คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 หลักการของชายหนุ่มผู้โชคดี 100%
เช้าวันรุ่งขึ้น ศิโรตม์ต้องไปต้อนรับนายทุนที่มาจากสิงคโปร์เพื่อเจรจาร่วมทุนในบริษัทหลักทรัพย์เปรมธนัน บริษัทของตระกูลธนาไพศาลซึ่งเป็นตระกูลทางฝ่ายแม่ของเขา แม้จะอยากปลีกตัวไปเยี่ยมกุลธิดาที่โรงพยาบาลแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะในฐานะรองกรรมการผู้จัดการบริษัทซึ่งทำหน้าที่หลักในการเจรจาธุรกิจครั้งนี้ เขาต้องทำภารกิจนี้ทั้งวันโดยไม่อาจละทิ้งไปได้จริงๆ
เมื่อคืนนี้เขากลับมาถึงคอนโดเกือบๆตีหนึ่ง แม้จะรู้สึกล้าสมองจากการประชุมงานตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็ตาม แต่ความเหนื่อยเหล่านั้นก็พากันแตกกระเจิงหายไปทันทีที่เขาได้เจอกุลธิดาอีกครั้ง ศิโรตม์คิดว่าตัวเองไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ที่ทนสู้กับฤดูแล้งอันโหดร้ายมาเป็นเวลานาน แล้วจู่ๆก็ได้สัมผัสกับละอองฝนอันเย็นฉ่ำโดยไม่คาดฝัน ซึ่งทำให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวจนชินชานั้นเกิดความสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที แต่ความสุขที่จู่โจมกะทันหันนี้ก็ทำให้เขากังวลว่ามันจะซ่อนความโหดร้ายไว้ข้างหลังด้วยอย่างเคยอีกหรือไม่
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขาในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อตอนเรียนอยู่ปีสองหลังจากที่เขาได้รู้จักกับกุลธิดา ผู้หญิงตัวเล็กๆที่คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีอิทธิพลกับความรู้สึกของเขามากมายแค่ไหน เพียงแค่ได้เจอเธอแค่วันเดียว จิตใจของเขาก็เกิดความวุ่นวายจนยากจะจัดการให้กลับมาอยู่ในความสงบเรียบร้อยได้อีก เพราะมันคอยแต่จะคิดถึงเธออยู่ตลอดเวลา
เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ตัวเองเผชิญอยู่ในตอนนั้นมันคืออะไรกันแน่ และก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากปรึกษากับใคร ในสายตาของคนในครอบครัวและเพื่อนๆ เขามีความเป็นผู้นำสูง สามารถตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆได้ดีมาตลอด และยังเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นๆได้ทุกเวลาด้วย ภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองเขาแบบนี้กลายเป็นความกดดันที่ก่อตัวอยู่เงียบๆแต่แข็งแกร่งจนยากที่จะทำลายมันลงได้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหาทางจัดการกับความรู้สึกของตัวเองด้วยวิธีการที่...ปัญญาอ่อนเหลือเกินเมื่อมาคิดๆดูอีกทีในตอนนี้
