ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากสามก๊ก (๕) สองพี่น้องสกุลซุน

    ลำดับตอนที่ #1 : ซุนเซ็ก - เสี่ยวป้าอ๋อง(ป้าอ๋องน้อย)

    • อัปเดตล่าสุด 4 ม.ค. 50


    ซุนเซ็ก - Sun Ce A.D. 175-200
    ฉบับเรียบเรียงตามวรรณกรรม | ฉบับเรียบเรียงตามจดหมายเหตุ


              ซุนเซ็ก บุตรคนโตของซุนเกี๋ยนและง่อฮูหยิน (175-200)เกิดที่ หยานตู แต่ย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ ติดตามซุนเกี๋ยนที่ได้รับตำแหน่งผู้ช่วยนายอำเภอไปยังเมืองต่าง ๆ

    เมื่อปี 184 ซุนเกี๋ยนเข้าร่วมกับจูฮี สู้โจรผ้าเหลือง ซุนเกี๋ยนทิ้งซุนเซ็กและครอบครัวให้อยู่ที่ฉิวฉุนไม่ได้ติดตามซุนเกี๋ยน เวลานั้นซุนเซ็กอายุได้เพียงเก้าปี แต่ซุนเซ็กก็สร้างชื่อและมีเพื่อนมากมายที่เป็นขุนนางของฉิวฉุน ถือเป็นความสามารถอันเกินวัยของเด็กที่มีอายุเพียงเก้าปีซึ่งที่ฉิวฉุนนั้น ซุนเซ็กได้เจอกับจิวยี่ เด็กชายที่เกิดในปีเดียวกัน ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนสนิทกันเพราะความสัมพันธ์ของทั้งสอง ซุนเซ็กและครอบครัวจึงอยู่อาศัยที่ฉิวฉุนอีกสองสามปีต่อมา โดยจิวยี่ให้ความเคารพอย่างมากแก่งอฮูหยิน แม่ของซุนเซ็ก และแบ่งปันสิ่งของทุกอย่างแก่ซุนเซ็ก

    ตระกูลจิวของจิวยี่นั้น ถือเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ตระกูลหนึ่ง ลุงของจิวยี่นั้นมีตำแหน่งขุนนางใหญ่ (ไท่เว่ย)พ่อของจิวยี่เองก็เคยเป็นผู้พิพากษาในเมืองลั่วหยาง เมืองหลวงมาก่อน ละคนอื่นในตระกูลจิวหลายคนก็เป็นขุนนางในวังตระกูลของจิวยี่จึงจัดเป็นตระกูลขุนนางที่มั่งคั่งร่ำรวยและมีอิทธิพลที่สุดตระกูลหนึ่งเมื่องอฮูหยินและซุนเซ็กย้ายมาอยู่ที่นี้ในปี 190 ตระกูลจิวได้ให้บ้านพักรับรองหลังใหญ่แก่งอฮูหยินไม่ใช่เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างซุนเซ็กกับจิวยี่ แต่ว่าในขณะนั้น ซุนเกี๋ยนเป็นเจ้าเมืองเตียงสามีกองทัพที่เก่งกล้าสามารถ แม้ว่าพื้นเพตระกูลซุนไม่สามารถเทียบได้กับ ตระกูลจิว แต่ซุนเกี๋ยนจัดเป็นขุนนางที่มีความสามารถ และมีความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนขั้นเป็นขุนนางใหญ่ต่อไป ตระกูลจิวจึงต้องการผูกมิตรกับซุนเกี๋ยน โดยการสร้างสัมพันธ์อันดีกับงอฮูหยินและซุนเซ็ก

    ในปี 191 ซุนเกี๋ยนถูกฆ่าในการรบที่ซงหยง ศพของซุนเกี๋ยนถูกฝังที่เมืองง่อ หรือตันเอี๋ยง ซุนเซ็กและครอบครัวจึงต้องย้ายมาอยู่ที่ตันเอี๋ยง ระยะหนึ่งเพื่อจัดพิธีศพ แล้วก็ย้ายไปอยู่ที่ เจียงตู หรือเมืองตอนเหนือของแม่น้ำแยงซี หลังการตายของซุนเกี๋ยน ความพยายามของอ้วนสุดที่จะยึดดินแดนของเล่าเปียวก็สูญเสียไปด้วย ในปี 193 อ้วนสุดถูกโจโฉโจมตี โจโฉในตอนนั้นเป็นผู้ครองมลฑณกุนจิ๋ว และเป็นพันธมิตรกับอ้วนเสี้ยว ศึกครั้งนั้น แม้ว่าอ้วนสุดจะมีกองทัพใหญ่โตที่สุดในแถบตะวันออกเฉียงใต้ แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับโจโฉ จนต้องสูญเสียเมือง หนานหยาง ทำให้สูญเสียอำนาจปกครองเหนือลุ่มแม่น้ำแยงซี จนต้องหนีไปอยู่ที่เมืองฉิวฉุน

    การมาถึงเมืองฉิวฉุนของอ้วนสุดเจ้านายเก่าของซุนเกี๋ยนครั้งนั้น เปลี่ยนชีวิตของซุนเซ็ก ซึ่งอยู่อาศัยกับตระกูลจิวในขณะนั้น ซุนเซ็กได้เข้าพบอ้วนสุด และพูดถึงความหลังเมื่อครั้งซุนเกี๋ยนยังรับใช้อ้วนสุด จนกระทั่งตาย แล้วซุนเซ็กก็ขอรับใช้อ้วนสุด เหมือนอย่างที่ซุนเกี๋ยนเคยรับใช้ อ้วนสุดประทับใจตัวซุนเซ็กในครั้งนั้น แม้จะไม่ได้มอบตำแหน่งสำคัญอะไรให้ เพราะว่าซุนเซ็กในตอนนั้นอายุเพียง 18 ปี ซึ่งอ้วนสุดมองว่ายังเด็กเกินไป อย่างไรก็ตาม ซุนเซ็กก็สร้างความสัมพันธ์กับลูกน้องของอ้วนสุดหลายคน รวมถึงลูกน้องเก่าของซุนเกี๋ยนที่ขึ้นกับอ้วนสุดหลังจากซุนเกี๋ยนตาย ไม่นานหลังจากซุนเซ็กเข้าพบอ้วนสุด
    เขาก็ไปอยู่กับงอเก๋งน้าของเขา ที่เป็นลูกน้องอ้วนสุด ซึ่งอ้วนสุดใช้ให้ไปครองเมืองตันเอี๋ยง

    หลังการตายของซุนเกี๋ยน ตระกูนซุนก็เหมือนสูญเสียผู้นำที่มีอิทธิพลในกลุ่มของอ้วนสุด แม้ว่าซุนเบน หลานของซุนเกี๋ยน (ลูกของพี่ชายฝาแฝดซุนเกี๋ยน) จะรับหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่มตระกูลซุนต่อ แต่ตัวซุนเบนก็ไม่ได้มีความสามารถในการนำคนในตระกูลเท่าไหร่ และเมื่ออ้วนสุดแต่งตั้งให้ซุนเบนเป็นผู้ตรวจการแคว้นอิจิ๋ว ก็ดูเหมือนว่ากลุ่มตระกูลซุนจะตกอยู่ภายใต้การปกครองของอ้วนสุด อีกทั้งลูกน้องเก่าของซุนเกี๋ยน อย่างเทียเภา อุยกาย ฮันต๋งนั้น ก็ไม่ได้รับหน้าที่อะไรสำคัญจากอ้วนสุดเลย และอ้วนสุดก็พยายามชักจูงพวกเขาให้เปลี่ยนใจมารับใช้อ้วนสุด ซุนเซ็กร้องขอต่ออ้วนสุดให้โอนคนเหล่านั้นมาอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขา แต่อ้วนสุดปฏิเสธ ถึงอย่างไรก็ดีแม้ว่าจะยังหนุ่มอยู่ แต่ซุนเซ็กก็เป็นเหมือนผู้นำตระกูลที่รับช่วงต่อจากซุนเกี๋ยน และเป็นที่สนใจของเหล่าคนที่ต้องการรับใช้กลุ่มตระกูลซุน

