คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
เช้านี้ช่างเป็นเช้าที่แสนจะสดใส ท่ามกลางแสงแดดอุ่นๆ สายลมพัดมาเอื่อยๆพอหยอกล้อให้เหล่าต้นไม้ส่ายไหวไปมาดูเพลินตา หญิงสาวเจ้าของใบหน้ารูปหัวใจนั่งปล่อยอารมณ์อยู่ตรงม้านั่งตัวหนึ่งกลางสวนสาธารณะใจกลางกรุงเทพฯ ในมือของเธอกำลังเลื่อนหน้าจอแทบเล็ตคู่ใจกลับไปกลับมาเพื่อมองภาพข่าวเดิมๆนั้นซ้ำอีกไม่ต่ำกว่ารอบที่สิบ
ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มส่งสายตาชวนใจละลายออกมาจากเจ้าแทบเล็ตยี่ห้อผลไม้นั้น กุลธิดาอยากจะยิ้มให้กับคนในรูปข่าวนั้นอยู่หรอก ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้จิตใจเธอมันหดหู่และสิ้นหวังจนเกินจะมีแรงพอสำหรับยกมุมปากให้แย้มยิ้มได้ และสาเหตุที่ทำให้เธอมีอาการอย่างนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่เป็นผู้ชายที่อยู่ในภาพข่าวที่เธอจ้องมองอยู่ตอนนี้นี่เอง
ศิโรตม์หรือที่เพื่อนๆเรียกกันว่าเสือคือผู้ชายคนนั้น ชายหนุ่มที่อยู่ในภาพข่าวตรงหน้าตอนนี้ แต่อยู่ในใจเธอมานานเหลือเกิน กุลธิดาละสายตาจากหน้าจอแทบเล็ตแล้วเหม่อมองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดมุ่งหมาย หวนนึกถึงครั้งแรกที่เธอได้พบกับศิโรตม์ตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสอง เหตุการณ์ในครั้งนั้นผ่านได้กว่าสามปีมาแล้ว แต่เรื่องราวยังคงฝังลึกอยู่ในห้วงคำนึงของเธอไม่เคยจางหายไปได้เลย
วันนั้นเป็นวันงานบอลประเพณีของมหาวิทยาลัยที่รินดาราเรียนอยู่ ถึงกุลธิดาจะไม่ใช่นักศึกษาสถาบันเดียวกันกับเพื่อนแต่เธอก็ถูกลากให้ไปร่วมเชียร์ฟุตบอลในครั้งนี้ด้วย ระหว่างที่รอรินดาราตรงจุดนัดพบอยู่คนเดียวด้วยความงุนงงเพราะเธอไม่เคยมางานแบบนี้เลย และไม่รู้จักใครสักคนด้วย ก็มีชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาหล่อขั้นเทพเดินเข้ามาทักเธอก่อนชนิดที่กุลธิดาไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
“ใช่กุลหรือเปล่าครับ” คนหล่อทักด้วยน้ำเสียงทุ้มที่ฟังแล้วรู้สึกดีจนอยากฟังซ้ำ กุลธิดาทำหน้าเหลอหลาหันมองไปรอบๆเพื่อมองหาว่าเขาพูดกับคนอื่นหรือเปล่า แต่ศิโรตม์ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายงุนงงอยู่นาน เขาเอ่ยสำทับอีกครั้งเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้หญิงสาว
“ถ้าคุณคือกุลธิดา เพื่อนของรินดารา ก็ไม่ต้องมองหาคนอื่นให้เมื่อยหรอกครับ เพราะผมกำลังพูดกับคุณนั่นล่ะ”
