คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ราชองครกัษ์ส่วนพระองค์
“ฝ่าบาท!!!”
เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งทราเวลได้ยินเสียงเรียกเพียงครั้งเดียว สติที่มีอยู่ก็ค่อยๆ เลื่อนลอยไปพร้อมกับบรรดาหิมะที่ถล่มลงมาเกือบจะถึงองค์!!
เสียงเปลวไฟปะทุดังปุปะ เจ้าของร่างเพรียวกำลังเติมฟืนเพิ่มกำลังไฟเพื่อคลายความหนาวเย็นของสภาพอากาศที่โหดร้ายทารุณเหลือเกิน
แค่เธอที่ฝึกความอดทนมาตั้งแต่ยังเล็กก็ไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับผู้ที่อยู่แต่ในราชวังหลวงเฉกเช่นเจ้าหญิงองค์นี้เล่า
“เจ้า...”พระโอษฐ์บางเอื้อนเอ่ยออกมาแผ่วเบา พระเนตรสีทองสว่างเห็นเพียงเค้าร่างของใครบางคนจากเบื้องหลังเท่านั้นเอง
“องค์หญิง” เรวิลหันมามององค์ที่พยายามลุกขึ้นมา อยู่ในลักษณาการครึ่งนั่งครึ่งนอน
ทอดพระเนตรมองให้ชัดกว่าเดิม ผิวสีน้ำผึ้งผิดกับคนภูเขาแถบนี้ เว้นเสียแต่คนที่ออกแดดอยู่บ่อยๆ ที่ทรงจำได้ก็มีอยู่คนหนึ่ง ดวงตาสีน้ำทะเลอบอุ่น ผมสีชายาวประบ่ารวบไว้ช่างคุ้นเคย...
“เรวิล!” เปลือกพระเนตรเบิกกว้างขึ้น แค่อยากทอดพระเนตรให้ชัดๆ ว่าใช่คนที่ทรงคิดไว้หรือเปล่า
“พะย่ะค่ะ”
“เจ้า... กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตอนที่เกิดเรื่องนั่นแหละพะย่ะค่ะ กระหม่อมเดินทางมาทางนี้พอดี แล้วเห็นว่ามีเรื่องกระหม่อมเลยตามพระองค์มา”
“เรื่อง...ตายแล้ว! นี่เวลามันผ่านไปเท่าไหร่แล้วนี่ จลาจล...แย่แล้วเรวิลพาเราไปส่งที่เขตหน้าด่านเร็วเข้า!” ตรัสรับสั่งด้วยความรีบร้อน เพราะทรงมีราชกิจสำคัญจะต้องไปทำ ถ้ามัวแต่มานอนอยู่อย่างนี้ได้แย่แน่
“ไม่ต้องรีบร้อนไปพะย่ะค่ะ ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว และอีกอย่าง...ไวโอลินมัน...”
“ใช่! ไวโอลินล่ะ?” สีพระพักตร์ทรงเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเอ่ยถึงม้าทรงที่ได้รับบาดเจ็บ
“ไม่เป็นไรหรอกพะย่ะค่ะ กระหม่อมจัดการทำแผลให้แล้ว ดีที่ไวโอลินแข็งแรงกว่าม้าทั่วไป มิเช่นนั้นคง...”
“ก็ดีแล้วล่ะ ขอบใจนะที่มา...ช่วยเรา”
ใบหน้านวลสีน้ำผึ้งก่ำสีเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำตรัสนั้น ก่อนเอ่ยเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“มิเป็นไร มิได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมทำตามหน้าที่”
“ยังไงก็ขอบใจล่ะกัน แม้มันจะเป็นแค่หน้าที่ก็ตาม” สะบัดพระพักตร์หนี ทรงไม่เข้าพระทัยเหมือนกันว่าทำไมต้องไม่พอใจกับคำว่าหน้าที่ของเรวิลด้วย
ทรงเก็บความขุ่นมัวกลับไปในห้วงพระราชหฤทัย แสดงพระพักตร์เย็นชาราวกับตอนที่ว่าราชการในท้องพระโรงอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะเอนพระองค์ลงบนกองหญ้าแห้ง ปิดเปลือกพระเนตรลงให้ใครบางคนคิดว่าทรงบรรทมไปแล้วก็แล้วกัน
เรวิลมองตามองค์บางที่ทรงเปลี่ยนท่าทีรวดเร็วเหลือเกินอย่างสงสัย แม้นคนที่ฉลาดอย่างเรวิลก็ยังไม่สามารถมองสีพระพักตร์ที่เฉยชาแบบนั้นออกเลย คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความคลางแคลงใจไม่หาย เพราะเกรงว่าจะไม่ทรงพอพระทัยอะไรตนหรือเปล่า
แต่แล้วสายตาสีน้ำทะเลก็เบือนหน้ามองกองไฟที่ใกล้มอด เธอหันไปเติมฟืนเข้าไปอีกหน่อย จนไฟค่อยๆ ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง สะท้อนให้เห็นดวงตาเศร้าหมองของบุตรีเสนาบดีในคราบชาย
ที่ไม่ได้แม้แต่เป็นตัวของตัวเอง...
