ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำแห่งสายลมหนาว

    ลำดับตอนที่ #4 : ราชองครกัษ์ส่วนพระองค์

    • อัปเดตล่าสุด 7 ม.ค. 50


    “ฝ่าบาท!!!”
    เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งทราเวลได้ยินเสียงเรียกเพียงครั้งเดียว  สติที่มีอยู่ก็ค่อยๆ เลื่อนลอยไปพร้อมกับบรรดาหิมะที่ถล่มลงมาเกือบจะถึงองค์!!

    เสียงเปลวไฟปะทุดังปุปะ  เจ้าของร่างเพรียวกำลังเติมฟืนเพิ่มกำลังไฟเพื่อคลายความหนาวเย็นของสภาพอากาศที่โหดร้ายทารุณเหลือเกิน
    แค่เธอที่ฝึกความอดทนมาตั้งแต่ยังเล็กก็ไม่เท่าไหร่  แต่สำหรับผู้ที่อยู่แต่ในราชวังหลวงเฉกเช่นเจ้าหญิงองค์นี้เล่า
    “เจ้า...”พระโอษฐ์บางเอื้อนเอ่ยออกมาแผ่วเบา  พระเนตรสีทองสว่างเห็นเพียงเค้าร่างของใครบางคนจากเบื้องหลังเท่านั้นเอง
    “องค์หญิง” เรวิลหันมามององค์ที่พยายามลุกขึ้นมา  อยู่ในลักษณาการครึ่งนั่งครึ่งนอน
    ทอดพระเนตรมองให้ชัดกว่าเดิม  ผิวสีน้ำผึ้งผิดกับคนภูเขาแถบนี้  เว้นเสียแต่คนที่ออกแดดอยู่บ่อยๆ  ที่ทรงจำได้ก็มีอยู่คนหนึ่ง  ดวงตาสีน้ำทะเลอบอุ่น  ผมสีชายาวประบ่ารวบไว้ช่างคุ้นเคย...
    “เรวิล!”  เปลือกพระเนตรเบิกกว้างขึ้น  แค่อยากทอดพระเนตรให้ชัดๆ ว่าใช่คนที่ทรงคิดไว้หรือเปล่า
    “พะย่ะค่ะ”
    “เจ้า...  กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
    “ก็ตอนที่เกิดเรื่องนั่นแหละพะย่ะค่ะ  กระหม่อมเดินทางมาทางนี้พอดี  แล้วเห็นว่ามีเรื่องกระหม่อมเลยตามพระองค์มา”
    “เรื่อง...ตายแล้ว!  นี่เวลามันผ่านไปเท่าไหร่แล้วนี่  จลาจล...แย่แล้วเรวิลพาเราไปส่งที่เขตหน้าด่านเร็วเข้า!” ตรัสรับสั่งด้วยความรีบร้อน  เพราะทรงมีราชกิจสำคัญจะต้องไปทำ  ถ้ามัวแต่มานอนอยู่อย่างนี้ได้แย่แน่
    “ไม่ต้องรีบร้อนไปพะย่ะค่ะ  ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว  และอีกอย่าง...ไวโอลินมัน...”
    “ใช่! ไวโอลินล่ะ?” สีพระพักตร์ทรงเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเอ่ยถึงม้าทรงที่ได้รับบาดเจ็บ
    “ไม่เป็นไรหรอกพะย่ะค่ะ  กระหม่อมจัดการทำแผลให้แล้ว  ดีที่ไวโอลินแข็งแรงกว่าม้าทั่วไป  มิเช่นนั้นคง...”
