คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Return To Trawel
“หม่อมฉันไม่เห็นด้วย...” พระสุรเสียงใสชัดเจนแสดงถึงความเชื่อมั่นในพระองค์เองอย่างสูง “ที่เราจะสั่งของฟุ่มเฟือยเหล่านั้นมากมายเกินความจำเป็น ทั้งๆ ที่ตอนนี่ทางการคลังของเรากำลังมีปัญหา หลานว่าเอาเงินไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์กับประชาราช แทนที่จะเอามาซื้อของไร้ความจำเป็นเพื่อโอ้อวดใครต่อใครดีกว่ามั้ยเพคะ” ดวงพระเนตรสีทองสะท้อนสีพระพักตร์ขุ้นแค้นที่ปิดได้ไม่มิด ของผู้สเร็จราชการอาร์ลี พระเนตรสีแดงราวกับมีไฟลุก พุ่งตรงมาที่เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งทราเวล
เจ้าหญิงเจมีไนเองก็ทรงสบพระเนตรตอบอย่างไม่หวั่นเกรงเช่นกัน
“งั้นอาขอตัวก่อนนะ เห็นทีคงต้องไปหาอะไรทำที่เป็นประโยชน์อย่างที่หลานว่านั้นแหละ” ผู้สำเร็จราชการตรัสแดกดัน ก่อนจะสาวพระบาทออกไปจากห้องทรงพระอักษรอย่างรวดเร็ว
แต่เจ้าของพระเนตรสีทองกลับยิ้มอย่างมีชัย เบื้องหลังโต๊ะทรงพระอักษรตัวใหญ่ ก่อนก้มพระพักตร์ลงอ่านฎีกาปึกใหญ่อีกครั้ง
อีกเพียงไม่นาน เจ้าหญิงรัชทายาทก็จะครบ 18 ชัญษาแล้ว ตลอด 10 ปีที่ผ่านมามีเรื่องราวมากมายที่ต้องเรียนรู้ และก็ทรงทำได้ดีชนิดดีเยี่ยมด้วย เป็นที่คาดกันว่าจะต้องทรงดำรงตำแหน่งจักรพรรดินีได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่เจ้าชายอาร์ลีทรงเกรงกลัวที่สุดเช่นกัน
พอคล้อยหลังท่านผู้สำเร็จราชการ มหาดเล็กก็ขานชื่อเสนาบดีวัง กัสเกล อานิลเข้าเฝ้า และคงจะเป็นเรื่องหมายกำหนดการของพิธีราชาพิเษก ที่จะมีในอีก 5 เดือนข้างหน้าอย่างเช่นเคย
“เข้ามาสิท่านกัสเกล” เจ้าหญิงเจมีไนตรัส ร่างแก่ๆ ใกล้เกษียนของท่านเสนาบดีกรมวังจึงค่อยก้าวข้ามพระทวารมา
เสนาบดีกัสเกลถวายคำนับแด่องค์เจ้าหญิง ก่อนองค์หญิงจะผายมือให้นั่งลงตรงเก้าอี้เบื้องหน้า
“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ”
“เรื่องพิธีการ ไปถึงไหนแล้วล่ะ”
“ใกล้จะเรียบร้อยแล้วพะย่ะค่ะ ขาดอยู่ฝ่ายจัดเลี้ยงพะย่ะค่ะ” เสนาฯเฒ่าทูลตอบ
“หืม...ทำไมล่ะ?” เจ้าหญิงเจมีไนเลิกพระขนงอย่างสงสัย
“คือ...ยังตกลงกันไม่ได้เลยพะย่ะค่ะ ว่าจะจัดงานเลี้ยงไปในแบบไหนดี แล้วจะเชิญแขกจากไหนมาบ้าง” กัสเกลขมวดคิ้วด้วยความกังวล จนเจ้าหญิงเกือบกลั้นสรวลไว้ไม่ไหว
“จะจัดแบบไหนก็จัดเถอะ เอาเป็นว่าให้มันเรียบง่าย ไม่ต้องสิ้นเปลืองเป็นพอ” เจ้าหญิงรับสั่งอย่างไม่ใส่พระทัย
“แต่ว่า...”
