คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : มีเรื่องครั้งที่ 1
“เฮ้ยพี่ไปส่งบ้านหน่อยดิ” ผมเรียกมอเตอร์ไซต์วินหน้าปากซอยที่ผมสนิทด้วยหลังจากใช้บริการมานานนม
“ได้ ว่าแต่เอ็งเพิ่งกลับเข้าบ้านเหรอวะไม่กลัวโดนคุณหญิงท่านเป่าหัวเอาเรอะ” พี่มอ’ไซต์วินชื่อพี่เอ เขารู้จักกับคุณหญิงที่บ้านผม ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ คุณย่าของผมเอง คนในละแวกนี้ให้การเคารพคนที่บ้านผมพอสมควรเพราะเวลาเดือดร้อนกันทีไรก็ได้คุณปู่กับคุณย่านี่แหละที่ยื่นมือเข้ามาช่วย
“โอ้ยเรื่องแบบนี้......ผมปีนเข้าบ้านเอาอ่ะพี่! นี่ก็โทรให้ไอ้แฝดมันเคลียร์ทางให้ละ” ก็อย่างที่บอกแหละครับว่าคุณย่าผมดุ นี่ก็ไม่รู้ว่าคนที่บ้านรู้เรื่องกันหรือยังว่าผมไม่ได้กลับเข้าบ้านตั้งแต่เมื่อคืน ดีนะที่ผมไม่ค่อยใช้รถของที่บ้าน แปลกไหมครับที่ผมเป็นลูกหลานของคนรวยแต่ชอบขึ้นรถเมล์
“ถุย! นึกว่าจะแน่” พี่เอส่ายหัวในความขี้กลัวคุณย่าของผมแล้วถอยมอ’ไซต์มารอ
“พี่ไม่เป็นผมพี่ไม่รู้หรอกว่าคุณย่าน่ากลัวขนาดไหน” ผมบอกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นซ้อนท้ายรถพี่เอ
พี่เอพาผมมาเกือบถึงหน้าบ้าน มองเห็นคนส่งนมกับหนังสือพิมพ์ลิบๆ ผมจะให้พี่เอไปส่งหน้าบ้านหรือเลือกที่จะเดินเข้าบ้านไปเลยก็ได้ถ้าตาของผมมันไม่ได้เหลือบไปเห็นว่าบุคคลสองคนที่ผมเพิ่งจะเห็นส่งนมกับหนังสือพิมพ์เมื่อกี้ไม่ใช่อริที่ผมเจอเมื่อวันก่อน
“พี่เอ พี่ๆ” ผมสะกิดพี่เอยิกๆ บอกให้พี่เอจอดรถ พี่เขาเอาเท้ายันพื้นเพื่อกันรถล้มแล้วเอี่ยวตัวหันมามองหน้าผม
“เอ็งมีอะไรอีกว้าหรือจะให้พี่จอดตรงนี่แล้วเดินเอา” พี่เขาเสนอทางเลือกที่ผมไม่อยากสนอง เรื่องอะไรผมจะลงเดิน!
