไหนเอาเสียเลย
“....” แต่ทันที่ราชองครักษ์จะได้พูดอะไรออกมา เจ้าหญิงเจมีไนก็สาวพระบาทออกนอกพระทวารไปเสียแล้ว ทิ้งให้เรวิลยืนถอนหายใจเฮือกเพราะไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี
พระวรองค์บางทรงชุดนักรบด้วยเกราะอ่อนสีทอง พระเกศาสีม่วงถูกรวบเป็นหางม้าไว้เรียบร้อย ดวงเนตรแข็งกร้าวเมื่อตวัดดาบประจำพระองค์ จนอัศวินที่ถวายการฝึกแทบจะถอยร่นไม่เป็นกระบวน
เคร้ง!!!!
ดาบเล่มงามสีขาวประดับอักขระทองตวัดเข้ารับดาบแห่งองค์เจ้าหญิงไม่ให้เฉือดคออัศวินด้อยฝีมือได้อย่างหวุดหวิด ดวงเนตรสีทองกร้าวขึ้นเมื่อมองมายังราชองครักษ์ส่วนพระองค์ที่ยืนแน่วแน่ สบตาตอบอย่างไม่หวั่นเกรง
“เจ้า!!!”
“ถ้าฝ่าบาทต้องการคู่ซ้อม กระหม่อมจะถวายเองพะย่ะค่ะ” แม้ดวงตาสีน้ำทะเลนั้นจะแข็งกร้าว แต่ภายในนั้นกลับอ่อนยวบไปกว่าครึ่งเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าต้นเหตุของพระอาการเลือดร้อนแบบนี้มาจากใคร
...จะใครอีก...นอกจากตัวเอง...
“ได้! ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น”
หัตถาจอมเจ้าหญิงแกว่งไกวดาบเพรียวสีทองอย่างคล่องแคล่ว เรวิลรับดาบทองนั้นไว้ด้วยความรวดเร็วโดยใช้ดาบโฮลี่ ซวอร์ดของตน ก่อนจะรุกไล่ไม่ยั้งแต่ยังไม่ยอมผนวกพลังเวทของตนเข้าไปด้วยจึงไม่ได้สร้างความหนักใจให้กับเจ้าหญิงเจมีไนมากนัก แม้นจะเป็นเช่นนั้นพลังที่ส่งมาก็ยังนับว่าหนักหน่วงเอาการ
เคร้งๆๆๆๆ
เสียงดาบกระทบกันดังลั่นไปทั่วลานฝึก เจ้าหญิงน้อยตวัดดาบเฉียงขึ้นและใช้เวทสายลมช่วยหนุน ราชองครักษ์ยังรับไว้ได้ทันท่วงที ก่อนจะสะบัดพลังนั้นให้พ้นไป รัชทายาทแห่งทราเวลรุกไล่อีกครั้งโดยการจู่โจมลงไปที่ท้อง ดาบโฮลี่ซวอร์ดจึงเคลื่อนไปบังจุดนั้นโดยนึกไม่ถึงว่าการจู่โจมนั้นจะเป็นเพียงกลลวง พระวรองค์บางหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ปรากฏอยู่เบื้องหลังของร่างสูง พระแสงดาบสีทองอร่ามพุ่งด้วยความรวดเร็ว เป้าหมายคือลำคอของคู้ต่อสู้
โฮลี่ ซวอร์ดฉายแสงเรืองรองออกมา ก่อนตัวดาบจะแยกออกเป็นหลายๆ เล่ม ช่วยกันเจ้าของให้พ้นคมพระแสงดาบขององค์หญิงรัชทายาทที่หมายเอาชีวิตเลยทีเดียว
ทั้งสองถอยผละออกจากกัน ทิ้งระยะห่างกันพอสมควร ทั้งคู่ต่างค่อยๆ เคลื่อนกายอย่างระมัดระวัง
เจ้าหญิงเจมีไนในชุดนักรบเข้าประจันหน้ากับราชองครักษ์ส่วนพระองค์ ดาบงามปะทะกันดังเคร้งคร้างจนคนในที่นั้นพากันอกสั่นขวัญแขวน แม้นอีกคนหนึ่งจะเป็นถึงเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ผู้เป็นองค์เหนือหัวของตน แต่สัญชาตินักรบก็คือนักรบ เมื่อขึ้นสังเวียนก็ต้องสู้ให้เต็มที่ มิเช่นนั้นจะถือเป็นการดูถูกผู้ที่ประลองด้วย
“ฝีมือดาบเจ้าเก่งขึ้นมากนะ” ตรัสขึ้นขณะที่ยังตวัดดาบอยู่อย่างไม่ยั้ง
“เล็กน้อยเท่านั้นพะย่ะค่ะ” ตอบพลางโต้ดาบกลับไป
“เจ้าจะเล่นกับเราไปถึงไหน!!”
“หม่อมฉัน...”
