ตอนที่ 1 : บทนำ 30%
บทนำ
การเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปยังกรุงมาดริดของนักกายภาพบำบัดสาวอย่างแพรวา ซึ่งเลือกใช้บริการของสายการบินพาณิชย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ความจริงแล้วใช้เวลาบินไม่เกินสิบหกชั่วโมงซึ่งถือเป็นการเดินทางอันยาวนานพอสมควร หากหญิงสาวต้องรอเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินนานาชาติดูไบราวสี่ชั่วโมง
ในสนามบินซึ่งขึ้นชื่อว่าดีที่สุดติดอันดับหนึ่งในสิบของโลกนั้น มีสินค้าปลอดภาษีมากมายละลานตา สร้างความเพลิดเพลินให้แพรวาได้ไม่น้อย การได้เดินเลือกดูเลือกชมของสวยงาม แม้ว่าจะไม่ได้ควักกระเป๋าสตางค์ซื้อหาสักชิ้น นั่นก็ถือว่าเป็นความสุขทางใจของเธอแล้ว
เวลาสี่ชั่วโมงจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วทั้งยังถือเป็นการผ่อนคลายอิริยาบถได้ดีเยี่ยม เดินทางต่ออีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงที่หมายแล้ว
แพรวาผ่อนลมหายใจเมื่อทรุดตัวนั่งลงบนเบาะของเครื่องบินลำใหญ่ซึ่งกำลังจะพาเธอลัดฟ้าสู่กรุงมาดริด ที่นั่งชั้นเฟริต์สคลาสของสายการบินนี้มีแถวละสี่ที่นั่ง เธอนั่งอยู่แถวกลางเพราะไม่ค่อยชอบมองภาพรันเวย์ตัดกับแผ่นฟ้าเท่าไรนัก มันชวนให้ใจหาย รู้สึกคิดถึงบ้านยิ่งนัก
ทว่าความรู้สึกโหวงหวางใจนั้นกลับเกิดขึ้นได้ไม่นาน เสียงห้าวทั้งยังวางอำนาจกลับดังขึ้นเรียกความสนใจของเธอให้หันไปมองผู้โดยสารซึ่งทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะติดหน้าต่างด้านซ้ายมือ
วินาทีนี้เองที่แพรวาเชื่อว่าบนโลกทรงกลมใบนี้ มีผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาจนทำให้เธอแทบลืมหายใจ!
แน่นอนว่าดวงตากลมโตที่จ้องมองเขาตาแป๋ว ไม่กะพริบตานี้สร้างความระอาใจให้มาเฟียหนุ่มไม่น้อย หากอยู่ในอารมณ์ที่เป็นปกติมากกว่านี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะนึกสนุกหิ้วสาวหน้าหวานซึ่งจ้องเขาอยู่ในอาการตกตะลึงนี้ไปผ่อนคลายความหงุดหงิดใจบ้าง บางทีการเปลี่ยนรสนิยมจากผู้หญิงหุ่นสะบึมมาเป็นสาวเอเชียหน้าหวานอาจจะทำให้เขาพบกับความตื่นเต้นบางอย่างก็เป็นได้
ทว่าการต้องเดินทางด้วยสายการบินพาณิชย์เช่นนี้ สำหรับเขาแล้วไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก พูดให้ถูกก็คือ... อาเชอร์ เฟร์นานโด ไม่เคยต้องเดินทางร่วมกับผู้คนอื่นใดถ้าเครื่องเจ็ตส่วนตัวของเขาไม่ได้เกิดปัญหา จนต้องขอลงจอดฉุกเฉินเมื่อสามชั่วโมงที่ผ่านมา
“สุดความสามารถที่หาได้แล้วใช่ไหม หาดีที่สุดได้เท่านี้เหรอ บิล?” อาเชอร์ถามด้วยน้ำเสียงรำคาญใจเป็นที่สุด ทั้งยังต้องกรอกสายตาเบื่อหน่ายกับหญิงสาวหน้าหวานที่จ้องมองเขาไม่กะพริบตา
หากเสียงตอบรับของผู้ชายอีกคนที่นั่งลงบนเบาะด้านขวามือ ทำให้แพรวาต้องหันกลับมามอง จึงไม่มีโอกาสได้เห็นสายตานั้นของเขา
“ครับดอน ผมพยายามติดต่อเครื่องบินเช่าเหมาลำแล้วแต่เร็วที่สุดก็ต้องรอมากกว่าสามชั่วโมงถึงจะเทกออฟได้” บิลรีบตอบ
“นี่เป็นสายการบินที่จะพาเรากลับมาดริดได้เร็วที่สุดและดีที่สุดแล้วครับ” ไมล์ ซึ่งนั่งติดหน้าต่างด้านซ้ายสุดเอ่ยสำทับ เพียงเท่านั้นเจ้านายของทั้งสองก็แย้งออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก
“เร็วที่สุด ดีที่สุดและไม่มีความเป็นส่วนตัวที่สุด” อาเชอร์ตอบและทิ้งศีรษะลงบนพนักพิง หลับตานิ่งราวกับว่ากำลังทำใจให้ยอมรับความไม่เป็นส่วนตัวนี้
บทสนทนาของผู้ชายร่างสูงใหญ่ทั้งสามคนที่พูดจากันด้วยภาษาสเปนนี้ ทำให้แพรวารู้สึกตัวเองกลายเป็นคนไร้มารยาท เพราะความจริงแล้วเธอน่าจะนั่งติดหน้าต่างและปล่อยให้พวกเขาได้พูดคุยกันอย่างสะดวกใจโดยที่ไม่มีเธอนั่งคั่นกลางอยู่เช่นนี้
