คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : สัญญาที่ไม่มีวันลืมเลือน
ดอกไม้ช่องามถูกบรรจงวางอยู่หน้าสุสานของใครบางคนอย่างเบามือ ละอองหมอกลอยมากระทบพระพักตร์นวลให้เย็นเยือก พอๆ กับความหนาวในหทัยของจักรพรรดินีผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้น
“เรามาแล้วนะ” พระโอษฐ์กลีบชมพูคลี่ยิ้ม พระเนตรสีทองกระจ่างหม่นลงชวนเศร้า เอื้อมพระหัตถ์ไปปัดฝุ่นป้ายชื่อที่หน้าหลุมศพเบาๆ
พระโอฐษ์งามคลี่ยิ้มอีกครา ก่อนตรัสด้วยสุรเสียงที่แฝงไปด้วยความเศร้าและคะนึงหา
“คิดถึงจัง”
เบือนพระพักตร์ไปทางเด็กหนุ่มชุดสีน้ำเงินเข้มที่ยืนนอบน้อมอยู่เบื้องหลัง ก่อนรับสั่ง
“มัล... เจ้าก็เข้ามาสิ”
“พะย่ะค่ะ” เด็กหนุ่มทูลตอบ ก่อนจะก้าวเข้ามาช้าๆ คุกเข่าลงข้างๆ พระนาง
“เจ้านี่โตขึ้นมากจริงๆ นะ” พระนางตรัสเบาๆ ยิ้มสรวล
“5 ปีแล้วพระเจ้าค่ะ...5 ปีแล้ว” เด็กหนุ่มตอบเสียงเศร้า
“นั่นสินะ เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน”
“เสด็จกลับเถอะพะย่ะค่ะ นี่ถ้าเขายังอยู่ พระองค์ต้องถูกเอ็ดแน่ๆ เลย” มัลคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยื่นแขนให้พระนางผู้สูงศักดิ์เกาะกุม
“ใช่สิ” พระเนตรสีทองสว่างวับครั้งหนึ่งแต่แล้วก็เงียบไป กลับเป็นดวงเนตรชวนเศร้าอีกครา “เรานี่อู้งานประจำเลยสิ”
ทรงพระสรวลเบาๆ ประทับยืนขึ้น ย่างพระบาทไปยังรถม้าที่จอดรออยู่เบื้องนอกสุสาน
ทิ้งให้ใครบางคนที่นอนเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว อยู่ที่นี่เพียงลำพังนับแรมปี เพื่อรอคอยการกลับมาพบกันอีกครา
ไอหมอกลอยจางไปทั่วทอ้งฟ้าที่มืดสนิท มีแต่แสงจันทร์สาดส่องและดวงดาวที่พร่างพรายระยิบระยับอยู่เบื้องบน...เสียงเอะอะวุ่นวายดังอยู่ภายในบ้านใหญ่โตที่เรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์ ดวงไฟทุกดวงเปิดจ้า ในบ้านมีเสียงโอดครวญของหญิงสาวดังขึ้นมาไม่ขาดระยะ ชายวัยกลางคน ใบหน้าคมดุ แววตาฉายถึงความว้าวุ่นใจอย่างเหลือล้น ขาทั้งสองข้างเกินไปมาด้วยความกังวลแล้วหยุดกึก เมื่อเห็นหญิงชราคนหนึ่ง กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“เร็วเข้าเถอะแม่หมอ!” ชายคนนั้นรีบบอกแทบเป็นคำสั่ง
‘แม่หมอ’ รีบเดินเข้าไปในห้องที่มีเสียงผู้หญิงร้อง นางเอามือเข้าไปแตะท้องของเจ้าของเสียงงที่นูนขึ้นมา บ่งยอกถึงชีวิตใหม่ที่จะเดิดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
“นายหญิงไม่เป็นไรหรอกขอรับท่านเสนาบดี” เด็กหนุ่มคิ้วเข้มร่างสันทัดเอ่ยขึ้น หลังจากมองท่านเสนาบดีสาวเท้าไปมาหน้าห้องทำคลอดอยู่นาน
“ใช่ แต่...” คิ้วโก่งเริ่มขมวดมุ่น “ลูกข้าต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น”
“เรื่องนี้...อ่า...ถ้าเกิดมัน...”
