ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นักเลงโต

    ลำดับตอนที่ #2 : มีเรื่องครั้งที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 57


     

     

    “เฮ้ยพี่ไปส่งบ้านหน่อยดิ”  ผมเรียกมอเตอร์ไซต์วินหน้าปากซอยที่ผมสนิทด้วยหลังจากใช้บริการมานานนม

     

                “ได้  ว่าแต่เอ็งเพิ่งกลับเข้าบ้านเหรอวะไม่กลัวโดนคุณหญิงท่านเป่าหัวเอาเรอะ”  พี่มอไซต์วินชื่อพี่เอ  เขารู้จักกับคุณหญิงที่บ้านผม  ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ  คุณย่าของผมเอง  คนในละแวกนี้ให้การเคารพคนที่บ้านผมพอสมควรเพราะเวลาเดือดร้อนกันทีไรก็ได้คุณปู่กับคุณย่านี่แหละที่ยื่นมือเข้ามาช่วย

     

                “โอ้ยเรื่องแบบนี้......ผมปีนเข้าบ้านเอาอ่ะพี่!  นี่ก็โทรให้ไอ้แฝดมันเคลียร์ทางให้ละ”  ก็อย่างที่บอกแหละครับว่าคุณย่าผมดุ  นี่ก็ไม่รู้ว่าคนที่บ้านรู้เรื่องกันหรือยังว่าผมไม่ได้กลับเข้าบ้านตั้งแต่เมื่อคืน  ดีนะที่ผมไม่ค่อยใช้รถของที่บ้าน  แปลกไหมครับที่ผมเป็นลูกหลานของคนรวยแต่ชอบขึ้นรถเมล์

     

                “ถุย!  นึกว่าจะแน่”  พี่เอส่ายหัวในความขี้กลัวคุณย่าของผมแล้วถอยมอไซต์มารอ

     

                “พี่ไม่เป็นผมพี่ไม่รู้หรอกว่าคุณย่าน่ากลัวขนาดไหน”  ผมบอกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นซ้อนท้ายรถพี่เอ

     

                พี่เอพาผมมาเกือบถึงหน้าบ้าน  มองเห็นคนส่งนมกับหนังสือพิมพ์ลิบๆ  ผมจะให้พี่เอไปส่งหน้าบ้านหรือเลือกที่จะเดินเข้าบ้านไปเลยก็ได้ถ้าตาของผมมันไม่ได้เหลือบไปเห็นว่าบุคคลสองคนที่ผมเพิ่งจะเห็นส่งนมกับหนังสือพิมพ์เมื่อกี้ไม่ใช่อริที่ผมเจอเมื่อวันก่อน

     

                “พี่เอ พี่ๆ”  ผมสะกิดพี่เอยิกๆ บอกให้พี่เอจอดรถ  พี่เขาเอาเท้ายันพื้นเพื่อกันรถล้มแล้วเอี่ยวตัวหันมามองหน้าผม

     

                “เอ็งมีอะไรอีกว้าหรือจะให้พี่จอดตรงนี่แล้วเดินเอา”  พี่เขาเสนอทางเลือกที่ผมไม่อยากสนอง  เรื่องอะไรผมจะลงเดิน!

     

                “เปล่าพี่  ผมจะบอกว่าให้พี่ขับตามรถมอไซต์คันเมื่อกี้”  ผมส่ายหน้าปฏิเสธแล้วชี้ไม้ชี้มือไปตามทางที่รถของอริที่เพิ่งสวนทางกันไป  พี่เอเลิกคิ้วสงสัยนิดหน่อยแต่ก็ทำตาม

     

                ผมบอกพี่เอให้ขับรถตามห่างๆ  ผมอยากศึกษาดูพฤติกรรมของศัตรู  ผู้ชายเป็นคนขับส่วนผู้หญิงเป็นคนหยิบของไปวางไว้ตามหน้าบ้านซึ่งผมก็เห็นว่าทุกหลังที่มีคนมายืนหน้าบ้านจะต้องทักทายทั้งสองอย่างเป็นกันเองดูเป็นที่ชื่นชอบไม่น้อย

     

                “ให้พี่ขับตามทำไมวะ”  พี่เอที่เงียบมานานถามขึ้นอย่างอดรนทนไหวในพฤติกรรมแปลกๆนี้

     