เจ้าหญิงรัชทายาทสำรวจบาดแผลของม้าทรงสีขาวที่บัดนี้เหลือเพียงแต่คราบเลือดสีแดงติดอยู่เป็นดวงเท่านั้น เพราะแผลที่ถูกลูกธนูนั้นได้สมานเข้าจนสนิทแล้วภายในคืนเดียว ด้วยฝีมือของเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำทะเลที่กำลังใส่อานให้กับไวโอลินอยู่
“เจ้าใช้ยาสมุนไพรสมานแผลสูตรไหน่น่ะเรวิล ทำไมมันถึงได้หายเร็วขนาดนี้”
“อาจารย์ของกระหม่อมสอนมาพะย่ะค่ะ”
“อาจารย์ที่สุลามาร์น่ะเหรอ? แบบนี้เราชักอยากไปเรียนที่นั้นบ้างแล้วสิ”
“ไม่ใช่ที่โรงเรียนสุลามาร์หรอกพะย่ะค่ะ” เรวิลตอบตามความจริง ขณะเดียวกันก็จัดอานม้าให้เข้าที่เสร็จเรียบร้อยเสียที
“อ้าว...งั้นใครกันล่ะ ที่เป็นคนสอนเจ้าน่ะ” ตรัสถามด้วยความสนพระทัย ดวงพระเนตรส่องสว่างราวกับทรงลืมเรื่องขุ่นพระทัยเมื่อคืนไปเสียสนิท
ริมฝีปากบางยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ ดวงตาส่องประกายบางอย่างจนพระองค์หญิงอดสงสัยไม่ได้
“เชอะ! แค่นี้ก็หวงด้วย” วรองค์บางขยับขึ้นอาชา พลางค้อนพระพักตร์ขวับกระตุกบังเหียนให้ไวโอลินเดินหน้าอย่างไม่รอ
“เปล่าพะย่ะค่ะ ก็กระหม่อมบอกไม่ได้จริงๆ นี่นา” เรวิลหันไปขึ้นคาริเน็ตตามไปบ้าง จนไล่ทันม้าทรงที่ควบไม่ค่อยเร็วนัก ราวกับเจ้าของม้าจะทรงรอให้ตามมาง้ออยู่แล้ว
คาริเน็ตควบเข้าไปใกล้ม้าทรงสีขาว เจ้าอาชาใช้หัวดุนลำคอของไวโอลินอย่างรักใคร่ มันสองตัวเป็นมิตรกันมานานพอๆ กับอายุของเจ้านายของมันทั้งคู่เลยทีเดียว ถึงแม้จะไม่ได้พบเจอกันนานนับสิบปี แต่ก็ไม่ได้ทำให้ม้าทั้งสองตัวลืมเลือนความผูกพันที่แน่นแฟ้นได้
“ดูเจ้าคาริเน็ตมันจะดีใจนะพะย่ะค่ะ ที่ได้เจอกับไวโอลิน”
“อืม”
“ว่าแต่...มีเรื่องอะไรที่เมืองหน้าด่านเหรอพะย่ะค่ะ” เรวิลซักต่ออย่างไม่ยอมจำนน เมื่อเห็นเจ้าหญิงรัชทายาทยังคงทำพระพักตร์บึ้งตึงอยู่
“ก็...นิดหน่อย”
“กองโจรทางเขตเหนือคงหึกเหิมขึ้นไม่น้อย เพราะทหารไปเน้นวางกำลังไว้เขตตะวันออกเพิ่มขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องลดจำนวนทหารของเขตเหนือลง ส่งผลให้ง่ายต่อการโจมตี นั่นคงทำให้เขตเหนือเมืองหน้าด่านวุ่นวายน่าดู”
องค์หญิงเจมีไนหันพระพักตร์ขวับ มองใบหน้าคร้ามของเรวิลด้วยความฉงน สุลามาร์ห่างจากทราเวลไม่น้อยแล้วไฉนบุคคลตรงหน้าถึงเข้าใจสถานการณ์ของทราเวลได้ดีขนาดนี้
“กรมข่าวของสุลามาร์เป็นหนึ่งพอๆ กับการทหารพะย่ะค่ะ แต่ไม่ต้องทรงกังวลเรื่องความสัมพันระหว่างแคว้น สุลามาร์เห็นเราเป็นมิตรตามพันธสัญญาเดิมพะย่ะค่ะ” เรวิลยังคงอธิบายต่อด้วยรอยยิ้มระบายตามใบหน้า ไร้ซึ่งความกังวล