“ไม่! ฟิล...เจ้าก็รู้ สถานการณ์ทางการเมืองตอนนี้เป็นอย่างไร ถ้าข้าไม่มีทายาท ข้าก็จะไม่มีอะไรไปคานอำนาจของสองพ่อลูกนั่น!” ท่านเสนาบดีกลาโหมยืนยันหนักแน่น แต่ภายในใจกังวลยิ่ง
...ถ้าเป็นลูกสาว จะทำอย่างไรดี?...
เสียงของทารกดังขึ้น อีกครู่เดียวหญิงชราก็ออกมาจากห้อง
“ผู้ชายใช่มั้ยแม่หมอ?” เสนาบดีถามด้วยความร้อนรุ่ม
“ข้าเสียใจด้วยที่ต้องบอกว่า...ลูกของท่านเป็นผู้หญิง...ท่านหญิงเทียน่าร่างกายอ่อนแอเกินไป...เอ่อ...”
“อะไร?...เทียน่า! เทียน่าเป็นอะไร!?”
“ท่านหญิงเสียเลือดมากกับการคลอด ประจวบกับร่างกายอ่อนแอจึง...”
ท่านเสนาบดีรัชเชลไม่รอฟังให้จบประโยค รีบพุ่งเข้าไปในห้องนั้นทันที
เหงื่อมากมายไหลซึมไปทั่วใบหน้างาม ที่บัดนี้ซีดขาวราวกระดาษ ไร้ซึ่งลมหายใจบ่งบอกถึงการมีชีวิต
ท่านหญิงเทียน่าตายแล้ว
ท่านเสนาบดีทรุดลงข้างภรรยาอย่างอ่อนแรง น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งออกมามากมาย เพื่อตอกย้ำให้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกสูญเสียนางอันเป็นที่รักไป
เสร็จสิ้นงานศพของท่านหญิงเทียน่าไปแล้ว ท่านเสนาบดีรัชเชลต้องมากังวลคิดหาหนทางเรื่องลูกสาวคนเดียว ใบหน้าคมสันดูตึงเครียด คิ้วโก่งขมวดมุ่นอยู่เป็นนิจ ดวงตาสีเข้มจัดครุ่นคิดหนัก ร่างกายที่เคยใหญ่โตแข็งแรง แต่บัดนี้เพียงแค่ช่วงเวลาที่ท่านหญิงเทียน่าจากไปไม่นาน กลับซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
“ฟิล...เจ้าเห็นว่ายังไง?” นายทหารใหญ่ หันไปขอความคิดเห็นจากนายทหารหนุ่มคนสนิท
“อ่า...ข้า...ข้าคิดว่าลูกของท่านควรเป็นผู้ชายขอรับ “นายทหารคิ้วเข้มตอบ
“นี่...เจ้าหมายความว่า...”
“ขอรับ...ต้องไม่มีใครรู้ว่า บุตรของท่านเสนาบดีเป็นหญิง...สำหรับแม่หมอ คงจะขอร้องได้ไม่ยาก ส่วนบ่าวไพร่ในคืนนั้น...ข้าจะไปบอกพวกนั้นเอง...ถ้ามีปากไว้พูดอะไรที่ไม่สมควรพูด ก็ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตไว้พูดอะไรอีกต่อไป!” แววตาของผู้อ่อนวัยกว่าเข้มขึ้นจนน่ากลัว มือข้างหนึ่งจับด้ามดาบที่คาดไว้กับเอวมั่น
พระราชวังสีขาวสะอาดตาตั้งอยู่กลางไอหมอก หอคอยตั้งตระหง่านอยู่สี่มุม ทาบทับด้วยสีขาวโพลนของหิมะ ดูแล้วเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งเทพนิยาย
เสียงเด็กสองคนวิ่งเล่นอย่างมีความสุขอยู่ในท้องพระโรงกว้าง ซึ่งตอนนี้ไร้ซึ่งผู้คนอื่น...สถานที่แบบนี้ เด็กธรรมดาทั่วไปคงมาวิ่งเล่นไม่ได้ ถ้าหนึ่งในนั้นไม่ใช่เจ้าหญิงเจมีไน แห่งแคว้นทราเวล และอีกคนหนึ่งก็คือ เรวิล เรนเดล บุตรคนเดียวของเสนาบดีกลาโหม รัชเชล เรนเดล
เจ้าหญิงน้อยล้มพระวรองค์ลงบนฟูกอย่างสบายอารมณ์ ทำให้สหายอีกคนหนึ่งต้องคุกเข่าลงตาม
“เรวิล” เจ้าหญิงเจมีไนตรัสขึ้น หลังจากเงียบไปสักพัก
“อะไรพะย่ะค่ะ?”