                “ก็”  ผมลากเสียง  ในหัวก็พยายามคิดอย่างรวดเร็วว่าจะตอบพี่เออย่างไรดี

     

                “อย่าบอกว่าเป็นเพื่อนเพราะพี่ไม่เชื่อ!”  พี่เอดักทางเมื่อผมคิดจะพูดแบบนั้นจริงๆ

     

                “พี่เห็นผู้หญิงคนนั้นไหม”  ผมชี้ไปที่ผู้หญิงคนที่ส่งนม

     

                “ไหนวะ  อย่าบอกว่าคนที่ส่งนม”  ผมพยักหน้า   ก็ผู้หญิงชัดๆ ไม่ว่าจะดูซ้ายดูขวา ดูข้างบนข้างล่าง ข้างหน้าข้างหลัง  เริ่มจะร้องเป็นเพลงล่ะ  เอาเป็นว่าผมมองออกก็แล้วกันว่าเธอคนนั้นเป็นผู้หญิงและเป็นผู้หญิงที่มือเท้าหนักเสียด้วย

     

                “ผมชอบอ่ะพี่”  ผมโกหก  เรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปชอบคนที่ทำให้ผมต้องเสียหน้าและเสียศักดิ์ศรีตัวเองด้วย  แต่ถ้าเปลี่ยนจากชอบธรรมดาๆสามัญมาเป็นชอบทำร้ายร่างกายผมจะรีบพยักหน้าให้คอหลุดเชียว

     

                พี่เอมองตามมือที่ผมชี้  แล้วหันกลับมามองหน้าผมแบบอึ้งๆ  อย่าบอกนะว่า.......อึ้งในความหล่อของผมอ่ะพี่!

     

                “มึงนี่รสนิยมแปลกดีเนอะ”  อ้าว!  ไม่ใช่เรื่องความหล่อหรอกเหรอ

     

                “อ่าวพี่ ทำไมพูดม้าๆแบบนี้อ่ะ”  ผมเท้าเอวหาเรื่องเต็มที่  ถึงจะไม่ได้ชอบจริงแต่อย่ามาดูถูกรสนิยมของผมนะ  แง่งๆ

     

                “ก็แบบ  ยังไงดีว่ะ”  พี่เอเกาหัวและพยายามเรียบเรียงคำพูด

     

                “ก็ดูเหมาะสมกันแบบ....แปลกๆดี”  นี่คือพี่เรียบเรียงคำพูดแล้ว  ทำไมผมไม่รู้สึกว่ามันต่างจากเดิมตรงไหน?

     

                สงสัยกันไหมครับว่าเรามาเถียงกันอยู่ตรงไหนของประเทศไทย  เราสองคนมาเถียงกันอยู่ข้างๆร้านที่หญิงร้ายชายเลวคู่นั้น(?)เอาของที่เหลือมาส่งคืนให้เจ้าของร้าน  และกำลังรอรับเงินจากเจ้าของร้านอยู่โดยมีพวกผมแอบซุ่มดูอยู่ไม่ห่าง

     

                “ไม่รู้ล่ะ  ผมชอบ  พี่ต้องช่วยผมนะ”  ผมเขย่าแขนพี่เอ  รู้สึกเหมือนเด็กมากกว่านักเลงแฮะ  หรือผมจะขู่กรรโชกดี  ไม่เอาๆ ยังไงพี่เอก็ดีกับผมและผมก็ไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงหูคุณหญิงท่านที่คงจะรอด่าผมจนเหงือกแห้งที่บ้าน

     

                “เออๆ  จะให้ช่วยยังไง”  พี่เอยอมช่วยในที่สุด  แผนรำคาญหู(เหมือนคันหูไหมผมไม่ทราบนะ)คงจะช่วยได้เยอะ  เพราะผมเห็นพี่เอแอบแคะหูตัวเองเบาๆ

     

                “ก็ไม่ยากหรอกพี่  แค่พาผมขี่มอไซต์ตามไปอย่างนี้เรื่อยๆจนผมรู้ที่อยู่ของเธอ”  พี่เอขมวดคิ้วเมื่อมันฟังดูแปลกๆ ผมเลยต่อท้ายให้นิดหน่อย

     