“คุณหมายถึงรินดารา ภาสกรวงศ์ ใช่หรือเปล่าคะ” กุลธิดาถามอย่างไม่แน่ใจ
“อืม...เต็มยศเลยแฮะ ใช่ครับ รินดารา ภาสกรวงศ์ เด็กศิลปะศาสตร์ปีสอง ลูกสาวคนสวยของคุณดนัย ภาสกรวงศ์ นักธุรกิจชื่อดังคนนั้นล่ะครับ” ศิโรตม์กล่าวยิ้มๆ
“อ้อ...ค่ะ” กุลธิดารับคำก่อนจะนิ่งเงียบไป ด้วยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ แต่สักพักเธอก็นึกขึ้นบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนคนฟังรู้สึกขำอยู่ในใจกับท่าทางเหมือนกระต่ายตัวน้อยๆที่กำลังตื่นตูมของเธอ
“ชื่อกุลธิดา เรืองธานินทร์ค่ะ เรียนอยู่ปีสอง คณะมนุษยศาสตร์ภาษาอังกฤษ แต่ไม่ใช่เด็กมหาวิทยาลัยเดียวกับคุณและยัยรินหรอกนะคะ คือตอนสอบฉันเลือกม.เกษตรฯน่ะ ไม่ได้เลือกที่เดียวกับยัยริน”
ศิโรตม์ถึงกับอึ้งไปหลายวินาทีหลังจากได้ยินคำตอบที่ไม่คาดฝันจากคนตรงหน้า เขากลั้นหัวเราะอย่างยากลำบากขณะตอบกลับหญิงสาวไป
“ผมศิโรตม์ ผดุงเดชศิริ ชื่อเล่นชื่อเสือ อยู่ปีสอง คณะเศรษฐศาสตร์ ลูกแม่โดมครับ ตอนสอบก็ตั้งใจมาสอบตรงเข้าที่นี่ที่เดียวไม่ได้เลือกที่อื่นเลยครับ แต่ตอนนี้ชักจะเสียดายขึ้นมาแล้วสิที่ไม่ได้เลือกม.เกษตรฯ”
กุลธิดาหน้าแดงด้วยความอายและโมโหตัวเอง ที่มัวแต่ตื่นเต้นที่ได้คุยกับคนหล่อแล้วเผลอเพ้อเจ้อเรื่องของตัวเองให้เขาฟังจนฝ่ายนั้นล้อเลียนกลับมา หญิงสาวจึงได้แต่ก้มหน้างุดทำตัวไม่ถูก
“ทีนี้เราสองคนก็รู้จักกันแล้ว รินให้ผมมารับกุลเพราะเธอวุ่นอยู่กับพวกสตาฟแปรอักษร ยังปลีกตัวมาไม่ได้ตอนนี้ เข้าไปนั่งดูบรรยากาศในสนามก่อนมั้ย เดี๋ยวรินก็คงตามไป”
ถึงหน้าตาเขาจะหล่อขั้นณเดชน์เรียกพี่ก็เถอะ แต่เธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายที่จะยอมเดินตามคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงห้านาทีไปต้อยๆได้หรอกนะ
“ทำหน้าอย่างนี้แปลว่าไม่ไว้ใจผมใช่มั้ย”
กุลธิดาปั้นหน้าไม่ถูกเมื่ออีกฝ่ายพูดตรงๆแบบนั้น เธอเลยใช้ความเงียบแทนคำตอบ และยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับตัวไปไหน
“กะแล้วเชียว เป็นอย่างที่รินบอกไว้จริงๆด้วย เอาเป็นว่าแผนแรกคือพากุลไปนั่งในสนามก่อนไม่สำเร็จ แต่ไม่เป็นไรผมเตรียมแผนสองไว้แล้ว”
“แผนสอง?” กุลธิดาขมวดคิ้วมองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสัย
“ก็นั่งรออยู่เป็นเพื่อนกุลตรงนี้จนกว่ารินจะมาไง ไม่ต้องกลัวนะ ผมไม่ทำอะไรหรอก เชื่อใจได้” ศิโรตม์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม กุลธิดาอยากจะเชื่อคำพูดอยู่หรอกถ้าเขาจะไม่มองเธอด้วยแววตาที่เธอแปลความหมายไม่ถูกแบบนั้น
