ตอนที่ 15 : ตอนที่ 4 ทิฐินั้นอยู่เหนือความรู้สึก 100%
ภายในส่วนของห้องนักกายภาพบำบัด สโมรสรฟุตบอลแห่งหนึ่งในกรุงมาดริด
เอมิเลียประหลาดใจไม่น้อยเพราะจำได้ว่าวันนี้แพรวาไม่มีชื่ออยู่ในตารางการทำงาน แต่ทำไมถึงได้เห็นเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ยืนอยู่หน้าล็อกเกอร์ทั้งยังอยู่ในชุดเตรียมพร้อมที่จะทำงาน
“อ้าว วันนี้หยุดไม่ใช่เหรอคะ พี่แพร” เอมิเลียเพิ่งเปลี่ยนชุดเรียบร้อยถามในขณะที่เปิดล็อกเกอร์ส่วนตัวเพื่อเก็บเสื้อผ้า
“หัวหน้าเรียกพี่เข้ามาถามว่าจะให้ทำงานทุกวันได้ไหม เพราะอาทิตย์หน้าทีมจะลงแข่งถี่ขึ้น นัดกลางสัปดาห์แข่งยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก2 เสาร์-อาทิตย์ยังเตะภายในลีก” แพรวาตอบ
“แบบนี้จะไหวเหรอคะ ทั้งเรียนทั้งทำงาน ตอนนี้ก็ผอมบางร่างน้อยอยู่ด้วย” จบคำพูดก็กวาดสายตามองรูปร่างของเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ด้วยความเป็นห่วง
“โธ่... พี่แข็งแรงยังกับกระทิงสาว อย่าห่วงเลยจ้ะ” ไม่พูดเปล่าแต่ยังแบ่งกล้ามแขนประกอบคำพูดจนเกิดเสียงหัวเราะครื้นเครง แต่ชั่วอึดใจต่อมาแพรวาก็ต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจกับท่าทางของเอมิเลียซึ่งหุบยิ้มและยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกา
“ตายจริง! เราต้องรีบแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวพ่อนักเตะบันลือโลกซ้อมเสร็จแล้วไม่เห็นเอมี่มานั่งรอ จะเหวี่ยงวีนอีก”
“ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง เหลือเวลาอีกเกือบสิบนาที ไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้” แพรวาบอกพร้อมเร่งฝีเท้าจนแทบจะกลายเป็นวิ่งเหยาะๆ
“น้อยไปสิคะ” เอมิเลียตอบแล้วจึงเริ่มขอความคิดเห็น “พี่แพรว่า... ถ้าเอมี่ขอเปลี่ยนไปนวดอลองโซ่แล้วพี่แพรไปนวดให้เบนซ์ หัวหน้าจะว่าอะไรไหมคะ”
“ทำไมล่ะ”
เอมิเลียถอนหายใจจนหัวไหล่ห่อเข้าหากัน เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกมา “เมื่อสองวันก่อน เอมี่ก็กำลังนวดต้นขาด้านหลังให้เบนซ์ แล้วเขาก็กำลังคุยโทรศัพท์กับแฟน พอเอมี่ออกแรงกดเบ็นซ์ก็ร้องออกมาว่า ‘เบาๆ หน่อยซิแม่คุณ’ เท่านั้นล่ะค่ะ”
สีหน้าเซ็งจิตของเอมิเลียทำให้แพรวาพอจะเดาได้ว่าเกิดเรื่องเข้าใจผิดขึ้น “อ้าว แล้วเบนซ์ไม่ได้อธิบายเหรอ”
“อธิบายค่ะ เอมี่ก็ได้ยินเขาง้อแฟนผ่านสายโทรศัพท์ตอนนั้นเลย แต่ไม่รู้ว่ามีเรื่องผิดใจอะไรกันมาก่อนหน้านี้รึเปล่า คุยๆเถียงๆกันอยู่แป๊บเดียวก็วางสาย แต่เอมี่คิดว่าคงไม่มีอะไรเพราะอยู่กันตั้งหลายคน แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้นน่ะสิคะ” ปั้นหน้าง้ำแต่ก็ยอมเล่าต่อ เมื่อเห็นอีกฝ่ายรอฟังอย่างตั้งใจ “ตอนเอมี่กำลังจะออกจากสโมสร เบนซ์มาบอกว่าช่วยยืนยันให้แฟนเขาเข้าใจหน่อย ว่าเอมี่เป็นนักกายภาพบำบัดจริงๆ”