“เจ้าต้องไปแคว้นสุมาลาร์จริงๆ เหรอ?” เจ้าหญิงน้อยตรัสถามเสียงเศร้า
“พะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องไปเรียน” เรวิลทูลตอบแบบเรื่อยๆ
“อยู่ที่นี่เรียนไม่ได้หรือไง”
“ก็ได้พะย่ะค่ะ แต่....ที่นั่นใครๆ ก็รู้ว่าเป็นหนึ่งในเรื่องของการศึกษา แน่นหนักทางด้านทหารอย่างที่ข้าพระองค์ต้องการ มิหนำซ้ำยังรวมถึงวิชาการเมืองการปกครอง สมุนไพร ศาตร์แห่งเวทมนตร์...”
“พอแล้ว!” เจ้าหญิงเจมีไนตวาดแหว หลังจากที่ทนฟังมานาน จากนั้นพระสุรเสียงก็อ่อนลง
“เราไม่อยากให้เจ้าไปนี่นา”
“หน้าที่พะย่ะค่ะ หม่อมฉันต้องไปตามหน้าที่...หน้าที่ของลูกต่อพ่อ ของข้าราชบริภารต่อประเทศชาติ และราชราชวงค์ทราเวลพะย่ะค่ะ!” เรวิลตอบหนักแน่นเกินเด็ก ทั้งๆ ที่เจ้าตัวอายุเพียง 12 ปีเท่านั้นเอง
“เจ้าอึดอัดไหม ที่ต้องเป็นแบนี้ เรวิล?” ท่านเสนาบดีเอ่ยถาม หลังจากออกกำลังกายตอนเช้าพร้อมทหารเรียบร้อยแล้ว โดยมีเรวิลติดสอยห้อยตามไปด้วย
“ไม่หรอกท่านพ่อ ลูกเข้าใจ ท่านทำทุกอย่างเพื่อทราเวล”
แคว้นทราเวลมีข้อห้ามมิให้ผู้หญิงเข้ารับราชการ ซึ่งสถานการณ์ทางการเมืองของแคว้นเองก็น่าหวาดหวั่น เพราะเสนาบดีกลาโหมกับเสนาบดีมหาดไทยกำลังคานอำนาจกันอยู่ ทุกคนเองก็ทราบกันดีอยู่ในใจ ว่าเสนาบดีมหาดไทยคนนี้มักใหญ่ใฝ่สูงแค่ไหน และนับวันจะมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เสนาบดีกลาโหมหวั่นใจ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสนาบดีตัวร้ายแย่งชิงบัลลังก์ได้
และด้วยเหตุนี้ ทำให้เรวิลต้องปลอมเป็นชาย เรียนรู้ทุกอย่างจากผู้เป็นพ่อทั้งวิชาการทหาร รวมถึงการปกครองด้วยตั้งแต่เด็ก เพื่อเป็นฐานบัลลังก์ให้กับเจ้าหญิงเจมีไน เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งแคว้นทราเวล
เด็กน้อยนามเรวิลเอามือไขว้หลังยืนข้างๆ ผู้เป็นบิดาอย่างมั่นคง หลังเหยียดตรง ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลมีแววครุ่นคิด แหงนมองท้องฟ้า ดวงหน้าเนียนจมูกโด่ง ริมฝีปากหยักได้รูป ผิวคร้ามเล็กน้อยตามแบบฉบับของพ่อบังเกิดเกล้า ผมสีชายามประบ่าถูกมัดรวบอย่างง่ายๆ เพื่อไม่ให้เกะกะในการฝึกทหาร รูปร่างบางแต่หากมั่นคงแข็งแรงเพราะผ่านการฝึกมาอย่างหนัก
ฟิล...นายทหารคนสนิทของท่านเสนาบดีรัชเชลทอดตามองเด็กวัย 12 ที่สง่างามไม่ผิดเพี้ยนผู้เป็นบิดา และดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลจากมารดาด้วยความชื่นชมและเชื่อมั่น
‘ถ้ามีเด็กคนนี้ แคว้นทราเวลต้องอยู่รอด!’