    แม้ว่าตอนนั้นกลุ่มของซุนเกี๋ยนจะอยู่ภายในบังคับบัญชาของงอเก๋ง น้าของซุนเซ็ก แต่งอเก๋งนั้นไม่ใช่ผู้นำที่ได้รับความนับถือของเหล่าลูกน้องของซุนเกี๋ยน เพราะงอเก๋งไม่ใช่คนในตระกูลซุน แต่ว่าพี่สาวของเขาแต่งงานกับซุนเกี๋ยนเท่านั้น ซุนเซ็กจึงรวบรวมเหล่าลูกน้องเก่าของซุนเกี๋ยน โดยมีงอเก๋งเป็นผู้ช่วยคอยสนับสนุน

    การมาถึงฉิวฉุนของอ้วนสุด สร้างความไม่พอใจให้กับ โตเกี๋ยมอย่างมาก เพราะอ้วนสุดนั้นมีท่าทีว่าจะตีเมืองของโตเกี๋ยม ต่อมาโตเกี๋ยมได้จับตัวลิห้อม เพื่อนเก่าของซุนเกี๋ยนในข้อหาเป็นสายลับ ลิห้อมหนีออกมาได้ ทำให้ซุนเซ็กต้องพาครอบครัวหนีมาที่แยงซี หลังจากย้ายทัพมาอยู่ที่ฉิวฉุน อ้วนสุดใช้ให้ ซุนเบนและงอเก๋ง ไปเป็นเจ้าเมืองและแม่ทัพของ ตันหยาง และให้ซุนเซ็กไปประจำอยู่ที่นั้นกับญาติของเขา ที่ตันเอี๋ยงซุนเซ็กซ่องสุมผู้คนและสะสมประสบการณ์การรบกับเจ้าเมืองข้างเคียง โจรและพวกคนเถื่อน

    เมื่อซุนเซ็กกลับมาหาอ้วนสุดในปี 194 อ้วนสุดได้มอบหมายการบัญชาการกองทัพเก่าของซุนเกี๋ยนแก่ซุนเซ็ก แต่งตั้งให้เป็นขุนนางอยู่ที่ฉิวฉุน ซุนเซ็กได้สร้างความประทับใจอย่างมากแก่ผู้บัญชาการระดับสูงในสังกัดของอ้วนสุด แม้ว่าจะได้ตำแหน่งขุนนางจากอ้วนสุดแต่สิ่งที่ซุนเซ็กต้องการคือ การมีกองทัพของตัวเองโดยไม่ต้องขึ้นกับคำสั่งของอ้วนสุด เหมือนที่พ่อเขาซุนเกี๋ยนเคยได้รับแต่อ้วนสุดไม่สนใจในสิ่งที่ซุนเซ็กต้องการ

    อ้วนสุดเคยรับปากว่าจะให้ซุนเซ็กเป็นเจ้าเมืองจิวเจียง แต่ก็กลับมอบตำแหน่งนี้ให้กับขุนนางคนอื่น เมื่อ Lu Kang เจ้าเมืองโลกั๋งเกิดไม่นอบน้อมต่ออ้วนสุด ไม่ยอมมอบบรรณาการ อ้วนสุดใช้ให้ซุนเซ็กไปตีโลกั๋ง โดยรับปากจะให้ซุนเซ็กเป็นเจ้าเมืองคนใหม่ถ้าชนะซุนเซ็กชนะในการรบและจับตัว หลู่คัง ได้ แต่อ้วนสุดกลับมองตำแหน่งนี้ให้ หลิวสวิน ทำให้ซุนเซ็กเพิ่มความไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ในระหว่างนั้น เกิดความวุ่นวายขึ้นในแถบเมืองลุ่มแม่น้ำแยงซีทางใต้ เกิดจากการที่โจโก๋ พ่อของโจโฉ ถูกปล้นและฆ่าในเขตแดนของโตเกี๋ยม ทำให้โจโฉแค้นโตเกี๋ยมมาก และยกทัพมาตีโตเกี๋ยม ทำให้โตเกี๋ยมต้องหนีไปอยู่ที่เมือง ถาน จากการที่โจโฉยกมายึดเมืองโตเกี๋ยมทำให้เหล่าเมืองในแถบแม่น้ำแยงซีเกิดการตื่นตัว เล่าอิ้วขุนนางที่เป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งตัดสินใจย้ายมาอยู่ในแถบแม่น้ำแยงซีนี้ เพื่อหลบเลี่ยงสงครามกลางเมืองระหว่างตั้งโต๊ะและขุนนางคนอื่น ต่อมาในปี 194 ก็มีราชโองการแต่งตั้งให้เล่า
    อิ้วนั้นเป็นข้าหลวงปกครองมณฑลยังจิ๋ว ซึ่งความเป็นจริงอยู่ในการครอบครองของอ้วนสุด เล่าอิ้วจึงคิดยึดครองเมืองที่เป็นสิทธิการครอบครอบของตัวเองจากทางการ แต่ยังไม่อยากทำสงครามซึ่งหน้ากับอ้วนสุดโดยตรง เล่าอิ้วจึงยกทัพอ้อมไปตีเมือง ตันเอี๋ยง ที่อยู่ในปกครองของงอเก๋งงอเก๋งขอความช่วยเหลือจากอ้วนสุดในการสู้ศึกกับเล่าอิ้ว อ้วนสุดส่งกองทัพมาช่วยโดยให้งอเก๋งและ โจวซาง ลุงของจิวยี่ นำทัพคนละทัพไปสู้กับเล่าอิ้ว กองทัพของอ้วนสุดและเล่าอิ้ว เผชิญหน้ากันอยู่สองฝั่งแม่น้ำเกือบปี แต่ไม่มีการรบเกิดขึ้น ต่างคุมกำลังกันอยู่ ทำให้อ้วนสุดต้องเสียอำนาจปกครองดินแดนทางใต้ของแม่น้ำแยงซีให้แก่เล่าอิ้ว ทัพของเล่าอิ้วใหญ่ขึ้นและกลายเป็นภัยคุมคามแก่กองทัพอ้วนสุดในปี 195 นั้น ซุนเซ็กขอให้อ้วนสุดส่งตัวเองไปช่วยงอเก๋งและซุนเบน แม้ว่าอ้วนสุดจะไม่มั่นใจว่าซุนเซ็กจะสามารถชนะศึกได้ แต่ก็อนุญาตให้เขาไป

    ซุนเซ็กได้รับมอบกองทัพเพียงพันคนและทหารม้าแค่สามสิบ สี่สิบคนเท่านั้น แต่เขาเองก็มีทหารส่วนตัวอยู่หลายร้อยคน ซุนเซ็กประกาศรับสมัครคนเข้ากองทัพในทุกที่ที่กองทัพของเขาเดินทางผ่านไป เมื่อทัพของซุนเซ็กมาถึงลิหยงนั้น คาดว่าซุนเซ็กมีทหารประมาณห้าถึงหกพันคนจากแค่พันห้าเมื่อเขาจากเมืองฉิวฉุนมา ซุนเซ็กเข้าร่วมกับแม่ทัพคนอื่นวางแผนที่จะข้ามแม่น้ำแยงซี แม้ว่าอ้วนสุดจะตั้งให้งอเก๋งเป็นแม่ทัพใหญ่แต่ว่าผู้นำที่แท้จริงกลับกลายเป็นซุนเซ็ก และในการรบกับเล่าอิ้ว ซุนเซ็กก็ได้แสดงความเป็นผู้นำกับเหล่าญาติและแม่ทัพนายกองคนอื่นทำให้คนในตระกูลซุนยอมรับเขาเป็นผู้นำ แม้ว่าซุนเกี๋ยนจะเป็นผู้นำเหล่าตระกูลซุนมาก่อน แต่ซุนเซ็กก็ได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลซุนมาด้วยความสามารถในการนำทัพของตัวเอง

