คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ลำดับตอนที่ 1
รัตติกาลสีเลือด
“พี่เหรอ...อืม จะกลับแล้วล่ะ แล้วค่อยเจอกันนะ ได้ๆ เดี๋ยวซื้อกลับไปให้ แค่นี้ละกัน” เสียงสนทนาขาดหาย แล้วเด็กสาวที่ชื่อว่าเฟรย่าก็วางโทรศัพท์มือถือ เก็บใส่กระเป๋าถือตามเดิม
มองดูเผินๆ หล่อนก็ดูเหมือนเด็กสาววัยเรียนอายุสิบห้าปีธรรมดาๆที่หน้าตาน่ารักกว่าทั่วไปเท่านั้น เส้นผมของเธอเป็นสีทองยาวสลวยมัดรวบไว้ด้วยยางรัดผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีฟ้าใสแจ๋วเหมือนคนร่าเริงสดใสอยู่เป็นนิจ ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเด็กคนนี้เป็นมากกว่ามนุษย์คนนึงบนโลกใบนี้
แต่ผมไม่เชื่อเช่นนั้น...
ผมเฝ้าติดตามมองดูพฤติกรรมของเด็กสาวมาตลอดตั้งแต่เห็นเธอดูดเลือดหญิงสาวโชคร้ายคนนึงในตรอกมืดๆ เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เหยื่อผู้โชคร้ายฟื้นคืนสติขึ้นมาด้วยอาการอ่อนเพลียและสูญเสียความทรงจำระหว่างนั้นทั้งหมด
สรุปได้อย่างเดียวว่าเด็กคนนั้นเป็นแวมไพร์
ผมเคยเข้าไปเผชิญหน้ากับเธอตรงๆถึงสองสามครั้งแล้ว แต่เธอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และเอาแต่ปฏิเสธตลอด หนักเข้าก็วิ่งไปหาตำรวจแล้วบอกว่าผมเป็นพวกโรคจิตไล่ตาม กว่าจะอธิบายให้ฟังได้ เด็กสาวคนนั้นก็หายเข้าไปในกลีบเฆมแล้ว แต่พอวันรุ่งขึ้นผมก็เจอเธอที่โรงเรียนเซนต์แมรี่อีก จึงได้รู้เพิ่มว่าชื่อ เฟรย่า และเป็นนักเรียนเกรดเก้าของโรงเรียนนี้
บ้าชิบ! แวมไพร์เป็นนักเรียน แถมยังเดินทอดน่องกลางแสงแดดสบายใจเชิบ กินกระเทียมได้อีกต่างหาก สงสัยสิ่งเดียวที่ฆ่าพวกมันได้คงเป็นกางเขนเงินล่ะมั้ง
หา?
ผมคือใครงั้นเหรอ ผมคือ ชาร์ล วอเรนต์ นักล่าแวมไพร์รุ่นที่ 57 ไงล่ะครับ อย่างที่บอกไปนะแหละ อาชีพหลักของผมคือการล่าพวกแวมไพร์ ถึงฉากหน้าจะเป็นศาสตราจารย์ที่มหาลัยก็เถอะ(มันเป็นรายได้เสริมต่างหาก)
เฟรย่าหรือแวมไพร์ตนนั้นเดินออกมาจากมินิมาร์ทด้วยท่าทางฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์พลางแกว่งถุงหูหิ้วกระดาษที่ใส่ของที่เพิ่งซื้อมาด้วย
คงไม่รู้สึกถึงชะตากรรมของตัวเองเลยซินะ
ดีแล้ว งานของผมจะได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเรียกกำลังเสริมที่มีเพียงคนเดียวมาด้วย แค่ตามมันไปถึงบ้าน แล้วจัดการเชือดให้หมดทั้งสามตน พ่อ แม่ ลูก ซะก็หมดเรื่อง