“ไม่ๆๆๆ!! ...เราไม่ยอม!” สุรเสียงใสดังก้องเอาแต่พระทัยจนนางข้าหลวงเอาไม่อยู่
“ถ้าเรวิลไป แล้วเราจะเล่นกับใครล่ะ”
“ก็เล่นกับพวกหม่อมฉันสิเพคะ” นางข้าหลวงเกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนใจ
“ไม่เอา!!”
“ไม่เอาก็ต้องเอาเพคะ” เสียงพระพี่เลี้ยงที่เดินมาหยุดที่เบื้องปฤษฎางค์ ดังก้องกลายๆ สั่งอย่างที่ไม่มีใครกล้า
“เอลม่า...” เจ้าหญิงตรัสด้วยพระสุรเสียงอ่อยๆ
“เจ้าหญิงจะทรงให้เรวิลคอยอยู่ด้วยตลอดไปได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อทุกคนเองก็ย่อมมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องปฏิบัติให้ดีที่สุด...พระองค์เองก็ต้องทรงศึกษาเล่าเรียน ต่อไปภายหน้า ฝ่าบาทจะต้องขึ้นครองราชบัลลังก์นะเพคะ...อย่าทรงลืม!” พระพี่เลี้ยงเอลม่าพูดเน้นหนัก เพราะตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องทรงพระอักษรแล้ว
“พระอาจารย์มารอนานแล้วนะเพคะ” เอลม่า พระพี่เลี้ยงร่างอ้วนท้วน ที่อยู่กับเจ้าหญิงมานานเทียบเท่ากับพระชัญษาของพระองค์น้อยเอ่ยเสียงเรียบ
ดวงพระเนตรสีทองหม่นลง พระดัชนีจับปลายพระเกศาสีม่วงสดยาวม้วนไปมา ก่อนจะเหลียวกลับไปทอดพระเนตรพระพี่เลี้ยงอีกครั้ง แต่เมื่อเจอกับสายตาจริงจังของเอลม่า เจ้าหญิงพระองค์น้อยจึงถอนพระปัสสาสะยาวยืด หลังจากนั้นก็เสด็จวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่วายได้ยินเสียงพระพี่เลี้ยงเอ็ดลั่นตามพระปฤษฎางค์มา
“ตายแล้ว! บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วเพคะ ว่าอย่าทรงทำแบบนี้ มันไม่งาม...เจ้าหญิงเพคะหยุดก่อน...”
เจ้าหญิงเจมีไนทรงพระสรวลเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ที่ปั่นหัวพระพี่เลี้ยงได้
...ดีแล้ว เจอซะบ้าง ทั้งบ่นทั้งดุน่าเบื่อจะตาย...
“จะเสด็จไหนพะย่ะค่ะ?”
เจ้าหญิงรัชทายาทต้องชะงักพระบาทกึก เมื่อเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรเห็นดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่มองพระพักตร์ใสอย่างรู้ทัน
“แฮะๆ เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เรวิล”
เรวิลไม่ตอบ แต่กลับทูลต่อแบบยิ้มๆ
“นี่มันได้เวลาศึกษาวิชาการต่างประเทศแล้วมิใช่หรือพะย่ะค่ะ ป่านนี้พระอาจารย์คงคอยแย่แล้ว”
“เฮอะ! ตาแก่นั่น ปล่อยๆ ไปบ้างก็ได้” พระโอฐษ์จิ้มลิ้มเชิดขึ้นอย่างเอาแต่พระทัย
“งั้นเหรอพะย่ะค่ะ กระหม่อมกำลังจะมาชวนพระองค์เสด็จทอดพระเนตรฐานลับของกระหม่อมพอดีเลย”
“ก็ไปกันสิ” ดวงพระเนตรเริ่มเป็นประกาย เพราะสนพระทัยเรื่องของสหายคนสนิท
