ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แผนซ่อนรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 โลกส่วนตัวของผู้หญิงช่างอ่อนไหว 100%

    • อัปเดตล่าสุด 8 ธ.ค. 56


    “เลิกงานแล้ว พี่กับพวกเจ้าต้าร์จะไปสังสรรค์แถวทองหล่อซะหน่อย ไปด้วยกันมั้ยน้องกุล เสียงของภาณุหรือพี่อาร์ท บ.ก. คนเก่งแห่งสำนักพิมพ์ประภากรเอ่ยชวนกุลธิดา

    คือว่า...คนถูกชวนอึกอัก ภาณุเห็นอาการอย่างนั้นก็เดาได้ว่าคำตอบของกุลธิดาคงจะเหมือนเดิม

    โอเคๆ พี่รู้แล้วว่ากุลจะตอบยังไง เอาเถอะไม่ไปก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าเปลี่ยนใจก็โทรบอกได้นะ

    ภาณุพูดแค่นั้นก่อนจะเดินจากไปด้วยสีหน้าผิดหวัง ส่วนกุลธิดาเองก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อยกับท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกต่อเธอ เพราะเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้างานมาได้ไม่ถึงเดือน เธอจึงได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเขามากเป็นพิเศษ เธอนับถือภาณุในฐานะ บ.ก. และรุ่นพี่ในที่ทำงาน ไม่ได้คิดเกินเลยสักนิด และมั่นใจว่าการวางตัวของเธอก็บ่งบอกชัดเจนแล้วว่า ไม่ต้องการมีความสัมพันธ์แบบอื่นนอกเหนือจากเพื่อนร่วมงานเท่านั้น แต่ภาณุก็มักจะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยและเอาใจใส่เธอมากเกินความจำเป็นอยู่เสมอ ซึ่งพฤติกรรมของเขาทำให้เธอเริ่มวางตัวลำบาก เธอชอบงานนี้ก็จริง แต่ถ้าหากต้องอยู่อย่างอึดอัดใจ อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เธอก็คงทนไม่ไหวและลาออกก่อนจะผ่านการทดลองงานแน่

    น้องใหม่แห่งสำนักพิมพ์ประภากรพยายามดึงความคิดให้หันกลับมาจดจ่ออยู่กับงานต่อ แต่เพราะความรู้สึกอึดอัดใจเรื่องของภาณุ  ทำให้เธอไม่มีสมาธิในการแปลบทความที่อยู่ตรงหน้านี้สักเท่าไหร่นัก จากที่ตั้งใจว่าจะนั่งทำงานไปเรื่อยๆ กุลธิดาเลยเปลี่ยนใจเป็นเก็บข้าวของและงานที่ค้างอยู่เอากลับไปทำที่บ้านแทน

    ตั้งแต่เรียนจบด้านการแปลจากอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว กุลธิดาก็ไม่ยอมกลับเมืองไทยในทันที แต่เธอกลับท่องเที่ยวไปเรื่อยจนเกือบครบทุกประเทศในยุโรป ถึงจะไม่ได้ร่ำรวยติดอันดับ แต่ฐานะทางบ้านของเธอก็จัดว่าดีมาก จนไม่เดือดร้อนอะไรกับการที่ลูกสาวคนเดียวของบ้านจะใช้เงินหมดไปกับการท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นเดือนๆ โดยที่คนใช้เงินไม่จำเป็นต้องหาเงินใช้เองเลยก็ได้ แต่กุลธิดาก็สำนึกอยู่เสมอว่าจะทำตัวเลื่อนลอยไร้แก่นสารแบบนั้นตลอดไปไม่ได้ เวลาเกือบสี่ปีน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการเกี่ยวประสบการณ์ในต่างแดน และน่าจะช่วยลบเลือนความทรงจำบางอย่างที่ตกตะกอนนิ่งอยู่ตรงก้นบึ้งหัวใจ ให้ละลายหล่นหายไปตามกาลเวลาได้บ้างแล้ว

    ด้วยเหตุนี้ เธอจึงตัดสินใจกลับเมืองไทย และเริ่มงานที่สำนักพิมพ์ประภากร สำนักพิมพ์เล็กๆแต่อบอุ่นแห่งนี้เป็นที่แรก หลังจากกลับมาถึงเมื่อประมาณสองเดือนที่แล้ว ตอนแรกเธอแค่ส่งใบสมัครทางอีเมลเพราะเห็นว่าคุณสมบัติของตัวเองตรงกับที่สำนักพิมพ์ต้องการพอดี แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับการเรียกตัวเข้าสัมภาษณ์อย่างรวดเร็วในวันถัดมา และได้เข้าเป็นพนักงานทดลองงานของที่นี่อย่างรวดเร็วเช่นนี้