เฟรย่ามองซ้ายมองขวา ก่อนจะเดินไปทางซ้ายแล้วหายแวบเข้าไปในพุ่มไม้หลังโรงเรียนเซนต์แมรี่ ผมรีบวิ่งตามไปทันทีแต่ไม่ลืมทิ้งระยะห่างไว้ด้วย
โรงเรียนเอกชนเซนต์แมรี่เป็นโรงเรียนที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลพอๆกับมหาวิทยาลัยเซนต์แมรี่ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกัน ว่ากันว่าป่าหลังโรงเรียนกว้างขนาดกินพื้นที่ของภูเขาสามลูก มีคนหลงเข้าไปแล้วไม่ได้กลับออกมาอีกเลยจำนวนนับไม่ถ้วน แถมยังลือกันอีกว่ามีสัตว์ร้ายอันตรายมากมายอาศัยอยู่ในป่าหลังโรงเรียนนี้ ในจำนวนนั้นคงต้องใส่แวมไพร์เข้าไปด้วยแหละ
ผมเดินตามไปอย่างเงียบเชียบ เฟรย่ายังคงเดินเร็วเหมือนชำนาญทางสายนี้เป็นอย่างดี แต่ต้องระวังเหยียบใบไม้หรือกิ่งไม้แห้งด้วย ไม่งั้นอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวได้
จู่ๆ เฟรย่าก็หยุดกึก เธอหยุดเดินไปเฉยๆ แล้วยื่นมือโบกไปข้างหน้าพลางพึมพำอะไรบางอย่างที่ผมไม่ได้ยิน แต่คงเป็นคาถา เพราะพวกแวมไพร์มีความสามารถด้านเวทมนตร์ด้วย
“ถึงบ้านซะที” เสียงเฟรย่าถอนหาใจแรง แล้วก้าวขึ้นบันไดหินเก่าแก่
ผมเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ต้องอ้าปากค้าง ตรงที่ที่เคยเป็นภูเขาบัดนี้กลับกลายเป็นปราสาทหลังมหึมาเก่าแก่อายุนับพันปี ให้ความรู้สึกน่ากลัวและยิ่งใหญ่อย่างประหลาด โดยเฉพาะเวลาที่ท้องฟ้ามืดครึ้มอาบด้วยแสงจันทร์สีเงินแบบนี้ ที่เธอท่องเมื่อกี้คงเป็นการเปิดประตูเข้าสู่ปราสาทนี่เอง
เฟรย่ากำลังเดินอยู่บนบันไดหินที่ทอดยาวไปหลายร้อยหลายพันขั้น ปากก็บ่นพึมพำอุบอิบที่ต้องแบกถุงหนักอึ้งขึ้นบันได เธอหยุดเดิน ปีกสีดำกางออกมาจากกลางและโผบินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาเชื่อมั่นของผม
แวมไพร์ล้านเปอร์เซ็นต์!!
ผมกลั้นยิ้ม แล้ววางกระเป๋าเป้ลง เพื่อเลือกอุปกรณ์ที่จะใช้ฆ่าแวมไพร์ตนนั้น และรวมไปถึงทุกตนที่อยู่ในปราสาทด้วยซึ่งคงไม่เกินสี่ตัวเพราะแวมไพร์ไม่นิยมอยู่รวมกันเป็นหมู่มาก
ผมคาดฝักดาบไว้ที่เอว ดาบเงินแหลมคมทอประกายระยิบระยับท่ามกลางความมืด ผมเลือกไม้กางเขนอีกสองสามอันเก็บซ่อนไว้ตรงขาขวาและบริเวณกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตด้านใน ผมพร้อมแล้ว...
เริ่มล่าปิศาจได้!
-------------------------------------2---------------------------------------
“กลับมาแล้วค่า!!”