                “จะได้ส่งของไปจีบได้ถูกไงพี่”  พี่เอร้องอ่อ  ยาว  มีชมด้วยนิดหน่อยว่าแผนแยบยลมาก  ฮ่าๆ ระดับไหนแล้ว

     

                เราทั้งสองคนซุ่มดูและขี่ตามจนมารู้ที่อยู่ของหญิงก็ร้ายชายก็เลวคู่นี้สมดังใจ   ในหัวผมเริ่มคิดแผนต่างๆนาๆเต็มไปหมด  รู้สึกชอบใจที่มีแผนมากมายให้แก้แค้นและกู้ศักดิ์ศรีผมคืนมาได้

     

                หลังจากที่เราทั้งคู่รู้ที่อยู่ของหญิงก็ร้ายชายก็เลวคู่นั้นแล้ว  ผมก็ให้พี่เอขับรถกลับบ้านเหมือนเดิม  แถมทิปให้อีกนิดหน่อยเมื่อจ่ายเงิน  เดินอารมณ์ดีเข้าบ้านเมื่อการแก้แค้นที่หอมหวานใกล้เป็นจริง   แต่ผมว่าเอาไว้ก่อนดีกว่า  เพราะว่า.......

     

                “ลูกพี่ครับ!!!”  ไอ้หนึ่ง  แฝดผู้พี่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาผม  พยายามที่จะหายใจเข้าหายใจออกแล้วพูดให้เป็นคำ  ผมที่พยายามฟังมันก็เผลอหายใจเข้าออกตามมันไปด้วย

     

                “อะไรของมึงวะ”  เมื่อฟังไม่รู้เรื่องก็เลือกที่จะเดินหนีมันเข้าบ้านไปแทน

     

                “ตาโต!!!”  เสียงเรียกอันทรงพลังทำให้เท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดหยุดชะงัก  และค่อยๆหันมามองบุคคลที่เปล่งเสียงแหลมดังนี้ออกมาจากห้องอาหารที่ตรงกับทางขึ้นบันไดพอดี

     

                “แหะๆ  คุณย่า!”  ผมพูดขึ้นเบาๆ  หันไปมองไอ้หนึ่งที่วิ่งอ้าปากพะงาบๆตามมา  หันไปมองอีกทางก็เห็นแฝดผู้น้อง  ไอ้สองที่โดนป้าบัว แม่ของมันบิดหูอยู่    

     

                เรื่องนี้ใช่ไหมที่มันพยายามจะบอกผม!’

     

                ผมเดินเข้าไปหาคุณย่าที่โต๊ะ  หันไปมองสองแฝดที่สงสายตามาให้เหมือนรู้ว่าผมจะต้องเจอกับอะไรต่อไป  เพราะมันทั้งสองก็คงโดนไม่ต่างกันแค่เปลี่ยนจากคุณย่าเป็นป้าบัวเท่านั้น

     

                “ไม่ต้องมาหัวเราะเลย  เมื่อคืนหายไปไหนมา”  สมกับเป็นหญิงแกร่งที่กำธุรกิจพันล้านด้วยวัยขนาดนี้เพราะคุณย่าไม่ปล่อยให้เขาต้องรอจนเหงือกแห้ง  พูดเจาะประเด็นที่สงสัยกันเลยทีเดียว

     

                “ผมไปค้างทำรายงานมา”  ผมตอบออกไปอย่างเร็วและรู้สึกว่าคำตอบนี้มันฆ่าตัวตายชัดๆ  ไอ้หนึ่งกับสองถึงขนาดที่ต้องยกมือตบหน้าผากตัวเองดังแปะ

     

                “ทำรายงาน” คุณย่าทวนคำพูดของผม  เคาะมือไปกับโต๊ะไม้ชั้นดีตรงหน้าไปด้วย

     

                “ก็แบบว่า.....งานมันเยอะ  ผมเลยต้องค้างเพื่อช่วยเพื่อนน่ะครับ  เดี๋ยวมันจะหาว่าผมเอาเปรียบ”  ยิ่งแก้ตัวยิ่งเหมือนขุดหลุมให้ตัวเองลึกไปเรื่อยๆ  เห็นทีว่าต้องใช้แผนสำรอง  อะไรน่ะเหรอครับ   ก็หยุดพูดไงครับ!!  ไม่ต้องพูดไม่ต้องแก้ตัวให้ทำร้ายตัวเองอีกต่อไป

     