    “ก็ดีแล้วล่ะ  ขอบใจนะที่มา...ช่วยเรา”
    ใบหน้านวลสีน้ำผึ้งก่ำสีเล็กน้อย  เมื่อได้ยินคำตรัสนั้น  ก่อนเอ่ยเบาจนแทบไม่ได้ยิน
    “มิเป็นไร มิได้พะย่ะค่ะ  กระหม่อมทำตามหน้าที่”
    “ยังไงก็ขอบใจล่ะกัน  แม้มันจะเป็นแค่หน้าที่ก็ตาม” สะบัดพระพักตร์หนี  ทรงไม่เข้าพระทัยเหมือนกันว่าทำไมต้องไม่พอใจกับคำว่าหน้าที่ของเรวิลด้วย
    ทรงเก็บความขุ่นมัวกลับไปในห้วงพระราชหฤทัย  แสดงพระพักตร์เย็นชาราวกับตอนที่ว่าราชการในท้องพระโรงอย่างไรอย่างนั้น  ก่อนจะเอนพระองค์ลงบนกองหญ้าแห้ง  ปิดเปลือกพระเนตรลงให้ใครบางคนคิดว่าทรงบรรทมไปแล้วก็แล้วกัน
    เรวิลมองตามองค์บางที่ทรงเปลี่ยนท่าทีรวดเร็วเหลือเกินอย่างสงสัย  แม้นคนที่ฉลาดอย่างเรวิลก็ยังไม่สามารถมองสีพระพักตร์ที่เฉยชาแบบนั้นออกเลย  คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความคลางแคลงใจไม่หาย  เพราะเกรงว่าจะไม่ทรงพอพระทัยอะไรตนหรือเปล่า
    แต่แล้วสายตาสีน้ำทะเลก็เบือนหน้ามองกองไฟที่ใกล้มอด  เธอหันไปเติมฟืนเข้าไปอีกหน่อย  จนไฟค่อยๆ ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง  สะท้อนให้เห็นดวงตาเศร้าหมองของบุตรีเสนาบดีในคราบชาย
    ที่ไม่ได้แม้แต่เป็นตัวของตัวเอง...

    เจ้าหญิงรัชทายาทสำรวจบาดแผลของม้าทรงสีขาวที่บัดนี้เหลือเพียงแต่คราบเลือดสีแดงติดอยู่เป็นดวงเท่านั้น  เพราะแผลที่ถูกลูกธนูนั้นได้สมานเข้าจนสนิทแล้วภายในคืนเดียว  ด้วยฝีมือของเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำทะเลที่กำลังใส่อานให้กับไวโอลินอยู่
    “เจ้าใช้ยาสมุนไพรสมานแผลสูตรไหน่น่ะเรวิล  ทำไมมันถึงได้หายเร็วขนาดนี้”
    “อาจารย์ของกระหม่อมสอนมาพะย่ะค่ะ”
    “อาจารย์ที่สุลามาร์น่ะเหรอ?  แบบนี้เราชักอยากไปเรียนที่นั้นบ้างแล้วสิ”
    “ไม่ใช่ที่โรงเรียนสุลามาร์หรอกพะย่ะค่ะ” เรวิลตอบตามความจริง  ขณะเดียวกันก็จัดอานม้าให้เข้าที่เสร็จเรียบร้อยเสียที
    “อ้าว...งั้นใครกันล่ะ  ที่เป็นคนสอนเจ้าน่ะ” ตรัสถามด้วยความสนพระทัย  ดวงพระเนตรส่องสว่างราวกับทรงลืมเรื่องขุ่นพระทัยเมื่อคืนไปเสียสนิท
    ริมฝีปากบางยิ้มเล็กน้อย  ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ  ดวงตาส่องประกายบางอย่างจนพระองค์หญิงอดสงสัยไม่ได้
    “เชอะ!  แค่นี้ก็หวงด้วย” วรองค์บางขยับขึ้นอาชา  พลางค้อนพระพักตร์ขวับกระตุกบังเหียนให้ไวโอลินเดินหน้าอย่างไม่รอ