เมื่อไอริสเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นน้องสาวในชุดนักเรียนมัธยมแบกถุงกระดาษเดินเข้ามานั่งปุ้กลงไปบนโซฟาตรงข้ามกับหล่อนแล้ว
เฟรย่ามีท่าทางเบื่อๆแต่ยังคงไว้ซึ่งความร่าเริงตามแบบฉบับเฉพาะตัว โดยเฉพาะรอยยิ้มสนุกสนานบนริมฝีปากอมชมพูนั่น ไม่เคยเหือดหายไปไหนเลย มันทำให้ไอริสยิ้มตอบกลับด้วยท่าทางสบายๆ แต่ไม่ว่าเมื่อไรเธอก็สบายๆอยู่ตลอดเวลาน่ะแหละ เพราะหล่อนคือไอริสนี่นา
“เลิกเรียนแล้วเหรอ เร็วจังนะ” ผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาวเหลือบมองนาฬิกา
“ป่าว ยังไม่เลิกหรอก หนีกลับมาก่อนน่ะ” เฟรย่าฉีกยิ้มกว้าง ตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “แล้วใครอยู่บ้านมั่งเนี่ย”
ไอริสทำท่าคิดเล็กน้อย ก่อนตอบ“มีแคลร์ วาเนสซ่า แล้วก็พี่เนี่ยแหละ ส่วนคนอื่นออกไปช้อปปิ้งกันหมด พวกแม่ๆก็ไปธุระที่นครหลวง” ชิงตอบคำถามก่อนที่น้องสาวจะเอ่ยปากถาม
เฟรย่ามองพี่สาวคนรองด้วยสายตาอารมณ์ดี ในบรรดาพี่น้องหญิงทั้งสิบเอ็ดคนของเธอ มีพี่ไอริสเนี่ยแหละที่เข้าได้กับทุกคน แถมยังเป็นกลาง คุยได้ทุกเรื่องด้วย
“จริงดิ ไอ้พวกบ้า ไปเที่ยวไม่เคยชวนเลย” บ่นอุบอิบแต่ไม่ได้หมายความอย่างที่พูดจริงๆหรอก เพราะถึงชวนเธอก็ไม่ไป อยู่กวนประสาทแคลร์ดีกว่าอีก
เปรี้ยงงง!!
“อ๋า!” เสียงสาวอุทานด้วยอารมตกใจกับเสียงฟ้าผ่าเฉียดหน้าต่างไปไม่กี่เซนต์ ประกายสีฟ้าแล่นปลาบลงสู่พื้นอย่างรวดเร็วถึงไว้แต่ประจุไฟฟ้าลั่นเปรี๊ยะในอากาศ
“แย่แล้ว!” ไอริสลุกพรวดพราดขึ้น “ฝนจะตกแล้ว พี่ตากผ้าไว้ยังไม่ได้เก็บเลย” หันขวับมาทางน้องสาว “เธอไปเก็บตรงหน้าบ้านนะ ส่วนพี่จะขึ้นไปเก็บบนดาดฟ้าเอง ไปเร็วเข้า!”
เฟรย่าสะดุ้งเฮือก รีบกุลีกุจอลุกตามคำสั่งของพี่ทันที ขืนให้พี่ไอริสมีน้ำโห มันไม่จบแค่คำขอโทษแน่
เม็ดฝนหยาดเป้งๆ กระทบเข้ากับใบหน้าและเรือนผมทันทีที่เด็กสาวเปิดประตู กระแสลมพัดหวีดหวิวรุนแรงอย่างน่ากลัว เฟรย่ากัดฟันเดินไปที่ราวตากผ้า ก่อนจะรวบเสื้อสามสี่ตัวบนราวมาในคราวเดียวกัน แล้วหลับตาปี๋วิ่งทุลักทุเลเข้าบ้าน แต่ไม่วายเซถลาล้มไปบนพรมเช็ดเท้าหน้าบ้านอีก กรรมจริง!
แต่ก่อนที่เด็กสาวจะได้หลุดคำสถบในใจ มือหนึ่งก็กระชากไหล่ดันเธอเข้าติดผนัง โลหะเย็นเฉียบมีกลิ่นไอความตายทาบเข้ากับลำคอขาวผ่องของเธอ
แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืด
เพราะไฟดับ...
-------------------------------------3---------------------------------------
ฝนตก..เวรกรรมจริง
ผมกัดฟันกรอดพลางตั้งใจรออย่างใจเย็น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใด แต่ผมไม่สามารถเปิดประตูปราสาทนี้ได้ ราวกับมันไม่ยอมรับผมยังไงยังงั้น
ริมฝีปากผมสั่น ลมหายใจกลายเป็นไอขาวเพราะความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้าไปในเสื้อผ้าและร่างกาย ตัวผมกำลังสั่นงักๆ บ้าชิบ! เพราะพวกแวมไพร์แท้ๆ!!