“เปล่าพี่ ผมจะบอกว่าให้พี่ขับตามรถมอ’ไซต์คันเมื่อกี้” ผมส่ายหน้าปฏิเสธแล้วชี้ไม้ชี้มือไปตามทางที่รถของอริที่เพิ่งสวนทางกันไป พี่เอเลิกคิ้วสงสัยนิดหน่อยแต่ก็ทำตาม
ผมบอกพี่เอให้ขับรถตามห่างๆ ผมอยากศึกษาดูพฤติกรรมของศัตรู ผู้ชายเป็นคนขับส่วนผู้หญิงเป็นคนหยิบของไปวางไว้ตามหน้าบ้านซึ่งผมก็เห็นว่าทุกหลังที่มีคนมายืนหน้าบ้านจะต้องทักทายทั้งสองอย่างเป็นกันเองดูเป็นที่ชื่นชอบไม่น้อย
“ให้พี่ขับตามทำไมวะ” พี่เอที่เงียบมานานถามขึ้นอย่างอดรนทนไหวในพฤติกรรมแปลกๆนี้
“ก็” ผมลากเสียง ในหัวก็พยายามคิดอย่างรวดเร็วว่าจะตอบพี่เออย่างไรดี
“อย่าบอกว่าเป็นเพื่อนเพราะพี่ไม่เชื่อ!” พี่เอดักทางเมื่อผมคิดจะพูดแบบนั้นจริงๆ
“พี่เห็นผู้หญิงคนนั้นไหม” ผมชี้ไปที่ผู้หญิงคนที่ส่งนม
“ไหนวะ อย่าบอกว่าคนที่ส่งนม” ผมพยักหน้า ก็ผู้หญิงชัดๆ ไม่ว่าจะดูซ้ายดูขวา ดูข้างบนข้างล่าง ข้างหน้าข้างหลัง เริ่มจะร้องเป็นเพลงล่ะ เอาเป็นว่าผมมองออกก็แล้วกันว่าเธอคนนั้นเป็นผู้หญิงและเป็นผู้หญิงที่มือเท้าหนักเสียด้วย
“ผมชอบอ่ะพี่” ผมโกหก เรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปชอบคนที่ทำให้ผมต้องเสียหน้าและเสียศักดิ์ศรีตัวเองด้วย แต่ถ้าเปลี่ยนจากชอบธรรมดาๆสามัญมาเป็นชอบทำร้ายร่างกายผมจะรีบพยักหน้าให้คอหลุดเชียว
พี่เอมองตามมือที่ผมชี้ แล้วหันกลับมามองหน้าผมแบบอึ้งๆ อย่าบอกนะว่า.......อึ้งในความหล่อของผมอ่ะพี่!
“มึงนี่รสนิยมแปลกดีเนอะ” อ้าว! ไม่ใช่เรื่องความหล่อหรอกเหรอ
“อ่าวพี่ ทำไมพูดม้าๆแบบนี้อ่ะ” ผมเท้าเอวหาเรื่องเต็มที่ ถึงจะไม่ได้ชอบจริงแต่อย่ามาดูถูกรสนิยมของผมนะ แง่งๆ
“ก็แบบ ยังไงดีว่ะ” พี่เอเกาหัวและพยายามเรียบเรียงคำพูด
“ก็ดูเหมาะสมกันแบบ....แปลกๆดี” นี่คือพี่เรียบเรียงคำพูดแล้ว ทำไมผมไม่รู้สึกว่ามันต่างจากเดิมตรงไหน?
สงสัยกันไหมครับว่าเรามาเถียงกันอยู่ตรงไหนของประเทศไทย เราสองคนมาเถียงกันอยู่ข้างๆร้านที่หญิงร้ายชายเลวคู่นั้น(?)เอาของที่เหลือมาส่งคืนให้เจ้าของร้าน และกำลังรอรับเงินจากเจ้าของร้านอยู่โดยมีพวกผมแอบซุ่มดูอยู่ไม่ห่าง
“ไม่รู้ล่ะ ผมชอบ พี่ต้องช่วยผมนะ” ผมเขย่าแขนพี่เอ รู้สึกเหมือนเด็กมากกว่านักเลงแฮะ หรือผมจะขู่กรรโชกดี ไม่เอาๆ ยังไงพี่เอก็ดีกับผมและผมก็ไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงหูคุณหญิงท่านที่คงจะรอด่าผมจนเหงือกแห้งที่บ้าน
“เออๆ จะให้ช่วยยังไง” พี่เอยอมช่วยในที่สุด แผนรำคาญหู(เหมือนคันหูไหมผมไม่ทราบนะ)คงจะช่วยได้เยอะ เพราะผมเห็นพี่เอแอบแคะหูตัวเองเบาๆ
“ก็ไม่ยากหรอกพี่ แค่พาผมขี่มอ’ไซต์ตามไปอย่างนี้เรื่อยๆจนผมรู้ที่อยู่ของเธอ” พี่เอขมวดคิ้วเมื่อมันฟังดูแปลกๆ ผมเลยต่อท้ายให้นิดหน่อย
“จะได้ส่งของไปจีบได้ถูกไงพี่” พี่เอร้อง ‘อ่อ’ ยาว มีชมด้วยนิดหน่อยว่าแผนแยบยลมาก ฮ่าๆ ระดับไหนแล้ว
เราทั้งสองคนซุ่มดูและขี่ตามจนมารู้ที่อยู่ของหญิงก็ร้ายชายก็เลวคู่นี้สมดังใจ ในหัวผมเริ่มคิดแผนต่างๆนาๆเต็มไปหมด รู้สึกชอบใจที่มีแผนมากมายให้แก้แค้นและกู้ศักดิ์ศรีผมคืนมาได้
หลังจากที่เราทั้งคู่รู้ที่อยู่ของหญิงก็ร้ายชายก็เลวคู่นั้นแล้ว ผมก็ให้พี่เอขับรถกลับบ้านเหมือนเดิม แถมทิปให้อีกนิดหน่อยเมื่อจ่ายเงิน เดินอารมณ์ดีเข้าบ้านเมื่อการแก้แค้นที่หอมหวานใกล้เป็นจริง แต่ผมว่าเอาไว้ก่อนดีกว่า เพราะว่า.......