“หิวหรือเปล่า ผมไปซื้ออะไรมาให้กุลทานเล่นก่อนดีกว่า รออยู่ตรงนี้อย่าไปไหนนะครับ”
ไม่รอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย ศิโรตม์เร่งฝีเท้าไปยังซุ้มขายน้ำที่อยู่ข้างๆก่อนจะกลับมาพร้อมกับน้ำเปล่าและขนมขบเคี้ยวหลายห่อ เขาเปิดขวดน้ำแล้วยื่นให้กุลธิดาแต่หญิงสาวมองอย่างไม่ไว้ใจ
“นี่ผมเปิดมันต่อหน้ากุลเลยนะ คิดว่าผมจะแอบเอาอะไรใส่ลงไปในน้ำนี่หรือไงครับ”
“นี่ก็อยู่ในแผนสองด้วยหรือเปล่าคะ”
กุลธิดาถามเสียงเบา รู้สึกกลัวระคนเกรงใจคนถูกถาม ทว่าเขาไม่ยอมตอบแต่มองเธอด้วยสายตาที่แปลความหมายไม่ออกแบบนั้นอีกแล้ว
สุดท้าย กุลธิดาก็ยอมรับน้ำขวดนั้นมาไว้ในมืออย่างเสียไม่ได้ แต่เพราะอากาศร้อนจนเธอชักจะคอแห้งหรอกนะถึงได้ยอมเสี่ยงดื่มน้ำนั่น หน้าตาท่าทางเขาก็ดี แถมตรงนี้ก็คนเยอะแยะ เขาคงไม่กล้าทำอะไรหรอก คิดไปคิดมาแล้ว ดีเสียอีกที่มีคนมาอยู่เป็นเพื่อนแก้เก้อ
ถึงแม้เวลาอยู่กับครอบครัวหรือกับเพื่อนสนิทอย่างรินดาราแล้ว กุลธิดาสามารถพูดจนลิงหลับ ขนาดว่าพี่โก้พี่ชายคนเดียวของเธอถึงกับเคยจ้างด้วยเงินตั้งห้าร้อยเพื่อให้เธอหยุดพูด แต่พอได้มาอยู่กับชายหนุ่มหน้าตาหล่อออร่าสว่างจ้าอย่างศิโรตม์แล้ว กุลธิดากลายเป็นนางพิกุลทองไม่กล้าพูดเพราะกลัวดอกพิกุลร่วงไปเสียอย่างนั้น เธอได้แต่นั่งฟังเขาคุยเพลินจนลืมว่าตัวเองนั้นกำลังรอเพื่อนรักอยู่ จนกระทั่งรินดารามาถึงในอีกเกือบสามสิบนาทีต่อมานั่นแหละ ฝันหวานตอนกลางวันแดดเปรี้ยงในครั้งนั้นถึงได้จบลงเสียที
ตั้งแต่วันนั้น กุลธิดาก็รู้ว่าในใจของเธอมันไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไปแล้ว ศิโรตม์ได้เข้ามายึดพื้นที่ทั้งหมดนั้นไปโดยที่เขาเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แม้โอกาสที่จะได้เจอหน้าเขานั้นแทบไม่ค่อยมีเพราะเรียนอยู่คนละที่และวิถีชีวิตก็คนละแบบ แต่ข่าวคราวของหนุ่มหล่อไฮโซของเขาก็มีให้อ่านตามหน้าข่าวสังคมหรือข่าวกอสสิปอยู่เรื่อยๆ แน่นอนว่าหนีไม่พ้นข่าวความสัมพันธ์กับสาวๆที่รวมคนล่าสุดนี้ ก็เป็นคนที่สิบห้าแล้วตั้งแต่เธอเริ่มรู้จักเขามา
การแอบรักข้างเดียวนั้น เป็นความรู้สึกที่สุขระคนขมขื่นอย่างประหลาด ทั้งๆที่รู้ว่าเขามีผู้หญิงที่เหมาะสมคู่ควรมาให้เลือกไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว แต่กุลธิดายังไม่เลิกหวังลมๆแล้งๆว่าศิโรตม์จะหันมามองเธอเกินกว่าเพื่อนของเพื่อนบ้าง มาถึงตอนนี้แล้ว เธอก็ได้แต่หัวเราะเยาะในความเพ้อเจ้อของตัวเองอยู่เพียงลำพัง
ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงวันนี้ เธอมีโอกาสได้พบศิโรตม์ตัวเป็นๆเพียงห้าครั้งเท่านั้น และแต่ละครั้งก็ไม่ใช่การพบเจอกันส่วนตัวตามประสาเพื่อน แต่เป็นการเจอกันผ่านงานเลี้ยงที่รินดาราบังคับให้เธอไปด้วยเท่านั้น ครั้งล่าสุดคือเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เธอถูกรินดาราบังคับให้ไปงานเลี้ยงด้วยกันอีกครั้ง งานนี้มีแต่เพื่อนสนิทในกลุ่มของศิโรตม์และรินดาราทั้งนั้นซึ่งกุลธิดาพอรู้จักอยู่บ้างทำให้ไม่รู้สึกเคอะเขินนัก แต่เรื่องที่ได้รับรู้ในงานครั้งนั้น ทำให้เธอต้องเริ่มต้นทบทวนตัวเองว่า ควรจะไล่ผู้ชายที่มาจับจองที่นั่งในใจของเธออยู่มานานคนนี้ออกไปเสียที
เหตุการณ์วันนั้นมันเริ่มมาจาก พวกเพื่อนๆพากันแซวศิโรตม์ เรื่องที่เขามีสาวสวยผู้เพียบพร้อมที่คุณหญิงชนาภาผู้เป็นแม่หมายหมั้นไว้ให้เขาแล้ว และผู้หญิงที่น่าอิจฉาคนนั้นก็คือปารวตี สาวไฮโซที่นอกจากจะหน้าตาสวยหยาดเยิ้มแล้วยังเรียนเก่งถึงขั้นลุ้นเกียรตินิยมอีก
“ไร้สาระ คู่หมั้นที่ไหนกัน น้องแพทน่ะเป็นหลานสาวของเพื่อนคุณแม่โว้ย ฉันไม่คิดอะไรกับน้องเขาหรอก พวกแกหยุดล้อไปเลย” ศิโรตม์ร้อนรนอธิบายกับคนอื่นๆในกลุ่ม กุลธิดายืนรับฟังอยู่ห่างๆแต่หูนั้นคอยสนใจแต่เสียงของชายหนุ่มในฝันของเธออยู่ตลอดเวลา
“อย่ามาอำกันให้ยากเลยไอ้เสือ วันนั้นมึงซ่อนอะไรไว้ในรถ รูปใครวะ กูเห็นแว๊บๆ มึงไม่เคยมีอาการหวงของแบบนี้มาก่อน ถ้าไม่ใช่น้องแพทแล้วจะเป็นใคร ตั้งแต่แม่มึงจับคลุมถุงชนกับน้องเค้า กูก็ไม่เห็นจะมีสาวไหนอยู่ใกล้ๆมึงอีก” เพื่อนคนหนึ่งของศิโรตม์ยังรุกเร้าไม่ยอมหยุด ศิโรตม์หน้าแดงด้วยความเขิน ยังพยายามปฏิเสธว่าไม่คิดอะไรกับปารวตีอยู่แต่ไม่มีใครยอมเชื่อ สุดท้าย จะด้วยฤทธิ์เหล้าหรือเพราะอะไรก็สุดจะเดาได้ที่ดลใจให้เขาโพล่งออกมาอย่างไม่คาดคิด
“น้องแพทเป็นแค่น้องโว้ย กูมีคนที่กูรักอยู่แล้ว”
สิ้นคำประกาศนั้น พวกเพื่อนๆต่างพากันร้องแซวพลางแข่งกันซักศิโรตม์ชุดใหญ่ แต่เขาไม่ยอมพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว แวบหนึ่ง กุลธิดาสังเกตได้ว่า เขาหันมามองเธอด้วยแววตาแปลความหมายไม่ออกอีกแล้ว แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นศิโรตม์ก็หันไปเอะอะโวยวายเรื่องไม่เป็นเรื่องกับกลุ่มเพื่อนเพื่อเบี่ยงประเด็นจากเรื่องความรักที่เขาประกาศออกมานี้เสีย
ถ้าผู้หญิงที่โชคดีคนนั้นไม่ใช่ปารวตี แล้วจะเป็นใครกันหนอ?