หลังจากงานเจอกันครั้งล่าสุดในงานเลี้ยงครั้งนั้น เขาก็ไม่ได้เจอกับกุลธิดาเลย ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้ติดต่อกับเธออีกด้วยซ้ำ แม้จะเคยรวบรวมความกล้าถามกับรินดาราอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเลยนอกจากว่ากุลธิดาไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าไปที่ไหนและยังไม่รู้ว่าจะติดต่อได้ยังไง ต้องรอให้เธอเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อน ถึงจะบอกได้ ในตอนนั้นเขาไม่อยากจะเชื่อคำพูดของรินดารานัก เพราะมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เพื่อนสนิทกันจะไม่รู้รายละเอียดของอีกฝ่ายเลยสักนิด เขาเดาเอาว่ารินดาราจงใจไม่บอก เพราะท่าทีของเธอในตอนนั้นเหมือนไม่พอใจอะไรเขาอยู่สักอย่าง แต่ศิโรตม์ก็ไม่กล้าเซ้าซี้มากนักเพราะเกรงใจจิรภัคสามีของเธอ
อีกอย่าง ในช่วงนั้นเขาก็กำลังมีเรื่องวุ่นวายให้ต้องปวดหัวอยู่ด้วย ทั้งเรื่องเมธิราและเรื่องเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศ จึงต้องยอมปล่อยให้กุลธิดาค่อยๆหลุดจากวงโคจรชีวิตของเขาไปอย่างไม่อาจห้ามได้ แต่ศิโรตม์ก็ยังมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าอยู่ในใจลึกๆว่า สักวันหนึ่งเขากับเธอจะได้กลับมาเจอกันอีก และถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ เขาสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่คิดและทำเรื่องโง่เง่าอย่างที่เคยทำอีกเป็นอันขาด
ตั้งแต่เรียนจบเมื่อปีที่แล้ว เขาก็รีบกลับมาเริ่มต้นชีวิตการทำงานทันที ไม่ยอมหยุดพักเพื่อท่องเที่ยวก่อน เพราะกลัวว่าหากปล่อยให้ตัวเองเตร็ดเตร่ลอยชายอยู่ เขาจะโดนแม่บังคับเรื่องแต่งงานอีก โชคดีที่ช่วงนั้นปารวตียังเรียนอยู่ต่างประเทศ ทำให้แม่กดดันอะไรเขาไม่ได้มากนัก เพียงแต่บ่นๆว่าเลิกกับแฟนแล้ว อยากให้เขาหันมาพิจารณาผู้หญิงที่แม่เลือกให้บ้าง ศิโรตม์ไม่อยากฟังแม่บ่นจึงหาทางออกด้วยการย้ายไปอยู่คอนโดเพียงลำพังโดยให้เหตุผลว่าใกล้ที่ทำงาน ถึงคุณชนาภาผู้เป็นแม่จะไม่ค่อยเห็นด้วยนักแต่ก็ขัดลูกชายไม่ได้
ประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาทำให้ศิโรตม์เชื่อว่า แม้โชคชะตาจะมีผลต่อวิถีชีวิตของคนเรา แต่วิถีที่เราเลือกกระทำนั้นก็มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงของโชคชะตาเช่นเดียวกัน เขารู้ว่าการจะได้ในสิ่งที่หวังบางอย่าง อาจจะอาศัยโชคช่วยเล็กน้อย แต่มันก็ไม่มีวันสำเร็จได้อย่างที่ต้องการแน่ถ้าหากเราไม่พยายามมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ชายหนุ่มเผลอยิ้มอยู่คนเดียวเมื่อนึกถึงว่า การได้เจอกับกุลธิดาอีกครั้งเป็นสิ่งยืนยันความศรัทธาในหลักการดำเนินชีวิตข้อนี้ของเขาได้ดีที่สุด
เขาได้รับรู้เรื่องของกุลธิดาโดยบังเอิญจากเจนภพ เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งซึ่งมาร่วมแสดงความยินดีในงานเลี้ยงฉลองเปิดร้านกาแฟในห้างดังชื่อ Fin’ Coffee ที่เขาร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ
“เออ พูดถึงรินแล้วนึกขึ้นมาได้ว่ะ เมื่ออาทิตย์ก่อนเราไปติดต่องานที่สำนักพิมพ์ประภากร แล้วคุ้นหน้าพนักงานผู้หญิงที่นั่นคนหนึ่ง หน้าตาน่ารักดี ว่าจะทักแต่ก็จำชื่อไม่ได้ แต่คิดว่าต้องใช่คนที่เราเคยเห็นมากับรินเมื่อตอนสมัยเรียนอยู่แน่ๆ”