                “ไม่ต้องมาโกหกย่าเลย!”  คุณย่าพูดด้วยเสียงที่มีอำนาจจนผมเผลอสะดุ้งอย่างแรง

     

                “นอกจากหนึ่งกับสอง  เรายังจะมีคนคบอยู่อีกเหรอ  วันๆทำแต่เรื่อง ไม่หาเรื่องต่อยตีเขาก็โดดเรียนไปมั่วหญิง”  คุณย่าหายใจหอบเมื่อร่ายวีรกรรมของผมเสร็จ  ไอ้ผมก็เป็นห่วงหยิบยาดมยาหอมที่วางไม่ห่างมือคุณย่าส่งให้  แต่ทำไมคุณย่าเข้าใจเจตนารมของผมผิดไปละครับ

     

                “บัว  ไม้เรียว!”  คุณย่าหันไปสั่งป้าบัว

     

                “คุณย่า!!!”  ผมร้องเสียงดังหันไปมองป้าบัวที่เดินถือไม้เรียวมาทางนี้

     

                “ไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้วตาโต”  คุณย่าวางยาหอม(ชิ้นที่ผมไม่ได้หยิบให้)  ลุกขึ้นหยิบมาเรียวแล้วหันมาทางผม

     

                “อย่าให้ย่ามองหน้ายัยหนูไม่ติดเลยนะ  เลี้ยงหลานให้เป็นคนเกเร  ย่าไม่อยากตายไปโดยที่ยังมีคนพูดกับหลานเพียงคนเดียวของย่าแบบนี้”  ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นมองไม้เรียวที่คุณย่าถือสะบัดไปมา

     

                “รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”  รู้สิครับ  ก็ผมโดยมาเป็นพันครั้งได้แล้วมั้ง

     

                เพี๊ยะ  เพี๊ยะ  เพี๊ยะ

     

                คุณย่าตีผมสามครั้งสามรอบ  ทำเป็นเหมือนเล่นกีฬาที่ต้องทำเป็นเซตไปได้  เจ็บนะไม่ใช่ไม่เจ็บก็คุณย่าตีไม่ยั้งมือเลยนี่  ถ้าผมไม่แอบยัดหนังสือพิมพ์ที่เผลอหยิบติดมือมาเมื่อเช้าไว้  ก้นงามๆของผมมันต้องลายเป็นม้าลายเป็นแน่  นี่ยังไม่อยากพูดถึงตอนอาบน้ำกับตอนนั่งนะ  แค่คิดก็น้ำตาเล็ดแล้ว! 

     

    เมื่อคุณย่าตีเสร็จก็ไล่ให้ผมขึ้นไปข้างบนได้และต้องเห็นว่าเขาไปเรียนวันนี้ด้วย  คุณย่าบอกจะโทรเช็คและจะดีมากถ้าผมถ่ายรูปส่งมาให้เป็นระยะว่ากำลังเรียนอยู่จริงๆ

     

                “หนังสือพิมพ์อยู่ไหนน่ะบัว”

     

                จะช้าอยู่ใยละครับ  รีบชิ่งให้ไว เดี๋ยวจะโดนถามถึงหนังสือพิมพ์ที่หายไป!!!’

     

     

                “ลูกพี่ค่อยๆครับ” 

     

    ผมน้ำหนึ่ง  หรือจะเรียกว่าไอ้หนึ่งเหมือนที่ลูกพี่เรียกก็ได้ครับ  ผมมีน้องชายฝาแฝดอยู่คน  ถ้าจะถามว่าใครหล่อกว่ากัน  อย่าพูดเลยครับเพราะผมมันหล่อกว่าอยู่แล้ว  แต่ถ้าถามว่าใครเจ๋งกว่ากันอันนี้ผมยกให้ตัวเองเป็นที่หนึ่ง  ดูจากชื่อก็รู้แล้วครับ  ผมชื่อน้ำหนึ่ง   ส่วนไอ้สองมันชื่อสอง  ดูสิครับแค่หลักพยางค์ผมก็กินขาดล่ะ  แต่ช่างมันเถอะครับตอนนี้หันมาสนใจลูกพี่ผมก่อนดีกว่า

     