    เมื่อเทียบกับวุฒิการศึกษาและสถาบันที่เธอจบมานั้น เงินเดือนของนักแปลประจำสำนักพิมพ์เล็กๆแห่งนี้ดูจะน้อยนิดและไม่สมศักดิ์ศรีเอาเสียเลย แต่เพราะบรรยากาศการทำงานที่อบอุ่นและเป็นมิตร ทำให้เธอพอใจที่จะทำงานที่นี่ โชคดีของกุลธิดาที่ครอบครัวของเธอไม่คาดหวังให้เธอต้องกลับมาทำงานในตำแหน่งใหญ่โตมีเงินเดือนสูงๆ พ่อกับแม่ของเธอนั้นออกจะโล่งใจด้วยซ้ำที่ลูกสาวคนนี้เรียนจบ และกลับมาก็มีงานทำทันที จะงานตำแหน่งอะไรเงินเดือนแค่ไหนก็ไม่สำคัญ เธอไม่ต้องดิ้นรนให้เหนื่อยพ่อกับแม่ก็พร้อมที่จะเลี้ยงดูได้สบายอยู่แล้ว

    สี่ปีในต่างแดนทำให้กุลธิดาชินกับการใช้ชีวิตเพียงลำพัง แม้ตอนเรียนอยู่จะมีเพื่อนชาวต่างชาติมากหน้าหลายตา แต่พอเรียนจบแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้าย อาจจะมีติดต่อกันบ้างแต่ก็น้อย และด้วยนิสัยของเธอเองที่เป็นคนมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง ชอบเดินทางไปนู่นมานี่เพียงคนเดียว อยากไปไหนก็ไปไม่ต้องเกรงใจใครหรือกังวลว่าใครจะไม่อยากไปด้วย ทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทที่จะคอยไปไหนมาไหนด้วยกันมากนัก ถ้าจะนับระดับความเป็นเพื่อนที่จัดว่ารู้ใจกันล่ะก็ สำหรับเธอแล้วมีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น คือรินดารา เพื่อนรักที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม และยังคงติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม จะให้เธอไปชวนเพื่อนรักให้ออกมาท่องโลกกว้างกับตัวเองก็คงไม่เหมาะสมนัก เพราะฝ่ายนั้นแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว และสามีสุดหล่ออย่างจิรภัคก็ห่วงและหวงภรรยาคนสวยของเขามากเสียด้วย

    กุลธิดาไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนหลีกเลี่ยงสังคมไปตั้งแต่ตอนไหน เมื่อมานึกๆดูแล้ว เธอเองก็ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยไปสังสรรค์ที่ไหนกับใครมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ถ้ารินดาราไม่คอยลากเธอไปงานต่างๆด้วยแล้ว เธอก็ไม่มีทางไปเองเด็ดขาด เพราะหากไม่สนิทกันจริงๆแล้ว เธอก็จะรู้สึกอึดอัดใจที่จะต้องไปไหนมาไหนด้วย และคนที่เธอสนิทมากๆจนรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ด้วยก็มีแค่รินดารากับเพื่อนในคณะอีกสองสามคนเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเด็กเงียบๆไม่ค่อยเฮฮาปาร์ตี้เหมือนกันกับเธอ

    บางทีเธอก็เคยสงสัยว่าตัวเองผิดปกติหรือเปล่า ทำไมถึงได้รู้สึกอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออกอยู่ทุกครั้งที่ต้องเข้าร่วมสังคมกับคนกลุ่มใหญ่หรือแม้แต่คนกลุ่มเล็กๆที่เธอไม่สนิทด้วยก็ตาม แต่ทว่าพออยู่กับครอบครัวและเพื่อนสนิทแล้ว เธอจะเปลี่ยนเป็นคนขี้เล่นและช่างเจรจาจนเหมือนเป็นคนละคน แต่ถึงจะหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ คนโลกส่วนตัวสูงอย่างเธอก็พอใจที่จะดำเนินชีวิตแบบนี้ ถึงแม้บางครั้งจะรู้สึกเหงาและเหมือนขาดอะไรไปบ้างก็ตามเถอะ ชีวิตคนเรามันก็คงเป็นแบบนี้ ไม่มีใครมีพร้อมไปเสียทุกอย่างหรอก

     

