ตอนที่ 5 : ตอนที่ ๑ โลกอันแสนราบรื่นและมั่นคง 60%
แม้จะต้องฝ่าการจราจรอันคับคั่งในเมืองหลวง แต่แพรวาก็มาถึงบ้านก่อนเวลาอาหารราวสี่สิบนาที ความเมื่อยล้าที่เกิดขึ้นสูญสลายไปในชั่วพริบตาเมื่อเดินลึกเข้ามาในครัวตามกลิ่นหอมของอาหาร
“กลับมาแล้วค่า”
เสียงหวานดังมาก่อนจะปรากฏตัว นั่นเป็นเรื่องปกติที่ทำให้ผู้เป็นป้าอมยิ้มกับความสดใสของหลานสาว แม้จะยังง่วนอยู่กับการทำอาหารเย็น และยืนหันหลังให้กับทิศทางที่หลานสาวจะเดินเข้ามา แต่เพราะเลี้ยงดูมาแต่เล็กแต่น้อย มีหรือที่จะไม่รู้ว่าแพรวากำลังน้ำลายสอกับอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนเคาน์เตอร์ด้านหลังตน
“โอ้โห! วันนี้วันพิเศษอะไรคะ ป้าน้อมทำอาหารยังกับจะเลี้ยงคนทั้งซอย” แพรวากระเซ้าเย้าแหย่พลางเดินมาซ้อนด้านหลัง สวมกอดผู้เป็นป้าทั้งยังขโมยหอมแก้มฟอดใหญ่ ทำตัวออดอ้อนเช่นที่เคยปฏิบัติมาตลอด
ป้าน้อมได้แต่ยิ้มรับอย่างมีความสุขแต่ไม่ได้บอกถึงเหตุผลที่ตั้งใจทำเฉพาะเมนูโปรดของหลานสาว แต่กลับออกปากไล่ให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแทน
แม้จะมีท่าทางอิดออดแต่แพรวาก็ยอมเปลี่ยนมือจากรอบเอวของผู้เป็นป้า บังเอิญสายตาไปกระทบเข้ากับหางกุ้งสีสดซึ่งรอดพ้นจากการห่อหุ้มด้วยเกล็ดขนมปังแล้วผ่านการทอดอีกครั้งหนึ่ง ทว่ามือบางที่ตั้งใจจะเอื้อมไปหยิบกลับต้องชักงักค้าง
“ห้ามใช้มือหยิบอาหารเด็ดขาด แล้วรีบไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้” แม้จะกำชับเสียงดุแต่หลานสาวกลับฉีกยิ้มกว้างเพราะรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่คำขู่
“เจ้าค่า คุณนาย!” แม้จะรับปากแต่กลับรีบหยิบหางกุ้งชุบเกล็ดขนมปังทอดขึ้น ก่อนจะเผ่นแนบวิ่งออกจากห้องครัวด้วยความเร็วที่ไม่ต่างจากนักวิ่งร้อยเมตร
แม้จะต้องส่ายหน้าอย่างระอาใจกับท่าทีไม่รู้จักโตของหลานสาว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชอบให้แพรวามาออดอ้อนออเซาะ นอนหนุนตักดูทีวีด้วยกันแต่เมื่อมองเห็นอาหารหลายจานตรงหน้า ก็อดใจหายไม่ได้กับเหตุผลในการทำของโปรดซึ่งเปรียบเสมือนเลี้ยงฉลองที่แพรวาสามารถสอบชิงทุนไปเรียนที่สเปน
“ถ้าคุณแพรไม่อยู่บ้านเงียบแน่ๆ เลยนะคะ” แม่บ้านสาวบอกจากความรู้สึกแท้จริง
น้อมพยักหน้ารับเห็นด้วยกับคำพูดของแม่บ้านยิ่งนัก “ฉันก็เป็นห่วง ไม่อยากให้น้องแพรไปอยู่ไกลหูไกลตาสักเท่าไหร่ ผู้หญิงตัวคนเดียวไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เกิดอะไรขึ้นใครจะคอยช่วยเหลือ แต่มาคิดๆดูอีกที ทั้งหมดนี้ก็เพื่ออนาคตของน้องแพรเอง ไม่ใช่ว่าจะไปกันได้ทุกคน โอกาสมาถึงแล้วก็ควรไขว่คว้าเอาไว้”
เหมือนกับเอาข้อดีข้อเสียทั้งสองอย่างมากองรวมกัน แม้สุดท้ายแล้วจะรู้คำตอบดีแต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงได้แต่ถอนหายใจและสั่งให้แม่บ้านสาวยกอาหารออกไปตั้งโต๊ะ ก่อนที่ลุงและหลานจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับลงมาชั้นล่างอีกครั้งหนึ่ง
ราวสิบหน้านาทีต่อมาทุกคนก็นั่งประจำเก้าอี้โต๊ะอาหาร เมนูอันโปรดปรานของแพรวาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ยิ่งทำให้เจ้าตัวยิ้มอย่างมีความสุข
“แพรรู้ว่าวันนี้ต้องมีอะไรพิเศษเกี่ยวกับตัวแพรแน่ๆ ใช่ไหมคะ” ถามเพราะเคยเกิดเหตุการณ์คล้ายๆเช่นนี้มาแล้ว เพียงแค่เธอไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าแม้จริงแล้วเป็นเรื่องน่ายินดีใด