ศิโรตม์สะดุดคำบอกเล่าของเจนภพ จึงรีบร้อนเอ่ยถามทันที
“เพื่อนที่คณะหรือว่าเพื่อนที่เรียนมหา’ลัยอื่นวะ”
“น่าจะมหา’ลัยอื่น หน้าตาน่ารักอย่างนี้ถ้าเป็นเด็กมหา’ลัยเรา กูเข้าไปจีบตั้งนานแล้ว”
ความหวังเล็กๆของศิโรตม์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทีละน้อย สังหรณ์บางอย่างทำให้เขามั่นใจว่า ผู้หญิงที่เพื่อนพูดถึงต้องเป็นกุลธิดาแน่ แม้จะรู้สึกขอบคุณที่เจนภพนำข้อมูลนี้มาให้โดยไม่คาดฝัน แต่ไอ้ประโยคท้ายของคนพูดนี่ฟังแล้วขัดหูชะมัด ดังนั้นเขาเลยไม่มีอารมณ์จะซาบซึ้งในคุณความดีของเพื่อนนัก
หลังจากเสร็จงานในวันนั้น ศิโรตม์ก็ตั้งใจไปสำนักพิมพ์ที่เจนภพพูดถึงทันที ถึงจะรู้ว่ามันดูแปลกๆที่จู่ๆเขาก็โผล่ไปหาเธอทั้งๆที่ไม่ได้ติดต่อกันมาสี่ปีกว่าแล้ว แต่เขาคงจะรออยู่เฉยๆไม่ได้อีก เพราะโชคคงไม่มาเข้าข้างเขาบ่อยๆนัก เขาต้องพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อ...เอ่อ...เขาไม่แน่ใจหรอกว่าเพื่ออะไรในตอนนี้ แต่ยังไงก็ตามเขาก็ต้องทำเพื่ออะไรสักอย่างให้ได้แน่ๆ
แต่พอไปถึงหน้าออฟฟิศของกุลธิดาเข้าจริงๆ เขากลับไม่กล้าแสดงตัวว่าเป็นใครและมาทำอะไร ได้แต่นั่งแกร่วรออยู่แถวๆนั้นแทน ศิโรตม์วางแผนไว้ว่าจะแสร้งทำเป็นว่ามาทำธุระแถวๆนี้และบังเอิญเจอเธอ แต่รออยู่จนดึกก็ไม่เจอ สุดท้ายเขาจึงต้องพกความผิดหวังกลับบ้านไปก่อน วันต่อมาเขาตื่นไปรอที่เดิมตั้งแต่เช้า แต่โชคก็ยังไม่เข้าข้างอยู่ดี ทว่าศิโรตม์ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาเทียวไปเทียวมาเพื่อรอพบกุลธิดาอยู่เกือบสัปดาห์ จนวันถึงพฤหัสบดี ชายหนุ่มตั้งใจว่าถ้าวันนี้ยังไม่เจอเธออีกล่ะก็ พรุ่งนี้เขาจะรวบรวมความกล้าแล้วเข้าไปติดต่อขอพบเธอตรงๆที่สำนักพิมพ์เลย
แต่เหมือนสวรรค์จะเริ่มเห็นใจในความพยายามของศิโรตม์ขึ้นบ้างแล้ว เพราะในตอนเย็นวันนั้นเอง ระหว่างที่เขากำลังจะขับรถกลับบ้านหลังจากรออย่างไร้ความหวังมาได้สักพักใหญ่ๆ หญิงสาวที่ศิโรตม์เฝ้ารอก็ปรากฏกายต่อสายตาคมของเขาโดยไม่คาดฝัน กุลธิดาเดินออกมาจากตึกสำนักงานเพียงลำพังตอนเกือบๆหนึ่งทุ่มและมุ่งหน้าไปยังทิศทางของสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ไม่ไกลนัก ศิโรตม์รีบวนรถกลับเข้าไปจอดอีกครั้งก่อนจะกระวีกระวาดวิ่งตามเธอไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