    ออกจากที่ทำงานแล้วกุลธิดาก็ไม่ได้ตรงกลับบ้านเลย วันนี้เธอตั้งใจว่าจะไปถ่ายภาพไฟประดับในช่วงเทศกาลปีใหม่ตรงห้างแถวๆสยามก่อน เธอเริ่มสนใจการถ่ายภาพตั้งแต่ตอนไปเรียนที่อังกฤษช่วงแรกๆ เพราะชอบไปไหนมาไหนคนเดียว เวลาเจออะไรสวยๆก็อยากจะเก็บบันทึกไว้ สุดท้ายมันก็กลายมาเป็นงานอดิเรกที่เธอชื่นชอบ คงเพราะบางสิ่งบางอย่างนั้น คนอย่างเธอทำได้เพียงแค่มอง ไม่มีโอกาสได้ครอบครองมันอย่างที่ใจหวัง เธอจึงอยากที่จะเก็บภาพเหล่านั้นไว้กับตัว เพื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว เธอจะได้หยิบเอาเรื่องราวความประทับใจเหล่านั้นกลับมาดูซ้ำได้

    แม้จะมีความสุขที่ได้นั่งดูรูปภาพที่เธอถ่ายไว้ แต่มีอยู่รูปหนึ่งที่เธอเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดีราวกับกลัวตัวเองจะเผลอไปหยิบมาดูได้ง่ายๆ ทั้งๆที่กว่าจะได้รูปนี้มานั้นต้องอาศัยความกล้าเป็นอย่างมากก็ตาม แต่พอได้มันมาอยู่กับตัวแล้ว เธอกลับพยายามเมินรูปนี้มาตลอด เพราะสาเหตุที่ทำให้เธอเก็บภาพนี้มาได้นั้น เป็นความทรงจำที่เธออยากจะลืมมากที่สุด

    ตอนที่ตัดสินใจไปเรียนต่อนั้น เธอไม่ได้บอกเพื่อนคนอื่นเลยนอกจากรินดารา ถึงแม้ยุคนี้จะมีช่องทางที่ใช้ติดต่อกับเพื่อนๆได้อย่างสะดวกและหลากหลาย แต่กุลธิดากลับเลือกที่จะปิดกั้นตัวเองในทุกช่องทาง เพราะเธอไม่อยากรับรู้ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของคนที่เธอพยายามจะลืมให้ได้ และรินดาราเองก็เข้าใจดีในเรื่องนี้ จึงรับปากว่าจะไม่บอกใครว่าเธอไปเรียนที่ไหน ด้วยเหตุนี้กุลธิดาจึงเหมือนถูกตัดขาดจากเพื่อนๆ มีเพียงรินดาราเท่านั้นที่เธอยังติดต่ออยู่ จึงทำให้พอจะได้รับรู้ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของคนอื่นๆบ้าง แต่ทั้งสองสาวต่างรู้กันว่า จะไม่พูดเรื่องของศิโรตม์เด็ดขาด เพราะตอนที่รู้ข่าวว่าศิโรตม์คบหาดูใจกับเมธิรานั้น รินดาราเป็นคนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของกุลธิดาดีที่สุด

    หลังจากหนึ่งปีในการเรียนที่อังกฤษผ่านไป ในช่วงปิดเทอมสั้นๆซึ่งกุลธิดายังไม่มีแผนว่าจะกลับบ้านหรือไปเที่ยวไหนดี เธอก็ได้รับข่าวจากรินดาราว่า เมธิราแฟนสาวของศิโรตม์ควงนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงออกงานท่าทางหวานชื่น พอถูกนักข่าวถามถึงความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่มที่กำลังคร่ำเคร่งกับการเรียนอยู่ต่างประเทศ  เมธิราก็ตอบตามสไตล์ดาราว่า ตอนนี้เธอกับศิโรตม์เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ไม่ยอมให้ข้อมูลละเอียดมากไปกว่านั้น สื่อทั้งหลายพากันวิเคราะห์กันว่า เป็นเพราะความห่างไกลนั่นเอง ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่สั่นคลอนจนมีมือที่สามอย่างนักธุรกิจหนุ่มเข้ามาแทรกได้

    ข่าวที่กุลธิดาได้รับรู้นี้ ทำให้ตะกอนแห่งความหวังที่นอนนิ่งอยู่ก้นบึ้งของหัวใจพากันลุกขึ้นมาเต้นรำเริงร่าอย่างหน้าไม่อาย เธอกล้าถึงขนาดขอที่อยู่ของศิโรตม์จากรินดารา และหลังจากนั้นก็พาตัวเองบินลัดฟ้าไปอเมริกาเพื่อเจอเขา ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเจอแล้วจะทำอะไรได้ แต่ในตอนนั้นเธอห่วงความรู้สึกของศิโรตม์มากจนไม่ทันคิดเรื่องอื่นเลย

