คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ลอบปลงพระชนม์
ตารางการทรงงานขององค์หญิงรัชทายาทกางแผ่หลาอยู่กลางโต๊ะทรงอักษรของผู้สำเร็จราชการแทน ดวงพระเนตรสีแดงจัดชายตามองอย่างเจ้าเล่ห์ ณ ตอนนี้ก็เปรียบเหมือนดังว่าเจ้าหญิงเจมีไนก็ตกอยู่ในอุ้งหัตถ์อย่างแท้จริง เพราะถ้ามีข้อมูลอยู่กับพระองค์แบบนี้แล้ว จะวางแผนอะไรก็ง่ายดายเท่ากับพลิกฝ่ามือ
“ขอบใจมากนะลาอู ที่นำของขวัญที่มีค่าขนาดนี้มาให้ข้า”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อพระองค์อยู่แล้ว” ลาอู โดเรก้า ลูกชายคนเดียวของท่าเสนาบดี ลาเปช กราบทูลด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากผู้เป็นบิดา
“เจ้ายินดีที่จะรับงานใหม่หรือยัง”
“พ่ะย่ะค่ะ” ลาอูโค้งลงต่ำ นัยน์ตาสีเทาหม่นเปลี่ยนเป็นสีควันบุหรี่ดูน่าฉงน
“ข้าจะใช้แผนเก่า แผนเมื่อสิบสามปีก่อน ที่หุบเขาหิมะทลาย”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้ แล้วเรื่องนี้ จะบอกท่านเสนาฯมหาดไทยไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง! ไว้ข้าจะเป็นคนบอกพ่อของเจ้าเอง”
“ทูลลาพะย่ะค่ะ"
วรองค์เล็กบางขึ้นไปนั่งคุมบังเหียนบนอาชาสีขาวดุจหิมะ แต่ที่โดดเด่นก็คือ ดวงตาสีน้ำทะเลที่เป็นสีเดียวกับผู้จับมันใส่อานถวายให้แด่องค์หญิงรัชทายาทเมื่อครั้งยังเยาว์
ดวงพระเนตรเหลือบมองพระพี่เลี้ยงที่มาส่งด้วยความรู้สึกแปลกๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์จะเดินทางไกลไปเมืองหน้าด่าน แต่ทำไมถึงรู้สึกพระทัยหายก็ไม่รู้
“ออกเดินทางได้แล้วพะย่ะค่ะ” เสนาบดีรัชเชลกราบทูล
“ไปก่อนนะเอลม่า”“เพคะ”
หัตถ์เรียวกระตุกบังเหียนเบาๆ ขบวนเสด็จของเจาหญิงรัชทายาทแห่งทราเวล จึงค่อยๆ เคลื่อนออกจากประตูวังไปอย่างเงียบๆ
“ข่าวทางชายแดนเป็นไงบ้างท่านเสนาฯ” เจ้าหญิงตรัสถามด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียด ดูมีแววกังวลอยู่ไม่น้อย
เสนาบดีกลาโหมชักม้าเข้ามาใกล้ม้าทรงสีขาวสะอาดอีกนิดหน่อย กราบทูลน้ำเสียงค่อนข้างหนักใจ
“ไม่ค่อยดีพะย่ะค่ะ ชาวบ้านเริ่มก่อการ เพราไม่พอใจที่ราชวงค์ไม่กระทำการปราบโจรป่าให้สิ้นซาก จนเมื่อเช้า มีข่าวด่วนจากม้าเร็วว่า วุ่นวายจนเป็นการจลาจลไปแล้วพะย่ะค่ะ”
“ถึงขั้นนั้นเลยเหรอ?” พระขนงขมวดมุ่น ก่อนตรัสสั่ง
“รีบเดินทางเถอะ เราอยากไปถึงที่นั่นเร็วๆ”
“พะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มรับบัญชาจากเจ้าหญิงเจมีไน แล้วหันไปสั่งการกับนายทหารที่เหลือว่าให้เร่งเดินทาง
...บททดสอบแรกของการเป็นจักรพรรดินีงั้นรึ...
