ตอนที่ 3 : ตอนที่ 1 มาเฟียเวนโตล่า 60%
เพียงแค่เสียงกร้าว ดุดันนั้นจบลง เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงปืนห้านัดดังขึ้นเกือบจะพร้อมๆ กัน วิถีกระสุนนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในทิศทางที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ชายฉกรรจ์ทั้งห้าคนทรุดตัวลงกับพื้น
ทั้งเลโอและจอร์โจ้เล็งปืนไปยังต้นกำเนิดของวิถีกระสุน เตรียมพร้อมที่จะยิงโต้ตอบอย่างทันท่วงทีหากไม่มีสัญญาณห้ามจากดอนหนุ่มเสียก่อน
“ระวังครับดอน พวกมันวางสไนเปอร์ไว้หลายจุด”
“แล้วมันก็ควรต้องรู้เหมือนกันว่าสไนเปอร์บนโลกนี้มีอีกมากมาย” คอนเนลิโอพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบานัก เชื่อแน่ว่าพวกมันทุกคนที่ดักซุ่ม ไม่ยอมเปิดเผยตัวต้องได้ยินอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าคำพูดดังกล่าวทำให้ศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดสั่งการให้คนของตนลดระดับการจู่โจมลงมาอีกขั้นหนึ่ง
เลโอและจอร์โจ้ลอบถอนหายใจ ต่างหันหน้ามาสบสายตากันอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินดอนหนุ่มพูดเช่นนั้น แม้จะยืนอยู่แค่สามคนในถิ่นมาเฟียของประเทศมหาอำนาจ แต่เมื่อได้รู้ว่ามีมือแม่นปืนวางกำลังอยู่รอบๆ ความปลอดภัยที่อยู่ในระดับต่ำสุดจึงเพิ่มขึ้นมาอย่างน่าพอใจ
หากความคิดของคู่แฝดคนสนิทต้องหยุดชะงัก เมื่อจู่ๆ เห็นผู้เป็นเจ้านายก้มลงดึงคอเสื้อของชายที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้าขึ้นมาแล้วหมุนตัวกลับ เดินออกไปจากตรอกแคบๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน โดยมีเลโอและจอร์โจ้ เล็งปืนไปรอบๆ บริเวณเพื่อคุ้มกันความปลอดภัย
ภาพที่เห็นจึงเป็นเหมือนดอนคอนเนลิโอกำลังเดินฮัมเพลงด้วยสีหน้ารื่นรมย์ มือข้างหนึ่งถือซิการ์ อีกข้างหนึ่งลากของชิ้นใหญ่เดินข้ามถนนไปยังเชลบี้ คอบร้าคันสีแดงเลือดนกพิราบ
แล้วจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าของชิ้นใหญ่ในมือของคอนเนลิโอนั้นคือร่างไร้วิญญาณของชายคนหนึ่งซึ่งยังไม่มีใครได้รู้ที่ไปที่มา ซ้ำร้ายยังต้องมาจบชีวิตลงอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
แม้ว่ารถยนต์สุดคลาสสิกในตำนานอย่างเชลบี้ คอบร้า 427 ซูเปอร์สเน็กซ์ ปี1966 จะแล่นออกไปด้วยความเร็วสูงสุด แต่นั่นยังไม่ได้เร็วเท่ากับใจของคนที่คอยจับตามองเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นจนจบ แม้สืบค้นข้อมูลส่วนตัวของดอนเวนโตล่ามาเป็นอย่างดีแล้ว แต่มาถึงตอนนี้ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดมาเฟียหนุ่มถึงต้องลากร่างของจิอานนี่ติดมือไปเช่นนั้น
...หรือแม้กระทั่งศพ ดอนเวนโตล่าก็จะไม่ละเว้น!
เวนโตล่าแมนชั่นในเขตอัปเปอร์อีสต์ไซด์
ในตอนที่ตกลงใจซื้อตึกสูงห้าชั้นนี้จากเจ้าของเดิมสนนราคาอันมหาศาลนั้น ดอนดิโน่เพียงแค่อยากสัมผัสกับสีสันอันครึกครื้นตามวิถีชีวิตของคนในมหานครอันศิวิไลซ์ เปลี่ยนบรรยากาศจากคฤหาสน์อันเงียบสงบในซิซิลีเท่านั้น อัปเปอร์อีสต์ไซด์ถือเป็นย่านที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนซึ่งแต่งตัวราวกับหลุดออกมาจากแมกกาซีน กลางคืนจะคึกคักเต็มไปด้วยแสงสีเหมาะสมกับคำว่ามหานครที่ไม่มีวันหลับใหลยิ่งนัก
จากที่กำลังจิบไวน์ฟังเพลงอยู่หน้าร้านอาหารประจำตรงหัวมุมถนนแต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกชายเพียงคนเดียวทำลงไปแล้ว ตอนนี้ดิโน่กลับต้องมานั่งหน้าตึงอยู่บนโซฟาครึ่งวงกลมรอคอยด้วยความร้อนรนระคนหงุดหงิดใจ
เป็นพ่อเป็นลูกกันมาสามสิบห้าปีมีหรือที่จะไม่รู้ว่านิสัยลูกชายเป็นอย่างไร เขาอาจห้ามการสืบสาวให้ถึงต้นตอในการปองร้ายเมื่อบ่ายนี้ไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากให้คอนเนลิโอบ้าบิ่นขนาดเอาศพของหนึ่งในคนร้ายไปกองไว้ตรงหน้ากรมตำรวจนิวยอร์ก!