แต่ว่าอะไรอีกล่ะ ในเมื่อพวกท่านตกลงกันไม่ได้เราก็จะเป็นฝ่ายคิดเอง สรุป...จัดให้เรียบง่ายที่สุดไม่ต้องหรูหรามากมาย จะได้ประหยัดงบประมาณลง แล้วยังไงท่านก็นำเรื่องนี้ไปปรึกษาท่านเสนาบดีคลังดูนะ”
“แต่ว่าถ้าลดงบประมาณลง งานพิธีเองก็ต้องลดสัดส่วนลง จะเป็นการไม่สมพระเกียตินะพะย่ะค่ะ อีกทั้งยังไม่มีกษัตริย์พระองค์ไหนทรงกระทำ”
“เกียติของเรากับความเป็นอยู่ของราษฎรอย่างไหนสำคัญกว่า!” พระสุรเสียงเริ่มเข้มขึ้น “จะให้เรานั่งเสวยสุขแล้วปล่อยให้ประชาขนของตัวเองอดอยากอย่างนั้นรึ!...เอาล่ะ ท่านไปทำตามที่เราบอกก็แล้วกัน”
“พะย่ะค่ะ” ท่านเสนาบดีเหงื่อตก ก่อนจะรับคำเสียงอ่อยจนแทบไม่ได้ยิน
“ไปได้แล้ว เราจะทำงานต่อ”
“พะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”
เจ้าชายอารลีเม้มพระโอฐษ์ด้วยความเจ็บแค้น ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าหักหน้าพระองค์แบบนี้ เพราะรู้ตัวดีว่าผลมันจะตามมาอย่างไร แต่องค์หญิงองค์เล็กนิดเดียวพระองค์หนึ่ง กลับทำให้ผู้สำเร็จราชการเสียหน้าได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ตั้งแต่ครั้งที่เจ้าหญิงทรงมีพระชนมายุเพียง15 ชัญษา เจ้าชายอาร์ลีผู้เป็นพระปิตุลาพยายามหาข้ออ้างในการลดกำลังทหาร ว่ามันจะช่วยให้ค่าใช้จ่ายของกองทัพลง เพราะในเมื่อเมืองหลวงและพระราชวังก็มีทหารเพียงพอแล้ว แต่องค์หญิงเจมีไนก็ทรงปฏิเสธ โดยโต้ว่า มีกองโจรหลายเผ่าเข้ามาก่อกวนทางชายแดนอยู่เรื่อยๆ จึงต้องใช้กองกำลังทหารปราบปราม และถ้าลดจำนวนทหารลง อาจมีผลทำให้กองโจรทำงานได้ง่ายขึ้นทรงไม่อยากละเลยประชาราษฎรเลยแม้แต่คนเดียว แม้ว่าพระปิตุลาจะทรงไม่เห็นค่าก็ตาม
และอีกหลายต่อหลายครั้ง ที่ถ้ารู้ว่าทรงร้ายกาจขนาดนี้ น่าจะปลงพระชนม์ตั้งแต่ครั้งพระเยาว์ให้เรียบร้อยไปซะ
แต่ถ้าจะเริ่มตอนนี้มันคงไม่สายไปหรอกนะ ยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนกว่าจะถึงวันราชาพิเษก คราวนี้จะไม่ยอมปล่อยให้รอดจากเงื้อทพระหัตถ์ไปได้แน่!!
“เราเหนื่อยจังเลยเอลม่า” เจ้าหญิงรัชทายาทตรัสอย่างเหนื่อยอ่อน “เพิ่งรู้ซึ้งถึงความเหนื่อยยากของเสด็จพ่อก็ตอนนี้แหละ”
“เพคะ...อดีตองค์ราชา ทรงทนเหนื่อยหนักเพื่อประชาชนทั้งแคว้น หม่อมฉันดีใจเหลือเกินที่เกิดมาใต้เบื้องยุคลบาท” เอลม่า พระพี่เลี้ยงร่างท้วมทูลด้วยน้ำตาปริ่มๆ
“แล้วนี่ มีจดหมายถึงเราบ้างรึเปล่า?”