“แล้วไง... ต่อสิจ๊ะ” แพรวาถามและขยับเข้าไปใกล้ๆ เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาอยู่ในห้องนวดซึ่งก่อนและหลังการฝึกซ้อม นักเตะจะเข้ามานวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
“ก็ยัยนางแบบนั่นหาว่าเอมี่เป็นผู้หญิงอย่างว่า ฝากเอมี่บริการเขาให้ถึงใจเพราะเขามีพลังเหลือเฟือ แล้วพออธิบายว่าเข้าใจผิดแล้ว เอมี่เป็นแค่นักกายภาพบำบัดของสโมสร... หล่อนยังมาหาว่าเอมี่แผนสูง หวังจะจับเบนซ์เพราะอยากรวยทางลัด ไม่ได้เปิดโอกาสให้พูดแต่เอาจริงๆแล้วหล่อนไม่ยอมฟังในสิ่งที่ชี้แจงเลย สุดท้ายยังตัดสายไปดื้อๆ” สาวน้อยเล่าด้วยความคับแค้นใจ
“จริงเหรอ!” แพรวาถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“จริงสิคะ” เอมิเลียย้ำในทันที “แล้วที่ร้ายไปกว่านั้น เบนซ์เป็นอะไรก็ไม่รู้ เมื่อวานนี้พอเอมี่นวดให้อีก เขาก็หาว่าแรงไม่ถึง ยังรู้สึกตึงๆกล้ามเนื้อ ทั้งที่ความจริงก็นวดแบบนี้ทุกวัน ออกแรงเท่าเดิมทุกครั้ง”
“น่าจะเข้าใจผิดกันมากกว่า ว่างๆ ก็หาเวลาเคลียร์กับเขา พี่คิดว่าเบนซ์ไม่น่าจะเข้าใจอะไรยาก ความจริงแล้วเขาคนมีเหตุผล” แพรวาบอกพลางลูบแผ่นหลังบางอย่างให้กำลังใจ บทสนทนาของทั้งคู่สิ้นสุดลงเมื่อนักเตะหนุ่มเริ่มทยอยเดินเข้ามาในห้อง
“อ้าว... วันนี้คุณทำงานด้วยเหรอครับ” กัปตันทีมชาวสเปนถามเพราะตารางการทำงานของแพรวานั้นจะตรงกับเขาอยู่บ่อยครั้ง จนทั้งคู่เริ่มพูดคุยกันอย่างถูกคอ
“ถ้าเบื่อหน้าก็ต้องทนนะคะ พวกคุณลงแข่งกันถี่ขึ้น ก็เลยต้องเห็นหน้าฉันบ่อยขึ้น”
จบคำพูดบรรยากาศในห้องจึงเป็นไปด้วยความครื้นเครง เว้นเสียแต่คนที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงลึกสุด ซึ่งเพื่อนร่วมทีมนั้นรู้ดีว่า เบนเซม่าอยู่ในอารมณ์ที่ไม่เป็นปกตินักเพราะกำลังมีปัญหาอย่างหนักกับแฟนสาว
“เบนซ์ วันนี้พวกเราตกลงจะไปต่อกันที่คอนโด ของนาย” กัปตันทีมซึ่งมีอาวุโสสุดกล่าวขึ้น เมื่อพลิกตัวนอนคว่ำแล้วเหลือบไปเห็นท่าทางของนักเตะรุ่นน้อง ซึ่งมีสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
เบนเซม่าถอนหายใจพรืดใหญ่ “อย่าเลย ฉันอยากอยู่คนเดียวจริง ขอโทษนะ”
“เฮ้ย... ไม่เอาน่าพวก นายจะเศร้าไปทำไมวะ!” เพลย์เมกเกอร์ชาวเยอรมันซึ่งย้ายเข้ามาสังกัดในสโมสรเป็นรายล่าสุดปลอบใจ เพราะตนและเบนเซม่าไม่เพียงแค่เล่นเข้าขากันชนิดที่ไม่ต้องเสียเวลาปรับตัวให้เนิ่นนาน เมื่ออยู่นอกสนามยังพูดคุย เล่นหัวกันอย่างสนิทสนม