ไม่ใช่แค่ดอนดิโน่เท่านั้นที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับการกระทำของคอนเนลิโอ กระทั่งคู่แฝดคนสนิทยังได้แต่มองหน้ากัน เมื่อได้รับคำสั่งให้วางร่างไร้ลมหายใจนั้นหน้าสถานีตำรวจ
ทว่าคนที่ออกคำสั่งกลับมีสีหน้ารื่นรมย์ เดินเข้าไปในแมนชั่นด้วยท่าทางสบายใจแต่เมื่อก้าวเข้ามาด้านในแล้วได้เห็นสีหน้าบึ้งจัดของผู้เป็นพ่อ เขาก็ปั้นหน้าหน่ายใจตอบกลับ
“แกไม่ต้องมาทำหน้าเบื่อหน่ายฉันเลย” ดิโน่ตวาดเสียงดุและต้องโกรธมากกว่าเดิม เมื่อได้เห็นว่าคอนเนลิโอยิ้มราวกับทุกอย่างเป็นปกติ “ไม่ต้องมายิ้ม”
“อ้าว...” คนถูกดุครางยาวเพราะไม่รู้จะวางตัวอย่างไรถึงถูกใจผู้เป็นพ่อ
“ไม่ต้องมาทำหน้าตาย แก... แกมันบ้าไปแล้วใช่ไหม ถึงได้เอาศพใครก็ไม่รู้ไปทิ้งไว้หน้าสถานีตำรวจ”
“ก็มันเป็นหน้าที่ของตำรวจไง มีคนตาย ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ไม่ให้ตำรวจสืบแล้วจะให้ใครสืบ” คอนเนลิโอตอบกลับด้วยความจริงเป็นที่สุด แต่เขาไม่รู้หรอกว่าน้ำเสียงและท่าทางที่แสดงออกมานั้นยั่วโมโหคนเป็นพ่อมากสักแค่ไหน
“แล้วมันเรื่องอะไรต้องเอาตัวเองไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมห่าเหวนี่ด้วย” ดิโน่ถามพร้อมตวัดสายตาตำหนิคู่แฝดคนสนิทซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล
“พัวพันที่ไหน... ผมยังไม่มีโอกาสได้ชักปืนออกจากบั้นเอวด้วยซ้ำ ไอ้ห้าคนที่ตามฆ่าพ่อก็ตายซะแล้ว” พูดพลางผายมือทั้งสองข้างออกแล้วไหวหัวไหล่รับ จากนั้นจึงทุบกำปั้นเข้ากับหน้าอกของตนสำทับคำพูด “นี่พลเมืองดี อุตส่าห์เอาศพไปประเคนให้ตำรวจถึงที่ ถ้าไม่เชื่อก็ไปเปิดกล้องวงจรปิดดู แถวนั้นมันมีเยอะแยะแหละ”
“แกจะโดนข้อหาเคลื่อนย้ายศพออกจากที่เกิดเหตุน่ะสิ”
เบ้ปากอย่างไม่แยแส “เรื่องเล็ก โยนให้ทนายจัดการไป”
“นีล... นีล ใครใช้ให้เดินหนีฉันแบบนี้” ไม่ว่าจะเรียกตามอีกสักกี่ครั้ง ลูกชายกลับไม่สนใจแต่ก้าวเดินเข้าไปด้านในอย่างมั่นคง เมื่อทำอะไรไม่ได้อีกทั้งความโมโหโกรธาที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยจึงตวาดออกมาอย่างเหลืออด “นี่มันรู้ตัวบ้างไหมว่าเป็นลูกชายคนเดียวของฉัน”
คำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบนั้นทำให้คู่แฝดคนสนิทรีบเดินเลี่ยงเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นส่วนตัว รู้ดีว่าการวิวาทะของพ่อลูกคู่นี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่เผชิญหน้ากันไม่ครบนาทีด้วยซ้ำ
แม้ระดับความดังของเสียงที่ดังไล่หลังมานั้นจะค่อยๆ ลดลงตามระยะห่างที่มาเฟียหนุ่มเดินออกมา แต่เขาก็ได้ยินคำพูดของผู้เป็นพ่อทุกคำ ทั้งยังอดตอบโต้ในใจไม่ได้ว่า ก็เพราะสำนึกว่าเป็นลูกชายคนเดียวนี่ไงล่ะ ถึงได้อดทนอยู่อย่างนี้ คิดด้วยความเบื่อหน่ายกับภาระอันหนักหน่วงที่ต้องแบกรับเอาไว้ แม้ทุกวันเขาจะยืนหน้ากระจกเงาแล้วบอกกับตัวเองว่า...