“จดหมาย...ไม่มีนี่เพคะ ทรงรอจดหมายใครอยู่เหรอเพคะ”
“ไม่มีเหรอ...ช่างเถอะ เราจะอาบน้ำแล้ว” ตรัสด้วยพระเนตรขุ่นมัว ที่เอลม่าพอจะรู้ว่ามาจากสาเหตุใด
“เพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปเตรียมน้ำอุ่นถวาย” ทูลจบก็เดินไปสั่งนางข้าหลวงให้เตรียมเครื่องสรง แต่ยังไม่วายเหลียวมามองพระพักตร์บึ้งตึงอย่างขัดพระทัยของเจ้าหญิงเจมีไน
“เฮ้อ...พอไม่เห็นจดหมายของเรวิลทีไรต้องเป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า”
ข้าวของทุกอย่างเตรียมขนขึ้นรถม้าอย่างทุลักทุเล เพราะต้องผ่านกองทัพสาวๆ ของสุมาลาร์ที่มายืนดักร้องห่มร้องไห้ที่เรวิลจะกลับแคว้นบ้านเกิด
“จะไปจริงๆ เหรอเรวิล” เด็กสาวคนหนึ่งที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับเรวิล ถามขึ้นน้ำเสียงเศร้าๆ
“อืมม์” เรวิลตอบอย่างเคร่งขรึมเช่นทุกคราว มีแต่คนถามคำถามนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนชักเริ่มจะเวียนหัวขึ้นมาตงิดๆ
“ลืมอะไรหรือเปล่า จะได้ไม่เสียเวลาย้อนมาเอา” เพื่อนคนหนึ่งว่า ทำให้เรวิลก้มเช็คว่ามีอะไรขาดหายไปหรือไม่
“ไม่น่าจะมีแล้วนะ เอ้อ...ฝากนี้ไปส่งด้วยสิ” ร่างสูงยืนจดหมายซองสีฟ้าจ่าหน้าถึงเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งทราเวลให้กับเพื่อนอีกคนหนึ่ง
“อะไรกัน จะกลับอยู่แล้วยังจะต้องส่งอะไรอีก”
“ไม่ได้หรอก เหลืออีกตั้งหลายวันกว่าจะเดินทางถึง เดี๋ยวจะทรงกริ้วเอา”
“เอ่อๆ แล้วจะส่งให้ก็แล้วกัน เดินทางดีๆ ล่ะ” เด็กหนุ่มตบบ่าเพื่อนที่คิดว่าเป็นชายเสียเต็มแรง
เมื่อเช็คสัมพาระที่ขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว ตัวเองก็ขึ้นไปประจำที่คนขับ แต่สาวๆ ที่พากันกรูมาดักที่หน้ารถนี่สิ
“วะ! ไอ้เรวิลมันจะกลับบ้าน ไม่ได้ไปตายซะหน่อย จะเสียใจอะไรกันนักกันหนา” เพื่อนๆ กลุ่มเดียวกับเรวิลรีบเข้ามาแหวกทางให้รถม้าอาชาสีดำสนิทให้เคลื่อนที่ออกไปอย่างสะดวกพลางบ่นตามมาเป็นระยะๆ
“กรรม! ดันมีเพื่อนหน้าดี ลำบากจริงๆ”
“เกิดมาชาติหน้าให้หน้าตาแย่ๆ ไว้นะเรวิล จะได้ไม่เดือดร้อน”
เสียงบรรดาเพื่อนๆ ตะโกนไล่หลังมา ไม่ใช่ว่าเธออยากจะจากพวกเขาไป แต่เพราะหน้าที่ ความรับผิดชอบ สัญญาที่ให้ไว้กับคนที่สำคัญที่สุด ทั้งหมดนี้รออยู่ที่บ้านเกิด แคว้นทราเวล
“ได้เวลากลับบ้านเสียที ใช่มั้ยคาริเน็ต” เรวิลพึมพำออกมาเบาๆ เจ้าม้าดำก็ดูเหมือนเปล่งเสียงร้องรับคำของเจ้านายเสียด้วย
ทันทีที่ทอดพระเนตรเห็นซองจดหมายสีฟ้า วางที่โต๊ะทรงพระอักษรตั้งสองซอง ดวงเนตรสีทองกระจ่างก็มีแววสดใสขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด พระหัตถ็เรียวคว้าสาส์นที่เฝ้ารอฉบับแรกไว้อย่างเร็วรี่ ราวกับเกรงว่ามันจะหายไปกับอากาศธาตุหากว่าหยิบช้าไป