“นั่นสิ... หล่อๆ อย่างนายมีสาวๆเรียงหน้ากระดานมาให้เลือกอีกเพียบ ดูอย่างฉันสิ อกหักไม่รู้กี่ครั้งกว่าจะแต่งงานมีเมียเป็นตัวเป็นตน” กัปตันทีมยกเอาเรื่องส่วนตัวขึ้นมาบอกกล่าว
“ไง... โอเคม่ะ” โอซิลย้ำถาม
“อืม... ว่าไงว่าตามกัน” เบนเซม่าตอบแล้วพลิกตัวนอนหงายอย่างรู้หน้าที่ แต่ด้วยความที่เขายังค้างคาใจในปัญหาที่เกิดขึ้นกับนางแบบสาวจึงถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่งและหลับตาลงเอาเสียดื้อๆ
ท่าทางไม่สบอารมณ์เอามากๆนั้นทำให้เอมิเลียชะงักฝ่ามือและหันไปสบสายตาแพรวาในทันที หากไม่นานว่าต้องรีบกดฝ่ามือลงเช่นเดิมเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาหงุดหงิดใจมากขึ้นไปอีก ทั้งยังอดคิดในใจไม่ได้ว่า... เรื่องนี้ร้ายแรงจนต้องทำให้เขาและแฟนสาวเลิกรากันเชียวหรือ
ท่าทางรำคาญใจที่เขาแสดงออกมานั้นคงไม่ได้หมายความว่าเธอเป็นตัวต้นเหตุของความบาดหมางในครั้งนี้หรอกนะ ยิ่งคิดเอมิเลียยิ่งอยากจะบ้าตาย สรุปในใจเอาไว้ว่าหลังจากนี้คงต้องหาเวลาพูดคุยไถ่ถามเขาให้เข้าใจ
เอมิเลียเดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าห้องแต่งตัวของนักกีฬาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว หากไม่พูดคุยกับเขาให้เข้าใจกระจ่างชัด เธอคงไม่มีมาธิในการทำสิ่งอื่นใด เพราะไม่อยากต้องเป็นต้นเหตุให้คู่รักต้องเลิกรากัน ที่สำคัญไปกว่านั้นมันคือเรื่องเข้าใจผิดทั้งเพ
เบนเซม่าเดินออกมาจากห้องแต่งตัวนักกีฬาและชะงักการก้าวเดินเมื่อเห็นร่างระหงของนักกายภาพบำบัดสาวยืนหันหลังอยู่ไม่ไกล แม้ลึกๆในใจแล้วนึกเคืองอยู่ไม่น้อยที่พูดจาเช่นนั้นกับแฟนสาวจนเกิดเรื่องเลิกรากันเช่นนี้
เอมิเลียตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนมารู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อได้เห็นแผ่นหลังกว้างของศูนย์หน้าตัวเป้าซึ่งเดินผ่านหน้าเธอไปไม่กี่ก้าว “เดี๋ยวๆ เบนซ์...”
เบนเซม่ายืนนิ่งเมื่อสาวน้อยเอมิเลียวิ่งมาดักหน้า แสดงท่าทีว่าจะมีเรื่องพูดคุยกับเขาแต่จนแล้วจนรอดก็เอาแต่อ้ำๆอึ้งๆ
“เอ่อ... คือฉัน” ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี ยิ่งเห็นเขายืนกางขา กอดอกใช้สายตามองเธออย่างประมาณการณ์
“อะไรล่ะ...” น้ำเสียงติดรำคาญใจดังขึ้น
“คะ...คือฉันได้ยินว่าคุณเลิกกับแฟน จริงรึเปล่า”
“ก็สำเร็จตามที่คิดไว้แล้วนี่”
“อะไรนะ” สาบานได้ว่าไม่เคยถามด้วยเสียงในโทนสูงเช่นนี้มาก่อน ทั้งคำตอบและท่าทางของนักเตะหนุ่มยังทำให้เธอโกรธขึ้นมาเป็นริ้วๆ “วันนั้นฉันพยายามอธิบายให้แฟนคุณฟังแล้ว แต่เธอ...”