แต่ความพยายามของเขาก็มีอุปสรรคเกิดขึ้นอีกครั้งจนได้ เพราะเมื่อไปถึงสถานีรถไฟฟ้าแล้ว ความที่เขาไม่ค่อยได้ใช้บริการเป็นประจำจึงต้องเสียเวลาเข้าแถวเพื่อซื้อบัตรโดยสารอีกเล็กน้อย แต่ก็นานพอที่จะทำให้เขาพลาดรถขบวนเดียวกันกับกุลธิดา ศิโรตม์ได้แต่มองตามสายตาละห้อย เขาไม่รู้เลยว่าเธอจะไปลงสถานีไหน หัวใจที่พองโตด้วยความหวังเมื่อครู่กลับกลายเป็นค่อยๆฝ่อแฟบด้วยความเสียดาย ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาขอให้โชคเข้าข้างเขาอีกสักครั้ง เขาก้าวเข้าไปในรถไฟขบวนถัดมาด้วยจิตใจห่อเหี่ยว ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหนเหมือนกัน จนกระทั่งมาถึงสถานีสยาม ศิโรตม์เดินอย่างไร้จุดหมายตามฝูงชนที่พากันกรูออกจากขบวนรถไป ไหนๆวันนี้เขาก็มาแถวนี้แล้ว ชายหนุ่มจึงคิดว่าแวะไปดูร้านกาแฟที่เขาร่วมลงทุนกับเพื่อนด้วยเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน
เขาไม่ได้ตรงไปยังร้านกาแฟในทันที แต่เลือกเดินดูไฟประดับที่ตกแต่งตามข้างทางและลานหน้าห้างสรรพสินค้าในละแวกนั้นก่อน ในสมองก็ครุ่นคิดถึงแต่เรื่องกุลธิดา เขาอดโมโหตัวเองไม่ได้ที่มัวแต่กล้าๆกลัวๆ ทำอะไรชักช้าจนคลาดกับเธอจนได้ ชายหนุ่มยืนมองหุ่นซานตาคลอสด้วยสีหน้าหดหู่
“ถึงผมจะนับถือศาสนาพุทธ แต่ผมก็ชอบคุณนะคุณซานต้า คุณจะไม่สงสารผมหน่อยเหรอ ช่วยผมสักครั้งได้มั้ย ผมอยากเจอเธอจริงๆ”
ศิโรตม์พูดกับหุ่นเพียงลำพัง ไม่สนใจสายตาจากคนแถวนั้นที่มองมายังเขาพร้อมกับส่งกระแสจิตตั้งคำถามกับหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาราวกับรูปสลักคนนี้ว่า...บ้าหรือเปล่าเนี่ย
จู่ๆฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ศิโรตม์จึงรีบเข้าไปในตัวห้างเพื่อหลบฝน เขาชักจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเอามากจริงๆ เรื่องกุลธิดา ก่อนที่จะฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้ ศิโรตม์คิดว่าเขาควรจะตรงไปยังร้านกาแฟอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรกจะดีกว่า
ในร้านมีลูกค้าอยู่มากพอสมควร อาจเป็นเพราะฝนตกทำให้คนยังไม่อยากกลับบ้านเร็วนักจึงเลือกที่จะนั่งเล่นอยู่ในร้านก่อน ศิโรตม์เข้าไปทักทายพนักงานในร้านอย่างเป็นกันเอง แม้จะแค่ร่วมลงทุนแต่ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการบริหารก็ตาม แต่ศิโรตม์ก็ให้ความสำคัญกับกิจการนี้ไม่น้อย พนักงานในร้านจึงรู้จักเขาเป็นอย่างดี
ระหว่างที่กำลังตรวจดูความเรียบร้อยในร้านอยู่นั้นเอง สายตาคู่คมของเขาก็เหลือบไปเห็นร่างบางที่คุ้นตานั่งหลับอยู่บนโซฟาตรงมุมหนึ่งของร้านเข้าโดยบังเอิญ วินาทีนั้นเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง รู้สึกหัวใจเต้นแรงจนกลัวว่ามันจะทะลุออกมาข้างนอกให้ได้ ศิโรตม์ยืนนิ่งตะลึงอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะขยับตัวและก้าวเท้าไปยังตำแหน่งที่เจ้าของร่างบางนั้นอยู่ เขานั่งลงข้างๆกุลธิดาโดยที่สายตายังคงจับจ้องที่ดวงหน้ารูปหัวใจนั้นไม่วอกแวกสนใจสิ่งรอบข้างสักนิด ความตื่นเต้นดีใจทำให้เขาพูดไม่ออก ได้แต่นิ่งมองเธออยู่อย่างนั้นอย่างลืมตัว จนกระทั่งกุลธิดาลืมตาขึ้นมาและทำหน้าตกใจเหมือนเห็นผีเมื่อเห็นเขานั่งอยู่ข้างๆนั่นแหละ เขาถึงมั่นใจว่านี่ต้องไม่ใช่ความฝันอีกแน่นอน แต่โชคไม่ดีนักที่เธอไข้ขึ้นสูงจนไม่ได้สติ เขาจึงต้องรีบพาส่งโรงพยาบาลก่อน เลยยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันเสียที
