ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำแห่งสายลมหนาว

    ลำดับตอนที่ #10 : ความลับ...ความรัก

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ค. 50


    ตอนที่ 10  ความลับ...ความรัก
    องค์หญิง...หม่อมฉัน...หม่อมฉันรักพระองค์...
    เสียงร่ำร้องในหัวใจของเรวิลขาดหายไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่หลุดลอยไป  มือสังหาญยังคงยืนยิ้ม  ในมือยังคงมีดาบเงาจันทราซึ่งอาบไปด้วยสีแดงฉานของหยาดเลือด
    ดาบโฮลี่  ซวอร์ดหมอดสิ้นแล้วซึ่งความอาจหาญ  เมื่อไม่มีมือแห่งผู้เป็นเจ้าของถือมัน  เพื่อประกาศศักดาแห่งความแข็งแกร่งของดาบที่งดงาม  ณ บัดนี้  มันเป็นแค่ดาบธรรมดาที่ไร้พิษสงเท่านั้นเอง
    คาริเน็ตร้องครวญครางราวขาดใจ  เจ้าอาชาสีดำหมอบลงอยู่แทบเท้าของเจ้านาย  ดวงตาสีฟ้าของมันปรากฏหยาดน้ำตาแห่งความเสียใจและเจ็บปวด...เจ็บปวดที่รับรู้ถึงลมหายใจอันแสนแผ่วบางของเรวิล  แต่มันกลับช่วยอะไรไม่ได้เลยแม้สักนิดเดียว
    ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีม่วงเดินเข้ามาหาร่างของเรวิลอย่างเชื่องช้า  ยอบกายลง  ก่อนจะจับคางของหญิงสาวให้เชยขึ้น  และประทับริมฝีปากลงไป
    และนี่  เป็นจุมพิตแรกและจุมพิตสุดท้ายของเจ้า
    ดาบเงาจันทราเคลื่อนมาพาดไว้ที่คอขององครักษ์  ที่บัดนี้ไร้ซึ่งสติ...
    เพื่อจะดับชีวิตลงนิรันดร์
    ฉับพลัน!  สายลมอันแสนหนักหน่วงก็พัดโหมกระพือขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  โทรลชะงักมือแทบจะทันที  เขารับรู้ได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งมาจากทุกทิศทุกทาง  และกำลังสอดประสานเป็นหนึ่งเดียว
    สายลมที่อัดแน่นกับเป็นลูกบอลพุ่งปะทะเข้ากับชายหนุ่มจนเขากระเด็นออกห่างจากร่างของเรวิลไปได้  โทรลขบกรามแน่นด้วยความไม่พอใจ  เขาไม่ชอบศัตรูที่มองไม่เห็น  และเป็นเพียงสายลมเช่นนี้
    แต่...จะเป็นเพียงสายลม...จริงหรือ?...
    กลับไปซะโทรล  ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า  หากเจ้ากลับไป เสียงหนึ่งดังมาจากที่ลึกลับ  แต่กลับส่งผลให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วหนัก  นัยน์ตาสีม่วงที่แสนจะเย็นชาปรากฏรอยหวาดหวั่น
    เห็นที่จะไม่ได้หรอกท่านยาย  ข้ารับคำสั่งมาเพื่อปลงพระชนม์องค์หญิง  คงกลับไปมือเปล่าดังที่ท่านหวังไม่ได้
    ท่านหมอซินเดรลเดินอย่างใจเย็นออกมาจากมุมมืด  นัยน์ตาจ้องลึกไปยังดวงตาของอีกฝ่าย  นี่น่ะหรือเด็กที่นางเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก  ใยถึงกลายเป็นคนเหี้ยมโหดเช่นนี้ได้