“ผลสอบฯของน้องแพรออกมาแล้วนะ พอดีว่า... เพื่อนของลุงเป็นประธานกรรมการคัดเลือกโครงการที่น้องแพรไปสอบเอาไว้ เขาโทรมาแสดงความยินดีกับลุง บอกว่าคะแนนสอบของน้องแพรอยู่ในขั้นดีมาก แล้วภาคปฏิบัติก็ได้คะแนนเกือบเต็มด้วย” วัชระอธิบาย
“แปลว่าแพรจะได้ไปมาดริดใช่ไหมคะ” ถามด้วยน้ำเสียงและแววตาตื่นเต้น
“ก็ไม่ผิดนัก เหลือแค่รอประกาศอย่างเป็นทางการ แล้วก็สัมภาษณ์แต่ลุงคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร”
“ป้าก็เลยฉลองให้เราเสียเลย เพราะพรุ่งนี้ลุงต้องเดินทางไปสัมมนาที่เชียงใหม่” ผู้เป็นป้าตอบ อดยิ้มไปกับหลานสาวไม่ได้
วัชระและน้อมรู้ดีว่ากรุงมาดริดคือเมืองในฝันที่หลานสาวชื่นชอบในวัฒนธรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลายปีมานี้ฟุตบอล บาสเก็ตบอล เทนนิสในสเปนได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลก เพราะมีนักกีฬาชื่อดังเข้าไปเล่นในลีกของประเทศอยู่หลายคน
กระแสการกีฬาในสเปนโด่งดังรุดหน้าเกินประเทศอื่นๆในแถบเดียวกัน ยิ่งทำให้เวชศาสตร์การกีฬาโด่งดังขึ้นเป็นเงาตามตัว
ในขณะที่แพรวากำลังดีใจอย่างสุดขีดแต่เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจและสีหน้าเป็นกังวลของผู้เป็นป้าแล้ว รอยยิ้มของแพรวาก็จางลงในทันที
“ฉันก็เป็นห่วงน้องแพรเหลือเกิน ผู้หญิงตัวคนเดียวไม่รู้จะไปอยู่ยังไง” เปรยขึ้นมาในขณะที่มองหลานสาวด้วยแววตาเป็นกังวล
“ผมก็เป็นห่วงแต่ทั้งหมดนี้เพื่อก็อนาคตของน้องแพร อีกอย่างหลานสาวคนนี้ไม่เคยทำตัวเหลวไหลแล้วที่ผ่านมาก็แสดงให้เราเห็นแล้วว่าสามารถดูแลตัวเองได้ดีเยี่ยมแค่ไหน” วัชระปลอบใจภรรยาและเอื้อมมือไปตักอาหารให้อย่างเอาอกเอาใจ “อีกอย่างน้องแพรมีเพื่อนสนิทที่นั่น ก็คงพอจะช่วยเหลือกันได้”
“ใช่ค่ะ ป้าน้อมไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จ แพรจะโทรไปหายัยส้ม วานให้ช่วยหาอพาร์ทเมนต์สภาพดีมีระบบรักษาความปลอดภัยก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” แพรวาปลอบผู้เป็นป้าอีกแรง
“เพื่อนน้องแพรคนนี้ใช่ไหม ที่เป็นน้องสาวของหมอวรวุฒิ” วัชระถามเพื่อความมั่นใจ
“ใช่ค่ะ ส้มแต่งงานกับหนุ่มสเปน แล้วทั้งคู่ก็มีพรสวรรค์ในด้านการทำอาหาร ตอนนี้เปิดร้านอาหารไทย-สเปน อยู่ในมาดริดค่ะ”
“แล้วเรื่องที่พักของเราจะเอายังไง” น้อมย้ำถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ความจริงแล้วแพรอยากไปหาที่พักด้วยตัวเองมากกว่า เพราะฝากให้คนอื่นดูให้ก็ไม่รู้ว่าจะถูกใจจริงๆรึเปล่า”
“ลุงเห็นด้วยกับน้องแพรนะ ต้องหาที่เราอยู่แล้วสบายใจ ปลอดภัย ไม่ควรต้องไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก อาจจะแพงหน่อยก็คงไม่เป็นไร” วัชระเสริม
“นั่นสิ เรื่องค่าเช่าไม่ต้องเป็นห่วง ป้าจะจัดการให้เอง” น้อมบอกหลานสาวและหันไปขอความเห็นจากสามี “หรือเราจะบินไปส่งน้องแพร ดูให้แน่ใจว่าได้ที่พักน่าอยู่ ปลอดภัยแล้วค่อยบินกลับ”
“ทำอย่างนั้นลุงกับป้าก็เหนื่อยแย่สิคะ นั่งเครื่องบินทีละหลายๆชั่วโมงจะแย่เอา อีกอย่างแพรไม่อยู่ไม่มีใครคอยนวดให้นะค้า...” ลากเสียงยาวพยายามทำให้ความกังวลใจของผู้เป็นป้าคลี่คลายลงบ้าง ในขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณทางสายตาขอความช่วยเหลือจากคุณลุง