    ทว่าพอไปถึงจุดมุ่งหมายเข้าจริงๆ กุลธิดากลับไม่กล้าโทรไปหา หากแต่เลือกทำสิ่งที่งี่เง่า ด้วยการไปแอบยืนเฝ้ารอเจอเขาอยู่หน้าหอพักเพียงลำพังเหมือนคนโรคจิต ตั้งแต่รู้จักและเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของศิโรตม์ตลอดมานั้น เขามีผู้หญิงมากหน้าหลายตาอยู่ข้างกายไม่ขาดก็จริง แต่ก็ไม่มีคนไหนที่เขาจะจริงจังถึงขั้นประกาศตัวว่าเป็นแฟนเลยสักคน นอกจากเมธิราเท่านั้น กุลธิดาเชื่อว่าเขาคงรักเมธิราอย่างจริงจัง และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอกังวลเกี่ยวกับความรู้สึกและสภาพจิตใจของเขาเป็นอย่างมากในตอนนี้

    เธอครุ่นคิดไปสารพัดว่า ศิโรตม์จะมีอาการของคนผิดหวังในความรักในระดับสาหัสมากน้อยแค่ไหน แต่ในจินตนาการที่วาดไว้ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับภาพที่เธอเห็นกับตาเลยสักอย่าง เพราะชายหนุ่มที่เธอมาแอบรอพบนั้น กำลังเดินพูดคุยมากับเพื่อนๆโดยไม่ได้มีท่าทีโศกเศร้าหรืออมทุกข์ให้เห็นแม้แต่นิด ตรงกันข้าม ศิโรตม์ยังดูสดใสร่าเริงและโดดเด่นอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนชาวต่างชาติไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลยสักนิด

    กล้องถ่ายรูปคู่ใจได้ทำหน้าที่สำคัญอีกครั้ง กุลธิดายกมันขึ้นมาและกดชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพความสุขของคนที่เธอแอบรักไว้กับตัวโดยอัตโนมัติ กว่าจะรู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไปก็เมื่อศิโรตม์เหมือนจะรู้สึกได้ว่ามีใครแอบถ่ายรูปอยู่ เขาหันมามองไปรอบๆตัวด้วยความสงสัยทันที แต่โชคดีที่กุลธิดาหลบทันก่อนที่จะถูกเห็นเข้า พอศิโรตม์เดินมายังจุดที่เธอยืนอยู่เมื่อครู่นั้นก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว เพราะกระต่ายตื่นตูมอย่างกุลธิดาวิ่งแจ้นหนีไปได้หวุดหวิด

    คนเกือบถูกจับได้ยังไม่หายจากอาการตื่นเต้นตกใจ กุลธิดารู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่เธอทำตัวงี่เง่าไร้สาระมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา แทนที่ปิดเทอมจะกลับบ้านไปเจอหน้าพ่อแม่ให้หายคิดถึง กลับทำลายความพยายามที่จะลืมเขามาตลอดหนึ่งปีด้วยการตัดสินใจชั่ววูบ และข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาเขาถึงที่เพียงเพราะเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะเสียใจที่เลิกกับแฟน ทั้งๆที่เขาไม่รู้ตัวและคงไม่ต้องการกำลังใจจากเธอสักนิดด้วยซ้ำ ยิ่งมาเห็นว่าเขาไม่ได้ระทมทุกข์หรือเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย เธอยิ่งรู้สึกว่าตัวเองบ้าเอามากๆที่ดั้นด้นมาถึงที่นี่

    เพราะรู้สึกอับอายกับพฤติกรรมบ้าๆนี้เหลือกำลัง กุลธิดาจึงลงโทษตัวเองด้วยการกลับไปอังกฤษและหมกตัวอยู่แต่ห้องสมุดเพื่อเตรียมหัวข้อวิทยานิพนธ์ตลอดช่วงปิดเทอมสั้นๆนั้น โดยตัดขาดตัวเองจากการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกทุกชนิด มีเพียงแค่โทรศัพท์ถึงบ้านเป็นบางครั้งเท่านั้น

    ประสบการณ์ในครั้งนั้นทำให้เธอได้เรียนรู้ว่า จิตใจของตัวเองนั้นอ่อนไหวจนน่ากลัวถ้ามีอะไรเกี่ยวข้องกับศิโรตม์ เธอจึงยิ่งพยายามขึ้นอย่างหนักเพื่อที่จะเลิกรักเลิกคิดถึงชายหนุ่มเจ้าปัญหาของเธอคนนี้ให้ได้ เธอนึกถึงการคบใครสักคนเป็นแฟนอย่างจริงจังเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่เมื่อนึกต่อไปอีกว่า หากเธอตกหลุมรักใครแล้วต้องผิดหวังอีก เธอไม่อาการปางตายหรือเป็นบ้าไปจริงๆเลยหรอกหรือ เพราะขนาดว่าแค่แอบชอบ เธอยังมีอาการหนักขนาดนี้ ดังนั้น การแก้ปัญหาหัวใจด้วยวิธีหาคนมาดามใจจึงไม่เหมาะสำหรับคนจิตใจอ่อนไหวขั้นโคม่าอย่างเธอแน่ ด้วยเหตุนี้เธอจึงเลือกที่จะอยู่เพียงลำพัง และขลาดกลัวกับการเปิดใจให้ความรักมาจนถึงทุกวันนี้