หอสมุดโรงเรียนสุมาลาร์
ทูลกระหม่อมแก้ว จอมขวัญของปวงราษฎร
พระอาญามิพ้นเกล้าที่กระหม่อมส่งจดหมายมาช้าเกินกว่าที่ทรงรับสั่งไว้ เพราะเหตุด้วยกระหม่อมมีสอบครั้งสุดท้าย ข้าพระองค์จะเรียนจบแล้วนะพะย่ะค่ะ ถ้าการสอบครั้งนี้กระหม่อมทำได้ดีเหมือนคราวที่แล้ว กระหม่อมก็จะจบก่อนที่กำหนดไว้ เพราะเหตุนี้จึงต้องเร่งอ่านหนังสืออย่างหนัก กว่ากระหม่อมจะเรียนถึงเกรดนี้ก็ยากลำบากน่าดู โรงเรียนสุมาลาร์ โรงเรียนที่ดีที่สุดในแถบนี้สอบเข้าว่ายากแล้ว กว่าจะเรียนกว่าจะสอบกลับยากขึ้นอีกหลายเท่าตัวพะย่ะค่ะ
ข้างนอกร้อนเหลือแสนพะย่ะค่ะ อากาศที่แคว้นนี้ไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ ฤดูหนาวที่พระองค์โปรดก็ไม่ค่อยหนาวเหมือนบ้านเรา คงเพราะเป็นที่ราบสูงและแห้งแล้ง ไม่เหมือนทราเวลที่หนาวจัด มีฤดูร้อนแค่แป๊บเดียว ส่วนหน้าฝนก็ตกพอประมาณ แต่ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ตกเลยพะย่ะค่ะ ถึงจะตกก็ตกน้อยมาก
การทหารที่นี่เขาเป๊นระบบดีมากพะย่ะค่ะ เมื่อสองวันก่อนกระหม่อมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมการฝึกทหารอาชีพของกองทัพ ทุกนายเป็นระเบียบดีมาก กระหม่อมอยากให้พระองค์ทรงอ่านหนังสือตำราการรบที่กระหม่อมส่งไปให้บ้างพะย่ะค่ะ กระหม่อมอ่านแล้วเป็ฯความรู้ที่ดีจริงๆ
ช่วงนี้อากาศที่ทราเวลคงเปลี่ยนแปลงบ่อย เพราะเป็นปลายฝนต้นหนาว กระหม่อมอยากให้พระองค์ทรงดูแลองค์เองบ้าง ถ้าเป็นไปได้อย่าโหมราชกิจหนักมากเลยพะย่ะค่ะ ทรงทราบหรือไม่ ว่ามีคนเป็นห่วงฝ่าบาทมากแค่ไหน
ข้าทาสผู้ซื่อสัตย์
เรวิล เรนเดล
“เชอะ! เขียนจดหมายห่วยเหมือนเดิมนะ” พระสุรเสียงกระเง้างอด แต่ยังแฝงไปด้วยความปลื้มปีติ ขณะที่วางจดหมายฉบับแรกลง ทรงหันไปหยิบจดหมายอีกฉบับทันที
เบื้องพระบรมฉายาลักษณ์
จอมเจ้าเหนือทราเวล อนาคตจักรพรรดินีผู้ยิ่งใหญ่
กระหม่อมอยากทูลเป็นอย่างยิ่งว่า กระหม่อมเรียนจบแล้ว
ด้วยผลการเรียนที่กระหม่อมได้แนบมาด้วยนี้ ทำให้กระหม่อมจบก่อนเพื่อนร่วมชั้นที่เรียนด้วยกันมาถึงสิบปี กระหม่อมไม่ได้อยากโอ้อวดแต่อย่างใด แต่ก็อดดีใจไม่ได้พะย่ะค่ะทั้งดีใจที่เรียบจบ และได้กลับบ้าน
ถึงแม้ว่ากระหม่อมจะอยู่ที่นี่มาเกือบสิบปี แนนอนว่าย่อมผูกพันเป็นธรรมดา แต่ที่ไหนเลยจะเหมือนบ้านใช้ไหมพะย่ะค่ะ บ้าน...คำเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ ที่กระหม่อมพยายามกลับไปหาอย่างสุดความสามารถ ไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านพ่อจะเป็นอย่างไรบ้าง