    งั้นรึหญิงชรายังคงไม่แสดงสีหน้าท่าทางใดๆ ออกมา  แม้ว่าอายุจะล่วงเลยมามากแล้ว  ทว่าดวงตาสีมรกตยังคงแจ่มจรัสไม่เปลี่ยนแปลง  ดวงตาที่แสดงถึงความเด็ดเดี่ยว
    นางตัดได้ทุกอย่าง  แม้แต่เด็กที่เคยอุ้มชูมา
    เจ้าคงรู้นะ  ว่าเมื่อข้าลงมือจะไม่มีคำว่าปราณี
    ข้าทราบ โทรลตอบหนักแน่น  เขาไม่มีวันเดินบนทางแห่งแสงสว่างได้อีกแล้ว  คงเหลือแต่ทางอันมืดมิดที่นำไปสู่ความตายเท่านั้น  เขาเลิกเข่นฆ่าไม่ได้  มิเช่นนั้นเขาจะต้องเป็นอาหารของเงาจันทราแน่นอน 
    ดวงตาสีม่วงมองตอบกับดวงตาของผู้สูงวัยกว่าอย่างสำนึกผิด  เขาจดจำได้ดีว่าเจ้าของดวงตาสีมรกตผู้นี้เลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างเขามาตั้งแต่แบเบาะ  นางพร่ำสอนวิชาต่างๆ ให้เขามากมาย  แต่ที่นางลืมสอนคงเป็นวิธีการข่มความทะเยอทะยานของตนเอง  เพราะมิเช่นนั้นเขาคงไม่หลงผิดรับดาบเงาจันทรามาจากเสนาบดีมหาดไทยแห่งแคว้นทราเวล  และหันหลังจากความดีกับผู้มีพระคุณเพื่อแลกกับพลังมหาศาลมาเช่นนี้หรอก
    สายลมเริ่มสงบลงเรื่อยๆ  แต่ใบไม้ที่ปลิดปลิวร่วงหล่นลงบนพื้นกลับลอยขึ้นมา  ก่อนมันจะพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มดุจห่าฝน  ใบไม้ที่คมกริบราวกับกริชเนื้อดีเฉือนผ่านร่างของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า  แม้ว่าเขาจะพยายามนำเงาจันทรามาช่วยปัดป้องแล้ว  แต่ใบไม้ที่มาจากพลังเวทของซินเดรลช่างมากมายเหลือเกิน  เขาจึงทำได้แค่ป้องกันส่วนที่อันตรายไว้เท่านั้น
    ท่ามกลางความชุลมุนของกลุ่มใบไม้  ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถรับรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว  และกว่าที่เขาจะรู้ตัวดาบสีขาวประดับอักขระทองก็ทะลุผ่านร่างของเขาเสียแล้ว
    หญิงชราผู้มีพลังล้นเหลือชักดาบโฮลี่  ซวอร์ดกลับคืน  ในขณะที่โทรลล้มลงอย่างสิ้นเรี่ยวแรง  แม้บาดแผลจะแสนฉกรรณ์  หากแต่ซินเดรลเว้นจุดตายไว้  อย่างไรเสียก็ถือว่านางได้เลี้ยงดูชายหนุ่มผู้นี้มา  ต่อให้ใจแข็งเพียงไหนก็ฆ่าหลานของตัวเองไม่ลง
    ถ้าข้าดูแลเจ้าให้ดีกว่านี้  เจ้าคงไม่...
    นางปิดเปลือกตาลง  ก่อนจะลืมตาขึ้น  นัยน์ตาสีมรกตกลับมาแจ่มจรัสเหมือนเดิม  พลางเก็บโฮลี่ ซวอร์ดเข้าฝัก  ดาบนี้มีคุณสมบัติอีกอย่างก็คือ  แม้จะฟาดฟันศัตรูมาเป็นร้อย  แต่ดาบเล่มนี้ไม่มีเลือดติดอยู่เลยแม้แต่หยดเดียว  จึงถือว่าเป็นดาบบริสุทธิ์โดยแท้
    หากว่าเจ้าไม่จากข้าไปในวันนั้น  เจ้าอาจจะได้เป็นเจ้าของดาบเล่มนี้แทนก็ได้โทรล
    ซินเดรลวาดมือครั้งเดียวเชือกที่พันธนาการพระวรกายของเจ้าหญิงเจมีไนก็คลายออก  และและพาพระองค์ลอยไปพาดอยู่บนหลังของอาชาสีขาวที่เพิ่งมาถึง  ส่วนร่างของเรวิลก็ลอยไปพาดอยู่บนหลังของคาริเน็ตเช่นเดียวกัน