“จริงอย่างที่น้องแพรพูดนั่นแหละ ปวดเมื่อยเนื้อตัวน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าไปส่งแล้วคุณไม่ยอมกลับมากับผมเนี่ยสิ ผมแย่เลยนะ” วัชระส่งสายตาออดอ้อนภรรยา
“ฟังพูดเข้า แก่จนป่านนี้แล้วยังจะพูดจาไม่อายหนุ่มสาว”
จบคำพูดเสียงหัวเราะของทุกคนก็ดังขึ้นอย่างครื้นเครง ความกังวลใจลางเลือนลงชั่วขณะเพราะคุณป้าทำเสียงดุกลบเกลื่อนความเขินอายทุกครั้งที่คุณลุงแสดงความรักออกมาอย่างไม่ปิดบัง
เวลาหนึ่งเดือนนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว... ป้าและหลานสาวใช้เวลาหมดไปกับการตระเตรียมข้าวของเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองจะไปหาซื้อสินค้าจำเป็นได้ที่ไหน แม้จะรู้ว่าสิ่งของบางอย่างนั้นสามารถหาซื้อได้อย่างง่ายดายแต่แพรวาก็ไม่อยากจะขัดใจผู้เป็นป้า เพราะรู้ดีว่าทั้งหมดที่ได้รับนั้นเกิดขึ้นเพราะความรักและเป็นห่วง
ถึงวันที่ต้องล่ำลากันจริงๆ แม้ตั้งใจจะเอาไว้แต่แรกว่าจะไม่ร้องไห้ให้ลุงและป้าต้องเป็นห่วง แต่เมื่ออ้อมกอดอันอบอุ่นโอบล้อมรอบกาย ฝ่ามือที่ลูบขึ้นลงอยู่บนแผ่นหลังและคำอวยพรที่หลุดออกจากปากของลุงและป้า กลับเป็นตัวกระตุ้นให้แพรวาต้องร้องไห้ออกมาด้วยความคิดถึง
เมื่อขึ้นไปนั่งอยู่บนเครื่องบินลำใหญ่ ภาพรันเวย์ที่ตัดกับท้องฟ้ายิ่งทำให้เธอเกิดความโหวงหวางหัวใจ ทันทีที่เครื่องบินลอยละล่องอยู่เหนือปุยเมฆ แพรวาก็เอื้อมมือไปปิดหน้าต่างทันที
หลายคนอาจจะชอบมองท้องฟ้าสีครามและปุยเมฆนุ่มแต่เธอกลับรู้สึกว่ามันทำให้คิดถึงบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ และคงจะต้องนั่งร้องไห้ให้อับอายคนอื่นจึงได้แต่หลับตาลงด้วยความรู้สึกอันสับสน มีทั้งความตื่นเต้นดีใจผสมปนเปกับความเศร้าสร้อยจนเธอแยกแยะออกจากกันไม่ได้
ท่าอากาศยานอาดอลโฟ ซัวเรซ มาดริด-บาราคัส ประเทศสเปน
แพรวาผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองมาอย่างไม่มีปัญหา เธอเดินออกมาจากบริเวณดังกล่าวนั้นด้วยความหงุดหงิด โมโห โกรธเคือง เรียกว่าเอาอารมณ์ยอดแย่ทุกอย่างมาผสมรวมกันน่าจะอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้ดีที่สุด
จนถึงตอนนี้ซึ่งเดินมาหยุดตรงสายพานลำเลียงสัมภาระ แพรวายังยัดพาสปอร์ตเข้าไปในกระเป๋าถือโดยไม่ได้เหลือบสายตาไปมองสักนิดว่ามันจะสอดเข้าไปในช่องใดของกระเป๋า แต่กลับก้มลงมองนามบัตรใบจิ๋วที่กำมือเอาไว้จนแน่น
“อาเชอร์ เฟร์นานโด ไอ้คนเส็งเคร็ง!” ไม่บ่อยนักที่แพรวาจะก่นด่าใครสักคนเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ถูกหยามศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง
อย่าว่าแต่เอาผิดเขาได้เลยแต่แค่เพียงคำขอโทษที่ควรได้รับก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียกร้องจากใคร ต้องตำหนิที่เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ครู่ใหญ่จนปล่อยให้เขาเดินหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงแม้ว่าจะดึงสติกลับมาได้และรีบเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากเครื่องบินให้เร็วขึ้น สอดส่ายสายตามองหาตัวต้นเหตุที่ยั่วยุให้ต้องขุ่นเคืองใจแต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่เห็นเขาอยู่ดี
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