    ลูกพี่ผมหน้าตายังไงน่ะเหรอ  ก็หน้าตาดีสิครับ  ถามว่าดียังไงอีก  ผมก็จะตอบว่า.....ลูกพี่ผมเป็นไอดอลในหัวใจผมเลยละครับ  ดูแค่ทรงผมก็ประทับใจผมสุดๆล่ะ  ผมที่ไถออกสองข้างเหลือไว้ตรงกลางที่เซตตั้งขึ้นเหมือนนักร้องวงอะไรซักอย่างแต่ผมว่าลูกพี่ผมหล่อกว่าเยอะ  สูงก็สูง  ขาวก็ขาว  สาวๆนี่ติดกันตรึม!!!  ผมว่าไอ้สองมันก็คิดไม่ต่างกันหรอกครับก็ดูสายตามันกับท่าทางที่เข้าไปประคับประคองลูกพี่เดินลงมาจากบันไดก็รู้แล้วครับ  และที่แน่ๆทรงผมของผมทั้งสองคนไม่ต่างจากไอดอลในดวงใจเท่าไรนักหรอก!!!

     

    “พวกมึงไม่ต้องเข้ามาประคอง”  อ้าว  ทำไมลูกพี่ปัดมือไล่พวกผมละครับ

     

    “ทำไมละครับลูกพี่  นี่ลูกพี่ต้องเจ็บมากแน่ๆ  ถ้ากลับมาบ้านตอนเย็นผมจะทายาให้นะครับ”  ไอ้สอง  ไอ้ขี้เหล่น้อยกว่าผม  ดูมันครับดูมันทำ   มันตัดหน้าคำพูดผมอ่ะ

     

    “กูไม่เป็นไร”  ลูกพี่โบกมือ  มองซ้ายมองขวา  ผมสองคนก็หันตาม 

     

    “มองหาอะไรเหรอครับ”  ผมถามเมื่อเห็นว่าลูกพี่ยังไม่เลิกมอง  ลูกพี่กวักมือเรียกผมทั้งสองเข้าไปใกล้

     

    “กูไม่เจ็บเพราะแอบเอาหนังสือพิมพ์ยัดไว้ก่อน  ดีนะที่สังหรณ์กูมันแรงเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า” 

     

    “โอ้จ๊อด!  ลูกพี่เจ๋งมากครับ”  ลูกพี่ยืดอกทันทีที่ผมชม

     

    “ของมันแน่อยู่แล้วเว้ย!

     

    สมแล้วครับที่ผมยกลูกพี่ให้เป็นมายไอดอล

     

     

    หลังจากที่ผมบอกความลับเรื่องหนังสือพิมพ์กับลูกน้องก็พากันเดินมาขึ้นรถเพื่อให้คนที่บ้านมาส่งที่หน้าปากซอย  ผมเริ่มจะเชื่อเรื่องความบังเอิญแล้วครับ  เพราะผมบังเอิญเจอหญิงร้ายแต่ไม่เห็นชายเลวที่ป้ายรถเมล์  แต่ที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรเพราะยังไงเธอก็พักอยู่แถวนี้ซึ่งใกล้กับบ้านผมอยู่แล้ว

     

    เมื่อเธอก้าวขึ้นรถเมล์ผมก็ขึ้นตามแน่นอนว่าสองแฝดก็มากับผมด้วย  เมื่อเห็นว่าที่นั่งตรงหน้าเธอมันว่างผมจึงรีบทรุดตัวเข้าไปนั่ง  แน่นอนว่าพระเอกอย่างผมพอเห็นผู้หญิงถือของหนักยืนอยู่ข้างๆต้องแกล้งทำเป็นหลับ!  ยัยผู้หญิงเลวตบเข้าที่เบาะหลังผมหนักๆแล้วลุกขึ้นให้ผู้หญิงที่ยืนด้านข้างผมนั่งแทน

     

    ผมที่เห็นอย่างนั้นก็รีบเด้งตัวขึ้นมานั่งเหมือนเดิม  ไม่มีท่าทางของการง่วงนอนเหมือนเมื่อกี้  แล้วก็เป็นโอกาสที่ผมจะได้เอาคืนเมื่อรถเมล์เบรกกะทันหันทำให้ตัวของเธอเซ  ผมก็รีบโผล่ขางามๆออกไปวางให้เธอสะดุดไปข้างหน้าที่มีผู้ชายร่างบึกกล้ามโตยืนโหนอยู่

     