“รีบไปเถอะไวโอลิน” รับสั่งกับอาชาสีขาว ก่อนที่มันจะส่งเสียงรับในลำคอ แล้วเพิ่มความเร็วในการวิ่งให้เร็วขึ้นกว่าเดิม
ณ หุบเขาหิมะทลาย
หุบเขาที่เป็นจุดอันตรายที่สุดในแคว้นทราเวล เส้นทางที่น้อยคนนักจะผ่านมา เพราะไม่มีใครแน่ใจว่าหิมะบนภูเขาสูง จะเกิดถล่มลงมาเมื่อไหร่...ที่สำคัญ ที่แห่งนี้มันเคยพรากบุคคลที่สำคัญที่สุดของแคว้นนี้ไปแล้ว
ราชาและราชินีพระองค์ก่อนของแคว้นทราเวล พระชนกพระชนนีของเจ้าหญิงรัชทายาทเจมีไน
“เร่งมือเข้า” เสียงสั่งการของชายหนุ่มนายหนึ่งดังขึ้นเป็นระยะบนยอดเขาสุดอันตราย ผืนดินที่เคยเงียบสงบจะไม่สงบอีกต่อไป ถ้าคนกลุ่มนี้ทำงานได้สำเร็จตามที่ได้วางแผนไว้
ขบวนเสด็จขององค์หญิงรัชทายาทเจมีไนแห่งทราเวลได้เดินทางมาเกือบถึงครึ่งทางแล้วในเวลาครึ่งค่อนวัน เนื่องจากไม่ได้หยุดพักเลยสักนิด ทำให้การเดินทางรวดเร็วกว่าที่สมควรจะเป็นอยู่มากมายทีเดียว
“ฝ่าบาท” เสนาบดีรัชเชลกระตุกบังเหียนอาชาของตนเขามาใกล้
“หืม?”
“ทรงพักก่อนเถอะพะย่ะค่ะ แม้ว่าไวโอลินจะเดินทางได้โดยไม่ต้องหยุดพักก็จริง แต่ม้าของพวกทหารทีเหลือคงจะเดินทางต่อไปไม่ไหวแน่พะย่ะค่ะ” ท่านเสนาฯ หนุ่มกราบทูล
“นั่นสิ” ตรัสพลางเหลือบมองไปรอบๆ ม้าสีหิมะขององค์เองเดินนำออกมาแทบจะอยู่แถวหน้าของขบวน เมื่อม้าของนายทหารนายอื่นๆ หมดแรง เดินกันอย่างละห้อยละเหี่ยเต็มทน
“ทุกคนหยุดพักได้” สุรเสียงใสตรัสสั่งผู้ตามเสด็จทั้งหมด จนมีบางคนลอบถอนหายใจเสียด้วยซ้ำ
“ขอโทษทีนะ เราลืมนึกไปเลย” พระโอษฐ์บางเอื้อนเอ่ยกล่าวคำขอโทษอย่างไม่กลัวเสียพระพักตร์ ขณะที่เสด็จลงมาจากม้าทรงเรียบร้อยแล้ว
“หามิได้พะย่ะค่ะ” ผู้ตามเสด็จทั้งหมดทรุดลงคุกเข่าก้มหน้านิ่งกับพื้น ด้วยความนึกไม่ถึงว่าอย่างเจ้าหญิงรัชทายาทผู้สูงศักดิ์จะมากล่าวคำขอโทษกับผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่า
“พักกันตามสบายก็แล้วกัน อีกครึ่งชั่วโมงเราจะเริ่มเดินทางกันอีกครั้ง”
ท่านเสนาบดีรัชเชลลอบมององค์เจ้าหญิงเจมีไนอย่างพึงพอใจ...ผู้นำที่ดี ย่อมกล้าที่จะยอมรับความผิดที่ตัวเองกระทำได้อย่างกล้าหาญ...ถือว่าทรงสอบผ่านในข้อแรก เห็นทีจะต้องรอดูในบททดสอบต่อไป
นกพิราบสื่อสารบินถลาลงมาเกาะกับท่อนแขนของท่านเสนาบดีกลาโหม เขารีบทำการแกะกระดาษชิ้นเล็กที่ผูกให้กับขาเล็กๆ ของมันทันที
“เมืองหน้าด่านรายงานมาพะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มรีบกราบทูล
“ว่าไง?”
