ตอนที่ 7 : HONGTAE-6-
-6-
‘ผมเกลียดการรอคอย... เพราะงั้นเลยไม่แน่ใจว่าตัวเองจะอดทนได้นานขนาดไหน’
นานขนาดไหนก็นานขนาดนี้แล้ว...
ฮ่องเต้สะพายกระเป๋าพาดบ่า ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งแสงแดดแล้วยกยิ้มจาง อากาศดีเหมาะสมเป็นวันย้ายบ้านจริงๆ เสียดายก็ตรงที่ต้องย้ายมาเพียงลำพัง ไม่อาจมาพร้อมคนรักได้อย่างที่เคยตั้งใจไว้
ไม่สิ... จะบอกว่ามาคนเดียวก็ไม่ได้อีก
“เต้ ทำไมของมึงมีน้อยจังวะ เอารถคันเดียวขนมาหมดนี่ไม่น้อยเกินไปเหรอ” ประมุขที่ยืนยันจะช่วยพี่ชายขนของย้ายบ้านบิดขี้เกียจพลางจ้องมองวิวทิวทัศน์รอบๆ ด้วยความสนอกสนใจ ด้านหลังมีการ์ดหน้านิ่งที่คนรักของเจ้าตัวส่งมาคอยดูแลกำลังทยอยขนของลงจากรถ
“ส่วนใหญ่กูซื้อใหม่ให้เหมาะกับสไตล์บ้านที่ออกแบบเอาไว้ ของหลายอย่างเลยไม่ได้เอาติดมาด้วย”
“แล้วพี่ยุมีส่วนร่วมด้วยไหม”
“มีสิ” ฮ่องเต้ยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อพูดถึงคนรักที่อยู่ห่างไกลคนละประเทศ “เราจะคุยเรื่องบ้านแค่ตอนพี่ยุมาไทย ไม่ว่าจะเรื่องออกแบบตกแต่งหรือก่อสร้างอะไรก็ตัดสินใจร่วมกันทั้งหมด”
พวกเขาเริ่มพูดคุยเรื่องที่ดินกับป้าแสงเดือนซึ่งยินดีจะขายที่ขนาดหนึ่งไร่ให้ตั้งแต่เมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน หลังจากตกลงซื้อขายกันเรียบร้อยแล้วก็เริ่มต้นทำตามแผนการสร้างบ้านอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้ยืนยันว่าเขาจะออกเงินด้วยครึ่งหนึ่ง แม้คนรักจะยืนยันว่าไม่จำเป็นเพราะมีเงินมากมายที่เก็บสะสมเอาไว้ก็ตาม ท้ายที่สุดพวกเขาจึงเจอกันครึ่งทางโดยการให้พายุออกเงินก้อนใหญ่ไปก่อน ส่วนฮ่องเต้จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในบ้านเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อความเท่าเทียม
ถึงจะรู้ว่าสุดท้ายหากได้มาอยู่ด้วยกันพี่ยุคงไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่เขาก็ยังอยากรับผิดชอบทุกอย่างร่วมกับอีกฝ่ายโดยไม่เห็นแก่ตัว
‘พี่ใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหารมาโดยตลอด ถึงจะต้องใช้เงินอยู่บ้าง แต่การบริหารจัดการยังไงก็ไม่ดีเท่าเต้ ถ้าเราได้อยู่ด้วยกันอย่างจริงจังเมื่อไร เงินของพี่ยังไงก็ต้องเอาให้เต้ดูแลอยู่ดี’
พอนึกถึงคำพูดของคนรัก ฮ่องเต้ก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ พี่ยุก็เป็นแบบนี้ทุกที พูดทุกอย่างออกมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงสงบนิ่งน่าเชื่อถือ แล้วเขาจะยังทำอะไรได้อีกนอกจากรับฟังเพราะเถียงไม่ได้
“เข้าไปข้างในกันเถอะ มึงบ่นอยากเห็นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่หรือไง” ฮ่องเต้หันไปบอกน้องชายที่กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปรายงานเกรย์ที่ไม่ได้ตามมาด้วยเพราะติดงาน จากนั้นจึงกอดคอพาอีกฝ่ายเดินเข้าไปด้านในพร้อมกัน