    แม้จะก้าวเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีแล้ว แต่กรุงเทพฯก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้สัมผัสความเย็นของฤดูหนาวเลยสักนิด ตรงกันข้าม วันนี้กลับร้อนอบอ้าวและสักพักฝนก็ลงเม็ดมาไม่ให้ตากล้องมือสมัครเล่นอย่างเธอได้ทันตั้งตัว โชคดีที่เธอไม่โดนฝนมากนัก แต่ก็ต้องเข้าไปหลบอยู่ในห้างแทนที่จะได้ถ่ายภาพไฟประดับสวยๆอย่างที่ต้องการ

    เพราะเริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะไม่สบาย กุลธิดาจึงเลือกเข้าไปนั่งดื่มกาแฟอุ่นๆ ให้ร่างกายได้พักสักเล็กน้อยก่อนแทนการออกไปแย่งแท็กซี่และผจญรถติดอยู่บนท้องถนนตอนกลับบ้าน ฝนตกอย่างนี้รถคงติดยาวอีกหลายชั่วโมง เธอเลยหยิบเอางานที่หอบติดมือมาด้วยนั้นขึ้นมานั่งทำฆ่าเวลา ข้อดีของการเป็นนักแปลก็คือ สามารถทำงานที่ไหนเมื่อไหร่โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับใครก็ได้ ซึ่งเหมาะกับนิสัยโลกส่วนตัวสูงของเธอที่สุด

    กุลธิดานั่งทำงานได้สักพักก็รู้สึกว่ามึนหัวจนเกินจะฝืนอ่านบทความตรงหน้าได้ไหว เธอจึงเก็บงานเข้ากระเป๋าสัมภาระคู่ใจ และเอนหลังไปกับโซฟาพร้อมกับพักสายตาที่ล้ามาทั้งวัน ทว่าแอร์เย็นๆ โซฟานุ่มๆและเพลง Silent Night ที่ทางร้านเปิดคลอให้เข้ากับบรรยากาศช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ทำให้หญิงสาวรู้สึกเคลิบเคลิ้มจนเกือบจะเผลอหลับเข้าจริงๆ

    สักพักเธอก็รู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามานั่งลงข้างๆ ถึงโซฟานี้จะเป็นแบบสองที่นั่ง แต่ในเมื่อเธอจับจองอยู่ก่อนแล้ว คนมาใหม่ก็ไม่ควรล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวของเธอเช่นนี้ กุลธิดารู้สึกไม่พอใจมากจนต้องรีบเปิดเปลือกตาขึ้นมาดูคนไร้มารยาทในทันที แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้ต้องตาค้างด้วยความตกใจ พูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ

    “เสือ!

    เจ้าของชื่อส่งสายตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความยินดีพร้อมกับรอยยิ้มละไมมาให้เธอ

    “ดีใจจังที่กุลยังไม่ลืมผม”

    เธอคงมึนจนเพ้อเห็นทั้งภาพได้ยินทั้งเสียงไปเองแน่ๆ กุลธิดาคิดในใจ สัมผัสอุ่นๆจากมือหนาของคนตรงหน้าที่แตะลงบนหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนนั้น ทำให้เธอยิ่งงุนงงมากขึ้นกว่าเดิมอีก

    “ตัวร้อนนี่ กุลไม่สบายหรือเปล่า” ศิโรตม์เปลี่ยนจากสีหน้ายินดีเมื่อครู่มาเป็นขมวดคิ้วด้วยความกังวลแทน แต่กุลธิดาไม่ทันได้สนใจคำถาม เพราะนอกจากจะตกใจจนมึนงงกับการพบเจอเขาอย่างไม่คาดฝันแล้ว เธอยังเริ่มรู้สึกหนาวๆร้อนๆ ร่างกายเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อๆ จึงได้แต่นั่งจ้องมองเขานิ่งอยู่อย่างนั้น

    “กุล...ไหวหรือเปล่าครับ กลับบ้านก่อนมั้ย”

    ถ้าไม่ต้องตกใจที่ได้เจอเขาโดยไม่คาดฝันอย่างนี้ อาการปวดหัวที่เป็นอยู่ก็คงไม่หนักมากนักหรอก แต่เพราะศิโรตม์มีอิทธิพลกับร่างกายและจิตใจของเธอมาก ชนิดที่กุลธิดาเองยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ เธอจึงรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องอยากจะอาเจียน ทั้งๆที่ในห้างเปิดแอร์เย็นจนหนาวสั่น แต่อุณหภูมิในร่างกายเธอกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากลัวอีกด้วย