ในตอนที่ผมกำลังถอดใจจะกลับ ร่างของเด็กผู้หญิงคนนึงก็วิ่งถลาออกมา เธอมองไม่เห็นผมด้วยซ้ำ แต่ผมมองเห็นเธอ เธอคือเฟรย่านั่นเอง ดูเหมือนเธอจะออกมาเก็บผ้าที่ตากไว้หน้าปราสาทและรีบร้อนเสียจนเปิดประตูค้างไว้ ผมเลอาศัยจังหวะนั้นแอบเข้าไปหลบหลังบานประตูบานใหญ่
เฟรย่าวิ่งกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมเสื้อผ้าในอ้อมแขน เธอเซเล็กน้อยและลมลงไปกองข้างหน้า
ผมดึงกริชออกมาเตรียมพร้อม แล้วพุ่งเข้าไปดันร่างเล็กๆนั้นกระแทกใส่กำแพง ก่อนวางกริชลงบนลำคอที่สั่นเล็กน้อย
แล้วทุกอย่างก็มืดลง... เพราะไฟดับ
ชิบเอ้ย! ผมสถบลั่นในใจ มองไม่เห็นหน้าอีกฝ่ายแต่รู้ว่ายังอยู่ที่เดิมเพราะมือของผมกดร่างเธออยู่ในลักษณะยืน ร่างของเธอเย็นเฉียบเพราะเม็ดฝน แต่ลมหายใจกลับอบอุ่นอย่างประหลาด
ไม่ได้ อย่าใจอ่อนสิ!
-------------------------------------4---------------------------------------
ชาร์ล.. ใช่เค้าจริงๆเหรอเนี่ย
เฟรย่านึกอย่างประหลาดใจ ขณะพิจารณาใบหน้าของชายหนุ่มที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบ อีกฝ่ายอาจต้องใช้เวลาในการปรับแสง แต่แวมไพร์สามารถมองเห็นในที่มืดได้ ถ้าตั้งสมาธิดีๆนะ
ชาร์ลที่เฝ้าตามตื้อแล้วกล่าวหาเธอว่าแวมไพร์คนนั้นน่ะเอง เฟรย่าจำหน้าตาของเขาได้อย่างแม่นยำ คิ้วเรียวยาว ดวงตาเฉียบคม ริมฝีปากได้รูปแล้วยังใบหน้าแสนหล่อเหลือร้ายนั่นอีก เธอจำได้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ท่าทางเขาจะฆ่าเธอให้ได้เลยแฮะ
เฟรย่ายิ้มอย่างขบขัน ถ้าแค่โดนของมีคนแทงธรรมดาๆ เธอไม่มีวันตายหรอก อย่างมากก็แค่สลบไปสองสามวันเท่านั้น มีเพียงความเจ็บปวดอย่างเดียวที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ เธอไม่ตายก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่รู้สึกนี่
เสียงชาร์ลสถบกรอด แล้วขยับคมมีดเบาๆ เรียกเลือดได้จากรอยแผลกรีดยาวสี่ห้าเซ็นต์ มีพลาดจากคอของเธอ กลายเป็นตรงเหนือทรวงอกช่วงบนแทน
เฟรย่าตัดสินใจจะทำให้เขาหลับ แล้วพาไปส่งในเมือง แถมด้วยการลบความทรงจำนิดหน่อย แคลร์คงให้ความร่วมมืออยู่แล้ว แต่ความคิดนี้ไม่ทันได้ปฏิบัติ เพราะพี่สาวคนที่เอ่ยถึงยืนอยู่ตรงบันไดห่างจากเธอไปไม่ถึงสิบเมตร
แถมในมือยังถือดาบเงินสะท้อนแสงจันทร์แวววาวในความมืดอีกต่างหาก...
คราวนี้ถ้าไม่ได้เลือดก็ไม่จบดีๆแน่นอน!