“อธิบายว่ากำลังโยกกันมันๆ แล้วนาช่าดันโทรเข้ามาขัดจังหวะอย่างนั้นเรอะ?” ปลายประโยคห้วนจัดจนเกือบเป็นเสียงตะคอก ในขณะที่ยกมือดันต้นแขนเรียวให้หลีกทาง “ถ้ามีแค่นี้ก็หลีกทาง ผมรีบ”
หากคนถูกใส่ร้ายป้ายสีกลับยอมปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ สาวน้อยเดินเข้าไปขวางหน้าเขาไว้อีกครั้งทั้งยังกางมือทั้งสองข้างออก เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
“แฟนคุณใส่ความฉัน ใครจะบ้าไปพูดอะไรอย่างนั้น ฉันไม่ได้...” เอมิเลียต้องชะงักคำพูด เมื่อเขายื่นมือทั้งสองข้างมากุมหัวไหล่เอาไว้ แล้วใช้น้ำเสียงราวกับว่ากำลังทำความเข้าใจกับเด็กที่พูดไม่รู้ฟัง
“นี่... ผมยอมรับนะว่าคุณเป็นคนสวย สวยมาก... แล้วก็เข้าใจอีกว่าความใกล้ชิด อยู่ใกล้ผู้ชายที่สาวๆส่วนมากเครซี่ มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ถ้าคุณจะคิดไม่ต่างกับคนอื่น” เบนเซม่าเข้าใจว่าการที่เธออ้าปากค้างมองเขาแน่นิ่งนั้นเป็นเพราะคำพูดจี้ใจดำ แต่ความจริงแล้วเธอกำลังตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าจะมีใครพูดจาโอ่ตัวเองได้เช่นนี้ “แต่จะย้ำให้เขาใจว่าผมไม่ชอบเด็ก ผมชอบสาวสะพรั่งเต็มตัว เข้าใจความสัมพันธ์ในแบบที่ผมต้องการอย่างง่ายดาย ไม่ต้องมาคอยงอนง้อหรือธิบายให้ยุ่งยากลำบากใจ เอาไว้ให้คุณโตกว่านี้ก่อนแล้วเราค่อยมาคุยกันนะ สาวน้อยเอมิเลีย”
ก่อนเดินจากไปเขายังตบที่แก้มเธอเบาๆแล้วฉีกยิ้มให้อย่างเอ็นดูสาวน้อยคนหนึ่ง
แต่... ในความรู้สึกนึกคิดของผู้ถูกกระทำ กลับรู้สึกว่านั่นคือการหยามเกีรยติอย่างที่สุดแล้ว
นั่นเหมือนเป็นการเตือนสติให้เธอรู้ตำแหน่งแห่งหนของตัวเอง!
เวลาผ่านไปเนิ่นนานสักเพียงใดไม่อาจรู้ได้ แต่ตอนนี้สาวน้อยกำลังก้มมองฝ่ามือของตัวเองที่มีสีเข้มขึ้นอยู่หลายระดับ เพราะเจ็บใจในคำพูดนั้นจนต้องจิกเล็บลงกลางฝ่ามือตัวเองเช่นนี้
ตลอดระยะทางจากสโมสรถึงอพาร์ทเมนต์คำพูดของเบนเซม่า ยังกึกก้องอยู่ในหู แม้เธอจะเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตขึ้นในสถานสงเคราะห์ แต่ความทรงจำเกี่ยวกับแม่และพ่อดังชัดเจนทุกภาพเหตุการณ์ แม้ต้องแบกรับความสูญเสียอันใหญ่หลวงเพราะผู้เป็นแม่ด่วนจากไปตั้งแต่อายุสิบสองปี ส่วนพ่อก็หนีหายไม่เคยได้ข่าวคราวตั้งแต่ตอนนั้น เธอคุ้นชินกับสายตาเหยียดหยันบางประเภทที่มองและเหมารวมว่าเด็กกำพร้าคือเด็กด้อยคุณภาพทั้งยังต้องกลายเป็นปัญหาของสังคม
ทว่าเอมิเลียกลับดิ้นรน ทำทุกอย่างเพื่อให้หลุดพ้นจากค่านิยมคร่ำครึเหล่านั้น โดยมีแรงใจจากคุณแม่มาเรีย ผู้อำนวยการสถานสงเคราะห์ซึ่งดูแลเธอมาตลอด ให้การศึกษา ให้ประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต รู้จักอดออม เก็บหอมรอมริบจนสามารถร่ำเรียนจบมหาวิทยาลัย มีการงานที่มั่นคงซึ่งถือว่ามีคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับกลางซึ่งเป็นส่วนมากของคนในสังคม