    “เปล่าพะย่ะค่ะ  ก็กระหม่อมบอกไม่ได้จริงๆ นี่นา” เรวิลหันไปขึ้นคาริเน็ตตามไปบ้าง  จนไล่ทันม้าทรงที่ควบไม่ค่อยเร็วนัก  ราวกับเจ้าของม้าจะทรงรอให้ตามมาง้ออยู่แล้ว
    คาริเน็ตควบเข้าไปใกล้ม้าทรงสีขาว  เจ้าอาชาใช้หัวดุนลำคอของไวโอลินอย่างรักใคร่  มันสองตัวเป็นมิตรกันมานานพอๆ กับอายุของเจ้านายของมันทั้งคู่เลยทีเดียว  ถึงแม้จะไม่ได้พบเจอกันนานนับสิบปี  แต่ก็ไม่ได้ทำให้ม้าทั้งสองตัวลืมเลือนความผูกพันที่แน่นแฟ้นได้
    “ดูเจ้าคาริเน็ตมันจะดีใจนะพะย่ะค่ะ  ที่ได้เจอกับไวโอลิน”
    “อืม”
    “ว่าแต่...มีเรื่องอะไรที่เมืองหน้าด่านเหรอพะย่ะค่ะ” เรวิลซักต่ออย่างไม่ยอมจำนน  เมื่อเห็นเจ้าหญิงรัชทายาทยังคงทำพระพักตร์บึ้งตึงอยู่
    “ก็...นิดหน่อย”
    “กองโจรทางเขตเหนือคงหึกเหิมขึ้นไม่น้อย  เพราะทหารไปเน้นวางกำลังไว้เขตตะวันออกเพิ่มขึ้น  ซึ่งจำเป็นต้องลดจำนวนทหารของเขตเหนือลง  ส่งผลให้ง่ายต่อการโจมตี  นั่นคงทำให้เขตเหนือเมืองหน้าด่านวุ่นวายน่าดู”
    องค์หญิงเจมีไนหันพระพักตร์ขวับ  มองใบหน้าคร้ามของเรวิลด้วยความฉงน  สุลามาร์ห่างจากทราเวลไม่น้อยแล้วไฉนบุคคลตรงหน้าถึงเข้าใจสถานการณ์ของทราเวลได้ดีขนาดนี้
    “กรมข่าวของสุลามาร์เป็นหนึ่งพอๆ กับการทหารพะย่ะค่ะ  แต่ไม่ต้องทรงกังวลเรื่องความสัมพันระหว่างแคว้น  สุลามาร์เห็นเราเป็นมิตรตามพันธสัญญาเดิมพะย่ะค่ะ” เรวิลยังคงอธิบายต่อด้วยรอยยิ้มระบายตามใบหน้า  ไร้ซึ่งความกังวล
    “สมกับที่ไปร่ำเรียนจากสุลามาร์  แคว้นที่ขึ้นชื่อเรื่องการทหารมานะ” เจ้าหญิงรับสั่งติดประชด  ปรายหางพระเนตรไปทางอื่น
    “หม่อมฉันจะเรียนให้เหนื่อยไปทำไม  ถ้าไม่ใช่เพราะองค์หญิง”
    “นี่เจ้าหาว่าเราเอาเจ้าไปทรมานรึไง  เจ้าเลือกที่จะไปเองนะ” องค์หญิงแกล้งตรัสเสียงเข้มแต่ไม่ยอมมองอีกฝ่ายเพราะทรงเกรงว่าเรวิลจะทรงเห็นพระพักตร์ระเรื่อขึ้นเพราะความร้อนที่จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน
    “ช่างเถอะๆ  แล้วนี่เจ้ามาช่วยเราไว้ได้ยังไงนี่”  พระเนตรสีทองสุกสว่างกวาดมองไปทั่วป่า  เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาคมสีน้ำทะเลของเรวิลที่มองมาด้วยสายตาแปลกประหลาด  ที่มันทำให้พระองค์ทรงทำอะไรไม่ถูก
    “ก็กระหม่อมขับเกวียนมาเรื่อยๆ  ก็เห็นการต่อสู้ที่ขบวนเสด็จ  พอท่านพ่อบอกว่าเจ้าหญิงทรงเสด็จหนีมาทางหุบเขาหิมะทลาย  กระหม่อมก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
    “อะไรคืออะไร?”