บ้านที่อยู่ในเนื้อที่หนึ่งไร่ติดกับอาณาเขตของรีสอร์ทป้าแสงเดือนเป็นบ้านสไตล์โมเดิร์ทสามชั้นที่ฮ่องเต้กับพายุเลือกด้วยกัน นอกเหนือจากตัวบ้านที่ทำออกมาอย่างสวยงาม ด้านนอกบ้านภายในอาณาเขตยังเป็นสนามหญ้าที่พร้อมให้เจ้าของบ้านซึ่งชอบต้นไม้เอามากๆ ดูแลเอาใจใส่ มั่นใจได้เลยว่าอีกไม่เกินหนึ่งเดือนพื้นที่สนามโล่งๆ ต้องเต็มไปด้วยต้นไม้มากมายหลายชนิดแน่นอน
“โห สวยว่ะ” ประมุขหมุนตัวมองดูบ้านที่เต็มไปด้วยกระจกซึ่งทำให้มองเห็นวิวรอบๆ เกือบสามร้อยหกสิบองศาอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้ของตกแต่งภายในจะไม่ได้มีราคาแพงอะไร แต่ทุกอย่างกลับเหมาะเจาะพอดี ดูลงตัวและสะอาดสบายตาไปหมดสมกับที่เป็นบ้านของฮ่องเต้
แค่มองดูก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความรักที่เจ้าของบ้านอีกคนมีต่อพี่ชายของเขาแล้ว
ฮ่องเต้ปล่อยให้น้องชายเดินสำรวจบ้านแล้วหันไปบอกคนที่มาช่วยขนของให้กองทุกอย่างเอาไว้ที่ห้องโถง เพราะเขาต้องการจัดการทุกอย่างให้เข้าที่ด้วยตัวเอง หลังจากนั้นจึงตรงไปยังห้องครัวด้านหลังซึ่งมีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบหมดแล้วแต่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน และหยิบน้ำออกมาส่งให้ทุกคนอย่างมีมารยาท
“ขอบคุณที่มาช่วยนะครับ”
การ์ดของฮ่องเต้พยักหน้ารับแล้วหลบไปนั่งอยู่แถวเคาน์เตอร์ครัวเพื่อให้สองพี่น้องใช้เวลาด้วยกันตามลำพัง โชคดีที่ฮ่องเต้คิดเรื่องแขกเอาไว้ก่อนแล้ว นอกเหนือจากห้องพักบริเวณชั้นสองที่ทำไว้ให้ครอบครัวมากถึงสามห้อง ด้านล่างจึงมีห้องพักสำหรับแขกเตรียมเอาไว้พร้อมสรรพ แม้ตอนแรกจะคิดว่าจำนวนห้องอาจเกินความจำเป็นไปหน่อย เพราะคนอื่นๆ คงไม่ได้มาบ่อย แต่เขาก็ไม่อยากให้ครอบครัวต้องไปนอนที่อื่นหากมาหากันถึงบ้านอยู่ดี
“จะว่าไปมึงจบโทก็ย้ายบ้านเลยแบบนี้ แล้วเวลาพี่ยุมาหาจะทำยังไงล่ะ ตอนแรกมึงบอกว่าที่ยังไม่ย้ายเพราะไม่อยากให้พี่ยุเดินทางลำบากไม่ใช่หรือไง”
“กูบอกแล้วว่าจะอยู่บ้านเดิมก่อน แต่พี่ยุฟังที่ไหน หาข้ออ้างสารพัดให้กูย้ายมาก่อน ทั้งบอกว่าจะไม่มีคนดูแลบ้านใหม่แล้วก็อ้างอย่างอื่นอีกตั้งมากมาย”
ตอนแรกฮ่องเต้ยังดื้อดึงยืนยันตามความคิดเดิม เพราะมองว่าบ้านมีแล้วจะย้ายมาตอนไหนก็ได้ไม่เห็นเป็นไร แต่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนตอนที่ได้พูดคุยเรื่องนี้อย่างจริงจัง พอเห็นคนรักพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงและบอกเหตุผลที่แท้จริง ใจของเขาก็อ่อนยวบไปหมด
‘พี่รู้ว่าเต้อยากอยู่ใกล้ธรรมชาติ ในเมื่อเรียบจบแล้วก็ไปใช้ชีวิตแบบที่ชอบเถอะ อย่าให้พี่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฉุดรั้งเต้เอาไว้มากไปกว่านี้เลย ยังไงพี่ก็ไปหาได้อยู่แล้ว’