“สมกับที่ไปร่ำเรียนจากสุลามาร์ แคว้นที่ขึ้นชื่อเรื่องการทหารมานะ” เจ้าหญิงรับสั่งติดประชด ปรายหางพระเนตรไปทางอื่น
“หม่อมฉันจะเรียนให้เหนื่อยไปทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะองค์หญิง”
“นี่เจ้าหาว่าเราเอาเจ้าไปทรมานรึไง เจ้าเลือกที่จะไปเองนะ” องค์หญิงแกล้งตรัสเสียงเข้มแต่ไม่ยอมมองอีกฝ่ายเพราะทรงเกรงว่าเรวิลจะทรงเห็นพระพักตร์ระเรื่อขึ้นเพราะความร้อนที่จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน
“ช่างเถอะๆ แล้วนี่เจ้ามาช่วยเราไว้ได้ยังไงนี่” พระเนตรสีทองสุกสว่างกวาดมองไปทั่วป่า เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาคมสีน้ำทะเลของเรวิลที่มองมาด้วยสายตาแปลกประหลาด ที่มันทำให้พระองค์ทรงทำอะไรไม่ถูก
“ก็กระหม่อมขับเกวียนมาเรื่อยๆ ก็เห็นการต่อสู้ที่ขบวนเสด็จ พอท่านพ่อบอกว่าเจ้าหญิงทรงเสด็จหนีมาทางหุบเขาหิมะทลาย กระหม่อมก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“อะไรคืออะไร?”
“พวกนั้นเข้าล้อมโจมตีขบวนเสด็จเพื่อต้องการบีบให้พระองค์ไปทางหุบเขาหิมะทลาย เพราะพวกมันได้เตรียมการให้หิมะทล่มลงมาอยู่แล้ว นี่คือแผนลอบปลงพระชนม์อย่างแนบเนียนให้เหมือนกับเป็นอุบัติเหตุพะย่ะค่ะ”
“เหมือนกับครั้งนั้น”
“พะย่ะค่ะ...ครั้งที่ราชาองค์ก่อนสิ้น” เรวิลกลั่นคำออกมาอย่างยากลำบาก เพราะเธอเองก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นเหมือนกัน
“งั้นก็ฝีมือคนๆ เดียวกัน” พระโอฐษ์อิ่มเม้มสนิท แววพระเนตรมุ่งมั่นจริงจัง พระหัตถ์เรียวกำบังเหียนแน่น
“คอยดูนะเรวิล เราไม่ปล่อยมันไว้แน่!”
“พะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ไม่มีทางปล่อยมันไว้เหมือนกัน!!”
ผลจากการถูกลอบโจมตีทำให้นายทหารบาดเจ็บไปสิบกว่านาย ยังดีที่ไม่มีใครเสียชีวิตหรือบาดเจ็บถึงขั้นสาหัส เจ้าหญิงเจมีไนได้รับสั่งให้แพทย์ประจำขบวนรักษาตามอาการเรียบร้อยแล้วให้ทหารอีกส่วนหนึ่งพาส่งกลับกรม
“เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยท่านเสนาฯ”
“พะย่ะค่ะ ข้าพระองค์ให้รองหัวหน้าฝ่ายควบคุมพวกทหารที่บาดเจ็บกลับเรียบร้อยแล้วพะย่ะค่ะ” ท่านเสนาบดีรัชเชลกราบทูล เขาเองก็มีบาดแผลที่ต้นแขนซ้ายเช่นกัน เนื่องจากการต่อสู้กับชายในชุดดำนัยน์ตาสีม่วงที่ฝีมือสูสีกับเขาเสียจนเขาเกือบจะเพลี้ยงพล้ำ
“มันเป็นใครกันนะ?” พระเนตรสีทองมองมายังแผลที่พันด้วยผ้าสีขาวสะอาดตรงหัวไหล่ของเสนาบดี
“ข้าพระองค์ก็ไม่ทราบเกล้า รู้จักก็เพียงแต่ดาบที่มันใช้เท่านั้นพะย่ะค่ะ”
“ดาบ?”