    อาชาทั้งสองตัวเดินอย่างแผ่วเบาแต่รวดเร็วเพื่อไม่ให้เจ้านายทั้งสองของมันเจ็บ  พุ่งตรงไปยังกระท่อมหลังเล็กของซินเดรล

    พระเนตรสีสุวรรณกระพริบค่อยเพื่อปรับแสงที่สาดเข้ามากระทบ  พยายามคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา  และเมื่อความทรงจำก่อนสิ้นสติของพระองค์กลับคืน  พระวรองค์บางก็ผุดลุกขึ้นทันที
    เรวิล!” พระโอฐษ์บางร้องหาราชองครักษ์คู่กาย  แต่อาการปวดพระเศียรกลับพุ่งขึ้นมาจนทำให้หน้ามืด 
    ไม่ได้...ไม่ได้  นี่พระองค์เองจะมัวแต่อ่อนแอรอเพียงแต่ให้เรวิลมาช่วยตลอดเวลาไม่ได้  ที่ผ่านมาก็ทำให้เขาผู้นั้นต้องเดือดร้อนและเจ็บตัวมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว  การกระทำตัวเช่นนี้หาใช่สิ่งผู้จะดำรงตำแหน่งจักรพรรดินีในอนาคตสมควรทำไม่
    พระวรองค์บอบบางค่อยๆ ย่างพระบาทลุกขึ้นจากแท่นบรรทม  เหลียวมองรอบๆ ก็พบว่าตนมาอยู่ที่กระท่อมของหมอซินเดรลแล้ว  แต่...มาได้อย่างไรล่ะ  ในเมื่อความทรงจำครั้งสุดท้ายบอกว่าพระองค์เองถูกชายที่มีนัยน์ตาสีม่วงอำมหิตจับมัดไว้แล้วร่ายมนตร์บางอย่างใส่  และคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดไว้คือ
    ข้ารักเรวิล องค์หญิง  ข้าจะไม่ยอมให้ท่านครอบครองนางเป็นอันขาด
    นาง...นางงั้นหรือ?...หมายความว่าอย่างไรกัน? เจ้าหญิงเจมีไนรับสั่งพึมพำด้วยความสงสัย
    แต่ความสงสัยนั้นมีน้อยกว่าความประสงค์ที่จะพบหน้าราชองครักษ์มากมายนัก  พระองค์จึงเก็บความเคลือบแคลงนั้นไว้  เพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่ประสงค์จะกระทำคือ  พาองค์เองไปหาเรวิลให้เร็วที่สุด

    แผลของจ้าคราวนี้หนักกว่าเดิมมากนะ  อย่าหักโหมเป็นอันขาด...แล้วเรื่องอะไรเจ้าต้องวู่วามขนาดนั้น  แทนที่จะตั้งสติคิดตรองให้ดีก่อนแล้วค่อยออกไป  แต่นี่...เฮ้อ... ท่านหมอซินเดรลทำแผลไปบ่นลูกศิษย์ไป  สีหน้าท่าทางรู้สึกเอือมเต็มที
    ข้าขอโทษ  อาจารย์  ก็ข้าเป็นห่วงองค์หญิงนี่นา หญิงสาวที่มีแต่ผ้าพันแผลเต็มตัวแก้ตัวเสียงอ่อย  แววตาสีน้ำทะเลสำนึกผิด
    หญิงชราไม่กล่าวอะไร  นางนำตะกร้ายาไปเก็บเข้าชั้น  แม้ว่ากระท่อมเล็กๆ หลังนี้จะมีแต่กลิ่นฉุนของยาสมุนไพรหลายๆ ชนิดที่เก็บเข้าตู้แยกไว้ก็ตาม  หรือแขวนระโยงระยางไว้ก็ตาม  แต่ทั้งคู่กลับไม่รู้สึก  นั้นคงเป็นเพราะได้กลิ่นแบบนี้จนชินแล้วก็เป็นได้
    แต่ไม่ใช่กับองค์หญิงผู้สูงศักดิ์  ที่กำลังย่างพระบาทเข้ามาใกล้ประตู...ปลอมตัวเป็นชายมานานจนลืมไปหรือไงว่า  อย่างไรเจ้าก็เป็นหญิงหญิงชราบ่นให้อีกอย่างเหลืออด
    ...เรวิล...เรวิลเป็นหญิง!...