เคร้ง!!!!!!
ฟันพระแสงดาบเข้ากลางแสกหน้า แต่ยังดีที่เรวิลสามารถตั้งดาบรับไว้ได้
“เรารู้ว่านี่ยังไม่ถึงเสี้ยวของฝีมือเจ้าด้วยซ้ำ!!!”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ เจ้าจะดูถูกเรางั้นรึ”
เรวิลตีลังกาถอยกลับ สะบัดดาบเป็นรูปครึ่งวงกลมครั้งหนึ่ง ก่อนดวงตาทรงเสน่ห์คู่นั้นจะฉายแววดุดัน จริงจังขึ้นมา มือเรียวกำด้ามดาบโฮลี่ซวอร์ดแน่นเข้า ร่างสูงวิ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ผู้สูงศักดิ์ด้วยความเร็วสูง จนร่างนั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าจะแบ่งออกเป็นหลายร่าง ร่างทุกร่างต่างขยับไปคนละแบบซึ่งยากกับการจะมองออกว่าใครคือตัวจริง
เรวิลทุกร่างพุ่งจู่โจมไปที่องค์หญิง ในพริบตาเดียว เจ้าหญิงรัชทายาทก็ต้องชะงักหยุดนิ่ง เมื่อดาบโฮวี่ ซวอร์ดได้จ่อเข้าที่พระศอของพระองค์เป็นที่เรียบร้อย
ราชองครักษ์ถอนดาบออกมาขณะที่อัศวินหลายๆ คนในที่นั้นต่างพากันวิ่งเข้ามาจ่อดาบไว้กับคอของเธอแทน
“พวกเจ้าทำอะไร?” รับสั่งถามเสียงขุ่น
“ก็มันบังอาจ...”
“หุบปาก! เมื่อกี้เจ้าไม่ได้ยินหรือไงว่าเราให้เรวิลเอาจริง...พวกเจ้านั่นแหละที่ต้องถอยออกไป!!”
“พะย่ะค่ะ” อัศวินทั้งหลายแหล่ต่างก็ขยับถอยออกไปอย่างไม่ใคร่จะเข้าใจนัก
เจ้าหญิงรัชทายาทเก็บพระแสงดาบเข้าฝัก ความบึ้งตึงเฉยชายังคงปรากฏอยู่บนดวงพระพักตร์งาม พระเนตรสีทองมองข้ามผ่านไหล่ของเรวิลที่ยืนขึ้น แย้มพระสรวลขึ้นทันทีที่เห็นใครบางคนก้าวเข้ามาในลานฝึก
“ท่านพี่เฟียร์มาตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ” พระสุรเสียงใสกังวานจนคนที่ถูกมองข้ามสะดุด องค์หญิงเจมีไนสาวพระบาทเลยไปเบื้องหลังของเรวิล ทักทายปราศรัยกับใครคนหนึ่งด้วยท่าทีสนิทสนม
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ้มรับคำกล่าวทักทายของเจ้าหญิงน้อย เฟียร์ ชาลเล่ เจ้าชายหนุ่มแห่งโอเรนแคว้นข้างเคียงทางฝั่งตะวันออก พระหัตถ์หนาข้างหนึ่งกุมดาบใหญ่เอาไว้ส่วนอีกข้างก็ลูบพระเกศาของเจ้าหญิงรัชทายาทด้วยความรักใคร่เอ็นดู
ดวงพระเนตรสีดำสนิท พระเกศาสีทองแดงแปลกตาสำหรับคนแคว้นนี้ พระพักตร์หล่อเหลาคมคายส่งรอยแย้มสรวลอยู่เป็นนิจ สร้างความเป็นมิตรและสนิทใจให้แก่ผู้คนที่พบเห็น สามารถบอกได้เลยว่าเสน่ห์ของเจ้าชายพระองค์นี้ก็คือความมีพระอารมณ์ดีอยู่เสมอนั่นเอง
เรวิลโค้งถวายคำนับอย่างนอบน้อม แม้นจะแปลกใจอยู่มากเมื่อเห็นท่าทีสนิมสนมระหว่างผู้สูงศักดิ์ทั้งคู่ และยอมรับได้เลยว่าภาพนั้นทำให้เธอหายใจไม่สะดวกเอาเสียเลย
“นี่น่ะหรือราชองครักษ์คนใหม่ของน้องเจมีไน”
“เพคะ...เรวิล เรนเดลเพคะ เป็นลูกของท่านเสนาบดีรัชเชลแล้วก็จบจากสุลามาร์ด้วยเพคะ” ดวงพระเนตรสีทองฉายแววเริงร่าแบบเด็กๆ ระหว่างที่สนพระทัยในการรับสั่งกับเจ้าชายแห่งโอเรนมากกว่าจะแนะนำ
“ถวายบังคมพะย่ะค่ะ” เรวิลคำนับอีกครั้ง
“เราเองก็ชื่นชมในความสามารถของท่านรัชเชลมานานแล้ว และยิ่งได้เห็นฝีมือดาบของเจ้าด้วยนับว่าเชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ นะ”
“รับสั่งเกินจริงไปแล้วพะย่ะค่ะ กระหม่อมคงไม่สามารถไปเปรียบกับท่านพ่อได้หรอกพะย่ะค่ะ”
“ไปกันเถอะเพคะ น้องมีของจะให้ท่านพี่ด้วย” พระหัตถ์บางเกาะกุมพระกรหนาไว้อย่างหลวมๆ ก่อนพาเจ้าชายตัวโตออกจากลานฝึก ทิ้งให้ราชองครักษ์ยืนนิ่งด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
มือเรียวเก็บดาบโฮลี่ ซวอร์ดเข้าฝัก อาการเหนื่อยอ่อนจากการต่อสู้เมื่อกี้แทบไม่มีด้วยซ้ำ แต่ทำไมขาของเธอแทบจะไม่มีแรง รู้สึกโหวงในช่องท้องอย่างประหลาด กระอักกระอ่วนจนร่างกายรวนไปหมด หรือว่า...