ศิโรตม์นั่งเหม่อครุ่นคิดเพียงลำพังอยู่ในห้องทำงาน จนกระทั่งผู้ช่วยของเขาเข้ามาแจ้งว่านายทุนจากสิงคโปร์มาถึงแล้ว งานชิ้นนี้ถือเป็นงานใหญ่ที่คุณตาวางใจให้เขาแสดงฝีมือคนเดียวเป็นครั้งแรก และเขาก็มุ่งมั่นตั้งใจกับมันเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มจึงสลัดความคิดเรื่องกุลธิดาออกจากสมองก่อนชั่วคราว แล้วรวบรวมสมาธิเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาต่อรองทางธุรกิจครั้งสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้
อาการไข้ของกุลธิดาดีขึ้นมาก พอถึงช่วงเย็นหมอก็อนุญาตให้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ จึงไม่ต้องลางานหลายวัน หากได้พักผ่อนเต็มที่กุลธิดาคิดว่าวันจันทร์เธอก็คงกลับไปทำงานได้ตามปกติ
พอรู้ข่าวว่าเธอไม่สบาย ภาณุก็รบเร้าจะมาเยี่ยมให้ได้ กุลธิดาจนใจไม่รู้จะปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่ายอย่างไร จึงจำต้องบอกทางมาบ้านให้กับเขาโดยไม่เต็มใจนัก
เพราะฤทธิ์ยาที่ทานเข้าไปทำให้กุลธิดาหลับสนิทรวดเดียวตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น การได้พักผ่อนอย่างเพียงพอทำให้เธอรู้สึกสบายตัวมากขึ้น หลังอาหารมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจึงหอบเอางานแปลมานั่งทำในห้องนั่งเล่น วันนี้ทรงพลยกเลิกนัดกับเพื่อนเพื่ออยู่เป็นเพื่อนลูกสาวที่บ้าน แม้กุลธิดาจะยืนยันว่าเธอดูแลตัวเองได้ แต่เพราะทรงพลรู้ว่าหัวหน้าของกุลธิดาซึ่งเป็นผู้ชายจะมาเยี่ยม เขาจึงไม่ยอมไปไหนเด็ดขาด
ระหว่างที่กุลธิดากำลังนั่งอ่านบทความอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอในตอนนี้
‘ยอดพยัคฆ์017’
ยอดพยัคฆ์ไหนกัน? เธอไม่เคยมีเพื่อนชื่อนี้ หรือถ้ามีก็คงไม่ใช่คนที่เธอสนิทมากพอที่จะบันทึกข้อมูลไว้ในโทรศัพท์มือถือแน่ ยิ่งมีรหัสต่อท้ายเหมือนชื่อสายลับอย่างนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ต้องมีใครเล่นตลกกับเธอแน่ๆ กุลธิดาตัดสินใจรับสายนั้นหลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธออยากจะรู้นักว่าใครกันที่นึกสนุกแกล้งเธอเล่นอย่างนี้
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวเสียงขุ่นเล็กน้อย
“กุล...อาการเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยังครับ” คนพูดเสียงทุ้มฟังคุ้นหู กุลธิดารู้สึกเหมือนเคยได้ยินน้ำเสียงลักษณะนี้มาก่อน บุคคลในความคิดที่แวบขึ้นมาในสมองทำให้หัวใจของเธอเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
“คุณเป็น...ใครหรือคะ?”
ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นชวนฟังยิ่งกว่าเดิม
“ผมเอง เสือโคร่ง...ของกุลไงครับ”
เสือโคร่ง...ของเธอ...อย่างนั้นหรือ?