“แต่...ฐานลับของกระหม่อมมีกฎอยู่ว่า จะไม่ให้เด็กดื้อเอาแต่ใจ แล้วก็ไม่สนใจเรียนเข้าไปพระเจ้าค่ะ...ว้า! แบบนี้กระหม่อมคงต้องไปคนเดียว” เรวิลกราบทูลด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ก่อนที่จะเหลียวหลัง
“เจ้าว่าเราเหรอ!” เจ้าหญิงน้อยเริ่มมีโมโห
“ตั้ง 8 ชัญษาแล้วนะพะย่ะค่ะ น่าจะคิดเองได้”
“เจ้า!! บังอาจมากไปแล้วนะ”
“กราบขอประทานอภัยพะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจ เป็นความผิดของหม่อมฉันเองที่เข้าใจผิด คิดว่า เด็ก 8 ขวบน่าจะโตพอที่จะรู้หน้าที่ของตัวเองได้แล้ว”
“เรารู้ดีหรอกน่า...ก็ได้...เราเรียนก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าต้องเข้าเรียนกับเราด้วย” เจ้าหญิรัชทายาทฮึดขึ้นมาด้วยแรงโมโห จ้องนัยน์ตาสีฟ้าเขม็ง
“ก็ดีพะย่ะค่ะ” เรวิลยิ้มตอบด้วยสีหน้านึกสนุกเหมือนเดิม ด้วยแววตาพึงพอใจ
พระวรองค์ในชุดภูษาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ยืนทอดพระเนตรหิมะเยื้องนอกพระบัญชรด้วยดวงพระเนตรสีแดงดุจเลือด พระเกศาสีเดียวกัน พระโอฐษ์เรียบตรงแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดเหี้ยมโหด
ผู้สำเร็จราชการ เบือนพระพักตร์จากเบื้องนอก กลับมาทอดพระเนตรชายวัย 40 กว่าๆ อย่างหยั่งเชิง
“ท่านคิดว่ายังไง ท่านเสนาบดี...เรื่อง เจ้าหญิงรัชทายาท”
“กระหม่อมมีความเห็นว่า ตอนนี้องค์หญิงยังเล็กนัก ยังไม่ประสีประสา แต่ถ้ายิ่งทิ้งไว้นานวันเข้า...”ลาเปช เสนาบดีมหาดไทยคู่ปรับของท่านรัชเชลทูลตอบ
“แค่ผู้หญิง...จะทำอะไรได้ ข้าไม่เห็นว่าเด็กคนนั้นจะเป็นปัญหา ยังไงๆ ซะ อำนาจก็อยู่ในมือข้าอยู่แล้ว...ปล่อยไว้แบบนั้นเถอะ มันก็ทำให้วังหลวงดูสดใสขึ้นมิใช่รึ”
“ตามแต่จะทรงโปรดพะย่ะค่ะ” ลาเปชโค้งลง “กระหม่อมขอทูลลา
แววพระเนตรสีแดงตามร่างอ้วนท้วนของเสนาบดีลาเปชจนพ้นพระทวาร ก่อนที่มุมพระโอฐษ์จะเหยียดขึ้นนิดๆ ...ถึงตอนนี้จะเป็นแค่ผู้สำเร็จราชการ แต่อีกไม่นานบัลลังก์จักรพรรดิ์ จะตกอยู่ในอุ้งหัตถ์ขององค์ชายอาร์ลีพระองค์นี้พระองค์เดียว!
เสียงปริแตกของฟืนในเตาผิงดังขึ้นแผ่วเบาเป็นระยะ แต่จนป่านนี้ยังไม่มีมหาดเล็กคนใดเลยที่เข้ามาเติมฟืน ทั้งๆ ที่มันพร่องไปเกือบครึ่งแล้ว
พระอาจารย์ที่ถวายการสอนวิชาการต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นเสนาบดีการต่างประเทศอีกด้วย กำลังนั่งเกร็งตัวด้วยความหนาวเย็น ขณะที่พยายามสอนไปด้วยอย่างยากลำบากท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ องค์หญิงรัชทายาทองค์น้อยดูเผินๆ ก็ตั้งพระทัยเรียนดี แต่เรวิลรู้อยู่แก่ใจว่าทรงเก็บพระอาการกลั้นสรวลได้เก่งนัก ภายใต้หน้ากากเรียบเฉยนั่นน่ะ และยังรู้อีกด้วยว่าถ้าองค์หญิงน้อยไม่สั่ง มหาดเล็กถวายการรับใช้คงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่การเติมฟืนอย่างแน่นอน