    พระเนตรสีทองเบิกกว้างกับความจริงที่เพิ่งรับฟังอย่างไม่ได้ตั้งใจ  พระบาทที่กำลังจะย่างก้าวหยุดชะงัก  สายพระเนตรจับจ้องไปที่ภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
    หน้าที่ของข้าคือปกป้ององค์หญิงเจมีไนนะคะอาจารย์  แล้วท่านจะให้ข้าอยู่เฉยๆ  ทนดูพระองค์ถูกทำร้ายหรือคะ
    แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องดูตัวเองบ้าง  ข้าจำได้  เมื่อคราวที่ข้ารับเจ้าเป็นลูกศิษย์  เจ้าไม่ใช่คนที่บ้าระห่ำขนาดนี้นี่
    ข้า...
    เพราะหน้าที่  เจ้าถึงยอมทำทุกอย่างอย่างนั้นรึ  ยอมแม้กระทั่งเสี่ยงชีวิตหลอกลวงเบื้องสูงปลอมตัวเป็นชายเข้ารับราชการ  บิดาเจ้าหรือก็กระไร  ส่งให้ลูกสาวของตัวเองไปตาย  วางแผนมาเป็นยี่สิบปี  แล้วเจ้าไม่คิดจะมีชีวิตเป็นของตัวเองหรือไง  ไม่คิดจะเดินตามทางที่ตนต้องการจริงๆ เลยหรือไง ซินเดรลเอ่ยพลางส่ายหน้าเบาๆ กับความคิดแปลกประหลาดของคนตระกูลนี้จริงๆ
    ข้ายินดีตาย  ถ้าชีวิตของข้าทำให้องค์หญิงได้ขึ้นครองบัลลังก์ได้สำเร็จ
    ทำแบบนี้มีความสุขแล้วหรือเรวิล หญิงชราถามด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างที่มองลูกหลานที่ตัวเองรัก
    ใช่! เจ้าคงมีความสุขมาสินะที่หลอกข้าได้มาเป็นสิบๆ ปี!!”
    น้ำพระเนตรรื้นคลอหน่วย  พระบาททั้งสองข้างย่างก้าวเข้ามาในกระท่อมแทบทรงตัวไม่อยู่  แต่หากยังแข็งพระทัยด้วยขัตติยมานะ  สายพระเนตรที่ทอดมองมายังราชองครักษ์ดูเย็นชาราวกับคนแปลกหน้า  หาใช่สหายแต่เยาว์วัยไม่  พระองค์สูดหายใจลึก  เผชิญหน้ากับความเป็นจริง
    ความจริงที่พระองค์ถูกหลอกลวงมาตลอด  หลอกโดยคนที่ทรงดำริไว้ว่าเป็นคนที่จริงใจกับพระองค์ที่สุดและตลอดมา  แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นว่าทรงคิดไปเอง  ทุกอย่างมันเป็นแค่ภาพมายาที่สร้างไว้หลอกตาคนโง่ๆ อย่างพระองค์เท่านั้นเอง
    ข้ามันโง่มากใช่ไหมเรวิล  ที่ให้เจ้าหลอกมาเนิ่นนานปานนี้  การกระทำ  ความรู้สึกที่เจ้าแสดงออกมา  ทั้งหมดมันก็แค่เล่นละครใช่ไหม!!  เรวิล เรนเดล!!!!”
    เรวิลได้แต่นิ่งงันทำอะไรไม่ถูก  เช่นเดียวกับหมอซินเดรล  ที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง  นางขยับจะอธิบายแทนลูกศิษย์  แต่เจ้าหญิงเจมีไนยกมือห้ามไว้เสียก่อน
    ขอโทษนะท่านหมอ  นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับเรวิล  เห็นทีข้าจะต้องเสียมารยาท
    หญิงชราได้แต่พยักหน้าอย่างเข้าใจ  แล้วเดินออกนอกกระท่อม
    ทิ้งให้ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบงันที่น่าอึดอัด
    และเจ็บเจียนจะขาดใจ...
    องค์หญิง...