    พอเห็นอาการกระสับกระส่ายเหมือนจะไม่ได้สติของกุลธิดา ศิโรตม์ก็ชักจะนั่งไม่ติด เขาพยายามเรียกชื่อเธอ แต่กุลธิดาแทบไม่เหลือสติที่จะตอบโต้อะไรได้แล้วในตอนนี้ แม้เธอจะแข็งใจพยายามบังคับร่างกายให้ลุกขึ้น แต่ก็ยืนโงนเงนได้ไม่กี่วินาทีก็ต้องล้มนั่งลงที่เดิม

    “ไม่ไหวก็อย่าฝืนเลย เดี๋ยวผมอุ้มกุลเองนะครับ”

    ศิโรตม์ไม่รอคำตอบจากหญิงสาว เขาสะพายกระเป๋าของเธอพาดบ่าและอุ้มคนป่วยอย่างทะนุถนอมจนคนอื่นๆในร้านพากันมองไปอมยิ้มไปกับภาพที่เห็น โดยเฉพาะพนักงานในร้านกาแฟแห่งนี้ต่างพากันชะงักด้วยความประหลาดใจ ไม่มีใครสนใจทำงานที่ค้างอยู่เลยสักคน สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าคมเข้มบาดใจซึ่งกำลังอุ้มหญิงสาวร่างเล็กที่บัดนี้ดวงหน้ารูปหัวใจนั้นกำลังแดงก่ำเพราะพิษไข้ไว้ในอ้อมกอดอย่างระมัดระวัง ศิโรตม์เดินไปหยุดเล็กน้อยตรงหน้าแคชเชียร์ของร้านซึ่งกำลังมองเขาตาค้างไม่ต่างจากพนักงานคนอื่นๆ

    “เครื่องดื่มของโต๊ะนี้ให้ลงบัญชีผมได้เลยนะครับ”

    เขาสั่งเพียงแค่นั้นก่อนจะออกจากร้านไปอย่างรีบร้อน เพราะรู้สึกถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วงของคนที่เขาอุ้มอยู่ตอนนี้ ศิโรตม์พากุลธิดาตรงไปยังโรงพยาบาลทันที หลังจากให้หมอตรวจแล้วพบว่ากุลธิดามีเชื้อไข้หวัดใหญ่ ทางโรงพยาบาลจึงรับแอดมิดทันที

    ศิโรตม์ตกใจที่ได้ยินอย่างนั้น แต่เขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มถือวิสาสะเอาโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมาเพื่อกดโทรแจ้งข่าวกับคนในครอบครัวของเธอ โชคดีที่กุลธิดาบันทึกเบอร์สมาชิกคนสำคัญในบ้านไว้ใน Favorite แล้ว ทำให้เขาไม่ต้องเดาให้ยุ่งยากว่าจะโทรไปหารายชื่อไหนดี

     

    “ขอบคุณเสือมากนะจ๊ะ ถ้าไม่ได้เสือช่วยไว้ยัยกุลคงแย่ ยิ่งชอบไปไหนมาไหนคนเดียวอย่างนี้ด้วย” ปานวาดแม่ของกุลธิดากล่าวขอบอกขอบใจศิโรตม์ซ้ำอีกครั้ง หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากเขาแล้วก็รีบร้อนมาโรงพยาบาลทันที พอได้รู้ว่าลูกสาวคนเดียวปลอดภัยแล้วก็ทำให้คนเป็นแม่ก็โล่งใจไปได้บ้าง ส่วนทรงพลผู้เป็นพ่อนั้นยังรู้สึกไม่ไว้ใจชายหนุ่มหน้าหล่อที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนลูกสาวคนนี้นัก จึงยังคงสงวนท่าทีกับอีกฝ่ายอยู่

    “ไม่เห็นยัยกุลเคยเล่าให้ฟังเลยว่ามีเพื่อนชื่อเสือ” น้ำเสียงและสีหน้าของทรงพลแสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อถือคำพูดของศิโรตม์ที่แนะนำตัวกับสองสามีภรรยาว่าเป็นเพื่อนกับกุลธิดา ชายหนุ่มได้ยินอย่างนั้นก็เกิดอาการปั้นหน้าไม่ถูก

    “คุณคะ” ปานวาดปรามสามีทันที “เสือเป็นลูกชายของพลตำรวจเอกสินยังไงล่ะคะ คุณเองก็เคยเจอท่านในงานเลี้ยงศิษย์เก่าโรงเรียนคุณแล้วครั้งหนึ่ง จำได้ไหมคะ” ภรรยาของทรงพลพยายามยกเอาพ่อของชายหนุ่มมาอ้างเพื่อเพิ่มเครดิตความน่าเชื่อถือให้กับศิโรตม์บ้าง ปานวาดเห็นท่าทางของชายหนุ่มแล้วค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนไม่น่าไว้ใจแต่อย่างใด แต่ก็เข้าใจว่าศิโรตม์อาจจะกลัวจนไม่กล้าอธิบายตัวเองกับสามีเธอเป็นแน่ ก็ทรงพลน่ะหนวดเฟิ้มและชอบทำหน้าตาดุดันอยู่เรื่อย โดยเฉพาะกับผู้ชายที่เข้ามาเกาะแกะกับลูกสาวสุดหวงด้วยแล้ว