แต่ไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้เธอยังต้องมาแบกรับเอาความคิดย่ำแย่และคำพูดร้ายกาจของผู้ชายคนหนึ่งเอาไว้ แล้วต้องมานั่งคับแค้นใจเพราะไม่มีโอกาสแก้ต่างให้ตัวเองได้เลยสักนิด
เสียงปิดประตูห้องและเสียงโทรศัพท์ที่กรีดดังขึ้นแทบจะพร้อมๆกันนั้นทำให้เอมิเลียรีบควานหาอุปกรณ์สื่อสารในกระเป๋าถือออกมาจากกระเป๋าสะพาย รีบเลื่อนหน้าจอรับสายเมื่อเห็นว่าคนที่ติดต่อเข้ามาคือคนที่กำลังนึกถึง
“หวัดดีค่ะพี่แพร... ใจตรงกันเลยนะคะ กำลังจะโทรหาอยู่พอดี” สาวน้อยบกด้วยความสัตย์จริง
“ถึงห้องแล้วใช่ไหม” แพรวาไถ่ถามและเข้าประเด็นในทันที เมื่อปลายสายตอบรับ “เป็นยังไงบ้าง คุยกับเบนซ์แล้วใช่ไหม”
“คุยแล้วค่ะแต่ไม่คุยยังดีซะกว่า” ตอบพลางทิ้งตัวลงบนโซฟาเบดตัวย่อม เริ่มถ่ายทอดบทสนทนาของตนและเบนเซม่าอย่างไม่ตกหล่นสักคำ
...สิ้นเสียงหวานของสาวน้อยปลายสายที่เล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาด้วยความคับแค้นใจ แพรวาต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะคิดว่าเรื่องจะบานปลายเช่นนี้
“ตายจริง! เข้าใจผิดกันไปใหญ่โตแล้ว” แพรวาเองก็ตกใจไม่น้อยจึงคิดหาหนทางไกล่เกลี่ยเรื่องเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นน “เอาอย่างนี้ดีไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ลองคุยกับเบนซ์ดู”
“จะดีเหรอคะ”
“ไม่ลองก็ไม่รู้ไง ดีกว่าปล่อยให้เขาเข้าใจผิดๆแบบนี้”
เอมิเลียทอดถอนหายใจ “เขาเชื่ออย่างนั้นไปแล้วนี่คะ ไม่มีใครรู้ว่าเอมี่ไม่ได้พูดอย่างนั้นนอกเสียจากนาตาช่า แต่ถ้าหล่อนบอกเบนซ์อย่างที่คุยกับเอมี่จริงๆ เบนซ์คงไม่กล้าพูดแบบนี้”
“เอาอย่างนั้นเหรอ” แพรวาย้ำถามอีกครั้ง
“ค่ะ” รับคำอย่างหนักแน่น “อีกอย่างเอมี่ไม่อยากให้เกิดเรื่องในที่ทำงาน เพราะคนที่เสียเปรียบคือเอมี่ พี่แพรน่าจะเข้าใจว่าเขาคือซูเปอร์สตาร์ของทีม”
ใช่... มันก็เหมือนกับการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงนั่นล่ะ หากคิดจะมีปัญหากับซูเปอร์สตาร์คนดังซึ่งฤดูกาลที่ผ่านมาสามารถยิงประตูได้สูงที่สุด
“โอเค... เลิกแล้วต่อกันคงจะเป็นการดีที่สุด แต่ถ้าเอมี่เปลี่ยนใจ พี่ก็ยินดีและเต็มใจเสมอ” แพรวายังย้ำในเจตนาอันดี จากนั้นจึงพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะวางสายเมื่อเอมิเลียยังต้องทำมื้อเย็นสำหรับตัวเอง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