    “พวกนั้นเข้าล้อมโจมตีขบวนเสด็จเพื่อต้องการบีบให้พระองค์ไปทางหุบเขาหิมะทลาย  เพราะพวกมันได้เตรียมการให้หิมะทล่มลงมาอยู่แล้ว  นี่คือแผนลอบปลงพระชนม์อย่างแนบเนียนให้เหมือนกับเป็นอุบัติเหตุพะย่ะค่ะ”
    “เหมือนกับครั้งนั้น”
    “พะย่ะค่ะ...ครั้งที่ราชาองค์ก่อนสิ้น” เรวิลกลั่นคำออกมาอย่างยากลำบาก  เพราะเธอเองก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นเหมือนกัน
    “งั้นก็ฝีมือคนๆ เดียวกัน” พระโอฐษ์อิ่มเม้มสนิท  แววพระเนตรมุ่งมั่นจริงจัง  พระหัตถ์เรียวกำบังเหียนแน่น
    “คอยดูนะเรวิล  เราไม่ปล่อยมันไว้แน่!”
    “พะย่ะค่ะ  กระหม่อมก็ไม่มีทางปล่อยมันไว้เหมือนกัน!!”

    ผลจากการถูกลอบโจมตีทำให้นายทหารบาดเจ็บไปสิบกว่านาย  ยังดีที่ไม่มีใครเสียชีวิตหรือบาดเจ็บถึงขั้นสาหัส  เจ้าหญิงเจมีไนได้รับสั่งให้แพทย์ประจำขบวนรักษาตามอาการเรียบร้อยแล้วให้ทหารอีกส่วนหนึ่งพาส่งกลับกรม
    “เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยท่านเสนาฯ”
    “พะย่ะค่ะ  ข้าพระองค์ให้รองหัวหน้าฝ่ายควบคุมพวกทหารที่บาดเจ็บกลับเรียบร้อยแล้วพะย่ะค่ะ” ท่านเสนาบดีรัชเชลกราบทูล  เขาเองก็มีบาดแผลที่ต้นแขนซ้ายเช่นกัน  เนื่องจากการต่อสู้กับชายในชุดดำนัยน์ตาสีม่วงที่ฝีมือสูสีกับเขาเสียจนเขาเกือบจะเพลี้ยงพล้ำ
    “มันเป็นใครกันนะ?” พระเนตรสีทองมองมายังแผลที่พันด้วยผ้าสีขาวสะอาดตรงหัวไหล่ของเสนาบดี
    “ข้าพระองค์ก็ไม่ทราบเกล้า  รู้จักก็เพียงแต่ดาบที่มันใช้เท่านั้นพะย่ะค่ะ”
    “ดาบ?”
    “ดาบเงาจันทราพะย่ะค่ะ  มันหายสาบสูญไปหลายสิบปีแล้ว  เป็นคู่ปรับสำคัญของสุริยันสังหาร  ถูกหล่อหลอมด้วยมนตราต้องห้าม  อาบด้วยเลือดมนุษย์  ใช้เหล็กจากตราของซาตาน  ถ้าเกิดไปอยู่ในมือของผู้ที่จิตแข็งกล้าไม่พอ  ดาบก็จะกลืนกินจิตวิญญาณของผู้ใช้พะย่ะค่ะ”
    “แสดงว่าชายผู้นั้นก็ไม่ธรรมดาสินะ  ถึงได้ใช้เงาจันทราได้” เจ้าหญิงเจมีไนสันนิษฐาน  แววพระเนตรครุ่นคิดถึงบุคคลที่พอเป็นไปได้  แต่ก็มองไม่เห็นใคร
    “เอ่อ...ท่านพ่อ  ข้าว่า...”