-------------------------------------5---------------------------------------
ตาผมเริ่มมองเห็นทุกอย่างแล้ว เพราะการฝึกอย่างดีบวกกับแสงจันทร์เงินยวงที่สาดส่องเข้ามาทุกทิศทางด้วย
เฟรย่ายังคงยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีขัดขืน ดูเหมือนเธอจะขบขันเล็กน้อยเสียด้วย มันทำให้ผมอดลากกริชเบาไปบนเนื้อขาวๆนั่นเพื่อขู่เธอไม่ได้
เธอทำท่าเหมือนเจ็บ แต่ยังยิ้มจนน่าหมั่นไส้ พระเจ้า ผู้หญิงคนนี้ใช่แวมไพร์จริงๆเหรอครับ
แต่จู่ๆผมก็รู้สึกแปลกๆ อะไรบางอย่าง เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน เหมือนอากาศบริเวณนั้นได้อันตธานหายไป ลมหายใจผมขาดห้วง
เฟรย่าเบิกตากว้างด้วยท่าทางหวาดกลัว แต่ไม่ได้กลัวกริชในมือผมแน่ เธอกลัวอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างหลังผม อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมเสียวสันหลังวูบ
ผมรวบรวมความกล้า หันไปกลับไปมอง
แล้วดวงตาก็เบิกค้าง...
สิ่งแรกที่สะดุดตาผมคือนัยน์ตาสีแดงฉานราวกับโลหิตฉายเด่นชัดอยู่ในความมืด เส้นผมสีเข้มที่ปล่อยสยายพัดไสวด้วยกระแสลมจากทางหน้าต่าง เรี่ยไปกับใบหน้าและลำคอเพียวระหง ผิวขาวซีดของเธอมองเห็นชัดในที่มืด แต่ยังไม่ชัดเท่าดาบบางสีเงินวาวที่เธอถือแน่นอยู่ในมือ
ผมกำลังกลัว... ทุกส่วนในร่างกายร่ำร้องว่าให้หนี หนีไปจากดวงตาสีแดงคู่นั้นซะ แต่มันน่าแปลก..กับเฟรย่าผมไม่รู้สึกว่าเธอเป็นแวมไพร์ แต่กับผู้หญิงนัยน์ตาสีแดงโลหิตคนนี้กลับให้ความรู้สึกที่ต่างกัน เธอเป็นแวมไพร์จริงๆ ทั้งสายเลือดและกิริยาท่าทาง
ทุกอย่าง... ตั้งเฟรย่าเบิกตาค้างจวบจนผมหันกลับไปมองหญิงสาวคนนี้กินเวลาไปแค่ไม่ถึงนาที แต่ผมรู้สึกยาวนานชั่วนิรันด์
แล้วร่างเธอก็ขยับ พลิ้วไหว ราวกับตัวเธอเบาเหมือนนุ่น มาหยุดตรงหน้าผมอย่างรวดเร็ว ผมสาบานว่าเธอกระโดดแค่วูบเดียวจริงๆ
แต่ก่อนที่ผมจะได้ทำอะไร แสงสีเงินส่องประกายวูบเข้าใส่อกด้านขวาของผม
แล้วทุกอย่างก็ดำมืดไปหมด...
-------------------------------------6---------------------------------------
“พี่ทำอะไร!!”