    ตลอดมาข้าไว้ใจ  เชื่อใจเจ้าที่สุด  แต่เจ้าเห็นข้าเป็นเพียงตัวตลกที่ถูกเจ้าหลอกทุกเมื่อเชื่อวัน... องค์หญิงทรงกลืนก้อนสะอื้น  ก่อนเอ่ยต่อ  ระหว่างที่เจ้าจากไป  ข้ารอคอยว่าเมื่อไหร่เจ้าจะกลับมา  รอคอยคำสัญญาของเจ้า   วันใดที่ข้าไม่เห็นจดหมายของเจ้าข้าก็เหมือนเป็นบ้า  แล้วในที่สุดเจ้าก็กลับมา  แต่เจ้าไม่ได้กลับมาเพราะคำสัญญา  เจ้ากลับมาก็เพียงเพื่อหลอกข้าอีก  เจ้าทำทีว่าชอบหญิงอื่นให้ข้าเจ็บปวด  แล้วเจ้าก็แสร้งว่าเหมือนมีใจให้ข้า  ปั่นหัวข้า  ปกป้องข้า  กอดข้า...สิ่งเหล่านี้มีเรื่องไหนบ้างมั้ยที่เป็นเรื่องจริง!”
    น้ำพระเนตรไหลลงมาไม่ขาดสาย  ความน้อยพระทัยแล่นมาจุกพระอุระ  ก่อนจะแผ่ซ่านไปทั่วร่าง  พระองค์ไม่มีแรงแล้ว  ไม่มีแรงที่จะรับรู้สิ่งใดอีก   พระองค์ประทับลงอย่างหมดแรง  หมดแล้วซึ่งกายใจ...
    หม่อมฉัน...หม่อมฉันขอประทานอภัย...หม่อมฉันสมควรตาย เรวิลนำพาร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตัวคุกเข่าลงต่อหน้านายหญิง  น้ำตาของเธอก็ไหลลงมามากมายไม่ยิ่งหย่อนกว่าผู้เป็นนาย  ด้วยความรู้สึกผิด
    ใช่!  เจ้าสมควรตาย!!!” เจ้าหญิงเจมีไนกระชากดาบโฮลี่ ซวอร์ดที่วางอยู่บนโต๊ะออกจากฝัก  จ่อปลายแหลมของมันเข้ากับคอของผู้เป็นเจ้าของ
    บัดนี้ความเศร้าเสียใจได้แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น  ความเจ็บช้ำที่ได้รับทำให้พระองค์ที่มีแต่ความอ่อนโยนสดใสมลายหายไป  เหลือเพียงขัตติยะนารีผู้มีเกียรติ  และไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำลายเกียรตินั้นเด็ดขาด!
    หม่อมฉันยินดีตายด้วยน้ำมือของพระองค์  แต่ก่อนที่หม่อมฉันจะตาย  ขอให้ทรงรู้ไว้ว่าหม่อมฉันไม่เสียใจเลย  ในสิ่งที่หม่อมฉันทำลงไปทุกอย่าง  เพราะมันทำให้หม่อมฉันได้อยู่เคียงข้างพระองค์  คอยปกป้องคุ้มครองจากภัยอันตรายต่างๆ  แต่ที่หม่อมฉันเสียดายอยู่อย่างเดียวคือ...หม่อมฉันไม่อาจอยู่เคียงข้างพระองค์ถึงวันที่ทรงเข้าพิธีราชาพิเษก  วันที่พระองค์ขึ้นนั่งบนบัลลังก์อันงดงาม
    นัยน์ตาสีน้ำทะเลทอดมองพระพักตร์งามนั้นอีกครั้ง  ราวกับบันทึกเป็นความทรงจำครั้งสุดท้าย  ก่อนจะปิดเปลือกตาลงรับความตายที่พระองค์อันเป็นที่รักกำลังหยิบยื่นให้
    เรียวพระหัตถ์นุ่มสั่นสะท้าน  น้ำพระเนตรทะลักออกมามากกว่าเก่า  พระวรองค์บางสะอื้นฮักรุนแรง  ก่อนจะปล่อยดาบสีขาวลงกับพื้นพร้อมทรุดองค์ตาม
    ทำไม...ฮือ...ทำไมข้าถึงฆ่าเจ้าไม่ลง  ทำไมข้าถึง...ฮึก...ทำไมข้าต้องรักเจ้าด้วย  เรวิล...เรวิล เรนเดล
    หม่อมฉัน...หม่อมฉันขอโทษ...