กุลธิดาอึ้งจนพูดไม่ออก เธอเป็นไข้จนเพ้อหนักไปแล้วแน่ๆถึงได้ยินอะไรแบบนี้
“กุล ยังอยู่หรือเปล่า ผมขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ กุลจำเสือได้มั้ยครับ” คราวนี้ศิโรตม์มีน้ำเสียงร้อนรนอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้สึกว่าวิธีการรุกของเขาอาจจะทำให้หญิงสาวตกใจกลัว กุลธิดายิ่งขี้ตื่นเหมือนกระต่ายอยู่ด้วย
“เสือโคร่ง?” กุลธิดาเหมือนจะรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะต้องการพูดโต้ตอบกับอีกฝ่าย แต่ก็ทำคนที่โทรมายิ้มออกมาได้บ้าง เพราะเธอยังไม่ได้ตัดสายเขาทิ้งอย่างที่กังวลไว้ตอนแรก
“ใช่ครับ เสือโคร่งที่กุลเคยบอกว่ากลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ยังไงล่ะ”
กระแสความรู้สึกดีอย่างประหลาดค่อยๆแผ่ซ่านไปตามร่างกายเธอทีละน้อย หลังจากได้ยินอย่างนั้น หญิงสาวหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เธอได้เจอกับศิโรตม์ในงานเลี้ยงเกษียณอายุราชการของปู่เล็ก ปู่ของรินดาราเพื่อนรัก ในตอนนั้นแม้เธอจะเห็นเขาแล้ว แต่เพราะรู้ว่าจิตใจตัวเองไม่ค่อยสงบนักยามอยู่ใกล้เขา เธอจึงไม่กล้าเข้าไปทักทาย ได้แต่แอบมองอยู่ห่างๆ และยึดเอาวาทินลูกพี่ลูกน้องของรินดาราซึ่งเธอก็สนิทด้วยเป็นที่พึ่งในงานระหว่างรอรินดาราตามออกมาจากห้องรับรอง แต่วาทินกลับขับไล่ไสส่งเธอให้ไปหาศิโรตม์แทน ในตอนนั้นกุลธิดาส่ายหน้าปฏิเสธลูกเดียวจนวาทินรำคาญ
“บอกตรงๆนะ ถ้ามัวแต่มาตามติดกันแจแบบนี้ นายเสือนั่นคงคิดว่าเธอกับฉันเป็นแฟนกันแน่”
“เขาจะคิดแบบนั้นได้ยังไง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันอยู่กับนาย” เธอแย้งอีกฝ่าย
“งั้นจะมาอยู่กับฉันทำไม โน่น...เขาอยู่โน่น เข้าไปหาเลยไป มัวแต่อายหลบอยู่หลังม่านแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่เขาจะมาสนใจเธอซะที”
กุลธิดาหน้าหงิกใส่คนพูดทันที ถึงเธอจะไม่เคยบอกกับใครแม้แต่รินดาราว่าคิดอย่างไรกับศิโรตม์ แต่เธอก็รู้ตัวดีว่าอาการหลงรักข้างเดียวของเธอมันคงเก็บซ่อนให้รอดพ้นจากการสังเกตของรินดารากับวาทินไปไม่ได้แน่ แต่สองคนนี้ก็เข้าใจคนขี้อายอย่างเธอดีจึงไม่ค่อยแซวหรือล้อเลียนอะไรนัก แต่ครั้งนี้วาทินคงเหลือทนกับนิสัยของเธอจริงๆ ถึงขนาดลงทุนไล่เลยทีเดียว
“ไม่เอา ท่าทางเขาเหมือนเสือโคร่งสมกับชื่อเขาจะตาย ฉันไม่กล้าเข้าใกล้หรอก” กุลธิดาพยายามหาเหตุผลมาเถียงจนได้
“แล้วถ้าไม่ใช่เสือโคร่ง แต่เป็นเสืออย่างอื่นล่ะ จะกล้าเข้าใกล้หรือเปล่า” วาทินยังซักไซ้ต่อไม่ยอมลงให้ง่ายๆ
“เสืออะไรก็ไม่กล้าทั้งนั้นแหละ ฉันว่าฉันกลับไปดูยัยรินในห้องรับรองดีกว่า ป่านนี้แล้วยังไม่ออกมาอีก” กุลธิดาเสไปเรื่องอื่นเพื่อตัดความรำคาญก่อนจะเป็นฝ่ายหันหลังเดินหนีคนกวนประสาท แต่วาทินยังตะโกนไล่หลังมาเพิ่มความหงุดหงิดให้เธออีกว่า