“หมดชั่วโมงแล้วนะท่านเสนาฯ” สุรเสียงเจ้าหญิงน้อยดังขึ้นมาแทรกการอธิบายหลักวิชา ทำให้หนวดเฟิ้มของพระอาจารย์กระตุกขึนนิดหนึ่ง
“เจ้าหญิง” เรวิลส่งเสียงปรามตามมาเบาๆ
“เอ่อ...งั้นข้าพระองค์ต้องขอจบการเรียนการสอนเพียงเท่านี้พะย่ะค่ะ แล้วชั่วโมงหน้าข้าพระองค์จะมาสอบ” ท่านเสนาการต่างประเทศโค้งถวายคำนับ ก่อนจะถอยออกนอกพระทวารไป
“เฮ้อ...”เจ้าหญิงเจมีไนถอนพระปัสสาสะเสียยาวเหยียด แสดงว่าปลอดโปร่งโล่งพระทัยแล้วจริงๆ
“ทีตอนจะเรียนชอบลืม แต่ตอนหมดชั่วโมงนี่ทำไมไม่ทรงลืมบ้างพะย่ะค่ะ” เรวิลทูลเย้า
“ช่างเราเถอะน่า...ไหนล่ะไหนว่าจะพาเราไปฐานลับอะไรของเจ้าไม่ใช่รึไง”
“พะย่ะค่ะ”
บุตรเสนาบดีเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์
“กลั้นหายใจนะพะย่ะค่ะ” เรวิลดึงเสื้อคลุมของตัวเองขึ้นมารวบวรองค์เล็กไว้ ก่อนที่ปากเรียวจะขมุบขมิบร่ายเวทย์บางอย่าง
ชั่ววินาทีเดียวเรวิลก็ถอยออกมาจากพระวรองค์ เจ้าหญิงน้อยเปิดเปลือกพระเนตรขึ้น ปากถ้ำที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์และหญ้าแห้งก็ปรากฏสู่สายพระเนตร
“นี่เจ้าฝึกเวทย์ถึงบทนี้แล้วเหรอเนี่ย?” ตรัสถามด้วยความอึ้งปนทึ่ง เพราะเวทย์ที่ว่าด้วยการหายตัวมันอยู่ในบทที่112 ของ365มหาเวทย์สูงสุดแห่งวิชาเวทมนตร์ ที่เด็กอายุ 12 ไม่น่าจะเก่งถึงขั้นมาเรียนบทนี้ได้ แถมยังฝึกสำเร็จอีกด้วย
อัจฉริยะชัดๆ
เรวิลไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ยิ้มให้อย่างถ่อมตน
“เข้าไปข้างในเถอะพะย่ะค่ะ”
เรวิลเดินนำเข้าไป ในภายแรกคิดว่าภายในถ้ำจะมืดมิด แต่กลับสว่างไสวเพราะโพรงทางด้านบน น้ำแข็งจับอยู่ทุกอญูของผนังถ้ำ ทำให้แสงตกกระทบกับแผ่นน้ำแข็งระยิบระยับ เสมือนเพชรงามยามจับต้องแสง องค์หญิงน้อยทอดพระเนตรอย่างตื่นตะลึงในความงาม
“ทรงโปรดไหมพะย่ะค่ะ?” เรวิลทูลถามด้วยรอยยิ้ม
พระวรองค์เล็กแย้มพระโอฐษ์จนพระปรางแทบปริให้เป็นคำตอบอย่างดี
“กระหม่อมพบที่นี่โดยบังเอิญ ตอนมาฝึกการรบพะย่ะค่ะ”
“สวยมาก...สวยมากจริงๆ”
“ยังไม่หมดแค่นี้นะพะย่ะค่ะ” เรวิลทูลพลางโค้งลงขออนุญาตจับข้อพระกร จูงเดินเข้าไปในถ้ำ
ผ่านอุโมงน้ำแข็งที่ลดเลี้ยว เพียงไม่นาน แสงสว่างจากปลายถ้ำก็ปรากฏ
“ว้าว...” ดวงเนตรของเจ้าหญิงเจมีไนเบิกกว้าง กวาดสายพระเนตรไปรอบๆ
ที่แท้ปลายของถ้ำก็เป็นหน้าผาบนหุบเขาสูง เมื่อมองจากตรงนี้จะสามารถเห็นเมืองหลวงได้ทั้งเมืองเลยทีเดียว