เฟรย่ากรีดร้องดังลั่นทั่วปราสาทพลางจ้องมองฉันด้วยสายตาเคียดแค้นราวกับฉันพึ่งฆ่าคนรักของเธอไปทั้งที่ฉันเพิ่งช่วยเธอไว้
นานแค่ไหนแล้วนะที่เฟรย่าไม่ได้กรีดร้องด้วยความโกรธอย่างนี้ ฉันเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเฟรย่าก็โกรธกับเค้าเป็น ว่าแต่เธอโกรธเรื่องอะไรกันแน่นะ อันนี้ฉันยังไม่เข้าใจในตอนนี้ แต่เดี๋ยวคงเข้าใจเองแหละ
“ช่วยเธอไง” ฉันตอบเรียบๆ
“พี่จะบ้าเหรอ!!” เฟรย่ายังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
คิ้วของฉันขมวดลงอย่างเย็นชา ถึงขนาดกล้าด่าคงไม่ธรรมดาแล้ว แต่ดูยังไงชายคนนี้ก็เป็นมนุษย์ชัดๆ ถึงจะเป็นมนุษย์หน้าตาดีแบบที่อลิสชอบก็เถอะ
ไอริสกับวาเนสซ่าวิ่งถลาลงมาจากชั้นสอง ทั้งสองคนมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยความมึนงง แล้วก็ต้องอุทานเบาๆ เมื่อเห็นร่างที่โชกเลือดในอ้อมแขนเฟรย่า
“เกิดอะไรขึ้น?!” ไอริสที่ตั้งสติได้ก่อนรีบ วิ่งเข้าไปดูน้องสาวคนเล็ก
“เธอบาดเจ็บหรือเปล่า?!” วาเนสซ่าตามมาติด แม้จะทำท่าจะร้องไห้เพราะกลัวก็ตาม
“อย่าห่วงฉัน ดูเค้าให้ที” เด็กหญิงเอ่ยอย่างร้อนรน “เค้าเป็นมนุษย์”
มือของไอริสกับวาเนสซ่าหยุดกึก “ว่าไงนะ” แทบประสานเสียงกัน
“เค้า...เอ่อ เป็นเพื่อนสนิทน่ะ” เฟรย่าแก้ตัว อึกอัก คงคิดว่ายังไงก็ต้องช่วยชีวิตชายหนุ่มเอาไว้ให้ก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องอื่นค่อยคิดทีหลัง “รีบช่วยเค้าหน่อยเถอะ ฉันขอร้องล่ะ”
ฉันแปลกใจนิดๆ ที่เฟรย่าออกอาการห่วงมนุษย์เสียจนออกหน้าออกตา มันก็แค่มนุษย์คนเดียวเองไม่ใช่เหรอ ถึงช่วยไปอีกไม่กี่สิบปีก็ตายแล้วนี่
ฉันหันหลังกลับ ตั้งใจจะเดินไปอ่านหนังสือที่ค้างไว้ต่อในห้องสมุดเพราะไฟก็มาแล้ว แต่เสียงของไอริสฉุดเท้าฉันไว้
ฉันหันหลังกลับอย่างช่วยไม่ได้
“มีอะไรเหรอ”
“เธอเก่งเรื่องเวทมนตร์นี่ มาช่วยกันหน่อยสิ” พี่สาวคนเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ ขณะช่วยกันหิ้วปีกร่างไร้สตินั่นไปยังห้องใกล้ที่สุด แล้ววางลงบนโซฟายาวซึ่งซับสีเลือดชื้นแฉะ
เสียโซฟากำมะหยี่ไปตัวนึงแล้ว..
“ทำไมฉันต้องช่วยด้วย” ฉันหมายความตามนั้นจริงๆ
ไอริสทำท่าทางเหนื่อยหน่ายใจผสมกับไม่เข้าใจ “เธอเป็นคนทำ เธอก็ต้องรับผิดชอบซิ”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด” เสียงของฉันเข้มขึ้นอย่างน่ากลัว มันเข้มกว่าที่ฉันคิดไว้เพราะทั้งสามคนหน้าถอดสี ไม่ยอมสบตาฉัน “เฟรย่าผิดเองที่เอามนุษย์เข้ามาที่นี่ แล้วมนุษย์คนนั้นยังเอากริชจ่อคอเธอด้วย”
สามสาวสบตากัน ไม่มีเหตุผลที่จะอ้อนวอนหรือโยนความผิดมาให้ฉันเพราะมันผิดกฎจริงๆที่นำมนุษย์เข้ามาบ้าน
“งั้น...” ไอริสเหลือบมองสองสาวอย่างจนปัญญา แต่เสียงฝีเท้านับสิข้างดังขึ้นเสียก่อน...
-------------------------------------7---------------------------------------
ทุกคนกลับมาบ้านแล้ว!