    ชอบนักใช่ไหมเรื่องต่อยตีน่ะ

     

    ผมยกยิ้มเมื่อชายร่างบึกกล้ามโตนั้นหันมามองอย่างเอาเรื่อง  แต่ให้ตายเหอะ!  นักเลงมันมือไม้อ่อนขนาดนี้เลยเหรอวะ  ก็ยัยผู้หญิงเลวนั้นไม่ได้ทำท่ากร่างเหมือนคืนนั้น  เธอยกมือไหว้ขอโทษคนตรงหน้าและดูเหมือนผู้ชายคนนั้นก็พอใจไม่น้อย  ทั้งสองคนคุยกันถูกคอจนถึงป้ายที่พวกเราต้องลง  เธอยกมือไหว้ชายร่างบึกกล้ามโตอีกครั้งก่อนจะก้าวเท้าลงไปเหยียบพื้น

     

    “ลูกพี่เจ๋งมากเลยครับที่แกล้งเอาขาไปขัดไว้”  ไอ้หนึ่งรีบถลาเข้ามาบอกผม

     

    “นี่จะดีมากกว่านี้ถ้าไอ้ร่างกล้ามนั่นมันเล่นตามเกมของลูกพี่นะครับ”  ไอ้สองรีบต่อท้ายแฝดพี่มัน

     

    “ก็ว่างั้น  เดี๋ยวพวกมึงค่อยตามกูมานะ”  ผมตอบแบบขอไปทีแล้วรีบสาวเท้าตามผู้หญิงเลวนั่นไป

     

    คงไม่เบื่อใช่ไหมครับที่ผมเรียกยัยผู้หญิงเลวบ่อยๆน่ะ  ผมมีเหตุผลนะ  หนึ่งผมไม่รู้ชื่อเธอ  สองความพอใจล้วนๆ  และสาม กลับไปดูข้อที่สองใหม่  ดูดีใช่ไหมล่ะครับเหตุผลของผม

     

    เมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นโบกมอไซต์และกำลังจะก้าวเท้าขึ้น  ผมก็ไปเบียดเธอให้ถอยห่างแล้วขึ้นคร่อมแทน  คนขับมอไซต์ร่างแห้งหันมามองผมแบบงงๆแต่พอผมกระซิบบอกว่าเดี๋ยวทิปให้เขาก็พยักหน้าแล้วขับไปตามที่ผมบอก  ผมหันไปมองยัยผู้หญิงเลวนั่นด้วยความสะใจ

     

    “ไปทางไหนน้อง”  มอไซต์ร่างแห้งตะโกนถามเมื่อเขาพาผมมาถึงทางแยก  ผมก็ชี้ไปทางที่คณะผมเรียน   ยังยิ้มอารมณ์ดีอยู่  ในหัวก็คิดอยู่ว่ายัยผู้หญิงเลวนั่นคงจะรอมอไซต์จนเหงือกแห้ง  ก็การหามอไซต์เช้าๆแบบนี้หายากกว่าซื้อน้ำสักขวดในทะเลทรายอีก

     

    กระหยิมยิ้มย่องอยู่ในใจได้ไม่นานก็ต้องหุบยิ้ม   เพราะ..........ยัยผู้หญิงเลวตีคู่มาข้างผมและมันใกล้พอที่จะสามารถถีบรถให้ผมล้มลงไปได้  แต่ก่อนที่ผมจะทันได้คิดว่าจะแกล้งอะไรเธออีก  รถของยัยผู้หญิงเลวก็เลี้ยวไปอีกทางแยกหนึ่งซึ่งโซนนั้นเป็นของคณะสถาปัตย์

     

    ผมจะสาบานกับตัวเองเลยว่า......ผมจะไม่โกรธ  ไม่แค้นมากกว่านี้ถ้าผมไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่เธอยกยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแยกกันนั้น 

     

    มันเป็นรอยยิ้มที่ผมรู้สึกว่า......ดูเยาะเย้ยผมมากที่สุดในชีวิต!!!’

     

     

     

    Talk  to  Reader

    ฝากเรื่องนี้ด้วยนะจ๊ะ  ไม่รู้เป็นยังไงมั้ง  ชอบไม่ชอบก็ติชอบกันได้เลยเนอะ  น้อมรับทุกคำติชมจ้า ^_^

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×