    “อะไรรึเรวิล” รัชเชลหันมาถามลูกสาว(ในคราบชาย)
    “ข้าว่าเราควรเดินทางไปเมืองหน้าด่านก่อนดีหรือไม่  ข้าว่าเรื่องนี้น่าจะพักเอาไว้ก่อน  ค่อยๆ จัดการไปทีละขั้น  เรื่องชายแดนเขตเหนือเองก็สำคัญไม่แพ้กัน  อีกเพียงไม่ถึงสองชั่วโมงก็น่าจะเดินทางไปถึงแล้ว”
    รัชทายาทแห่งทราเวลแย้มพระโอฐษ์รับ  หัตถาแห่งจอมจักรพรรดินีในอนาคตโบกให้สัญญาณเคลื่อนพล  ขบวนเสด็จจึงออกเดินทางอีกครั้ง

    “พลาด!!! ไอ้พวกโง่เง่า! ทำงานแค่นี้ก็ดันพลาด  ข้าไม่น่าไว้ใจพวกเจ้าเลยจริงๆ!!!” สุรเสียงเกรี้ยวกราด  พระหัตถ์หนากวาดข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะกระจายเกลื่อนพื้น  ดวงพระเนตรสีแดงเพลิงลุกโชนดุจเปลวไฟร้อนแรงด้วยเพลิงพิโรธ
    “กระหม่อมสมควรตาย  พวกเราเกือบทำสำเร็จอยู่แล้วแต่ดันมีคนมาขัดขวางพะย่ะค่ะ” ดวงตาสีเทาหม่นหลุบต่ำลงมองพื้น  ก้มหน้าคุกเข่าด้วยความเกรงกลัว  รายงานแก้ต่างให้ตัวเองเสียงระส่ำ
    “ใคร?”
    “เรวิลพะย่ะค่ะ  เรวิล  เรนเดล”
    “เจ้าเด็กคนนั้นเองรึ  ดีล่ะ  ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าแคว้นสุลามาร์สอนอะไรให้มันบ้าง”
    ลมหนาวพัดยะเยือกมาอีกครั้ง  พระเกศาสีแดงสดสะบัดพลิ้วตามแรงลม  แต่พระวรองค์ยังคงยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน  แววพระเนตรมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความคั่งแค้น...
    แค้น  ที่รอวันสะสาง

    “เราขอให้ทุกท่านใจเย็นเอาไว้ก่อน  ขอให้ทราบไว้ว่าทางราชวงค์มิได้ทอดทิ้ง  ทางเรายังคงส่งทหารเข้ามาปราบปรามกองโจรข้ามแดนอย่างต่อเนื่อง  และประสานงานกับแคว้นใกล้เคียงช่วยให้ความร่วมมือ...เราเองก็เป็นชาวทราเวล  รักและห่วงแหนแผนดินเฉกเช่นพวกท่าน  เราสัญญาว่าจะจัดการกับพวกที่มารุกรานแผนดินเราให้สูญสิ้นไปโดยเร็ววัน” พระสุรเสียงก้องไปทั่วลานกว้างหน้าพระตำหนักเล็กที่สร้างจากหินอ่อนสีขาวกับสีชมพูอ่อน  ต่อหน้าประชาชนหลายพันคน  แต่ก็นับว่ามากเมื่อเทียบกับเมืองหน้าด่านที่มีพื้นที่เพียงเล็กน้อย
    “ถ้าพวกท่านมั่นใจในองค์ราชาที่สู่สวรรคาลัยไปแล้ว  ก็ขอให้เชื่อในตัวของเราที่มีเลือดของพระบิดากับพระมารดาอยู่เต็มเปี่ยม  ว่าเราจะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของประชาราชทุกๆ คน!”