“ลูกพี่ครับ!!!” ไอ้หนึ่ง แฝดผู้พี่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาผม พยายามที่จะหายใจเข้าหายใจออกแล้วพูดให้เป็นคำ ผมที่พยายามฟังมันก็เผลอหายใจเข้าออกตามมันไปด้วย
“อะไรของมึงวะ” เมื่อฟังไม่รู้เรื่องก็เลือกที่จะเดินหนีมันเข้าบ้านไปแทน
“ตาโต!!!” เสียงเรียกอันทรงพลังทำให้เท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดหยุดชะงัก และค่อยๆหันมามองบุคคลที่เปล่งเสียงแหลมดังนี้ออกมาจากห้องอาหารที่ตรงกับทางขึ้นบันไดพอดี
“แหะๆ คุณย่า!” ผมพูดขึ้นเบาๆ หันไปมองไอ้หนึ่งที่วิ่งอ้าปากพะงาบๆตามมา หันไปมองอีกทางก็เห็นแฝดผู้น้อง ไอ้สองที่โดนป้าบัว แม่ของมันบิดหูอยู่
‘เรื่องนี้ใช่ไหมที่มันพยายามจะบอกผม!’
ผมเดินเข้าไปหาคุณย่าที่โต๊ะ หันไปมองสองแฝดที่สงสายตามาให้เหมือนรู้ว่าผมจะต้องเจอกับอะไรต่อไป เพราะมันทั้งสองก็คงโดนไม่ต่างกันแค่เปลี่ยนจากคุณย่าเป็นป้าบัวเท่านั้น
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย เมื่อคืนหายไปไหนมา” สมกับเป็นหญิงแกร่งที่กำธุรกิจพันล้านด้วยวัยขนาดนี้เพราะคุณย่าไม่ปล่อยให้เขาต้องรอจนเหงือกแห้ง พูดเจาะประเด็นที่สงสัยกันเลยทีเดียว
“ผมไปค้างทำรายงานมา” ผมตอบออกไปอย่างเร็วและรู้สึกว่าคำตอบนี้มันฆ่าตัวตายชัดๆ ไอ้หนึ่งกับสองถึงขนาดที่ต้องยกมือตบหน้าผากตัวเองดังแปะ
“ทำรายงาน” คุณย่าทวนคำพูดของผม เคาะมือไปกับโต๊ะไม้ชั้นดีตรงหน้าไปด้วย
“ก็แบบว่า.....งานมันเยอะ ผมเลยต้องค้างเพื่อช่วยเพื่อนน่ะครับ เดี๋ยวมันจะหาว่าผมเอาเปรียบ” ยิ่งแก้ตัวยิ่งเหมือนขุดหลุมให้ตัวเองลึกไปเรื่อยๆ เห็นทีว่าต้องใช้แผนสำรอง อะไรน่ะเหรอครับ ก็หยุดพูดไงครับ!! ไม่ต้องพูดไม่ต้องแก้ตัวให้ทำร้ายตัวเองอีกต่อไป
“ไม่ต้องมาโกหกย่าเลย!” คุณย่าพูดด้วยเสียงที่มีอำนาจจนผมเผลอสะดุ้งอย่างแรง
“นอกจากหนึ่งกับสอง เรายังจะมีคนคบอยู่อีกเหรอ วันๆทำแต่เรื่อง ไม่หาเรื่องต่อยตีเขาก็โดดเรียนไปมั่วหญิง” คุณย่าหายใจหอบเมื่อร่ายวีรกรรมของผมเสร็จ ไอ้ผมก็เป็นห่วงหยิบยาดมยาหอมที่วางไม่ห่างมือคุณย่าส่งให้ แต่ทำไมคุณย่าเข้าใจเจตนารมของผมผิดไปละครับ
“บัว ไม้เรียว!” คุณย่าหันไปสั่งป้าบัว
“คุณย่า!!!” ผมร้องเสียงดังหันไปมองป้าบัวที่เดินถือไม้เรียวมาทางนี้
“ไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้วตาโต” คุณย่าวางยาหอม(ชิ้นที่ผมไม่ได้หยิบให้) ลุกขึ้นหยิบมาเรียวแล้วหันมาทางผม
“อย่าให้ย่ามองหน้ายัยหนูไม่ติดเลยนะ เลี้ยงหลานให้เป็นคนเกเร ย่าไม่อยากตายไปโดยที่ยังมีคนพูดกับหลานเพียงคนเดียวของย่าแบบนี้” ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นมองไม้เรียวที่คุณย่าถือสะบัดไปมา
“รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง” รู้สิครับ ก็ผมโดยมาเป็นพันครั้งได้แล้วมั้ง
เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ
คุณย่าตีผมสามครั้งสามรอบ ทำเป็นเหมือนเล่นกีฬาที่ต้องทำเป็นเซตไปได้ เจ็บนะไม่ใช่ไม่เจ็บก็คุณย่าตีไม่ยั้งมือเลยนี่ ถ้าผมไม่แอบยัดหนังสือพิมพ์ที่เผลอหยิบติดมือมาเมื่อเช้าไว้ ก้นงามๆของผมมันต้องลายเป็นม้าลายเป็นแน่ นี่ยังไม่อยากพูดถึงตอนอาบน้ำกับตอนนั่งนะ แค่คิดก็น้ำตาเล็ดแล้ว!
เมื่อคุณย่าตีเสร็จก็ไล่ให้ผมขึ้นไปข้างบนได้และต้องเห็นว่าเขาไปเรียนวันนี้ด้วย คุณย่าบอกจะโทรเช็คและจะดีมากถ้าผมถ่ายรูปส่งมาให้เป็นระยะว่ากำลังเรียนอยู่จริงๆ
“หนังสือพิมพ์อยู่ไหนน่ะบัว”
‘จะช้าอยู่ใยละครับ รีบชิ่งให้ไว เดี๋ยวจะโดนถามถึงหนังสือพิมพ์ที่หายไป!!!’
“ลูกพี่ค่อยๆครับ”
ผมน้ำหนึ่ง หรือจะเรียกว่าไอ้หนึ่งเหมือนที่ลูกพี่เรียกก็ได้ครับ ผมมีน้องชายฝาแฝดอยู่คน ถ้าจะถามว่าใครหล่อกว่ากัน อย่าพูดเลยครับเพราะผมมันหล่อกว่าอยู่แล้ว แต่ถ้าถามว่าใครเจ๋งกว่ากันอันนี้ผมยกให้ตัวเองเป็นที่หนึ่ง ดูจากชื่อก็รู้แล้วครับ ผมชื่อน้ำหนึ่ง ส่วนไอ้สองมันชื่อสอง ดูสิครับแค่หลักพยางค์ผมก็กินขาดล่ะ แต่ช่างมันเถอะครับตอนนี้หันมาสนใจลูกพี่ผมก่อนดีกว่า
ลูกพี่ผมหน้าตายังไงน่ะเหรอ ก็หน้าตาดีสิครับ ถามว่าดียังไงอีก ผมก็จะตอบว่า.....ลูกพี่ผมเป็นไอดอลในหัวใจผมเลยละครับ ดูแค่ทรงผมก็ประทับใจผมสุดๆล่ะ ผมที่ไถออกสองข้างเหลือไว้ตรงกลางที่เซตตั้งขึ้นเหมือนนักร้องวงอะไรซักอย่างแต่ผมว่าลูกพี่ผมหล่อกว่าเยอะ สูงก็สูง ขาวก็ขาว สาวๆนี่ติดกันตรึม!!! ผมว่าไอ้สองมันก็คิดไม่ต่างกันหรอกครับก็ดูสายตามันกับท่าทางที่เข้าไปประคับประคองลูกพี่เดินลงมาจากบันไดก็รู้แล้วครับ และที่แน่ๆทรงผมของผมทั้งสองคนไม่ต่างจากไอดอลในดวงใจเท่าไรนักหรอก!!!