    ในการรบระหว่างฝั่งแม่น้ำนั้น ทหารของเล่าอิ้วภายใต้การนำของแม่ทัพทั้งสามคนของเล่าอิ้วคือ วัวเหล็ง อิปิ เตียวเอ๋ง ได้สร้างค่ายขนาดใหญ่ใกล้ภูเขาเอียวจู๋ และอีกค่ายอยู่หลังค่ายใหญ่นั้น นอกจากทหารของเล่าอิ้วเอง เหล่าเมืองใกล้เคียงก็รู้สึกถึงการคุกคามของอ้วนสุด จึงได้ร่วมรบกับเล่าอิ้ว

    ซุนเซ็กทำตามคำแนะนำของอาหญิงตัวเองเร่งจัดการทำทัพข้ามแม่น้ำ โดยการสรรหาต้นไม้มาตัดเป็นแพ แทนเรือบรรทุกคนข้ามฝั่ง ทำให้สามารถนำพลขึ้นฝั่งได้อย่างรวดเร็วและตีค่ายริมฝั่งของเล่าอิ้วแตกไป เมื่อรวมพลที่ฝั่งตรงข้ามเสร็จแล้ว ซุนเซ็กก็ยกทัพไปตีค่ายใหญ่ที่ เอียวจู๋ ของเล่าอิ้ว ได้อาวุธยุทโธปกรณ์รวมทั้งเสบียงจำนวนมากจากการชนะศึก และยกทัพไปตีเมืองใกล้เคียงที่มาร่วมทัพกับเล่าอิ้ว ได้ไพร่พลเชลยศึกมากมาย มีบันทึกว่า ซุนเซ็กได้เชลยสงครามเกินหมื่นทีเดียว

    ฝ่ายฉกหยงและซีเหล ทหารเมืองวัวเหลง เห็นทัพของเล่าอิ้วเสียทีมาก็ยกทัพมาช่วย แต่โดนซุนเซ็กตีแตกพ่ายไป ซีเหลหนีมาตั้งรับในเมืองวัวเหลง ปิดประตู ซุนเซ็กตามตีมาถึงกำแพงเมือง แล้วพลาดท่าเสียที เขาได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูในการรบที่ประตูเมือง ทำให้ไม่สาามารถขี่ม้าได้ ต้องกลับไปรักษาตัวที่ค่ายเอียวจู๋ ซีเหลคิดว่าซุนเซ็กตายไปแล้ว จึงยกทัพตามไปตีที่ค่าย แต่ซุนเซ็กก็บัญชาการกองทัพเข้าต่อสู้ เขาส่งกองทัพสองสามพันคนเข้าเผชิญหน้ากับข้าศึก และเตรียมดักซุ่มโจมตีตลบหลังทัพข้าศึก ทัพของซีเหล หลงกลตามตีทัพซุนเซ็กที่แกล้งแพ้หนีไป เมื่อบุกตามตี ก็เจอกับการซุ่มโจมตีด้านหลัง ทัพของซีเหลเสียหายอย่างหนักจึงหนีกลับเมือง ซุนเซ็กก็นำทัพของเขาไปที่เมืองของซีเหล เมื่อซีเหลรู้ว่าซุนเซ็กยังมีชีวิตอยู่ก็ได้เสริมกำแพงให้สูงขึ้นและขุดคูเมืองให้ลึกขึ้น เตรียมทุกอย่างสำหรับการเข้าโจมตีจากซุนเซ็ก

    ซุนเซ็กดูภูมิประเทศและการป้องกันเมืองแล้วก็ตัดสินใจไม่โจมตีเมืองวัวเหลงและเมืองของเล่าอิ้วไป เพราะการเข้าตีเมืองนั้นยากลำบากเกินไปซุนเซ็กนำทัพเข้าสู่ ยู่จาง และ ฉูอา และตั้งทัพครอบครองเมืองอยู่ที่นั้น อ้วนสุดเมื่อรู้ถึงความสำเร็จของซุนเซ็ก ก็แต่งตั้งให้เขาเป็น แม่ทัพผู้พิชิตอาชญากรซุนเซ็กจัดการกองทัพและการปกครองกองทัพของเขาเองที่นั่น

    แม้ว่าซุนเซ็กจะยังอายุน้อยอยู่ แต่ชื่อเสียงและตำแหน่งของเขาเป็นที่รู้จักอย่างดี เหล่าทหารของเขาและคนทั่วไปต่างเรียกเขาว่า เสียวปออ๋อง อ๋องน้อยผู้ยิ่งใหญ่ ว่ากันว่าเมื่อข้าศึกรู้ว่า เสียวปออ๋องกำลังมา พวกเขาก็สูญเสียกำลังใจที่จะต่อสู้ เหล่าขุนนางปกครองเมืองต่าง ๆ
    ก็หนีออกจากเมือง เปิดประตูเมืองให้ซุนเซ็กเข้ายึดครองแต่โดยดี เมื่อซุนเซ็กไปถึงเมืองใด เขาจะปกครองอย่างชอบธรรม เหล่าทหารในกองทัพ ยึดถือกฏระเบียบอย่างเคร่งครัด ไม่มีการปล้นทรัพย์สินชาวบ้าน ไม่มีไก่หรือหมาซักตัวถูกขโมย รวมทั้งพืชผัก ชาวบ้านต่างพากันชื่นชมกองทัพของซุนเซ็กเมื่อกองทัพของซุนเซ็กไปถึงหมู่บ้านใด ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นจะนำเนื้อและสุรามาต้อนรับ

    ในสามก๊กจี่ บรรยายลักษณะของซุนเซ็ก ว่ามีใบหน้าหล่อเหลาและบุคลิกที่เป็นมิตรและไม่ถือตัว เป็นคนใจกว้าง อดทนและรู้จักให้อภัยผู้อื่น มีความสามารถมากในการชักจูงผู้คน ทำให้ทหารและชาวบ้านเมื่อได้รู้จักกับซุนเซ็กต่างพากันชื่นชม และยอมอุทิศตัวรับใช้เขา

    ด้วยชัยชนะที่มีต่อเล่าอิ้วและพันธมิตร ทัพของซุนเซ็กเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก หลังจากการโจมตีที่ค่าย เอียวจู๋ และการมีชัยชนะหลายครั้งต่อทัพของเล่าอิ้วและพันธมิตร ซุนเซ็กได้เชลยศึกมากมายที่กลายมาเป็นทหารในกองทัพของเขาต่อมา และหลังการตายของเล่าอิ้ว ทำให้ทัพของเล่าอิ้วนั้นขาดผู้นำกระจัดกระจายกันไปรอที่จะร่วมกับผู้นำคนใหม่ จากเมือง ฉูอา ซุนเซ็กแจ้งหัวเมืองต่าง ๆ ให้ยอมอยู่ภายใต้ปกครองของเขา เหล่าเจ้าเมืองต่าง ๆ ในสังกัดของเล่าอิ้วและซีเหล ก็ต่างพากันยอมจำนนแก่ซุนเซ็ก

    ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ซุนเซ็กได้กองทัพเพิ่มอีกหลายหมื่นคนและทหารม้าอีกหลายพันจากเจ้าเมืองที่ยอมจำนน เหมือนกับกลุ่มเมฆที่ลอยมาจากทุกทิศทางรวมเป็นเมฆก้อนใหญ่แม้ว่าการเพิ่มจำนวนคนในกองทัพนั้นส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เคยเป็นศัตรูมาก่อน แต่โชคดีของซุนเซ็กที่ผู้ปกครองกองทัพเหล่านั้นคนใหม่ที่ทางการแต่งตั้งนั้นคือ ลิห้อม เพื่อนเก่าของซุนเกี๋ยนนั่นเอง