“รีบชิ่งหนีเลยนะ กลัวจะโดนเสือขย้ำรึไงยัยลูกหมู ฮ่าๆๆๆ”
ในตอนนั้นที่คุยกันก็มีแต่เธอกับวาทิน แล้วเขารู้ได้ยังไงกันว่าเธอเคยหาว่าเขาน่ากลัวเหมือนเสือโคร่ง ต้องเป็นวาทินแน่ๆที่แอบเอาเธอไปนินทากับศิโรตม์ โชคดีจริงๆที่ตอนนี้เธอพูดกับเขาทางโทรศัพท์ ไม่ได้เจอกันจริงๆ ไม่อย่างนั้นแล้วเธอคงอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“เอ่อ...แล้วทำไม...ถึงโทรมาได้คะ” กุลธิดายังตกใจจนพูดตะกุกตะกักอยู่ ศิโรตม์เองก็รอจังหวะให้เธอถามเพื่อที่เขาจะได้อธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดเสียที
“คือ...เมื่อวานผมไปเจอกุลไม่สบายอยู่ที่ร้านกาแฟ เลยพากุลส่งโรงพยาบาล ผมต้องขอโทษนะครับ ที่ถือวิสาสะค้นกระเป๋ากุล แต่ผมต้องหาเบอร์เพื่อโทรบอกให้คุณพ่อคุณแม่กุลทราบ เอ่อ...ผมตั้งใจจะโทรมาหากุล แต่กลัวว่าถ้าเห็นเบอร์แปลกๆแล้วกุลจะไม่ยอมรับสาย เลยถือโอกาสบันทึกข้อมูลตัวเองไว้ในโทรศัพท์ของกุลด้วยเลย”
“เอ่อ...แต่...ชื่อในเครื่องมันเป็น...ยอดพยัคฆ์017 นี่คะ” กุลธิดาเข้าใจเหตุผลที่เขาอธิบายให้ฟัง แต่ยังติดใจเรื่องชื่อแปลกๆนั้นอยู่
ถ้าหากทั้งสองเปิดการโทรแบบ Face Time ล่ะก็ กุลธิดาคงได้เห็นแน่ว่าแก้มของชายหนุ่มนั้นกำลังแดงก่ำด้วยความเขินอายอย่างห้ามไม่อยู่
“อ๋อ...ชื่อนั่นนะเหรอ” ศิโรตม์เงียบไปเล็กน้อยเพื่อเรียบเรียงคำพูดให้ดูดีก่อนจะเฉลยให้เธอฟัง “ถ้าผมบันทึกว่า ‘เสือ’ หรือ ‘ศิโรตม์’ เฉยๆ ผมกลัวกุลจะไม่รับน่ะสิ”
เหตุผลอะไรของเขาเนี่ย ฟังแล้วไม่เห็นรู้สึกว่ามีเหตุผลเอาซะเลย กุลธิดานิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนจะย้อนถาม
“แล้วชื่อ ‘ยอดพยัคฆ์017’ นี่ เห็นแล้วมันน่ากดรับสายมากกว่าอย่างนั้นเหรอคะ”
“อย่างน้อยที่เราได้คุยกันอยู่ตอนนี้ ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าแผนการของผมได้ผลดีอยู่นะครับ กุลเห็นด้วยมั้ย”
คนถูกถามหน้างอเล็กน้อยเพราะเถียงไม่ออก ยอมรับอยู่เงียบๆว่าถ้าเห็นชื่อ ‘เสือ’ โทรเข้ามาเธอก็คงตื่นเต้นตกใจจนไม่กล้ารับสายอย่างที่เขาเดาไว้นั่นแหละ และพอเขาเลือกใช้ชื่อแปลกๆแทน มันก็ดึงดูดให้เธอเกิดความสงสัยใคร่รู้จนตัดสินใจกดรับจริงๆเสียด้วย
“แล้วทำไมต้องเป็น ‘ยอดพยัคฆ์017’ ล่ะคะ”
“มันมาจากชื่อของผมเองล่ะ ศิโรตม์แปลว่า หัวหรือยอด ส่วนเสือก็คือพยัคฆ์ และเลข 017 ก็มาจากวันเกิดของผมเอง ผมเกิดวันที่ 7 เดือนมกราคม แต่จะให้เรียงเป็น 701 ก็ดูธรรมดาไปหน่อย ผมเลยเรียงเป็น 017 เอามารวมกันก็เป็น ยอดพยัคฆ์017 ฟังดูเท่มากใช่มั้ยล่ะ”
“พิลึกคนจริงๆ ชื่อเสือก็ดีอยู่แล้ว”
“แต่ผมชอบนะที่กุลเรียกผมว่าเสือโคร่ง ฟังแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษของกุล”
กุลธิดาหน้าร้อนผ่าวด้วยความอายสุดกำลังหลังจากฟังประโยคท้าย พูดอะไรไม่ออกสักคำ ศิโรตม์เห็นอีกฝ่ายเงียบไปก็กลัวว่าตัวเองจะทำให้เธอตื่นกลัวจนพลอยหนีหน้าเขาไปอีก เขาจึงวกกลับมาที่ประเด็นที่ต้องการพูดกับเธอจริงๆ