“การจลาจลกลุ่มเล็กเพิ่มจำนวนขึ้นหลายเท่าเลยพะย่ะค่ะ จนบัดนี้กำลังพลของหม่อมฉันก็ต้านไม่อยู่ และพยายามบุกรุกเข้าไปในพระตำหนักเล็กพะย่ะค่ะ”
ความกังวลฉายชัดอยู่บนพระพักตร์งาม พระตำหนักที่กล่าวถึง หมายถึงตำหนักที่พระชนกทรงโปรดไปพักอยู่บ่อยๆ เพราะความเงียบสงบและธรรมชาติที่ร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อน พระองค์ไม่อยากให้สถานที่ที่มีความทรงจำดีๆ ของเสด็จพ่อต้องเสียหายหรือเป็นอะไรไป
ด้วยเหตุนี้ เจ้าหญิงรัชทายาทถึงต้องไปไกล่เกลี่ยด้วยองค์เอง
“องค์หญิง...”
“เอ่อ...เราจะเอาอาหารไปให้ไวโอลินหน่อย เราฝากท่านดูแลทหารด้วยก็แล้วกัน” ทรงตัดบทก่อนที่รัชเชลจะทันได้พูดอะไร สาวพระบาทไปทางม้าทรงสีขาวที่ยืนนิ่งรอเจ้านายอยู่
ชายหนุ่มที่มองตามก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ รู้สึกสงสารองค์หญิงองค์นี้จับใจ ตั้งแต่เล็กจนโตมิเคยได้ทำอะไรตามพระทัยองค์เอง ทุกอย่างที่กระทำก็ย่อมด้วยหน้าที่ แถมยังต้องสูญเสียพระชนกกับพระชนนีไปตั้งแต่ครั้งทรงเยาว์อีก
แต่แน่นอน เส้นทางที่จะขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของปวงชนนั้นย่อมไม่ได้มาง่ายๆ รากฐาน เป็นส่วนสำคัญที่สุด ซึ่งเขาได้ฝากหน้าที่นี้ไว้ให้คนๆ หนึ่งแล้ว
...เจ้าหญิงรอเจ้าอยู่นะเรวิล...
เรวิลหยุดพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ตอนนี้เธอเข้าเขตทราเวลมาแล้ว จึงตัดสินใจให้คาริเน็ตม้าสีดำสนิทของเธอได้พักกินหญ้าบ้าง เพราะวิ่งด้วยความเร็วสูงมาหลายวันติดต่อกันแล้ว
ขณะที่แกะห่อข้าว ใจก็หวนนึกไปถึงคำพูดของผู้เป็นบิดา
“เจ้าต้องช่วยให้องค์หญิงได้ขึ้นครองราชย์นะเรวิล มันคือหน้าที่ของเจ้า”
คำพูดนี้เปรียบเหมือนคำสั่ง เธอถึงต้องปลอมตัวเป็นชาย เพื่อคอยคุ้มครอง ช่วยเหลือในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผู้ที่ขึ้นครองบัลลังก์จักรพรรดิต้องเป็นเจ้าหญิงเจมีไนเท่านั้น
“มันไม่ใช่แค่หน้าที่ที่ต้องกระทำท่านพ่อ มันเป็นสิ่งที่ข้าจะทำต่างหาก” แววตาสีน้ำทะเลยังคงมีแววมุ่งมั่นไม่แปรเปลี่ยนดังเช่นเคยมีมาในอดีต
เรวิลใช้เวลาอย่างรวดเร็วเพื่อกินข้าวในห่อให้หมด ขึ้นรถม้าสั่งคาริเน็ตพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง
“ออกเดินทางได้” รับสั่งหลังจากทั้งม้าทั้งทหารได้พักกันครึ่งชั่วโมงไปแล้ว
ขบวนเสด็จของเจ้าหญิงรัชทายาทเคลื่อนออกไปมุ่งหน้าสู่เมืองหน้าด่าน เพื่อรุดไปไกล่เกลี่ยเหตุการณ์จลาจลให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีการสูญเสียเกิดขึ้น
โดยไม่มีใครสังเกตเลยว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีนี้
บางสิ่งที่ผู้ก่อการร้ายเริ่มต้นแผนการ...