โรสโน้มกายอยู่เหนือร่างของผู้บาดเจ็บ ไอริสยืนดูอยู่ใกล้ๆ ริต้าเสยผมอย่างหงุดหงิด อลิสนั่งพิศใบหน้าขาวซีดของชายหนุ่ม โซเฟียกับโกลเรียยืนห่างออกมาบริเวณประตู แคทเทอรีนนั่งคุยอยู่กับเอลด้า วาเนสซ่ากำลังเก็บกล่องยา ส่วนเฟรย่ายืนกอดอกจ้องเขม็งไปยังแคลร์ซึ่งนั่งเชิดคางมองออกไปนอกหน้าต่าง
“พอจะเข้าใจเรื่องคร่าวๆแล้วนะ” โรสสรุปสั้นๆ หลังจากฟังเรื่องเล่าจากปากของไอริสตามที่เธอเห็น “รู้สึกว่าคนผิดจะเป็น...”
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อ เพราะสายตาทุกคู่มองมาทางแคลร์เป็นจุดเดียว
“ฉันล่ะซิ” แคลร์เอ่ย กวาดสายตาไปบนใบหน้าของทุกคน แล้วถอนหายใจแบบช่วยไม่ได้ “รู้แล้วน่า รักษาให้ก็ได้ แค่นี้เอง”
หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ ท่ามกลางสายตานับสิบคู่ แล้วเดินเข้ามาดูบาดแผลชายหนุ่มอย่างไม่เต็มนัก
โรสเปลี่ยนให้แคลร์เข้ามานั่งแทนตน เพื่อให้อีกฝ่ายสำรวจบาดแผลอย่างถนัดยิ่งขึ้น หญิงสาวใช้นัยน์ตาสีแดงมองคราบเลือดบนเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างพิจารณา ถึงแม้จะได้รับการปฐมพยาบาลอย่างดีจากวาเนสซ่าแล้ว แต่ก็ผ่านมาถึงครึ่งชั่วโมง โอกาสรอดคงห้าสิบห้าสิบ
“รีบรักษาเข้าสิ แคลร์” เสียงเฟรย่ารบเร้าอยู่ใกล้ๆหู
หญิงสาวใช้นิ้วเรียวยาวแกะผ้าพันแผลสีขาวซึ่งมีคราบเลือดซึมอย่างเบามือ แล้ววางมือทาบไปบนบาดแผลที่มีเลือดไหลซึมตลอดเวลา คงต้องใช้เวทย์ห้ามเลือดก่อน แล้วถึงจะสมานปากแผลได้
“เร็วสิ แคลร์!” เสียงเฟรย่าร้องเล่าๆ แต่โดนมือของพวกพี่สาวช่วยกันยึดไว้ ไม่ให้ไปรบกวนการรักษา
แสงสีน้ำเงินระยิบระยับไหลออกจากปลายนิ้วหญิงสาวเข้าสู่บาดแผลของอีกฝ่าย มันเป็นเวทมนตร์ที่ใช้ในการห้ามเลือดนั่นเอง เมื่อเลือดหยุดไหลแล้ว แคลร์ก็ถอนหายใจยาว เช็ดมือที่ชุมเลือดไปบนโซฟา
“นี่ ขอฉันชิมหน่อยสิ” อลิสเอ่ยด้วยเสียงซุกซน แต่โดนเฟรย่ากระแทกตกจากเก้าอี้ “ล้อเล่นน่า!” ร้องลั่นเมื่อน้องสาวทำท่าจะซ้ำด้วยเท้า
“ที่เหลือก็สมานปากแผลล่ะ คงต้องใช้เลือด” โรสเอ่ยเสียงจริงจัง แล้วสั่งให้เอลด้าไปหยิบแก้วไวน์ทรงสูงมา
แคลร์รับแก้วมาด้วยสีหน้าหลากอารมณ์ที่บอกไม่ได้ว่าเสียดายเลือดตัวเองหรือเปลี่ยนใจไม่ช่วยชาร์ลแล้ว