พรุ่งนี้เช้า กระหม่อมก็จะเดินทางแล้วพะย่ะค่ะ ข้าวของเพิ่งเตรียมเสร็จเมื่อครู่นี้ เจ้าคาริเน็ตก็อยากกลับบ้านเต็มแก่ ฝ่าบาททรงจำคาริเน็ตได้ไหมพะย่ะค่ะ ม้าที่จับมาจากป่า กระหม่อมจำได้ว่าคราวนั้นพยศมาก ไม่มีใครกล้าขี่ พวกอัศวินก็พากันหงอไปหมด เลยทรงมีพระบัญชาให้กระหม่อมไปขี่ดู แล้วกระหม่อมก็ขี่ได้ เล่นเอาอัศวินพวกนั้นหน้าชากันเป็นแถบ ทั้งๆ ที่ทรงรู้อยู่แล้วว่าท่านพ่อเสนาบดีของกระหม่อมเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องม้าที่สุด ก็ยังไปแกล้งหักหน้าท่านอัศวินพวกนั้นเสียยับ
ใบจบการศึกษาอยู่ในมือของกระหม่อมพะน่ะค่ะ ลงชื่ออย่างชัดเจนว่า เรวิล เรนเดล เวลาสิบปีช่างยาวนานเหลือเกิน กระหม่อมเฝ้านับวันรอคอย เมื่อไหร่น้าถึงจะได้กระดาษแผ่นเล็กๆ นี่มาเสียที กระหม่อมรอคอยเพื่อจะได้กลับไปรับใช้อยู่ใต้เบื้องพระยุคลบาทของพระองค์ รอคอยเพื่อที่จะได้ใช้ความรู้ความสามารถที่ร่ำเรียนมา เพื่อช่วยราชกิจของฝ่าบาท และทำตามสัญญาที่เคยถวายไว้ ถ้าฝ่าบาทยังทรงจำได้
จะรับใช้จนกว่าชีวิตจะหาไม่
เรวิล เรนเดล
“เรายอมให้เจ้าไปแล้ว แต่เจ้าต้องสัญญานะว่าเจ้าจะกลับมา”
“พะย่ะค่ะ กระหม่อมถวายคำสัตย์”
“จริงๆ นะ”
“สัญญาพะย่ะค่ะ”
คำมั่นที่ยังคงดังก้องอยู่ในพระราชหฤทัย พระโอฐษ์แย้มสรวลบางเบา ย้อนหวนไปในคืนวันแห่งอดีต ที่ใครคนหนึ่งได้เคยบอกไว้ แม้นกาลเวลาจะพรากความเยาว์วัยเหล่านั้นไปจนเกือบหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่มีวันเลือนหาย คือเส้นด้ายบางๆ ที่ผูกคนสองคนต่างฐานันดรศักดิ์ให้เกี่ยวกันไว้ ยากที่จะหลุดลอยไปเป็นอื่นได้
“มีเรื่องให้ทรงสำราญพระราชหฤทัยหรือเพคะ?” เอลม่าที่เดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา เมื่อเห็นเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งทราเวลกำลังแย้มสรวลก็ทักอย่างแผ่วเบาดุจเดียวกัน แต่แปลกที่คำพูดที่เบาเพียงแค่นี้จะทำให้ทรงตกพระทัยได้
“ตกใจหมดเลยเอลม่า ทำไมมาเงียบๆ ล่ะ”
“อาญามิพ้นเกล้าเพคะ หม่อมฉันไม่นึกว่าจะทรงหทัยลอยอยู่” เอลม่าว่ายิ้มๆ เมื่อเห็นจดหมายให้อุ้งหัตถ็
“ใจลงใจลอยที่ไหนกันเอลม่า เพ้อเจ้อน่า เราแค่คิดอะไรเพลินๆ ไปหน่อยเดียว” องค์หญิงตรัสแก้เก้อ จึงไม่รู้ว่าพระปรางระเรื่อเสียจนออกเป็นสีชมพูแล้ว
“อ่อนี่เอลม่า เรวิลจะกลับมาแล้วนะ”
“เพคะ? ตั้งอีกครึ่งปีมิใช่หรือเพคะกว่าจะจบหลักสูตรทั้งหมด” เอลม่าถามด้วยความสงสัย
“ก็ใช่ แต่เจ้าลืมไปรึเปล่า เรวิลธรรมดาซะที่ไหน ก็ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าอะไรๆ หมอนั่นก็เป็นอันเก่งไปซะหมด”
“นั่นสินะเพคะ”
“อ่อจริงด้วย นี่ไงผลการสอบที่เรวิลส่งมา” เจ้าหญิงตรัสพลางหยิบกระดาษสีครีมขึ้นมาอ่าน
“หา!!! ระ...ร้อยคะแนนเต็ม!!!”