แผนการลอบปลงพระชนม์!!!
ลูกธนูหลายสิบดอกพุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง เหมือนว่าขบวนเสด็จจะตกอยู่ในวงล้อมเสียแล้ว
“คุ้มครององค์หญิง!!” เสนาบดีกลาโหมสั่งเสียงเกรี้ยว ชักดาบออกมาจากฝักป่ายปัดลูกธนูปลายแหลมไปให้พ้นทาง
ม้าหลายตัวตื่นตระหนก พยศขึ้นมาด้วยความตกใจ วิ่งพล่านไปทั่วจนพื้นหิมะพุ้งกระจาย ทำให้ดูเหมือนตกอยู่ในวงล้อมยังไม่พอ แถมยังอยู่ท่ามกลางทะเลหมอกอีก
เจ้าหญิงรัชทายาทชักดาบเรียวออกมาจากฝักที่บั้นพระองค์(เอว) ตวัดดาบปัดลูกธนูที่พุ่งตรงมาแทบไม่ทัน จนได้ยินเสียงเสนาบดีรัชเชลดังขึ้นข้างๆ ว่าให้ระวังองค์เอง จึงค่อยโล่งพระทัยขึ้นมาหน่อย
“ตามกระหม่อมมาพะย่ะค่ะ” เสียงร้อนรนดังขึ้นอีกครั้ง ไวโอลินจึงค่อยๆ เคลื่อนตามคล้ายๆ ว่าจะถูกจูงไป
“จะไปไหน!!” ร่างในชุดรัดกุมสีดำ ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าที่ขณะนี้ทัศนวิสัยในการมองเห็นเริ่มดีขึ้นแล้ว
“เจ้าเป็นใคร?!!!” รัชเชลตะโกนถามอย่างกราดเกรี้ยว เขาไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ที่มีคนมาเหยียบจมูกเขาแบบนี้
“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้หรอกท่านเสนาบดีรัชเชล” ชายชุดดำยังคงเอ่ยแบบเรียบๆ
“ถอยไป!!! ข้าจะไม่พูดเป็นครั้งที่สองนะ”
ท่านเสนาบดีรัชเชลพินิจมองศัตรูตรงหน้าด้วยความไม่ประมาท ด้วยท่วงท่าการยืนม้าที่มั่นคง ช่วงหลังเหยียดตรง บ่งบอกได้ทันทีว่าชายคนนี้ฝีมือในการต่อสู้ไม่ธรรมดาเลย เผลอๆ อาจจะสูงกว่าเขาด้วยซ้ำไป เพราะดวงตาสีม่วงที่มองมายังเขาไม่มีหวั่นเกรงเลยแม้แต่นิด ทั้งๆ ที่ชื่อของรัชเชลเป็นที่กล่าวขวัญกันในนาม อัศวินเกราะทองแห่งทราเวล อัศวินที่เก่งกาจที่สุดของรัชการที่แล้ว
“ถ้าคิดว่าท่านสามารถผ่านข้าไปได้ก็ลองดูสิ ท่านอัศวินเกราะทอง”
เจ้าของนัยน์ตาสีม่วงชักดาบสีดำสนิทออกมาจากฝัก เหมือนที่ตัวดาบจะลงอักขระมนตร์ดำไว้เสียสัมผัสได้อย่างง่ายดาย
ดาบที่ดื่มเลือดเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง
...ไม่ได้ให้คนใช้มันได้อย่างง่ายๆ
แต่ต้องแข็งแกร่งพอและชั่วร้ายพอที่จะใช้มัน...