“พวกมึงไม่ต้องเข้ามาประคอง” อ้าว ทำไมลูกพี่ปัดมือไล่พวกผมละครับ
“ทำไมละครับลูกพี่ นี่ลูกพี่ต้องเจ็บมากแน่ๆ ถ้ากลับมาบ้านตอนเย็นผมจะทายาให้นะครับ” ไอ้สอง ไอ้ขี้เหล่น้อยกว่าผม ดูมันครับดูมันทำ มันตัดหน้าคำพูดผมอ่ะ
“กูไม่เป็นไร” ลูกพี่โบกมือ มองซ้ายมองขวา ผมสองคนก็หันตาม
“มองหาอะไรเหรอครับ” ผมถามเมื่อเห็นว่าลูกพี่ยังไม่เลิกมอง ลูกพี่กวักมือเรียกผมทั้งสองเข้าไปใกล้
“กูไม่เจ็บเพราะแอบเอาหนังสือพิมพ์ยัดไว้ก่อน ดีนะที่สังหรณ์กูมันแรงเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า”
“โอ้จ๊อด! ลูกพี่เจ๋งมากครับ” ลูกพี่ยืดอกทันทีที่ผมชม
“ของมันแน่อยู่แล้วเว้ย!”
‘สมแล้วครับที่ผมยกลูกพี่ให้เป็นมายไอดอล’
หลังจากที่ผมบอกความลับเรื่องหนังสือพิมพ์กับลูกน้องก็พากันเดินมาขึ้นรถเพื่อให้คนที่บ้านมาส่งที่หน้าปากซอย ผมเริ่มจะเชื่อเรื่องความบังเอิญแล้วครับ เพราะผมบังเอิญเจอหญิงร้ายแต่ไม่เห็นชายเลวที่ป้ายรถเมล์ แต่ที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรเพราะยังไงเธอก็พักอยู่แถวนี้ซึ่งใกล้กับบ้านผมอยู่แล้ว
เมื่อเธอก้าวขึ้นรถเมล์ผมก็ขึ้นตามแน่นอนว่าสองแฝดก็มากับผมด้วย เมื่อเห็นว่าที่นั่งตรงหน้าเธอมันว่างผมจึงรีบทรุดตัวเข้าไปนั่ง แน่นอนว่าพระเอกอย่างผมพอเห็นผู้หญิงถือของหนักยืนอยู่ข้างๆต้องแกล้งทำเป็นหลับ! ยัยผู้หญิงเลวตบเข้าที่เบาะหลังผมหนักๆแล้วลุกขึ้นให้ผู้หญิงที่ยืนด้านข้างผมนั่งแทน
ผมที่เห็นอย่างนั้นก็รีบเด้งตัวขึ้นมานั่งเหมือนเดิม ไม่มีท่าทางของการง่วงนอนเหมือนเมื่อกี้ แล้วก็เป็นโอกาสที่ผมจะได้เอาคืนเมื่อรถเมล์เบรกกะทันหันทำให้ตัวของเธอเซ ผมก็รีบโผล่ขางามๆออกไปวางให้เธอสะดุดไปข้างหน้าที่มีผู้ชายร่างบึกกล้ามโตยืนโหนอยู่
‘ชอบนักใช่ไหมเรื่องต่อยตีน่ะ’
ผมยกยิ้มเมื่อชายร่างบึกกล้ามโตนั้นหันมามองอย่างเอาเรื่อง แต่ให้ตายเหอะ! นักเลงมันมือไม้อ่อนขนาดนี้เลยเหรอวะ ก็ยัยผู้หญิงเลวนั้นไม่ได้ทำท่ากร่างเหมือนคืนนั้น เธอยกมือไหว้ขอโทษคนตรงหน้าและดูเหมือนผู้ชายคนนั้นก็พอใจไม่น้อย ทั้งสองคนคุยกันถูกคอจนถึงป้ายที่พวกเราต้องลง เธอยกมือไหว้ชายร่างบึกกล้ามโตอีกครั้งก่อนจะก้าวเท้าลงไปเหยียบพื้น