    “อย่างนั้นหรอกรึ” ทรงพลมีท่าทีอ่อนลงบ้าง แต่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะถึงชายหนุ่มตรงหน้านี้จะเป็นลูกชายของท่านนายพลจริงๆ ก็ใช่ว่าจะทำให้เขาพอใจเสียเมื่อไหร่ ขึ้นชื่อว่ามีผู้ชายมาเกาะแกะใกล้ชิดกับลูกสาวสุดรัก เขาก็ไม่พอใจทั้งนั้นแหละ

    “ยังไงก็ขอบใจละกันที่ช่วยดูแลยัยกุล แต่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว คงไม่รบกวนเธอแล้วล่ะ” ทรงพลไล่เพื่อนลูกสาวทางอ้อมเลยถูกปานวาดส่งสายตาดุๆมาให้ทันที แต่ก็เห็นด้วยกับความเห็นของสามีจึงหันไปพูดจากับอีกชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “เสือกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะลูก วันนี้คงเหนื่อยมากแล้ว”

    คนถูกไล่ทางอ้อมเห็นว่าหากตัวเองจะขออยู่เฝ้ารอดูอาการกุลธิดาด้วย ทรงพลคงระแวงสงสัยเขามากขึ้นกว่าเดิม และปานวาดก็คงไม่เชื่อว่าเขาเป็นแค่เพื่อนธรรมดาของกุลธิดาแน่ หากโดนท่านทั้งสองซักไซ้เข้าจริงๆ ศิโรตม์ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี จึงจำต้องลากลับไปก่อนด้วยความรู้สึกเสียดายโอกาสที่แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน

    กุลธิดาลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น อาการปวดหัวหายไปแล้ว แต่เธอยังรู้สึกอ่อนเพลียและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก เธอรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาล โดยมีพ่อกับแม่นั่งเฝ้าอยู่ตรงโซฟาใกล้ๆเตียงคนไข้ แต่สิ่งที่ยังไม่รู้ก็คือ เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน

    คนป่วยไม่ค่อยแน่ใจนักว่า ศิโรตม์ที่เธอเห็นเมื่อวานนั้นเป็นตัวจริง หรือเป็นผลมาจากพิษไข้ที่รุมเร้าอย่างหนักเพียงเท่านั้น และความจริงก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับจินตนาการของเธอเลยแม้แต่นิดด้วย ใจหนึ่งก็ภาวนาขอให้มันเกิดขึ้นกับเธอจริงๆ เพราะสายตา รอยยิ้ม และความอ่อนโยนจากศิโรตม์ที่เธอได้สัมผัสเมื่อวานนั้นทำให้รู้สึกดีเหลือเกิน แต่อีกใจหนึ่งก็บอกว่า ให้มันเป็นแค่ความเพ้อเจ้อแบบเดิมนั่นแหละดีแล้ว เพราะความจริงมันอาจจะทำร้ายจิตใจให้เธอเจ็บมากกว่าที่เคยเจ็บอีกก็ได้

    “ตื่นแล้วเหรอลูกหมูของพ่อ” เมื่อสังเกตเห็นร่างเล็กบนเตียงขยับตัว ทรงพลก็ปราดเข้าไปยืนข้างๆทันทีพร้อมเอ่ยทักทายน้ำเสียงอ่อนโยน ปานวาดรีบลุกตามสามีมาติดๆพลางใช้มือแตะที่ศีรษะลูกสาวก่อนจะเอ่ยถาม

    “ตัวไม่ค่อยร้อนแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย ว่าแต่ ยังปวดหัวอยู่มั้ยลูก”

    กุลธิดาส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง “กุลมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”

    “หนูไข้ขึ้นสูงมากจนไม่ได้สติตอนอยู่ที่ห้าง โชคดีมีคนช่วยพาส่งโรงพยาบาลน่ะลูก” ทรงพลเป็นคนตอบคำถามนี้แต่ไม่ยอมระบุชื่อชายหนุ่มที่ให้การช่วยเหลือ เพราะไม่อยากให้ศิโรตม์ได้คะแนนความดีความชอบจากลูกสาวของตัวเองไป