    ซุนเซ็กได้พาครอบครัวของเขามาอยู่ที่ ฉูอา และแต่งตั้งให้ซุนกวนไปเป็นเจ้าเมืองอ้วนเซีย ซึ่งในขณะนั้นซุนกวนอายุได้เพียง 14 ปี ซุนเซ็กปรึกษาข้อราชการกับซุนกวนบางครั้งและกล่าวชมซุนกวนให้ลูกน้องตัวเองฟังเสมอ

    แม้ว่าซุนเซ็กจะสามารถแทนที่เล่าอิ้วยึดอำนาจครอบครองหัวเมืองง่อ แต่ก็หลายกลุ่มที่อาศัยตอนที่ซุนเซ็กรบกับเล่าอิ้ว ซ่องสุมกำลังของตัวเองขึ้นมา ซึ่งมีอยู่สองกลุ่มที่น่ากลัวที่สุดคือเงียมแปะฮอ (เงียมแปะฮอ) ที่ตั้งตัวเองเป็นผู้นำเหล่าพันธมิตรที่พ่ายแพ้ และลูกน้องเก่าของเล่าอิ้ว ไทสูจู้

    ซุนเซ็กนั้นเพิกเฉยต่อไทสูจู้ เพราะว่าต้องการครองครองหัวเมืองทางใต้และตะวันออก คือเมืองง่อและห้อยแข เค้าก๋องเจ้าเมืองง่อนั้น ซุนเซ็กสามารถปราบได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าเค้าก๋องโดนจูตีลูกน้องตัวเอง ซึ่งเคยเป็นลูกน้องซุนเกี๋ยนมาก่อนทรยศ นำทัพตีเค้าก๋อง ทำให้เค้าก๋องต้องหนีไปอยู่กับเงียมแปะฮอ
    เงียมแปะฮอ และผู้นำคนอื่น ๆ นั้นไม่สามารถหยุดความต้องการของซุนเซ็กในการครอบครองหัวเมืองทางใต้ของซุนเซ็กได้ ในปี 196 ซุนเซ็กยกทัพบุกเมืองห้อยแข อองลองเจ้าเมืองห้อยแขนั้นเป็นเจ้าเมืองที่มีประสบการณ์ไม่เหมือนกับเค้าก๋อง อองลองนำทัพมารอซุนเซ็กที่ชายแดนเมืองของตัวเอง

    ซุนเซ็กถือโอกาสเมื่อยกทัพผ่านเมืองง่อ หาพันธมิตรร่วมกับเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออาของเขา ซุนแจ้งน้องชายซุนเกี๋ยน เมื่อทัพซุนเซ็กและอองลองมาประจันหน้ากันที่ กู่หลิง มีแม่น้ำขวางกันระหว่างทัพทั้งสอง ซุนเซ็กพยายามหลายครั้งที่จะยกทัพข้ามไปตี แต่โดนทัพของอองลองต้านได้ทุกครั้ง ซุนแจ้งแนะนำให้ทัพอ้อมไปทางใต้ของแม่น้ำ อ้อมเข้าด้านหลังของทัพอองลอง ซุนเซ็กลวงอองลองโดยการจุดคบไฟเท่าเดิมให้เหมือนว่าทัพของตัวเองยังอยู่ครบ และใช้ซุนแจ้งลอบออกไปตอนกลางคืนเข้าตีค่ายของอองลองทางด้านหลัง

    อองลองล่าถอยออกไปและพยายามจัดทัพขึ้นใหม่ และส่งจิวซิ่นเป็นแม่ทัพไปสู้กับซุนเซ็ก แต่ซุนเซ็กสามารถเอาชนะและตัดหัวจิวซิ่นได้ในที่สุด อองลองจึงต้องล่าถอยจากเมืองตัวเอง
    หลบหนีไปเมือง ตงเย่ เพื่อกันการโจมตีกลับของอองลอง ซุนเซ็กยกทัพตามอองลองไปยึดเมือง ตงเย่ โดยอองลองขอยอมจำนน แต่ ซางเซิง เจ้าเมือง โฮ่วกวน ซึ่งอยู่ใกล้กับ
    ตงเย่ ไม่ยอมจำนน รวบรวมเจ้าเมืองข้างเคียงต่อสู้ซุนเซ็ก ซุนเซ็กจึงใช้ ฮั่นหยาน และ เหอฉี มาตี ซางเซิง จน ซางเซิง ไม่มีทางสู้คิดจะยอมแพ้แต่ก็ถูกตัดหัวก่อนโดยพันธมิตรของตัวเอง
    ก่อนที่ทัพซุนเซ็กจะชนะ เมื่อซุนเซ็กปราบหัวเมืองห้อยแขเรียบร้อยแล้ว เขามุ่งกลับทางเหนือ เพื่อมาสู้กับ เงียมแปะฮอ และกลุ่มอื่น ๆ ซุนเซ็กชนะทัพของเงียมแปะฮอ ฆ่าผู้นำร่วมไปหลายคน
    แต่เงียมแปะฮอ และเค้าก๋องหนีไปได้

    ซุนเซ็กตั้งตัวเองเป็นเจ้าเมืองห้อยแข ให้งอเก๋งเป็นเจ้าเมือง ตันหยาง และจูตีเป็นเจ้าเมืองง่อ ให้ซุนเบนและน้องของเขา ซุนฟู เป็นเจ้าเมือง ยู่จาง และ ลูหลิง โดยที่ตอนนั้น ยู่จาง และ
    ลูหลิง ยังไม่ได้เป็นของซุนเซ็ก แล้วงอเก๋งกับซุนเบนก็กลับไปรายงานสถานการณ์แก่อ้วนสุด อ้วนสุดในตอนนั้นติดพันในการรบแย่งชิงแคว้นชีจิ๋ว กับเล่าปี่ที่รับเมืองจากโตเกี๋ยม อ้วนสุดเลื่อนตำแหน่งให้กับ
    ตระกูลซุนทุกคน และเสนอตำแหน่งทางการทหารให้แก่จิวยี่ แต่จิวยี่กลับขอให้แต่งตั้งตัวเองเป็นผู้พิพากษาเมืองโลกั๋ง แทน บางทีในตอนนั้นจิวยี่อาจจะสงสัยในความทะเยอทะยานของอ้วนสุด
    จิวยี่จึงอยากอยู่ให้ใกล้กับซุนเซ็ก เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นเขาจะได้หลบหนีจากอ้วนสุดไปหาซุนเซ็กได้

    ในปี 196-197 อ้วนสุดตัดสินใจที่จะตั้งตัวเองเป็นฮ่องเต้ของราชวงศ์ใหม่ บันทึกบอกว่าอ้วนสุดคิดเรื่องนี้ ตั้งแต่ปี 191 เมื่อซุนเกี๋ยนพบตราหยกฮ่องเต้และส่งให้เขา
    เมื่อซุนเซ็กได้รู้ข่าว ก็เขียนจดหมายคัดค้านการกระทำของอ้วนสุด จดหมายของซุนเซ็กเขียนโดยเตียวเหียน ที่ปรึกษาของเขา

    หน้าร้อนปี 197 อ้วนสุด ตั้งตัวเองเป็นฮ่องเต้ ของราชวงศ์ ต้ง ซุนเซ็กเมื่อรู้ข่าวก็ตัดความสัมพันธ์ของเขากับอ้วนสุดทันที
    การประกาศขึ้นเป็นฮ่องเต้ของอ้วนสุด ทำให้เขากลายเป็นศัตรูราชสำนักและผู้ครองเมืองต่าง ๆ อย่างโจโฉและอ้วนเสี้ยว อ้วนสุดพยายามหาพวกโดยการขอลูกสาวลิโป้ให้ลูกชายตัวเอง แต่ที่ปรึกษา
    ลิโป้แนะนำไม่ให้ข้องเกี่ยวกับกบฏอย่างอ้วนสุด ลิโป้ตัดความสัมพันธ์กับอ้วนสุด ปลายปี 197 หลังจากโดนลิโป้และโจโฉโจมตีอย่างหนัก อ้วนสุดหลบหนีไปทางตอนใต้ของ ฮว่าย และผลจากการใช้จ่าย
    สุรุ่ยสุร่ายและการเพาะปลูกที่แย่ทำให้อำนาจของอ้วนสุดเสื่อมลง