    สิ้นคำตรัสก็บังเกิดเสียงเฮดังขึ้นกึกก้อง  ประชาชนโห่ร้องด้วยความยินดี  ทหารหลายๆ นายก็พลอยพ้นลมหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่ต้องมีเหตุการณ์ให้ต้องวุ่นวายไปมากกว่านี้  ยังดีที่ขบวนเสด็จของเจ้าหญิงรัชทายาทมาถึงทันเวลาก่อนที่หทารที่ประจำการอยู่จะรับมือไม่ไหว
    องค์หญิงเจมีไนย่างพระบาทเข้าไปในพระตำหนักตามด้วยเรวิล  เสนาบดีรัชเชลและนายทหารยศสูงคนอื่นๆ  ปล่อยให้ประชาชนโห่ร้องสรรเสริญเจ้าหญิงรัชทายาทอย่างต่อเนื่อง
    “ทรงพระปรีชายิ่งแล้วพะย่ะค่ะ” เสนาบดีกลาโหมโค้งลงกล่าวสรรเสริญองค์เจ้าหญิงด้วยใจจริง  ทั้งแฝงไปด้วยความชื่นชมอย่างหาที่สุดไม่ได้
    “เป็นสิ่งที่เราต้องทำมิใช่หรือ...เอาล่ะเรามาปรึกษากันเรื่องเมื่อวานดีกว่า” เจ้าหญิงเจมีไนเพียงแต่แย้มพระโอฐษ์รับเล็กน้อย  แล้วก็ทรงเร่งงานเรื่องต่อไปในทันที
    “ข้าพระองค์ให้คนไปสืบแล้วพะย่ะค่ะว่าชายผู้นั้นเป็นใครกันแน่  คนที่มีบุคลิกโดดเด่นแบบนั้นคงหาได้ไม่ยากนัก” เสนาบดีรัชเชลทูลตอบ
    “ทางที่ดีเราอยากให้เรื่องนี้เงียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  เพื่อที่ฝ่ายของพวกมันจะได้ไม่ไหวตัวทัน  หนีหลุดมือเราไปเสียก่อน  เรายกเรื่องนี้ให้ท่านจัดการนะท่านเสนาฯ”
    “ตามพระประสงค์พะย่ะค่ะ”
    หัตถ์แห่งองค์รัชทายาทเอื้อมไปหยิบดาบของพระองค์เองขึ้นมา  ทอดพระเนตรตรงมายังเรวิลที่ยืนเคียงข้างบิดา
    “เจ้ามายืนตรงหน้าเราเรวิล”
    บุตรของเสนาบดีกลาโหมเดินเข้ามาจนถึงระยะ  เจ้าหญิงจึงรับสั่งให้คุกเข่าจนคนทั้งตำหนักสงสัย
    เจ้าหญิงรัชทายาทชักพระแสงดาบออกจากฝัก  พระกระแสรับสั่งใสดังก้องกังวานทั่วท้องพระโรง  ชวนให้บุคคลในที่นั้นต่างตกใจจนพากันยืนนิ่ง
    “เราขอแต่งตั้งให้เรวิล  เรนเดลเป็นราชองครักษ์ของเรา  ขึ้นตรงต่อเราฟังคำสั่งเราเพียงผู้เดียว  เข้านอกออกในวังหลวงได้ตลอดเวลา  เจ้ายินดีจะรับตำแหน่งหรือไม่”
    “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพะย่ะค่ะ”
    “ขอบใจมาก  ท่านราชองครักษ์” ตรัสอย่างพอพระทัย  ก่อนจะเก็บดาบสอดเข้าฝัก  ดวงพระเนตรสีทองที่มองมายังผู้ที่ได้รับตำแหน่งหมาดๆ
    แม้ยังมีบางคนที่ยังคงคลางแคลงใจ  แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดพระบัญชาขององค์เจ้าหญิง  ทุกสายตาจึงหันมามองที่คนๆ เดียว
    ราชองครักษ์ส่วนพระองค์คนแรกที่ยังไม่ได้เห็นแม้ฝีมือ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×