เพราะเข้าใจความรู้สึกของคนรักดี ฮ่องเต้จึงยินยอมรับคำและทำตามโดยไม่มีความลังเลอีก เขายังคงวางพี่ยุเอาไว้ในทุกช่วงของการวางแผนชีวิต แต่ในเมื่อตัดสินใจมาที่นี่แล้วก็คงจะเริ่มทำงานอย่างจริงจังไปเลย แม้จะไม่ได้เริ่มต้นพร้อมกันก็ไม่เป็นไร กลับกลายเป็นดีเสียอีกที่หนึ่งในพวกเขามีคนคุ้นชินกับที่นี่แล้ว หากตอนอยู่ด้วยกันคิดจะทำอะไรก็ไม่ต้องลองผิดลองถูกมากเกินไป
“แล้วนี่มึงตัดสินใจเรื่องงานหรือยัง” ประมุขถามต่อด้วยความสนใจ ขณะเดียวกันก็ลากพาพี่ชายขึ้นไปชั้นบนพร้อมกันด้วย
“กูคงแปลงานเหมือนเดิมนั่นแหละ ยังไงก็กลายเป็นสิ่งที่ถนัดไปแล้ว แถมยังทำที่บ้านได้ไม่ต้องออกไปไหนอย่างที่ต้องการตั้งแต่แรกอีก” ฮ่องเต้ทำงานนี้ในช่วงเวลาที่ว่างมาตั้งแต่ตอนยังเรียนปริญญาตรีไม่จบ แล้วก็เพราะแบบนั้นเขาจึงรู้จักคนในเส้นทางนี้ค่อนข้างเยอะ หากจะปรับเปลี่ยนเป็นงานหลักไม่น่าจะยากเย็นอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเรียนด้านนี้มาและมีความสามารถทางด้านภาษาอยู่แล้ว
“แล้วพี่ยุล่ะ ได้คิดบ้างหรือยังว่าจะทำอะไร”
“พี่ยุบอกว่ายังไม่มั่นใจ” ฮ่องเต้อมยิ้มเมื่อนึกถึงสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักของคนรักตอนที่พูดถึงเรื่องนี้ “คงต้องให้เวลาค้นหาตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะพี่ยุใช้ชีวิตในฐานะทหารมาโดยตลอด กูคงทำได้แค่คอยสนับสนุนอยู่ข้างๆ”
ถึงพี่ยุจะพูดว่าไม่อยากออกห่างจากเขา แล้วก็คงหาอะไรทำแบบที่อยู่ในบ้านได้เช่นกัน แต่ฮ่องเต้ก็ไม่คิดปิดโอกาสใดๆ หากคนรักต้องการไปทดลองงานใหม่ๆ เขาก็จะสนับสนุนอย่างสุดความสามารถจนกว่าพี่ยุจะเจอสิ่งที่อยากทำจริงๆ
อีกอย่าง...
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ”
“กูกำลังคิดว่าบางทีเราอาจจะไม่ได้อยู่ไทยไปตลอด ยังไงที่นี่ก็ยังไม่ได้ซัพพอร์ทเรื่องคู่รักเพศเดียวกันมากเท่าไร พี่ยุคงต้องไปต่ออายุวีซ่าบ่อยๆ แถมยังมีข้อจำกัดอีกหลายอย่าง กูคิดว่าถ้าสุดท้ายลองดูแล้วไม่ไหวก็คงหาหนทางอื่นๆ ต่อไป... ไม่แน่เราอาจจะเลือกไปใช้ชีวิตที่ประเทศอื่นก็ได้ถ้ามีหนทาง”
ประมุขพยักหน้าหงึกๆ ด้วยความเข้าใจ โชคดีที่ตัวเขาเองมีเกรย์แล้วก็คุณพ่อคุณแม่ของอีกฝ่ายเป็นเจ้าถิ่นคอยสนับสนุนดูแลทุกอย่างให้จึงแทบไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรน่าหนักใจเลยสักนิด
“ถึงเวลานั้นมึงมาบอกกูนะ เดี๋ยวกูจะให้เกรย์ช่วยดูให้ เขาน่าจะมีความรู้เรื่องนี้กว้างขวางมากกว่า” ประมุขไม่คิดปิดบังความรู้สึกที่อยากให้พี่ชายมาอยู่ด้วยกันซึ่งปรากฏชัดในดวงตาเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้พยายามกดดัน เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายคิดต่อด้วยตัวเอง
“เข้าใจแล้ว ให้กูลองใช้ชีวิตตามที่ตั้งใจไว้ดูสักพักก่อนแล้วกัน” ฮ่องเต้หัวเราะพลางขยี้หัวน้องแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้ “ถ้าสุดท้ายตัดสินใจจะย้ายไปจริงๆ คงต้องขายบ้านหลังนี้ให้พี่จักรกับภีม”
“ขายพี่จักรกับภีมเลย สองคนนั้นรวยจะตาย”
“รอบตัวกูดูจะมีแต่คนรวยนะ”