    สถานนะการณ์ตกสู่ความเงียบงันอีกครั้ง    เวลานี้ทั้งสองคนต่างอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคน  สายน้ำแห่งความโศกเศร้าไหลลู่ลงมาไม่ขาดสาย  ไม่เข้าใจในโชคชะตาว่าทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย
    หม่อมฉันก็รักพระองค์  แต่ทำไม...ทำไม...
    เรวิลดึงพระวรกายของเจ้าหญิงเจมีไนเข้าสู่อ้อมกอด  ไม่คำนึงถึงฐานันดรศักดิ์  ไม่คำนึงถึงจารีต  ทำได้แต่เพียงกล่าวโทษสวรรค์ที่ทำไมทำให้พวกนางต้องเจ็บช้ำ  ทำไมต้องทำให้ทรมานขนาดนี้...ใครก็ได้ตอบข้าที
    เจ้ารักเราจริงๆ เหรอ เจ้าหญิงรัชทายาทรับสั่งถามด้วยความไม่แน่ใจ  ใน้อ้อมกอดอบอุ่นของราชองครักษ์  ทรงหลุบพระเนตรลงดำริอะไรบางอย่าง
    พะย่ะค่ะ...เอ่อ..ไม่สิ  ต้องเพคะสินะ...เพคะ  หม่อมฉันรักพระองค์
    ทั้งที่เจ้ารู้แต่แรกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เจ้าหญิ งเจมีไนตรัสขรึม  ทำให้ราชองครักษ์ใจแป้ว  ค่อยๆ คลายวงแขนนั้นออก  ด้วยความรู้สึกที่กำลังเสียดลึกเข้ามาในหัวใจ
    เจ้าก็ยังดึงดันที่จะรักเรางั้นหรือ
    เพคะ ดวงตาสีน้ำทะเลที่ส่งผ่านมาหนักแน่นมั่นคงยิ่งกว่าทุกคราว
    เจ้าหญิงเจมีไนประทับยืนขึ้น  ในขณะที่เรวิลคุกเข่า  พระเนตรสีทองทอดมองออกไปยังหน้าต่างเบื้องหน้า  รับสั่งด้วยสุรเสียงเย็นชาอย่างที่เรวิลไม่เคยได้ยินจากพระวรองค์บางองค์นี้มาก่อน 
    งั้น  ในฐานะที่เจ้าจงรักภักดีต่อเรา  เราจะไว้ชีวิตเจ้า  และปกปิดความลับของเจ้าต่อไป  แต่หากเมื่อใดที่เจ้าทำให้เราไม่พอใจ  ทั้งเจ้าและบิดาของเจ้า  จะต้องเดือดร้อนแน่!!!”
    ขะ  ขอบพระทัยเพคะ เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งก้มหน้านิ่ง  เพราะแค่ได้ยินสุรเสียงเย็นชาปานน้ำแข็งเท่านั้น  เธอก็ไร้เรี่ยวแรง  ดวงตาพร่ามัวไม่อยากจะสบกับเนตรอันเฉยเมยราวคนไม่รู้จักแบบนั้น 
    นี่ไงล่ะ  บทลงโทษที่เธอได้รับ  มันช่างเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าการตาย  หากเธอตายไปได้ก็ดีสิ  จะได้ไม่ต้องทนรับรู้ความทรมานเยี่ยงนี้...ทรมานราวกับถูกพระหัตถ์น้อยๆ ขององค์หญิงบีบหัวใจให้แหลกคามือ
    อยากรู้นัก  ว่าต่อจากนี้เธอจะอยู่ได้อย่างไร...หากไร้ซึ่งหัวใจรัก
    เก็บของ  เตรียมกลับ  ข้าจะรอเจ้าที่หน้ากระท่อม  เราจะต้องรีบกลับป่านนี้ทุกคนคงห่วงแย่...ไม่รู้ว่าท่านพี่เฟียร์กลับแคว้นไปหรือยัง
    คำปรารภที่เหมือนตรัสกับองค์เองนั้น  กลับดังก้องย้ำลงไปในสมองทุกส่วน  คำย้ำที่ว่าเธอไม่มีค่าในสายพระเนตรอีกแล้วต่อจากนี้  องค์ชายองค์นั้นต่างหากเล่าที่เป็นตัวจริง!