กุลธิดาเฝ้าตั้งคำถามนี้กับตัวเองมาตลอดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พร้อมๆกับความพยายามไล่คนมีความรัก(ให้ผู้หญิงคนอื่น)อย่างศิโรตม์ออกไปจากใจเธอด้วยความยากลำบากเหลือเกิน
แต่ในวันนี้ คำถามที่ค้างคาในใจมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ก็ได้รับการเฉลยแล้ว ผู้หญิงที่กุมหัวใจศิโรตม์ไว้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เธอคือเมธิรา นางเอกดาวรุ่งที่คุณสมบัติไม่ได้ด้อยไปกว่าปารวตีเลยแม้แต่นิด เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ที่ผู้คนพากันให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะคู่รักสายฟ้าแลบนี้ให้ข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนเมื่อช่วงค่ำวานนี้ว่าตกลงคบหาดูใจกันแล้ว
ประเด็นเรื่องเบนโลคือสิ่งแรกที่สื่อทุกแขนงยิงคำถาม แต่ศิโรตม์ก็ยืนยันหนักแน่นว่าเขาไม่เคยล่วงเกินเมธิราแน่นอน ส่วนคำถามที่ว่าทั้งคู่รู้จักกันได้อย่างไรและประทับใจอะไรในตัวอีกฝ่ายถึงตกลงปลงใจเป็นแฟนกันนั้น กุลธิดาอ่านเพียงรอบเดียวก็จำได้ขึ้นใจ น่าขำการทำงานของสมองตัวเองนัก ทีตำราเรียนอ่านแทบเป็นแทบตายกลับไม่ยักจำ แต่เรื่องที่อ่านแล้วทำร้ายจิตใจนั้น อ่านผ่านๆกลับซึมลึกจนฝังแน่นขุดไม่ออกซะอย่างนั้น
กุลธิดาเก็บแทบเล็ตเข้ากระเป๋าให้เรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนล้า เธอไม่เข้าใจตัวเองว่าจะเสียใจทำไม ในเมื่อก็รู้ตัวอยู่แล้วตั้งแต่แรกว่าสิ่งที่เธอแอบหวังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ วิถีชีวิตระหว่างเธอกับศิโรตม์นั้น เหมือนวงโคจรของดาวหางที่นานๆจะผ่านมาเจอกับโลกใบนี้สักครั้ง พอมาเจอแล้วก็ไป ไม่มีอะไรผูกพันต่อกัน เธอจะมีตัวตนอยู่ในสายตาของเขาบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ในเมื่อศิโรตม์มีความสุขกับความรักแล้ว เธอก็ควรยินดีกับเขาถึงจะถูก จะมามัวเศร้าสร้อยเซื่องซึมอยู่ทำไมกัน
กุลธิดาบอกตัวเองว่าเธอต้องก้าวต่อไป การเดินทางของชีวิตไม่ได้จบลงเพียงแค่เราไม่สมหวังในความรักเสียหน่อย โลกข้างนอกยังมีอะไรรอให้เธอไปค้นเจออีกเยอะ หญิงสาวแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยแววตาเศร้าหมอง ถ้าการมองฟ้าที่นี่มันคอยแต่จะทำให้เธอมีน้ำตาล่ะก็...บางที การเดินทางไปมองฟ้าในที่อื่นๆบ้าง อาจจะทำให้เธอมีเรื่องให้จำมากขึ้น จนไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับเก็บความทรงจำที่ทรมานใจนี้อีกก็ได้
####################################
ความคิดเห็น