“ดาบเงาจันทราพะย่ะค่ะ มันหายสาบสูญไปหลายสิบปีแล้ว เป็นคู่ปรับสำคัญของสุริยันสังหาร ถูกหล่อหลอมด้วยมนตราต้องห้าม อาบด้วยเลือดมนุษย์ ใช้เหล็กจากตราของซาตาน ถ้าเกิดไปอยู่ในมือของผู้ที่จิตแข็งกล้าไม่พอ ดาบก็จะกลืนกินจิตวิญญาณของผู้ใช้พะย่ะค่ะ”
“แสดงว่าชายผู้นั้นก็ไม่ธรรมดาสินะ ถึงได้ใช้เงาจันทราได้” เจ้าหญิงเจมีไนสันนิษฐาน แววพระเนตรครุ่นคิดถึงบุคคลที่พอเป็นไปได้ แต่ก็มองไม่เห็นใคร
“เอ่อ...ท่านพ่อ ข้าว่า...”
“อะไรรึเรวิล” รัชเชลหันมาถามลูกสาว(ในคราบชาย)
“ข้าว่าเราควรเดินทางไปเมืองหน้าด่านก่อนดีหรือไม่ ข้าว่าเรื่องนี้น่าจะพักเอาไว้ก่อน ค่อยๆ จัดการไปทีละขั้น เรื่องชายแดนเขตเหนือเองก็สำคัญไม่แพ้กัน อีกเพียงไม่ถึงสองชั่วโมงก็น่าจะเดินทางไปถึงแล้ว”
รัชทายาทแห่งทราเวลแย้มพระโอฐษ์รับ หัตถาแห่งจอมจักรพรรดินีในอนาคตโบกให้สัญญาณเคลื่อนพล ขบวนเสด็จจึงออกเดินทางอีกครั้ง
“พลาด!!! ไอ้พวกโง่เง่า! ทำงานแค่นี้ก็ดันพลาด ข้าไม่น่าไว้ใจพวกเจ้าเลยจริงๆ!!!” สุรเสียงเกรี้ยวกราด พระหัตถ์หนากวาดข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะกระจายเกลื่อนพื้น ดวงพระเนตรสีแดงเพลิงลุกโชนดุจเปลวไฟร้อนแรงด้วยเพลิงพิโรธ
“กระหม่อมสมควรตาย พวกเราเกือบทำสำเร็จอยู่แล้วแต่ดันมีคนมาขัดขวางพะย่ะค่ะ” ดวงตาสีเทาหม่นหลุบต่ำลงมองพื้น ก้มหน้าคุกเข่าด้วยความเกรงกลัว รายงานแก้ต่างให้ตัวเองเสียงระส่ำ
“ใคร?”
“เรวิลพะย่ะค่ะ เรวิล เรนเดล”
“เจ้าเด็กคนนั้นเองรึ ดีล่ะ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าแคว้นสุลามาร์สอนอะไรให้มันบ้าง”
ลมหนาวพัดยะเยือกมาอีกครั้ง พระเกศาสีแดงสดสะบัดพลิ้วตามแรงลม แต่พระวรองค์ยังคงยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน แววพระเนตรมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความคั่งแค้น...
แค้น ที่รอวันสะสาง
“เราขอให้ทุกท่านใจเย็นเอาไว้ก่อน ขอให้ทราบไว้ว่าทางราชวงค์มิได้ทอดทิ้ง ทางเรายังคงส่งทหารเข้ามาปราบปรามกองโจรข้ามแดนอย่างต่อเนื่อง และประสานงานกับแคว้นใกล้เคียงช่วยให้ความร่วมมือ...เราเองก็เป็นชาวทราเวล รักและห่วงแหนแผนดินเฉกเช่นพวกท่าน เราสัญญาว่าจะจัดการกับพวกที่มารุกรานแผนดินเราให้สูญสิ้นไปโดยเร็ววัน” พระสุรเสียงก้องไปทั่วลานกว้างหน้าพระตำหนักเล็กที่สร้างจากหินอ่อนสีขาวกับสีชมพูอ่อน ต่อหน้าประชาชนหลายพันคน แต่ก็นับว่ามากเมื่อเทียบกับเมืองหน้าด่านที่มีพื้นที่เพียงเล็กน้อย
“ถ้าพวกท่านมั่นใจในองค์ราชาที่สู่สวรรคาลัยไปแล้ว ก็ขอให้เชื่อในตัวของเราที่มีเลือดของพระบิดากับพระมารดาอยู่เต็มเปี่ยม ว่าเราจะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของประชาราชทุกๆ คน!”