‘โลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก’
เพราะฉะนั้นเขาต้องใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่า บ้าระห่ำตามที่ใจต้องการอย่างน้อยอะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาตอนกำลังเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ความตื่นเต้น ความระทึกใจเมื่อพุ่งถึงขีดสุดในช่วงเวลาอันสั้นนั้นก็ลดความเบื่อหน่ายในชีวิตลงไปได้บ้าง
ขนาดของแมนชั่นนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักเมื่อเทียบกับคฤหาสน์ในซิซิลี เขาจึงเดินผ่านชั้นสองซึ่งเป็นห้องรับแขกอย่างเป็นทางการและห้องนอนของผู้เป็นพ่อได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ขึ้นมาถึงชั้นสามซึ่งเป็นอาณาบริเวณของเขาทั้งหมด
การตกแต่งภายในยังเป็นไปตามประสงค์ของผู้เป็นพ่อซึ่งได้รับอิทธิพลและคำแนะนำจากทีมอินทีเรีย เห็นจะมีแต่ห้องนอนส่วนตัวกระมังที่เขาได้มีโอกาสชี้นิ้วลงในแคตตาล็อกเลือกข้าวของเครื่องใช้ด้วยตัวเอง
แม้รู้ดีว่าเครื่องใช้ทุกอย่างราคาแพงแต่เขากลับไม่เคยใส่ใจ ก็ขนาดพยายามไม่สนใจในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อทำหรือต้องการ ยังเกิดการโต้เถียงกันเกือบทุกครั้งไป แล้วถ้าเขาเกิดใส่ใจเรื่องเล็กน้อยๆ พวกนี้ขึ้นมาบ้าง คงได้ทะเลาะกันไม่มีวันจบสิ้น นี่ต่างหากคือเหตุผลอันแท้จริงที่ไม่เคยปริปากออกมาเลย
ในตอนนี้ เวลานี้มาเฟียหนุ่มยังรู้ดีว่าทุกย่างก้าวอยู่ในสายตาของผู้เป็นพ่อ!
ดิโน่เดินตามลูกชายขึ้นมาถึงชั้นสามอย่างเงียบๆ ในแต่ละย่างก้าวของคอนเนลิโอนั้นทำให้ไพล่นึกไปถึงครั้งอดีตจนลืมเรื่องที่กำลังทำให้ขุ่นข้องหมองใจไปชั่วขณะ
‘นีลเหมือนคุณแม้กระทั่งการเดิน ดูสิคะ... เวลาเดินเขาชอบเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วจัดการกับทุกอย่างที่ขวางหน้าด้วยเท้า ถ้าไม่มีอะไรที่สำคัญจริงๆ จะไม่ยอมเอามือออกจากกระเป๋าเลย’
คำพูดของใครบางคนดังขึ้นในโสตประสาท แต่ดิโน่ต้องหลุดออกจากห้วงความคิดนั้นเพราะปลายรองเท้าของลูกชายกระทบเข้ากับประตูห้องนอน มันเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงตนเองในวัยหนุ่มได้เป็นอย่างดี
ดิโน่สลัดความรู้สึกอ่อนไหว คลางแคลงใจต่อกันที่เกิดขึ้นตลอดเวลาออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อก้าวมายืนอยู่หน้าห้องนอนของลูกชาย “เมื่อไหร่จะเลิกเดินหนีฉันสักที”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

194 ความคิดเห็น
-
#94 kyohye (จากตอนที่ 3)วันที่ 5 ตุลาคม 2559 / 22:35????โอ่!พระเอกของเรา555#940
-
#37 Love Have (จากตอนที่ 3)วันที่ 20 กันยายน 2559 / 18:47พ่อลูกถอดแบบกันออกมาเลยนะคะรวมถึงอารมณ์เวยนะคะที่เหมือนกันมากเลยค่ะ#370
-
#26 mmnm (จากตอนที่ 3)วันที่ 17 กันยายน 2559 / 13:01ค้างค่ะ.....แง้ๆๆ#260
-
#25 coffee (จากตอนที่ 3)วันที่ 17 กันยายน 2559 / 08:41นีลลลลลช่วยเดินมาทางนี้ค่ะ อิอิ รอไรต์อัพและรอเล่มค่ะ#250