“ประทับนั่งก่อนเถอะพะย่ะค่ะ” พระสหายผายมือไปทางเถาวัลย์ต้นใหญ่ ที่ถูกมัดรวมกันจนแน่นหนา กลายเป็นชิงช้าที่แข็งแรง
เจ้าหญิงประทับนั่งลงส่วนเรวิลนั่งบนโขดหินข้างๆ แววตาสีน้ำทะเลทอดมองไปทางทิวทัศน์แห่งทราเวลเบื้องล่าง
“กระหม่อมชอบมาอยู่ตรงนี้แล้วมองไปข้างล่าง เพื่อตอกย้ำความรู้สึกของตนเองว่าแคว้นทราเวลสวยงามและมีคุณค่ามากเพียงไหน”
“แล้วทำไมเจ้าต้องจากที่นี่ไปด้วยเล่า?” เจ้าหญิงพระองค์น้อยรับสั่งถาม ด้วยสุรเสียงน้อยพระทัย
“หรือเจ้าไม่อยากอยู่เล่นเป็นเพื่อนเรา เจ้ารังเกียจเรานักหรือไง”
“กระหม่อมมิบังอาจถึงเพียงนั้น...ที่กระหม่อมทำทุกอย่างนี้ ล้วนแต่เพื่อฝ่าบาทเท่านั้น”
“เราไม่เข้าใจ...เสด็จพ่อเสด็จแม่ก็ทิ้งเราไปแล้วทั้งสองพระองค์ นี่เจ้าเป็นเพื่อนคนเดียวของเรา เจ้ายังจะทิ้งเราไปอีกคนหรือ” ยิ่งตรัส น้ำพระเนตรยิ่งคลอหน่วย ทำให้เรวิลพลอยใจไม่ดี
“โธ่...อย่างฝ่าบาทจะหาพระสหายอีกเท่าไหร่ก็ได้พะย่ะค่ะ”
“มันไม่เหมือนกันนี่ เจ้าก็คือเจ้า ไม่มีใครมาแทนได้หรอก”
รับสั่งที่เรียกสีหน้าระเรื่อมาจากพระสหาย ก่อนจะลงมานั่งคุกเข่ากับพื้น เงยหน้ามองพระพักตร์ใสด้วยความตื้นตัน
“ขอบพระทัยที่ทรงเห็นคุณค่าของกระหม่อมถึงเพียงนั้น กระหม่อมขอปฏิญาณว่าทุกลมหายใจของกระหม่อม เพื่อฝ่าบาทเพียงองค์เดียว”
“เรายอมให้เจ้าไปแล้ว แต่เจ้าต้องสัญญากับเรานะว่าจะกลับมา”
“กระหม่อมต้องกลับมาแน่ กระหม่อมถวายคำสัตย์”
“จริงๆ นะ” ตรัสถามย้ำเพื่อความแน่พระทัย
“สัญญาพะย่ะค่ะ” เรวิลให้คำมั่น ถึงต่อให้ต้องตายก็จะต้องทำตามสัญญาที่ถวายไว้ด้วยชีวิตและหัวใจไว้ให้จงได้!
“เรวิล ทำอะไรอยู่น่ะ?” เสียงทักมาจากเบื้องหลัง ทำให้เจ้าของเรือนผมยาวประบ่าสีชาอ่อน ถูกปลุกจากภวังค์ความคิด ร่างสูงเหลียวมองไปยังผู้มาเรียก
“ว่าไง คิดอะไรอยู่?”
“เปล่า...แค่คิดเรื่องความหลังนิดหน่อยน่ะ มีอะไรเหรอ?”
“อาจารย์เรียกแน่ะ สงสัยจะให้เจ้าจบก่อนหลักสูตรแน่เลย น่าอิจฉาชะมัด อัจฉริยะอย่างเจ้านี่แคว้นสุมาลาร์คงอยากให้เจ้ามาทำงานอยู่ที่นี่เลยแหงๆ” เจ้าของนัยน์ตาสีดำวาววับจ้อไปเรื่อย
“ไม่หรอก ยังไงข้าก็ต้องกลับทราเวลอยู่แล้ว”เรวิลตอบยิ้มแบบไม่ใส่ใจในคำพูดของเพื่อน
“งั้นก็น่าเสียดาย” เขาว่า
“ก็นะ ข้าต้องทำตามสัญญาที่เคยให้กับใครบางคนไว้”
“สัญญา?”
“ใช่ สัญญา...สัญญาที่ต้องทำให้ได้และให้ตายก็ไม่มีวันลืม” เรียวปากบางยิ้มละไม แม้ว่าเวลาจะห่างมาเกือบสิบปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยลืมคำที่เคยถวายแก่องค์หญิงน้อยพระองค์นั้นเลย
ความคิดเห็น