สิ้นคำตรัสก็บังเกิดเสียงเฮดังขึ้นกึกก้อง ประชาชนโห่ร้องด้วยความยินดี ทหารหลายๆ นายก็พลอยพ้นลมหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่ต้องมีเหตุการณ์ให้ต้องวุ่นวายไปมากกว่านี้ ยังดีที่ขบวนเสด็จของเจ้าหญิงรัชทายาทมาถึงทันเวลาก่อนที่หทารที่ประจำการอยู่จะรับมือไม่ไหว
องค์หญิงเจมีไนย่างพระบาทเข้าไปในพระตำหนักตามด้วยเรวิล เสนาบดีรัชเชลและนายทหารยศสูงคนอื่นๆ ปล่อยให้ประชาชนโห่ร้องสรรเสริญเจ้าหญิงรัชทายาทอย่างต่อเนื่อง
“ทรงพระปรีชายิ่งแล้วพะย่ะค่ะ” เสนาบดีกลาโหมโค้งลงกล่าวสรรเสริญองค์เจ้าหญิงด้วยใจจริง ทั้งแฝงไปด้วยความชื่นชมอย่างหาที่สุดไม่ได้
“เป็นสิ่งที่เราต้องทำมิใช่หรือ...เอาล่ะเรามาปรึกษากันเรื่องเมื่อวานดีกว่า” เจ้าหญิงเจมีไนเพียงแต่แย้มพระโอฐษ์รับเล็กน้อย แล้วก็ทรงเร่งงานเรื่องต่อไปในทันที
“ข้าพระองค์ให้คนไปสืบแล้วพะย่ะค่ะว่าชายผู้นั้นเป็นใครกันแน่ คนที่มีบุคลิกโดดเด่นแบบนั้นคงหาได้ไม่ยากนัก” เสนาบดีรัชเชลทูลตอบ
“ทางที่ดีเราอยากให้เรื่องนี้เงียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่ฝ่ายของพวกมันจะได้ไม่ไหวตัวทัน หนีหลุดมือเราไปเสียก่อน เรายกเรื่องนี้ให้ท่านจัดการนะท่านเสนาฯ”
“ตามพระประสงค์พะย่ะค่ะ”
หัตถ์แห่งองค์รัชทายาทเอื้อมไปหยิบดาบของพระองค์เองขึ้นมา ทอดพระเนตรตรงมายังเรวิลที่ยืนเคียงข้างบิดา
“เจ้ามายืนตรงหน้าเราเรวิล”
บุตรของเสนาบดีกลาโหมเดินเข้ามาจนถึงระยะ เจ้าหญิงจึงรับสั่งให้คุกเข่าจนคนทั้งตำหนักสงสัย
เจ้าหญิงรัชทายาทชักพระแสงดาบออกจากฝัก พระกระแสรับสั่งใสดังก้องกังวานทั่วท้องพระโรง ชวนให้บุคคลในที่นั้นต่างตกใจจนพากันยืนนิ่ง
“เราขอแต่งตั้งให้เรวิล เรนเดลเป็นราชองครักษ์ของเรา ขึ้นตรงต่อเราฟังคำสั่งเราเพียงผู้เดียว เข้านอกออกในวังหลวงได้ตลอดเวลา เจ้ายินดีจะรับตำแหน่งหรือไม่”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพะย่ะค่ะ”
“ขอบใจมาก ท่านราชองครักษ์” ตรัสอย่างพอพระทัย ก่อนจะเก็บดาบสอดเข้าฝัก ดวงพระเนตรสีทองที่มองมายังผู้ที่ได้รับตำแหน่งหมาดๆ
แม้ยังมีบางคนที่ยังคงคลางแคลงใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดพระบัญชาขององค์เจ้าหญิง ทุกสายตาจึงหันมามองที่คนๆ เดียว
ราชองครักษ์ส่วนพระองค์คนแรกที่ยังไม่ได้เห็นแม้ฝีมือ
ความคิดเห็น