“เดี๋ยว!” เฟรย่าร้องขึ้น “ใช้เลือดฉันดีกว่า เหมาะกับพวกมนุษย์มากกว่านะ”
“นั่นสิ” ไอริสเห็นด้วย “ถ้าใช้เลือดแคลร์ที่เป็นเลือดแท้แล้วล่ะก็ หนุ่มน้อยของเธอคงต้องกลายเป็นแวมไพร์โดยไม่ตั้งใจแน่ แต่ถ้าเลือดเฟรย่าที่เป็นลูกเสี้ยวก็ไม่มีปัญหา”
แคลร์ยังคงทำหน้าไร้อารมณ์ แต่จริงๆแล้วคงดีใจไม่น้อย “’ตามใจนะ กรีดเลือดสิ”
เฟรย่ารับกริชมากรีดแค่ข้อมือเบาๆทีนึง เกิดเป็นรอยแผลยาว มีเลือดไหลซึมออกมามากมาย เธอรีบเอาแก้วมารองไว้จนเกือบเต็ม วาเนสซ่าปราดเข้ามาพันแผลให้เฟรย่าทันทีที่แก้วไวน์ถูกส่งต่อไปยังแคลร์ซึ่งกำลังใช้เลือดวาดอักขระรอบบาดแผล
หญิงสาวใช้เลือดเฟรย่าพรมลงไปบนแผลของคนเจ็บ ก่อนจะกดปลายนิ้วลงไปบนบาดแผล ส่งผลให้ร่างนั้นสะท้านน้อยๆ แต่โซเฟียกับโกลเรียช่วยกันจับร่างชายหนุ่มไว้
แสงสีเงินเป็นประกายไหลออกจากปลายนิ้วไปสู่อักขระรอบบาดแผลแล้วอาบไปบนรอยแทงทะลุข้างหลังด้วย เวทมนตร์รักษาคงจะเข้าไปในร่างกายแล้วซ่อมแซมปอด กระดูกและอวัยวะภายในที่ถูกทำร้ายด้วยคมดาบ พอตื่นขึ้นมาทั้งบาดแผลและความชอกช้ำจะหายไป เหลือเพียงรอยแดงจางๆกับความอ่อนล้าเท่านั้น
เมื่อแสงสีเงินแสงสุดท้ายหายเข้าไปในบาดแผล แคลร์ก็แทบจะพยุงกายไม่อยู่ ล้มฟุปไปข้างชายหนุ่มและหลับไปในทันที แต่ขนาดจะหมดสติยังไม่ยอมโดนตัวมนุษย์นอกเหนือจากการรักษาสักนิด
“แคลร์!” อลิสร้องอย่างตกใจ ขณะช่วยฉุดร่างหญิงสาวขึ้นไม่งั้นตกขอบโซฟาแน่ “เป็นไรไปเนี่ย”
โรสช่วยฉุดขึ้น “ไม่เป็นไรหรอก” เธอเอ่ย “แค่อ่อนเพลียเฉยๆน่ะ เวทย์รักษามันกินพลังกายเอาการอยู่ โดยเฉพาะการรักษาให้มนุษย์ที่ต้องคอยระวังไม่ให้พลังมากเกินไปด้วย”
“แล้วจะเอายังไงกับหนุ่มคนนี้” ริต้าถามเสียงสูง ไม่ใช่ไม่ชอบที่นานๆมีมนุษย์รูปหล่อหลงมา แต่หงุดหงิดที่ไม่ใช่ของเธอต่างหาก “ถ้าพวกแม่ๆมาเห็นเข้า บ้านแตกแน่”
“คงต้องซ่อนเอาไว้ก่อน จนกว่าจะฟื้นล่ะนะ” แคทเทอรีนเสนอความเห็น “ห้องของใครที่ใหญ่ที่สุด แล้วจะไม่โดนค้นห้องอย่างแน่นอนน่ะ”
สายตาทุกคู่จ้องเขม็งไปที่แคลร์ซึ่งสลบไสลโดยไม่ได้นัดหมาย
“ขอโทษนะ แคลร์” ไอริสเอ่ยเศร้าๆ แต่หน้ายิ้มแย้ม “เราคงต้องขอใช้ห้องเธอแล้วล่ะ”
ความคิดเห็น