    ทางตอนใต้ ซุนเซ็กก็จัดทัพตรึงกำลังไม่ให้อ้วนสุดข้ามแม่น้ำแยงซีมา และเขียนจดหมายถึงญาติและเหล่ามิตรสหายในสังกัดของอ้วนสุดให้มาอยู่กับตัวเอง งอเก๋ง ซุนเบน จิวยี่ทั้งหมดมาหาซุนเซ็ก และจิวยี่ได้นำโลซกมาด้วย ซุนเซ็กต้านทานอ้วนสุดอย่างง่ายดาย เมื่ออ้วนสุดเจอทัพร่วมโจมตีของลิโป้และโจโฉตีย่อยยับมา 2ในปี 197 นั้น โจโฉใช้ให้ฮ่องเต้ เขียนราชโองการถึงซุนเซ็กแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองห้อยแข และให้ร่วมมือกับลิโป้กำจัดอ้วนสุด

    ราชโองการในปี 197 หวางผู่ เป็นผู้ถือมา นอกจากแต่งตั้งซุนเซ็กเป็นเจ้าเมืองห้อยแข แล้วให้ร่วมกับลิโป้และเจ้าเมืองง่อคนใหม่คือ เฉินหยู ปราบอ้วนสุด ในราชโองการนั้นยังแต่งตั้งซุนเซ็กเป็น มาร์ควิสแห่ง อู๋เฉิง ตำแหน่งเดิมของซุนเกี๋ยน และมีตำแหน่งเป็นขุนพลบัญชาการทหารม้า ซุนเซ็กรู้สึกว่าตำแหน่งทางการทหารนั้น ต่ำต้อยเกินไปสำหรับเขา เขาอยากได้ตำแหน่งแม่ทัพมากกว่า เพื่อที่จะเอาใจซุนเซ็ก หวางผู่ จึงมอบตำแหน่ง นายพลผู้ยกย่องฮั่น แก่เขา

    ตรงนี้มีบันทึกจากซุนเซ็กถึง หวังผู่ ว่า เขารู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณจากฮ่องเต้อย่างมาก ที่มอบตำแหน่งอันสูงส่งให้แก่เขา และยังแต่งตั้งตำแหน่งทางการทหารที่มีชื่อเสียงให้ด้วย เขารู้สึกว่าเขาได้รับพระกรุณาเกินกว่าความสามารถของตัวเองอย่างไรก็ดี ในปี 196 ตัวเขาได้รับการแต่งตั้งจากอ้วนสุดให้เป็น นายพลผู้ปราบปรามอาชญากร เวลานี้เขากลับได้รับตำแหน่งจริง ๆจากทางการ เขารู้ดีว่าตำแหน่งที่อ้วนสุดตั้งให้เป็นเพียงตำแหน่งลอย ๆ ไม่ได้เป็นตำแหน่งจากทางการ แต่ว่าคนทั่วไปก็รับรู้
    ถึงตำแหน่งนี้ของเขา อย่างไรก็ดี อ้วนสุดนั้นหยาบช้าและเลวทราม การกระทำของอ้วนสุดเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายและยกโทษให้ไม่ได้ เขาจะปฏิบัติตามคำสั่งจัดการลงโทษอ้วนสุดอย่างสาสม จับตัวอ้วนสุดมาลงโทษ เพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณในการเลื่อนตำแหน่งของเขาครั้งนี้

    แต่ราชโองการที่โจโฉส่งให้ซุนเซ็กนั้น ไม่ได้มีข้อดีอย่างเดียว โจโฉยังเดินเกมการเมืองอย่างลึกซึ้งต่อต้านซุนเซ็กไปพร้อมกันด้วยเพราะว่าในทางปฏิบัตินั้น ซุนเซ็กครอบครองหัวเมืองห้อยแขและง่อจากการชนะเค้าก๋องและอองลองและบางส่วนของ ตันหยางตัวซุนเซ็กไม่ต้องการที่จะอยู่ใต้อาณัติของอ้วนสุดอีกต่อไป เขาต้องการที่จะปกครองเมืองของตัวเอง สิ่งที่จะช่วยสนับสนุนเขาก็คือ
    การแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากฮ่องเต้
    แม้ว่าการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจะเป็นสิ่งที่ซุนเซ็กต้องการ แต่ความจริงมันมีค่าน้อยมาก เพราะยศฐาบรรณาศักดิ์และเขตแดนที่ทางการมอบให้เป็นสิ่งที่เขาครอบครองอยู่แล้ว และตำแหน่งขุนพลทหารม้าที่มอบให้ถือเป็นการดูถูกตัวเขาด้วยซ้ำไป เนื่องจากกองทัพที่เขาควบคุมอยู่ ตำแหน่งแม่ทัพนายพลเท่านั้นที่คู่ควร

    ตำแหน่งเจ้าเมืองห้อยแขนั้น เป็นไปได้ที่โจโฉตั้งใจใช้เพื่อหยุดยั้งซุนเซ็ก ในการสร้างอิทธิพลและกำลังทหารนอกเมืองห้อยแขตำแหน่งนายพลผู้กอบกู้ฮั่นที่ซุนเซ็กบีบให้ หวางผู่ มอบแก่เขานั้น ทำให้เขาสามารถเอายศนายพลที่เขาเคยได้รับจากอ้วนสุดมาครอบครอง และยังแสดงว่าเขาเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของราชวงศ์ฮั่น และการแต่งตั้ง เฉิินหยู เป็นเจ้าเมืองง่อคนใหม่นั้น แม้ว่าจะเป็นการครองตำแหน่งอย่างชั่วคราว แต่เป็นการคุกคามอำนาจของซุนเซ็กเพราะว่าเมืองง่อนั้น ซุนเซ็กตั้งจูตีลูกน้องเก่าของพ่อเขาเป็นผู้ปกครองอยู่ การแต่งตั้ง เฉินหยู เท่ากับเป็นการลิดรอนเขตแดนและกำลังทหารลงครึ่งหนึ่งทีเดียว

    หลังจากซุนเซ็กได้รับราชโองการไม่นาน เฉินหยู ก็เดินทางมาที่เมืองกองเหลง เตรียมตัวร่วมทัพกับซุนเซ็กในการปราบอ้วนสุด ในขณะเดียวกัน เขาก็ส่งจดหมายลับ ๆ ไปถึง เงียมแปะฮอ และผู้นำคนอื่นให้ร่วมมือกับเขาต่อต้านซุนเซ็ก แผนการลับนี้ดูเหมือนจะรอเวลาให้ซุนเซ็กข้ามแม่น้ำแยงซีไปตีอ้วนสุด เฉินหยู ก็จะรวบรวมผู้นำทั้งหมดยึดเมืองง่อ จากซุนเซ็กและปิดกั้นทัพของซุนเซ็กไม่ให้กลับไปเมืองห้อยแข แผนการนี้ไม่เพียงจะลดอำนาจซุนเซ็ก แต่จะทำให้ซุนเซ็กไร้เมืองอยู่ทีเดียว