“ไหน...อะไรเพคะ”
“ก็จะไม่ให้ผ่านได้ไงล่ะ ก็ได้รอ้ยคะแนนเต็มแบบนี้ สมควรแล้วล่ะที่จบหลักสูตรไวน่ะ” พระเนตรสีทองไล่ไปตามตัวหนังสือในกระดาษ ทั้งอึ้งทั้งทึ่งในความสามารถของคนๆ นี้
มีดสั้นสองเล่มซ้อน ปักลงบนอกของโจรป่าที่ลอบโจมตีอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีน้ำทะเลมองด้วยความเฉยชา
ระหว่างทางของแคว้นทราเวลกับแคว้นสุมาลาร์ตามปกติต้องใช้เวลาในการเดินทางอย่างเร็วที่สุดก็ต้องเป็น 5วันเป้นอย่างนอ้ย เพราะเนื่องด้วยโจรป่าในเขตนี้ชุกชุมมากเหลือเกิน นักเดินทางส่วนมากจึงไม่เลือกเดินทางมาในเส้นทางนี้ แม้ว่ามันจะกินเวลามากกว่าก็ตาม
แต่เรวิลเลือกใช้เส้นทางที่ประหยัดเวลากว่า แต่ก้ต้องเสี่ยงกับกลุ่มโจรตามแนวป่า ที่พร้อมจะมาจ๊ะเอ๋ให้ตกใจเล่นทุกเมื่อ
ที่เธอเลือกใช้เส้นทางนี้ก็เพื่อจะให้ถึงแคว้นทราเวลในเร็ววัน แต่กลุ่มโจรที่มาอีกสามคนทำให้เธอฮึดฮัดด้วยความรำคาญใจไม่นอ้ย
“พวกนี้นี่น่ารำคาญ!”
เรวิลคำราม ก่อนจะซัดมีดสั้นให้คราชีวิตโจรป่าพวกนี้อย่างไม่แยแส
“รีบไปกันเถอะ คาริเน็ต” พอหมดสิ้นตัวน่ารำคาญ เรวิลก็รีบสั่งให้อาชาสีดำสนิทเร่งความเร็วภายในทันที
คาริเน็ต มีตัวเมียสีดำเงางามทั้งตัว นัยน์ตาสีฟ้าชวนพิศวง สั่งได้โดยไม่ต้องใช้แส้ และภายในโลกนี้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ขี่มันได้
หนี่ง ผู้เป็นเจ้านาย ที่คอยดูแลตั้งแต่มันยังเด็กและยอมรับในความสามารถด้วยใจจริง
อีกหนึ่ง ผู้เป็นจอมขวัญแก้ว ผู้อยู่เหนือจิตใจของเจ้านาย เจ้าหญิงเจมีไน ริเอร่า แห่งแคว้นทราเวล
เสียงฝีเท้ามาดังกุบกับ ไปตามทางที่เรี่ยไปด้วยศพของโจรป่า สี่ขาทะยานไปราวกับไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เพราะมันรู้ถึงความปรารถนาของเจ้านาย
เพื่อเร่งรุดเข้าเฝ้าจอมเจ้าหญิงแห่งทราเวล
ความคิดเห็น