ความรักจะทำพิษเสียแล้ว...
แม้ไม่อยากจะรับว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไรทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก แต่สามัญสำนึกบอกกับเธอว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่คู่ควร...
อย่างน้อย เธอก็ไม่มีอะไรไปเทียบกับเจ้าชายจากโอเรนนั่นได้สักอย่าง
เรวิลเดินตามหลังพระวรองค์ของทั้งคู่ไปอย่างเงียบเชียบ ดวงเนตรสีทองชำเลืองมองมาเป็นระยะๆ แต่เมื่อสบกับดวงตาสีน้ำทะเลที่นิ่งเฉยราวกับไม่รับรู้อันใด ก็หันพระพักตร์กลับอย่างรวดเร็ว ขยับพระวรกายเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างจงใจ
...อีตาบ้าเอ้ย ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยรึไงนะ!...
ในบรรยากาศขมุกขมัวอยู่นั้น ไม่ได้มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามีใครบางคนลอบยืนอยู่ในเงามืดของต้นไม้ใหญ่ในอุทยาน ดวงตาสีม่วงจับจ้องไปที่บุคคลที่สำคัญที่สุดแห่งทราเวล
มือหนาเหนี่ยวคันธนูที่ขึ้นสายเอาไว้ เป้าหมายยังคงไม่รู้สึกตัวว่ามีคนปองร้าย ก่อนที่ธนูปลายแหลมคมจะพุ่งจากแหล่ง ตรงดิ่งไปยังเจ้าหญิงแห่งทราเวล
ฉึก!
โดยไม่มีใครตั้งตัว พระโลหิตสีแดงฉานก็ซึมออกจากพระวรองค์ผ่านชุดเกราะอ่อนสีทองอย่างแช่มช้า ธนูดอกเล็กนั่นฝังลึกลงในพระอุระ เจ้าหญิงพระองค์น้อยทรุดลงตามแรงโน้มถ่วง เจ้าชายเฟียร์ ชาลเช่พุ่งเข้ารับพระวรกายขององค์หญิงไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มลงกับพื้น
เรวิลสะบัดดาบของตน พุ่งพลังเข้าใส่ตรงที่คิดว่าคนร้ายจะซุ้มอยู่ แต่ตรงนั้นกลับร้างผู้คน เหลือเพียงกลุ่มควันสีม่วงให้ดูต่างหน้าเท่านั้น
“บ้าชิบ!!!!”
“เรวิลดูเจ้าหญิงก่อน!” เจ้าชายเฟียร์รับสั่งเรียกอย่างร้อนรน ทอดพระเนตรมองร่างไร้สติของรัชทายาทแห่งทราเวลด้วยความเป็นห่วง
“ฝ่าบาท!!!...ฝ่าบาท!!!...ฝ่าบาท!!!” เรวิลร้องเรียกด้วยเสียงอันดัง แต่พระสติของเจ้าหญิงเจมีไนก็ไม่กลับคืนมา อาการแบบนี้ แน่นอนแล้ว
“ฝ่าบาท” ราชองครักษ์กราบทูลเจ้าชายหนุ่มอย่างยากเย็น
“องค์หญิงถูกพิษพะย่ะค่ะ”
“พิษ!...พิษชนิดไหนกัน!”
“คูเวล่า เอสตันพิโอร่า ที่สกัดมาจากต้นเอสตันพะย่ะค่ะ”
เสียงที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบ พิษที่ร้ายแรงที่สุด ยากนักต่อการที่จะหาทางแก้ ยาถอนพิษยิ่งหายากกว่าการหาตัวพิษหลายเท่านัก
ราชวงค์บาซาลจะถึงกาลสิ้นสุดวันนี้หรือ!
ความคิดเห็น