“ลูกพี่เจ๋งมากเลยครับที่แกล้งเอาขาไปขัดไว้” ไอ้หนึ่งรีบถลาเข้ามาบอกผม
“นี่จะดีมากกว่านี้ถ้าไอ้ร่างกล้ามนั่นมันเล่นตามเกมของลูกพี่นะครับ” ไอ้สองรีบต่อท้ายแฝดพี่มัน
“ก็ว่างั้น เดี๋ยวพวกมึงค่อยตามกูมานะ” ผมตอบแบบขอไปทีแล้วรีบสาวเท้าตามผู้หญิงเลวนั่นไป
คงไม่เบื่อใช่ไหมครับที่ผมเรียกยัยผู้หญิงเลวบ่อยๆน่ะ ผมมีเหตุผลนะ หนึ่งผมไม่รู้ชื่อเธอ สองความพอใจล้วนๆ และสาม กลับไปดูข้อที่สองใหม่ ดูดีใช่ไหมล่ะครับเหตุผลของผม
เมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นโบกมอ’ไซต์และกำลังจะก้าวเท้าขึ้น ผมก็ไปเบียดเธอให้ถอยห่างแล้วขึ้นคร่อมแทน คนขับมอ’ไซต์ร่างแห้งหันมามองผมแบบงงๆแต่พอผมกระซิบบอกว่าเดี๋ยวทิปให้เขาก็พยักหน้าแล้วขับไปตามที่ผมบอก ผมหันไปมองยัยผู้หญิงเลวนั่นด้วยความสะใจ
“ไปทางไหนน้อง” มอ’ไซต์ร่างแห้งตะโกนถามเมื่อเขาพาผมมาถึงทางแยก ผมก็ชี้ไปทางที่คณะผมเรียน ยังยิ้มอารมณ์ดีอยู่ ในหัวก็คิดอยู่ว่ายัยผู้หญิงเลวนั่นคงจะรอมอ’ไซต์จนเหงือกแห้ง ก็การหามอ’ไซต์เช้าๆแบบนี้หายากกว่าซื้อน้ำสักขวดในทะเลทรายอีก
กระหยิมยิ้มย่องอยู่ในใจได้ไม่นานก็ต้องหุบยิ้ม เพราะ..........ยัยผู้หญิงเลวตีคู่มาข้างผมและมันใกล้พอที่จะสามารถถีบรถให้ผมล้มลงไปได้ แต่ก่อนที่ผมจะทันได้คิดว่าจะแกล้งอะไรเธออีก รถของยัยผู้หญิงเลวก็เลี้ยวไปอีกทางแยกหนึ่งซึ่งโซนนั้นเป็นของคณะสถาปัตย์
ผมจะสาบานกับตัวเองเลยว่า......ผมจะไม่โกรธ ไม่แค้นมากกว่านี้ถ้าผมไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่เธอยกยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแยกกันนั้น
‘มันเป็นรอยยิ้มที่ผมรู้สึกว่า......ดูเยาะเย้ยผมมากที่สุดในชีวิต!!!’
Talk to Reader
ฝากเรื่องนี้ด้วยนะจ๊ะ ไม่รู้เป็นยังไงมั้ง ชอบไม่ชอบก็ติชอบกันได้เลยเนอะ น้อมรับทุกคำติชมจ้า ^_^
ความคิดเห็น