โอ้โห!... นี่เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่กับคนประเภทไหนกันนะ ถึงได้มีความคิดเห็นว่าการใช้บริการสายการบินที่ดีที่สุดติดอันดับโลกเช่นนี้ ไร้ความเป็นส่วนตัวโดยสิ้นเชิง
ก็อาจจะรวยประเภทที่มีเจ็ตเซ็ตครบครันกระมัง ถึงได้บอกว่าบรรยากาศรอบกายนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์จนต้องนั่งหลับตา สีหน้าบอกบุญไม่รับเช่นนี้
“บิล” เสียงห้าววางอำนาจของคนที่หลับตานิ่งอยู่เช่นเดิมดังขึ้น ระยะห่างของคำพูดนั้นทำให้สายตาของคนสนิททั้งสองจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเจ้านาย นั่นหมายรวมถึงสายตาอีกคู่หนึ่งของแพรวาด้วย “ดูซิว่าผู้หญิงที่นั่งข้างๆแก เลิกใช้สายตาลวนลามมองฉันรึยัง”
“อ่อ... เกรงว่าเธออาจจะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำให้ดอนไม่พอใจ” บิลตอบและก้มลงคาดเซฟตี้เบลล์ เมื่อแอร์โฮสเตสราวสามสี่คนเดินตรวจตราความเรียบร้อย ดึงความสนใจของผู้โดยสารทุกคนให้ก้มลงสำรวจตัวเอง ไม่นานนักเครื่องบินจึงเคลื่อนตัวออกไปยังรันเวย์
คงจะมีเพียงแค่แพรวากระมังที่ไม่อาจละสายตาจากใบหน้าคร้ามคมของผู้ชายที่นั่งอยู่เบาะเดี่ยวด้านซ้ายมือของตน แรกเริ่มเธออาจจะมองเขาด้วยความชื่นชมเพราะไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาทั้งยังมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่เชื่อเถอะว่าคำพูดจองหองและดูหมิ่นเธอกลบลบความหล่อเหลานั้นไปจนหมดสิ้น
เหลือทิ้งไว้เพียงความไม่พอใจที่เกิดขึ้นกับเธอ ซ้ำร้ายยังไม่รู้ว่าจะตอบโต้เขาได้อย่างไร ข้อกล่าวหาที่เขาบอกว่าเธอใช้สายตาลวนลามเขานั้น ร้ายแรง ไร้เหตุผลและหลงตัวเองจนทำให้เธออยู่ในสภาวะนิ่งงันครู่ใหญ่
ความเร็วของเครื่องบินที่กำลังทะยานขึ้นเหนือพื้นรันเวย์นั้นทำให้อาเชอร์หรี่ตามองผู้หญิงที่จ้องตนไม่กะพริบตา หวังเอาไว้ในใจว่าเธอควรต้องรู้ตัวว่าเสียมารยาทมองเขาอยู่เป็นนาน
หากดวงตากลมโตยังจดจ้องอยู่เช่นเดิมนี้กลับทำให้เขาผิดหวังไม่น้อย แวบแรกมาเฟียหนุ่มคิดว่าเธอคงจะไม่เข้าใจภาษาที่เขาใช้สื่อสารกับคนสนิท แต่เมื่อสังเกตให้ดีแล้วจึงพบว่าสายตาที่มองด้วยความชื่นชมนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด ฝ่ามือบางของเธอยังกำเอาไว้แน่นอย่างคนกำลังระงับอารมณ์โกรธสุดขีด
‘เขาควรจะรู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาทกับเธอ’ แพรวาคิดในใจ
‘ผิดแล้วล่ะคนสวย’ แม้ว่าจะเป็นการตอบโต้ในใจเช่นกันแต่การที่เขาตีคิ้วใส่ดวงตาของเธออย่างท้าทาย ไม่มีแววตาสำนึกว่ากำลังเสียมารยาท ซ้ำร้ายยังซูดปากครางด้วยน้ำเสียงยั่วอารมณ์
“อา... ความอยากรู้อยากเห็นของคน ไม่ได้สิ้นสุดลงได้แค่การมองหรอกนะ” อาเชอร์เปรยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เลือกใช้ภาษาสเปนเพราะรู้ดีว่าเธอต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่ชัดเจนมากกว่านี้
“แต่มันสิ้นสุดลงได้เพราะคำพูดหลงตัวเอง” แม้สำเนียงจะเนิบช้ากว่าเจ้าของภาษา แต่ทุกถ้อยคำก็ชัดเจนยิ่งนัก
“จะไม่หลงตัวเองเลย ถ้าคุณพึงระวังสายตาลวนลามผมให้น้อยลงกว่านี้หน่อย”
“ลวนลาม?” มีทั้งความประหลาดใจและเหลือเชื่ออยู่ในคำถามนั้น
บอกใบ้ว่าของที่ระลึกน่าใช้มากๆนะครัช เดี๋ยววันหลังจะเอามาอวดค่า
อาเชอร์มาทุ๊กกกวัน วันละนิดละหน่อยมาหอมปากหอมคอนะครัช เจอกันครั้งแรกก็ปะทะคารมกันเลย
มาเฟียปากโหดพอๆกับความคิด ปะทะ หญิงสาวหน้าหวาน(คู่แรก)
อย่าลืมติดตามนะคะ /ศิริพารา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เฮียเราหลงตัวเองสุดๆ
อันที่จริงแล้วอาเชอร์นั้นอร่อยยยย