    ซุนเซ็กสืบรู้แผนการนี้ก่อน เขาจัดการแบ่งกองทัพเป็นสองส่วนไปตีเงียมแปะฮอ และ เฉินหยู ในทีเดียว ซุนเซ็กชนะ เฉินหยู อย่างง่ายดาย จับครอบครัวและทหารของ เฉินหยู ได้เป็นจำนวนมาก ส่วนตัว เฉินหยู หลบหนีไปอาศัยอยู่กับอ้วนเสี้ยวการชนะ เฉินหยูนั้นเป็นเหมือนการส่งสารจากซุนเซ็กไปถึงโจโฉว่า ไม่ง่ายนักต่อการที่โจโฉคิดจะโค่นล้มเขา และซุนเซ็กก็ดำเนินการสร้างสัมพันธ์กับทางการต่อไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในปีต่อมา ซุนเซ็กส่งบรรณาการจำนวนมากจากเมืองห้อยแข เพื่อแสดงความจงรักภักดี ทางการจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นนายพลผู้กำจัดกบฏและยศตำแหน่ง มาร์ควิสแห่งง่อ ซึ่งทับซ้อนกับตำแหน่งของ เฉินหยู เดิม ซุนเซ็กจึงได้สิทธิปกครองเขตแดนของเขาอย่างเป็นทางการ ตำแหน่งและเขตแดนของเขาได้รับการยอมรับจากเมืองหลวง

    ในปี 197 ถึง 199 ทัพพันธมิตรปราบปรามอ้วนสุดดำเนินต่อไป ซุนเซ็กให้ซุนฟุ ลูกพี่ลูกน้องของเขาเป็นคนนำทัพแทน แต่ก็เป็นการคุมเชิงอ้วนสุดเท่านั้น ไม่มีการเข้าโจมตีอย่างจริงจังจากซุนเซ็กและลิโป้

    ปี 198 ซุนเซ็กครอบครองหัวเมืองง่อ ห้อยแข และดินแดนครึ่งหนึ่งของตันเอี๋ยง แต่ดินแดนที่เหลือในมณฑลเกงจิ๋ว ยังไม่อยู่ในอาณัติของเขา ในปี 196 หลังจากเล่าอิ้วแพ้ซุนเซ็ก และหลบหนีไป ยู่จาง ไทสูจู้ ลูกน้องของเล่าอิ้ว กลับมาที่มณฑลเกงจิ๋ว ตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองตันเอี๋ยง ภายใต้การสนับสนุนของเล่าอิ้ว โดยได้รับการสนับสนุนจากชนเผ่าภูเขาต่าง ๆ จากภูมิประเทศที่เป็นภูเขาของตันเอี๋ยง ไทสูจู้สามารถสังเกตการณ์การเดินทัพข้ามแม่น้ำแยงซีไป ยู่จาง ถ้าซุนเซ็กคิดเดินทัพบุก ยู่จาง ทัพซุนเซ็กต้องสู้กับทัพของไทสูจู้เสียก่อน และในดินแดนนี้ยังมีกองกำลังย่อยที่ควบคุมโดย จูหลางลูกน้องเก่าของอ้วนสุด จูหลางเป็นหนึ่งในผู้นำที่พ่ายศึกแก่ซุนเซ็ก เขาจึงซ่องสุมผู้คนเพื่อต่อต้านซุนเซ็ก โดยมีอ้วนสุดให้การสนับสนุนแก่เขา

    แต่สี่ปีที่ซุนเซ็กครองเขตแดน กำลังทหารของซุนเซ็กใหญ่โตขึ้นมา ซุนเซ็กโจมตีจูหลาง ชนะศึกและจับตัวได้อย่างง่ายดาย(ไทสูจู้นั้นเคยดวลกับซุนเซ็กตัวต่อตัวมาแล้ว ตอนที่ซุนเซ็กยกทัพมาโจมตีเล่าอิ้ว ไทสูจู้พบซุนเซ็กขณะลาดตระเวน ไทสูจู้ควบม้าเข้าโจมตีซุนเซ็กทันที ทั้งคู่ประลองกันชั่วครู่ และผลออกมาเสมอกัน เนื่องจากทหารของทั้งสองยกทัพมาช่วย)

    เมื่อซุนเซ็กเห็นไทสูจู้ถูกจับมัด เขาตรงไปแก้โซ่ตรวนและล็อคเอาไว้ด้วยมือแทน ถามว่า ท่านยังจำการประลองของเราได้หรือไม่ข้าอยากรู้ว่าท่านจะทำยังไงกับข้า ถ้าท่านจับข้าได้ ไทสูจู้บอกว่า ข้าไม่อาจจินตนาการได้ ซุนเซ็กหัวเราะชอบใจอย่างมากบอกว่า ต่อไปนี้ ท่านจงร่วมทำการศึกกับข้า หลังจากนั้นซุนเซ็กก็แต่งตั้ง ไทสูจู้และจูหลาง ตำแหน่งเดิมก่อนที่ซุนเซ็กจะเข้ายึดครอง

    ในเวลาที่ซุนเซ็กโจมตี จูหลาง และไทสูจู้ เล่าอิ้วได้เสียชีวิตลงที่เมือง ยู่จาง ฮัวหิมลูกน้องเล่าอิ้วที่เป็นเจ้าเมือง ยู่จาง คิดครองอำนาจของเล่าอิ้วแทน ไม่ว่าจะกองทัพ และตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลยังจิ๋ว ของเล่าอิ้ว แต่ฮัวหิมนั้นเป็นบัณฑิตไม่ใช่แม่ทัพ คำสั่งและการกระทำของเขาจึงไม่เด็ดขาดพอที่จะทำให้เมืองอื่นเชื่อฟังตามเขา ทำให้เขามีอำนาจในเมือง ยู่จาง เท่านั้น แต่เมืองอื่น ๆ ของเล่าอิ้ว ตั้งตัวเป็นอิสระไม่ฟังคำสั่งเขา

    เมื่อซุนเซ็กรู้ข่าว เขาจึงสั่งให้ไทสูจู้กลับไปที่เขตของเล่าอิ้ว เพื่อหาโอกาสที่จะชักชวนลูกน้องของเล่าอิ้วให้แปรพักตร์มารับใช้เขาซุนเซ็กบอกกับไทสูจู้ว่า เมื่อครั้งอดีต เล่าอิ้วโกรธเคืองที่ข้าโจมตี เพราะคำสั่งของอ้วนสุด ข้าเองก็มีความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้นซุนเกี๋ยนพ่อของข้าที่ล่วงลับไป มีกำลังพลหลายพันในอาณัติของอ้วนสุด ตัวข้าเองแม้จะตั้งใจตั้งตัวเป็นอิสระ แต่เพราะต้องการสิทธิในการสั่งการเหล่าทหารที่เป็นลูกน้องเก่าของพ่อข้า ตัวข้าจึงต้องเข้าอยู่ในสังกัดของอ้วนสุด เพื่อที่จะนำคนเหล่านั้นจากอ้วนสุด
    เมื่ออ้วนสุดสั่งให้ข้าโจมตีเล่าอิ้ว ข้าจะทำอย่างไรได้ ตอนนี้เขาได้ตายไปแล้ว ตัวข้าเสียใจที่ไม่มีโอกาสอธิบายเหตุผลให้เขาฟังตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่(ซุนเซ็กต่อมารับอุปการะ ลูกของเล่าอิ้วทั้งสามคน ซึ่งต่อมาเป็นขุนนางในสังกัดซุนกวน หลิวจี ลูกคนโตนั้นมีตำแหน่งขุนนางที่สูงมากในสมัยซุนกวน)

    ซุนเซ็กจัดงานเลี้ยงให้ไทสูจู้ หลายสัปดาห์ไทสูจู้กลับมารายงานซุนเซ็ก ถึงสถานการณ์กลุ่มเล่าอิ้ว ไทสูจู้บอกว่าฮัวหิมเป็นคนดี แต่ไร้ความสามารถในการบริหารจัดการ มีแต่เพียงตำแหน่ง แต่ไม่มีอำนาจจัดการเมืองต่าง ๆ ทำให้หลายเมืองตั้งตัวเป็นอิสระที่ ลูหลิง ถงจื่อตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองและหลงคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าเมืองที่ได้รับอำนาจจากทางการที่กวนหยง ผู้นำชุมชนที่นั่นตั้งตัวเป็นใหญ่ ไม่ยอมรับคำสั่งของฮัวหิม บอกว่าพวกเขาตั้งตัวเป็นอิสระ รอให้ราชสำนักตั้งเจ้าเมืองคนใหม่มาให้ไม่เพียงที่ ลูหลิง และกวนหยง ที่ ไห่หุนชาวบ้านหลายพันครอบครัวรวมถึงชนเผ่าบางกลุ่มไม่ยอมรับคำสั่งของฮัวหิม คนเหล่านั้นยอมจ่ายภาษีต่าง ๆ แต่ไม่มีชายคนใดในเมืองยอมรับหมายเกณฑ์เป็นทหาร จากการที่หลายเมืองไม่ยอมอยู่ใต้คำสั่ง ฮัวหิมก็ไม่มีการจัดการอันใดได้แต่เพียงสังเกตการณ์เท่านั้นซุนเซ็กฟังไทสูจู้เสร็จ ก็ตบมือหัวเราะชอบใจ ตัดสินใจที่จะเข้ายึดครองเมือง ยู่จาง