    เอ้า!!ชักช้าอยู่ทำไม  รีบเข้าสิ!”  เจ้าหญิงรัชทายาทตะคอกเสียงหนัก  เมื่อเรวิลยังคงนิ่ง  ส่งผลให้ร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลนั้นลุกขึ้นมาทันที
    โอ๊ย!”
    เจ้าหญิงชะงักกับคำอุทานเสียงแผ่ว  แต่ก็ได้แต่เม้มพระโอฐษ์แน่น  ทำพระทัยแข็งไม่แม้แต่จะมอง  พระองค์หันวรกาย  แล้วย่างพระบาทออกจากกระท่อม  ทิ้งให้ราชองครักษ์ยืนนิ่งแข็งราวกับหุ่นขี้ผึ้ง  หากแต่นัยน์ตารวดร้าวนั้นมีหยาดน้ำใสไหลลงมาไม่ขาดตอน
    ร่างเพรียวข่มความเจ็บช้ำให้กลับลงไปสู่เบื้องลึกในจิตใจ  ก้มหน้าก้มตาเก็บของ  กลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่กลางลำคอให้ลงไปรวมกับก้อนหัวใจที่แตกสลาย 
    เธอผิดไม่ใช่หรอกหรือ...ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเธอเอง  เพราะเธอไม่หักห้ามใจตัวเองไม่ให้รักคนที่สูงศักดิ์กว่า  ถ้าเธอแค่ทำตามหน้าที่  ไม่มีเรื่องหัวใจมาเกี่ยวข้อง  เธอก็คงไม่เจ็บจากการถูกปฏิเสธเช่นนี้หรอก 
    เพราะฉะนั้น  เธอจะต้องอยู่ก้มหน้ารับใช้กรรมต่อไป  แม้จะต้องทนเห็นภาพบาดตากับสายพระเนตรเย็นชาที่ถูกส่งมาทุกเมื่อเชื่อวันก็ตาม

    ผ่านป่าข้างหน้า  ก็จะถึงทางออกแล้วเพคะ
    เจ้าของเรือนผมสีชาทูลบอกผู้ที่ทรงม้าสีขาวสะอาดที่ดูมึนตึงตั้งแต่ออกมาจากกระท่อมหลังนั้น  นี่ก็ผ่านไปได้สองวันแล้ว  พระโอฐษ์อิ่มนั้นยังไม่แย้มยิ้มเลยด้วยซ้ำ
    เรวิลจึงได้แต่ถอนหายใจ  ไม่กล่าวคำใดออกมาอีก  ราชองรักษ์ลงจากหลังม้าสีดำสนิท  เพราะดวงอาทิตย์ใกล้อัสดงแล้ว  จึงจำต้องหยุดค้างแรม
    คนที่มีบาดแผลเต็มตัว  หากิ่งไม้แห้งมาก่อไฟ  เมื่อเห็นองค์หญิงประทับนั่งเรียบร้อยแล้วจึงออกไปล่าสัตว์  ตลอดเวลาไม่ทรงตรัสอะไรเลย  นอกจากพยักหรือส่ายพระพักตร์  สายพระเนตรที่ไม่ยอมพาดผ่านนัยน์ตาของราชองครักษ์ทำให้จิตใจของคนที่ถูกเมินห่อเหี่ยวลงทุกวัน
    แม้ตลอดเวลาของอาหารเย็นก็ยังคงเงียบงัน  ดวงอาทิตย์ลาลับส่งดวงจันทร์เหงาๆ มาแทนที่  เพราะฟากฟ้าถูกเมฆลอยบดบังดวงดาวต่างๆ จนไม่เห็นแสงเล็กๆ ดวงใดเลย
    เจ้าหญิงทรงบรรทมเถอะเพคะ  หม่อมฉันจะคอยถวายอารักขาเอง
    เงียบ...มีแต่ความเงียบเช่นเดิมที่ตอบกลับมา  องค์หญิงรัชทายาทเพียงแต่ล้มวรกายลงบนใบไม้แห้งที่เรวิลเก็บมารองต่างแท่นบรรทม
    เรวิลได้แต่ก้มหน้าต่ำ  พยายามซ่อนดวงตาเศร้าในความมืดให้พ้นจากแสงสว่างของกองไฟ  ปล่อยให้หยดน้ำใสๆ หยดลงบนหลังมืออย่างเงียบงัน

     
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×