...ไม่ธรรมดาแล้วแฮะ
“ท่านเสนาฯ...” เจ้าหญิงรัชทายาททอดพระเนตรมองศัตรูตรงหน้าด้วยความหวาดหวั่นในกลิ่นอายความชั่วร้ายในตัวมัน
“ระวังองค์เองด้วย พวกมันอาจลอบกัด” เสนาฯ หนุ่มพูดแค่นั้นก็ควบม้า ก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการต่อสู้อีกครั้ง
แม้ว่าแผ่นดินจะร้างสงครามมานาน แต่ใช่ว่าชายหนุ่มจะปลดระวางตัวเอง ยังคงฝึกซ่อมฝีมืออยู่สม่ำเสมอเพื่อความไม่ประมาท รังสีแห่งการฆ่าฟัน ยังไม่จางหายไปจากดวงตาแน่วแน่ของอัศวินเกราะทองตำนานอีกบทหนึ่งของแคว้นทราเวล
ทั้งสองฝ่ายดูเชิงกันอยู่ระยะหนึ่ง ต่างคนต่างควบม้าทิ้งระยะห่างวนเป็นวงกลม มือหนากระชับดาบในมือแน่น ดวงตาแต่ละฝ่ายต่างจับจ้องกันจนเรียกได้ว่าไม่มีใครกระพริบตาเลยทีเดียว
ทั้งคู่พุ่งเข้าหากันราวกับนัดหมาย ดาบกระทบกันดังเคร้งๆๆ จนเกิดประกายไฟขึ้นเป็นระยะๆ
เหมือน...กลางคืนกับกลางวัน...
ถ้าอีกฝ่ายเป็นกลางคืน เสนาบดีกลาโหมก็เป็นกลางวัน
ถ้าดาบสีดำของศัตรูเป็นกลางคืน...ดาบสีทองของเขาก็เป็นกลางวัน
ดาบเงาจันทรา กับ...ดาบสุริยันสังหาร
ฉึก!!!
ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้าที่ขาหลังของม้าทรง เรียกเลือดสีแดงก่ำซึมออกมาตามขนสีขาวของมันจนได้
“ไวโอลิน!!!!”
ด้วยความเจ็บปวดปนตกใจ ไวโอลินจึงตื่นตะบึงไปข้างหน้าอย่างแรง ดีที่เจ้าหญิงเจมีไนทรงจับบังเหียนไว้อย่างดีจึงไม่ตกลงไป
“เจ้าหญิง!!!” ท่านเสนาฯ ร้องด้วยความตกใจ
“ตามมันไป!” ชายชุดดำหันมาสั่งกับสมุนที่อยู่เบื้องหลัง เพียงไม่ถึงวินาทีก็ควบม้าหายลับไป
...แย่แล้ว ทางนั้นมันหุบเขาหิมะทลายนี่นา...
ชายหนุ่มคิดด้วยความตื่นตระหนก พอดีกับที่เหลือบไปเห็นม้าสีดำพ่วงพีพุ่งเข้ามาพอดี
“เรวิล!!”
“ขอรับท่านพ่อ”
“เจ้าหญิงเสด็จไปทางหุบเขาหิมะทลาย”
“สนใจอะไรอยู่ท่านเสนาฯ” ปลายดาบสีดำพุ่งตรงเข้ามา ดาบสุริยันสังหารจึงตวัดรับด้วยสัณชาตญาณ
“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะคุ้มครององค์หญิงเอง” พูดจบ เจ้าของม้าสีดำสนิทก็ควบตามเส้นทางเสด็จด้วยความเร็วสูง
ทางด้านองค์หญิงรัชทายาทเมื่อถูกต้อนมา ไวโอลินจึงรีบควบมาจนถึงขีดจำกัดของตัวเอง ในที่สุดก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ล้มกองอยู่กับพื้น
“ไวโอลิน!!”