    ในปี 199 ซุนเซ็กเตรียมทัพเพื่อไปตีเมือง ยู่จาง แต่กองทัพที่เขาต้องสู้ด้วยไม่เพียงแค่ลูกน้องเก่าของเล่าอิ้วแต่รวมถึงกองทัพของหองจอ ลูกน้องของเล่าเปียว หองจอผู้นี้เป็นคนนำทัพฆ่าซุนเกี๋ยนที่ซงหยง หลังการตายของเล่าอิ้ว หองจอขยายอำนาจรุกรานเข้ามาในเขตเมือง ยู่จางกองทหารลาดตระเวณของหองจอรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของซุนเซ็ก ซุนเซ็กจึงมีความตั้งใจที่จะทำสงครามครั้งนี้มาก ไม่เพียงแต่การขยายดินแดน แต่ยังมีความต้องการฆ่าศัตรูล้างแค้นให้พ่อ

    ก่อนที่ซุนเซ็กจะเปิดศึกขึ้น อ้วนสุดได้เสียชีวิตลงที่ฉิวฉุน ลูกน้องของอ้วนสุดกระจัดกระจายหาเจ้านายใหม่ ลูกน้องและกองทัพส่วนใหญ่ของอ้วนสุดไปร่วมกับ หลิวสวิน ซุนเซ็กเมื่อรู้ข่าว ก็วิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้

    แต่หลิวสวิน นั้นกลับเดือดร้อนกับจำนวนทหารที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น เขาขาดแคลนเสบียงจนต้องส่งจดหมายไปขอเสบียงจากฮัวหิม ฮัวหิมไม่มีเสบียงจำนวนมากเก็บไว้ จึงส่งฑูตของ หลิวสวินไปหาผู้นำ ไห่หุน และ ส้างเหลียว แต่พวกเขาให้เสบียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
    หลิวสวิน โกรธมากจึงวางแผนตี ไห่หุน ชิงเสบียงมาเป็นของตัวเอง ซุนเซ็กรู้ข่าวจึงส่งจดหมายมาสนับสนุนความคิดของ หลิวสวินสาธยายถึงความอุดมสมบูรณ์ของ ส้างเหลียว และมั่นใจว่า หลิวสวิน จะยึดเมืองได้อย่างง่ายดาย และตัวซุนเซ็กเองจะส่งทหารมาสนับสนุนด้วยอีกแรง แต่จะไม่ขอมีส่วนร่วมในดินแดนที่ยึดได้ ต้องการเพียงผูกมิตรกับ หลิวสวิน เท่านั้น
    แม้ว่าเล่าหัวที่ปรึกษาจะทักท้วง แต่ หลิวสวิน กลับเชื่อจดหมายของซุนเซ็ก โดยที่ไม่คิดว่าเมืองโลกั๋ง ที่เขาครองอยู่นั้น ครั้งหนึ่งซุนเซ็กเคยปราบได้ และอ้วนสุดก็เคยรับปากให้ซุนเซ็กเป็นเจ้าเมือง แต่กลับคำให้ตัวเขาเป็นเจ้าเมืองแทน หลิวสวิน ตกลงรับพันธมิตรจากซุนเซ็ก และนำทัพออกจากเมือง

    เมื่อรู้ว่าแผนได้ผล ซุนเซ็กให้ซุนเบนและซุนฟุ นำทัพไปที่ เผิงเจ๋อ ตั้งค่ายขวางทาง หลิวสวิน กับเมืองของเขา ส่วนซุนเซ็กนำทัพพร้อมจิวยี่ไปยึดเมืองโลกั๋ง จับครอบครัวและลูกน้องของ หลิวสวิน นำกลับไปที่เมืองของเขา แต่งตั้ง ลี่ฉู ขุนนางของเขาครองเมืองโลกั๋งแล้วก็นำทัพไปสมทบลูกพี่ลูกน้องเขาที่ เผิงเจ๋อ ในระหว่างนั้น หลิวสวิน ยกทัพตี ไห่หุน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ชาวบ้านที่นั่นได้รับการเตือนล่วงหน้า เมื่อรู้ข่าวซุนเซ็กตีเมืองของตัวเอง
    เขาก็พยายามนำทัพกลับ แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะเส้นทางกลับเมืองถูกค่ายของซุนเซ็กที่ เผิงเจ๋อ คุมอยู่ จนต้องหนีไปรวมพลที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแยงซีและขอความช่วยเหลือจากเล่าเปียวและหองจอ (หลังจากตีเมืองโลกั๋ง ซุนเซ็กรับ หยวนเย่าบุตรชายอ้วนสุดไว้เป็นขุนนาง ต่อมาเป็นผู้พิพากษาเมืองง่อและลูกสาวของอ้วนสุดได้แต่งงานกับลูกชายคนหนึ่งของซุนกวน ส่วนลูกสาวอ้วนสุดนั้น ซุนกวนรับเป็นสนม ได้รับพิจารณาคัดเลือกเป็นมเหสี แต่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเพราะนางไม่ได้ให้กำเนิดบุตรแก่ซุนกวน)

    หวงเชอ ลูกชายคนโตของหองจอ นำทัพห้าพันเข้าช่วย หลิวสวิน แต่ซุนเซ็กชนะทัพผสมของทั้งสองและไล่ตีทัพผสมถอยไปติดภูเขา จับกุมทหารกว่าสองพันของ หลิวสวิน และยึดเรือพันกว่าลำ หลิวสวิน หนีขึ้นเหนือไปอยู่กับโจโฉ ส่วน หวงเชอ ถอยทัพกลับไปหาหองจอ ซุนเซ็กจึงนำทัพไปโจมตีหองจอที่ กังแฮ เล่าเปียวส่งกองทัพมาช่วยหองจอ แต่ซุนเซ็กโจมตีทัพของหองจอแตกอย่างง่ายดาย

    ซุนเซ็กเขียนจดหมายบรรยายการศึกครั้งนี้ว่า เขาบุกเข้าโจมตีและยึดเมืองอย่างง่ายดายเช่นไร ครอบครัวของหองจอโดนจับทั้งหมด ทหารสองหมื่นกว่าคนของหองจอตายในการรบ อีกหมื่นคนหนีตายลงทะเลและจมน้ำ ยึดเรือได้หกพันกว่าลำ และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ มากมายเท่าภูเขา ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากบุญบารมีของราชวงศ์ฮั่น กองทัพของข้าจึงประสบความสำเร็จในการรบซุนเซ็กส่งจดหมายฉบับนี้ไปเมืองหลวง รายการสถานการณ์ต่าง ๆ นัยหนึ่งเพื่อจะทำให้เล่าเปียวเป็นศัตรูราชสำนัก อ้างสิทธิอันชอบธรรมในการโจมตี มณฑลเกงจิ๋ว และดินแดนตอนกลางแม่น้ำแยงซี อีกนัยหนึ่งของจดหมายนี้คือการแจ้งให้โจโฉรับรู้ถึงความสามารถและความทะเยอทะยานที่จะแผ่ขยายอาณาเขตของเขา โจโฉเมื่อได้อ่านจดหมายนี้ก็โมโหมากถึงกับสบถออกมาว่า ไอ้ลูกสุนัขป่าตัวนี้ นับวันก็ยิ่งจะจัดการมันยากขึ้นเรื่อย ๆ