“เมื่อวานผมไปเยี่ยมกุลที่โรงพยาบาลตอนเย็น แต่กุลออกมาแล้ว ตอนนี้หายดีหรือยังครับ”
ถึงจะตกใจกับคำพูดชวนคิดลึกของเขาอยู่ แต่กุลธิดาก็รวบรวมสมาธิได้เร็วกว่าสมัยก่อนขึ้นเยอะ เธอจึงไม่มีอาการอ้ำอึ้งตอบคำถามไม่ได้เหมือนเคย
“ดีขึ้นแล้วค่ะ รู้สึกสบายตัวจนสามารถเดินไปไหนมาไหนได้แล้ว ไม่ต้องเอาแต่นอนซมอยู่บนเตียงเหมือนเมื่อวาน”
“ขอผมไปเยี่ยมที่บ้านได้มั้ย”
กุลธิดาชะงักไปทันทีด้วยความคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะขออะไรแบบนั้น ศิโรตม์ทำตัวแปลกๆกับเธอมากเกินไปแล้ว เขาไม่รู้หรือว่าตั้งใจกันแน่ถึงได้ทำให้จิตใจเธอสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างนี้ แต่ถึงเขาจะเป็นสาเหตุแห่งความวุ่นวายใจนี้ก็ตาม การได้เห็นเขาที่บ้านของเธอในวันนี้กลายเป็นความปรารถนาเล็กๆของเธอแล้วในตอนนี้
“กุล...” ศิโรตม์กระตุ้นเอาคำตอบด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
เจ้าของคำตอบยังคงนิ่งเงียบแต่ภายในจิตใจนั้นกลับปั่นป่วนราวกับพายุ ทั้งๆที่เธอพยายามทำใจให้ลืมความรู้สึกที่มีต่อเขามาตลอด แต่จู่ๆศิโรตม์ก็เดินเข้ามาในชีวิตเธออีกครั้ง กุลธิดากลัวใจตัวเองจะฟุ้งซ่านไปไกลทั้งๆที่จริงๆแล้ว เขาอาจจะมาเยี่ยมเธอในฐานะเพื่อนเก่าที่บังเอิญเจอกันอีกครั้งเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษแต่อย่างใดเลยสักนิดก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไม เธอบังคับต่อมเพ้อฝันของตัวเองให้หยุดทำงานไม่ได้เลยในตอนนี้
“ก็...มาสิ บ้านกุลอยู่ที่...” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะเริ่มบอกรายละเอียด ศิโรตม์ก็แทรกขึ้นเสียก่อน
“ไม่ต้องบอกหรอก ผมรู้ว่าที่ไหน แล้วเจอกันนะครับ”
กุลธิดาค่อยๆลดมือที่ถือโทรศัพท์นั้นลงช้าๆด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก เธอไม่มีสมาธิทำงานต่อได้อีก จึงล้มตัวลงนอนเล่นบนโซฟาในห้องนั่งเล่นนั้นแทน สมองก็ครุ่นคิดถึงบทสนทนาที่ผ่านมาเมื่อครู่ อยากรู้นักว่านอกจากเรื่องที่เธอว่าเขาเหมือนเสือโคร่งแล้ว เขารู้ได้ยังไงว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน แล้วมีอะไรอีกไหมที่เธอไม่รู้ว่าเขารู้
เพราะความที่มัวแต่ตื่นเต้นกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้กุลธิดาลืมไปเลยว่า ศิโรตม์ไม่ได้เป็นแขกเพียงคนเดียวที่ขอมาเยี่ยมเธอในวันนี้ จนกระทั่งภาณุมาปรากฏตัวที่บ้านตอนสิบโมงกว่าๆ เธอจึงเริ่มเห็นแววความวุ่นวายที่กำลังจะตามมาในไม่ช้านี้แน่ เพราะเพียงแค่เธอบอกพ่อว่าภาณุจะมาเยี่ยมที่บ้าน ท่านก็เกิดอาการหวงลูกสาวจนไม่ยอมไปตามนัดกับเพื่อนแต่จะอยู่เฝ้าเธอแทน หากเห็นศิโรตม์มาแสดงตัวที่บ้านเธออีกคน ดูท่าว่าพ่อของเธอคงไม่ยอมให้สองคนนี้เข้าใกล้เธอเลยแน่ๆ
ความคิดเห็น