ชายในชุดรัดกุมควบม้าตามมาถึง หยุดอยู่เบื้องพระพักตร์ เงื้อดาบขึ้น และ...
เคร้ง!!!
ดาบสีขาวประดับอักขระทองตวัดเพียงครั้งเดียว ดาบในมือผู้ร้ายก็หักเป็นสองท่อน ทำให้ศัตรูชะงักไปวูบหนึ่ง
“บังอาจล่วงเกินองค์หญิง เจ้าก็สมควรตายตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว” ร่างเพรียวบนอาชาสีดำสนิทตวัดดาบคู่กายสังหารศัตรูถึงสองคนภายในครั้งเดียว
เจ้าหญิงรัชทายาทเห็นว่าสบโอกาสจึงรีบวิ่งตรงไปที่ทางแคบๆ เบื้องหน้า โดยไม่รู้เลยว่า ข้างบนหุบเขามีคนอยู่เพื่อรอกระทำการในแผนการขั้นสุดท้าย!!
“เจ้าเป็นใคร?” มันถามผู้มาใหม่ด้วยเสียงตระหนก
แต่เจ้าของดาบกลับไม่ตอบ ก่อนเค้นเสียงเย็นชาตอกกลับพร้อมปักดาบลงบนตัวคนถาม
“ชื่อของข้า เรวิล เรนเดล จำไว้เผื่อไปโลกหน้าด้วยแล้วกัน!!”
“องค์หญิง...” เรวิลหันไปมองหาเจ้าหญิงเจมีไนเมื่อเหตุการณ์สงบแล้ว แต่กลับไม่พบแม้เงา
นัยน์ตาสีน้ำทะเลหันไปทางที่มีรอยเท้าเล็กๆ วิ่งไปก็เริ่มแน่ใจ รีบห้อตะบึงคาริเน็ตม้าสีดำให้ควบไปด้วยความเร็วสูง ด้วยเกรงว่าสิ่งที่คิดไว้มันจะเป็นเรื่องจริง
ทางด้านเจ้าหญิงเจมีไนเมื่อวิ่งมาได้ระยะพอสมควรก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ ผืนหิมะสีขาวที่ทรงประทับยืนอยู่ก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของบางสิ่งบางอย่าง จึงเงยพระพักตร์มองขึ้นไปบนหุบเขาสูง
“ข่าวด่วนจากขบวนเสด็จขอรับท่านเสนาบดี” มหาดเล็กนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว
“อะไร?” ท่านเสนาบดีกลาโหมเอยถามพลางคว้าสานส์จากมือของมหาดเล็กมากางอ่าน
ก่อนที่คิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากันจนติด แววตาสีมรกตตะลึงพรึงเพริดและกังวลอยู่ในที ก่อนกราบทูลให้เจ้าหญิงพระองค์น้อยรับทราบด้วยเสียงสั่นคลอน
“องค์จักรพรรดิกับมเหสีสิ้นพระชนม์แล้วพะย่ะค่ะ!!!”
“อะไรนะ! เราไม่เชื่อ เหตุการณ์แบบนี้มันจะเกิดขึ้นได้ยังไง!” เจ้าหญิงน้อยตวาดแหว พระอัสสุเริ่มคลอหน่วย
“ทรงเดินทางผ่านหุบเขาหิมะทลาย แต่นึกไม่ถึงว่าหิมะจะถล่มลงมาพะย่ะค่ะ”
...เราจะตายแบบเดียวกับเสด็จพ่อเสด็จแม่หรือไงนะ...
เป็นประโยคเดียวที่ทรงดำริขึ้นมาในความคิดคำนึง เมื่อห้วงเวลาในอดีตกำลังย้อนกลับมาทำร้ายพระองค์เล็กอีกคราหนึ่ง ดวงเนตรก็จับภาพที่หิมะหนาค่อยๆ เคลื่อนลงมาสู่พระองค์เองด้วยความเร็วสูง
ความคิดเห็น