    การศึกครั้งนี้ ซุนเซ็กแน่ใจว่าหองจอจะไม่กล้าบุกมามณฑลเกงจิ๋ว ระยะหนึ่ง เพราะเสียทหารไปในการรบจำนวนมาก ต้องรวบรวมกำลังพลที่กระจัดกระจายเพราะการพ่ายศึก รวมทั้งขอกำลังเสริมจากเล่าเปียวเพื่อตั้งรับ ซุนเซ็กจึงถอยทัพเพื่อจะไปตีเมือง ยู่จาง และ ลูหลิง แทน เนื่องจากไม่อยากเป็นเหมือน หลิวสวิน ที่ถูกตัดขาดจากฐานที่มั่น เพราะเดินทัพออกห่างเมืองเกินไป ใกล้วันตรุษจีนปีนั้น ซุนเซ็กตั้งค่ายห่างเมือง ยู่จาง สองสามกิโลเมตร ไม่เข้าโจมตีเมืองเพราะนึกถึงคุมความดีของฮัวหิม เขาส่งยีหวน ไปเกลี้ยกล่อมฮัวหิมให้ยอมจำนนจนฮัวหิมยอมแพ้ในที่สุด

    ฮัวหิมและอองลอง สองบัณฑิตที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางการ ทั้งคู่เสียดินแดนในปกครองให้แก่ซุนเซ็ก ซุนเซ็กอนุญาตให้ทั้งคู่ออกจากเมืองได้ ฮัวหิมและอองลองขึ้นเหนือรับใช้ตระกูลโจ เมื่อโจผีตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ ฮัวหิมและอองลองเป็นสองในสามขุนนางที่มียศและอำนาจสูงที่สุดของโจผี (การที่มีขุนนางที่ทรนงตัวและเคียดแค้นตัวเองเป็นลูกน้องไม่ใช่สิ่งที่ดี คนเช่นนี้ไม่สามารถฆ่าได้ เพราะจะถูกครหานินทาได้ เหมือนอย่างขงหยงที่คอยเยาะเย้ยโจโฉเสมอ จนโจโฉต้องฆ่าทิ้ง หรือยีเอ๋งที่โจโฉส่งไปให้เล่าเปียวและหองจอจัดการ ทั้งขงหยงและยีเอ๋งก็เป็นบัณฑิตที่ได้แต่งตั้งจากทางการ โดยเฉพาะขงหยงนั้นสืบเชื้อสายจากขงจื้อทีเดียว)

    ส่วน ถงจื่อ ที่เมือง ลูหลิง ซุนเซ็กส่งซุนเบนกับซุนฟุไปโจมตี ทั้งสองเฝ้ารอโอกาสจนเมื่อ ถงจื่อ ป่วย ก็นำทัพเข้าตีและยึดเมืองได้อย่างง่ายดาย ในระหว่างนี้ เล่าผวนหลานคนหนึ่งของเล่าเปียวพยายามนำทัพบุกยึดหมู่บ้านชาวเขา แต่ไทสูจู้ก็ป้องกันโจมตีเล่าผวนแตกพ่ายไป

    ในปี 200 ซุนเซ็กมีกองทัพที่ทรงอำนาจที่สุดในจีนตอนใต้และเป็นหนึ่งในกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในขณะนั้น ขณะเดียวกันทางเหนือ สองผู้ยิ่งใหญ่สองคนประกาศสงครามต่อกัน ฝ่ายหนึ่งคือโจโฉ ผู้ควบคุมองค์ฮ่องเต้และแอบอ้างรับสั่งรับรองการกระทำของตัวเองอย่างชอบธรรมในการเพิ่มอำนาจของเขา อีกฝ่ายคืออ้วนเสี้ยว ผู้ครอบครองดินแดนกว้างขวาง และกองทัพที่ทรงกำลัง ทั้งสองทำการรบอย่างยาวนาน สิ้นปีนั้น โจโฉก็ได้ชัยอย่างเด็ดขาด กำลังอำนาจของอ้วนเสี้ยวลดน้อยลง ระหว่างการรบนั้น โจโฉไม่มีเวลามาสนใจการป้องกันทางด้านใต้ โจโฉจึงผูกมิตรโดยการแต่งงานระหว่างตระกูลโจและตระกูลซุน โดยส่งลูกสาวของน้องชายตัวเองหรือลูกพี่ลูกน้องให้แต่งงานกับ ซุนควง น้องชายซุนเซ็ก และโจเจียงลูกชายโจโฉเองแต่งงานกับลูกสาวของซุนเบน เพื่อแสดงความเคารพแก่ซุนเซ็กและญาติของเขา

    ปี 200 เงียมแปะฮอ ก่อกบฏขึ้นในง่อ โดยได้รับการสนับสนุนจากตันเต๋ง ที่โจโฉตั้งเป็นเจ้าเมืองกองเหลง เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของ เฉินหยูเจ้าเมืองง่อคนเก่าที่แพ้แก่ซุนเซ็ก ไม่ว่าตันเต๋งได้รับคำสั่งจากโจโฉหรือไม่ แต่ตัวเขามีท่าทีจะโจมตีซุนเซ็ก และการที่เงียมแปะฮอ ก่อกบฏและท่าทีคุกคามของตันเต๋งทำให้ซุนเซ็กต้องอยู่เฝ้าเมืองดูแลความปลอดภัย ในบรรดาผู้ก่อการกบฏ หนึ่งในนั้นคือเค้าก๋องเจ้าเมืองง่อที่ถูกซุนเซ็กโจมตี แม้ว่าจะหนีรอดจากการพ่ายแพ้ครั้งก่อน เขาถูกจับในการกบฏครั้งนี้ เมื่อทัพกบฏพ่ายแพ่ต่อกองทัพของซุนเซ็ก และถูกซุนเซ็กส่งให้ศาลตัดสินประหารชีวิต หลังจากซุนเซ็กเคลื่อนทหารไปยัง ตันถู ตั้งค่ายพักรอคอยการส่งเสบียง

    ระหว่างนั้นซุนเซ็กฆ่าเวลาโดยการออกล่าสัตว์ ม้าตัวที่ซุนเซ็กขี่เป็นม้าชั้นยอด ซุนเซ็กควบม้ากระทั่งองครักษ์และผู้ติดตามตามไม่ทัน จนมาพบกับลูกน้องเก่าของเค้าก๋องสามคน ทั้งสามยิงธนูใส่ซุนเซ็ก หนึ่งในนั้นยิงถูกกรามของซุนเซ็กเข้า ผู้ติดตามของซุนเซ็กตามมาถึงสังหารทั้งสามคนและนำตัวซุนเซ็กกลับค่าย
    หลังจากหมอตรวจดูอาการ หมอบอกกับซุนเซ็กว่าเขาสามารถหายดีได้ ขอเพียงพักรักษาตัวสงบสติอารมณ์อย่างน้อยสามเดือน ซุนเซ็กหยิบกระจกขึ้นดู เห็นมองเห็นเงาของตัวเอง เขาก็บอกกับเหล่าลูกน้องว่า ด้วยสารรูปเยี่ยงนี้ ข้าจะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างไร ข้าจะสามารถสร้างฐานอำนาจได้อย่างไร ซุนเซ็กโศกเศร้าเสียใจมาก เขาทุบแขนกับเก้าอี้อย่างแรงด้วยความคลุ้มคลั่งจนแผลทั้งหมดเปิดออก และคืนนั้นเอง เขาก็สิ้นใจตายวันที่ 5 พฤษภาคม ปี 200 ขณะอายุได้ 26 ปีตามปฏิทินจีน หรือ 25 ปีตามปฏิทินสากล

    บทความโดย ซุนเซ็ก
     
    http://www.sanguo-chronicle.com/novel/bio/sunce.htm

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×