    “เพื่อนของกุลที่ชื่อเสือน่ะจ๊ะ” ปานวาดหันไปส่งสายตาดุๆกับสามีก่อนจะหันมาบอกลูก

    “ไอ้หมอนี่เป็นใคร ทำไมพ่อไม่เคยได้ยินหนูเล่าให้พ่อฟังบ้างเลยฮึ ยัยลูกหมู” ทรงพลยังคาใจเรื่องศิโรตม์อยู่ ความเป็นคนใจร้อนจึงเปิดฉากซักไซ้กับคนป่วยทันที

    คราวนี้ปานวาดมองคนถามตาขุ่นเขียวพร้อมกับขึ้นเสียงด้วยความเหลืออด

    “คุณคะ ยัยกุลไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ จะมีเพื่อนใหม่ๆที่เราไม่รู้จักบ้างก็ไม่แปลกนี่ แล้วตอนนี้ลูกก็ป่วยอยู่ ยังจะมาถามเรื่องไร้สาระอย่างนี้อยู่ได้”

    ทรงพลหน้าจ๋อยลงไปเล็กน้อย แต่ยังอดบ่นต่อไม่ได้

    “ถ้าเป็นแค่เพื่อนก็ไม่มีอะไรหรอก แต่ผมเห็นสายตาไอ้เจ้าหนุ่มนั่นมันมองลูกเราแล้วไม่น่าไว้ใจเลย แถมจู่ๆก็ไปเจอยัยลูกหมูตอนป่วยโดยบังเอิญอีก”

    “อาจจะไม่ใช่แค่เพื่อนก็ได้นะครับพ่อ” โกวิทย์ พี่ชายคนเดียวของกุลธิดาส่งเสียงเข้ามาก่อนที่ตัวจะมาถึง

    “ยัยลูกหมูของพ่อมีแฟนแต่ไม่ยอมบอกเราน่ะสิครับ” โกวิทย์เดินมาหยุดยืนอยู่อีกฟากของเตียงพร้อมกับเอ่ยข้อสันนิษฐานด้วยใบหน้าทะเล้น ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะคนบนเตียงเบาๆ “ร้ายไม่ใช่เล่นนะเราน่ะ”

    กุลธิดาค้อนขวับให้พี่ชายทันที “เห็นว่ากุลป่วยอยู่ เลยเล่นงานไม่ยั้งเลยนะพี่โก้”

    “ช่วยไม่ได้นะน้องรัก หลักการของพี่คือ ศัตรูเพลี่ยงพล้ำเราต้องซ้ำอย่าให้ลุกได้อีก”

    “แม่คะ พี่โก้แกล้งกุลอีกแล้ว” กุลธิดาหันไปหาแนวร่วม ซึ่งก็ได้ผล ปานวาดฟาดต้นแขนลูกชายเบาๆพร้อมกับเอ็ดที่เขาเล่นไม่ดูเวล่ำเวลา

    “ทั้งพ่อทั้งลูกนี่ยังไงนะ เห็นมัยว่ายัยกุลป่วยอยู่  ยังมาพูดจาไร้สาระอีก”

    ทรงพลยังไม่หายข้องใจกับสิ่งที่ลูกชายเอ่ยก่อนหน้า เขารู้สึกผิดปกติกับแววตาและท่าทีที่ศิโรตม์มีต่อลูกสาวของเขาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ยิ่งเห็นลูกสาวมีอาการเขินหน้าแดงด้วยอีก เขาก็ยิ่งห่วงหวงตามประสาพ่อ เลยพาลไม่ชอบชายหนุ่มคนนี้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

    กุลธิดากลัวคนในครอบครัวจะล่วงรู้ความลับที่น่าอาย ว่าลูกสาวแอบชอบชายหนุ่มผู้เป็นหัวข้อสนทนานี้อยู่ เธอจึงไม่ยอมเอ่ยเรื่องศิโรตม์เลยสักคำ โชคดีที่พ่อกับพี่ชายไม่กล้าซักไซ้มากนักเพราะเกรงใจแม่ เธอเลยรอดตัวไปได้

    ถึงครอบครัวของเธอจะอบอุ่นและเปิดเผยพูดคุยกันทุกเรื่อง แต่สำหรับเรื่องนี้ กุลธิดาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระและก็น่าอายจนเกินกว่าจะให้พ่อกับแม่รับรู้มันด้วย ดังนั้นสมาชิกในบ้านของเธอจึงไม่มีใครรู้ว่าศิโรตม์เป็นใคร ยิ่งจะให้บอกว่าเธอคิดอย่างไรกับศิโรตม์นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

    เรื่องบางเรื่องถึงบอกไป นอกจากจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ยังอาจจะทำให้คนฟังพลอยเป็นห่วงความรู้สึกของเธอไปด้วยเปล่าๆ กุลธิดาคิดว่าเก็บไว้เป็นความลับไว้กับตัวเองน่าจะดีที่สุดในตอนนี้

     

    ###################################

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×