“อือ เกรย์รวยสุดๆ เลย กูเห็นด้วย” คนที่อวยแฟนได้หน้าตาเฉยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนกำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป ทั้งยังไม่ได้ดูเหมือนกำลังหยอกล้อ แต่คิดว่าตัวเองพูดถึงเรื่องจริงที่เป็นสัจธรรม ถ้าคนนอกมาได้ยินเข้าคงถูกมองแรงใส่แน่ๆ
“เอาเถอะ ถ้ามีปัญหาอะไรเดี๋ยวกูก็ไปเกาะมึงเองแหละ”
“มาเกาะให้จริงเถอะ” ประมุขซึ่งรู้ดีที่สุดว่าพี่ชายเป็นคนยังไงกลอกตา หลังจากนั้นจึงหันไปสำรวจห้องส่วนตัวที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้ด้วยความสนใจ “ถ้าวันไหนมึงย้ายไปที่อื่น เก็บที่นี่เอาไว้เป็นบ้านพักตากอากาศตอนครอบครัวเรามาพักผ่อนด้วยกันก็ดีนะ”
“กูตั้งใจจะให้ที่นี่เป็นที่รวมตัวของพวกเราอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้กูย้ายไปที่อื่นหรอก มึงอยากมาเมื่อไรก็มาได้เลย” ฮ่องเต้นั่งลงบนเตียงนอนซึ่งยังไม่ได้แกะพลาสติกออก สายตามองตามเงาร่างของประมุขที่กำลังซุกซนเมื่อไม่มีคนรักคอยควบคุมอย่างอ่อนใจ “มีผ้าปูชุดใหม่อยู่ในตู้ เดี๋ยวมึงแกะแล้วปูเอาเองนะ หมอนผ้าห่มก็อยู่ในนั้นเหมือนกัน”
“ได้” ประมุขพยักหน้าหงึกๆ แล้วเดินกลับไปนั่งลงข้างพี่ชาย “แล้วนี่พี่ยุจะมาหามึงตอนไหนนะ”
“คงอีกเป็นเดือน เจ้านายของพี่ยุเข้าโรงพยาบาล เขาเลยต้องอยู่ดูแลทางนั้นก่อน” ดวงตาของฮ่องเต้หม่นแสงลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องที่พี่ยุบอกเอาไว้ตอนที่พวกเขาคุยกันเมื่อสองวันก่อน
อาการของพ่อบุญธรรม...ดูเหมือนจะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ กระทั่งคุณหมอยังบอกให้เตรียมใจ เพราะท่านพร้อมจะจากไปได้ทุกเมื่อ หรือหากมีกำลังใจและอาการทรงตัว เต็มที่อาจจะฝืนได้ถึงครึ่งปี
เมื่อนานมาแล้วฮ่องเต้เคยรู้สึกผิดที่ตัวเองกำลังทำเหมือนตั้งตารอคอยจุดจบของคนคนหนึ่ง ต่อให้ไม่ได้คิดแบบนั้นเพราะเขาเพียงอยากให้พี่ยุมาอยู่ด้วยไวๆ หากก็ยังไม่อาจปฏิเสธเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อกันโดยตรงได้อยู่ดี ถึงเขาจะไม่ได้รู้จักสนิทสนม แต่คนคนนั้นก็คือพ่อบุญธรรมของคนรัก ทันทีที่รู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรฮ่องเต้จึงรีบบอกพี่ยุที่ตอนนั้นอยู่ข้างกายเขาทันที
แน่นอนว่าสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงการปลอบโยน...
‘ถ้าการรอคอยให้ตัวเองมีความสุขถือเป็นความผิด ตัวพี่คงผิดยิ่งกว่าเพราะรอคอยมันมาโดยตลอด’
พอได้ยินคำพูดของคนรัก เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจทั้งรอยยิ้ม พยักหน้ารับอย่างง่ายดายและพยายามไม่นึกถึงเรื่องไม่ดีอีก เพราะยิ่งนึกถึงมากเท่าไรก็จะยิ่งดูเหมือนกำลังคิดตามจริงๆ มากเท่านั้น
ฮ่องเต้อยากอยู่กับคนรักไวๆ ก็จริง แต่เขาไม่เคยคิดจะแลกมันกับชีวิตของใคร ทั้งยังไม่เคยกดดันหรือทำให้พี่ยุลำบากใจเลยสักครั้ง ทันทีที่รู้ตัวก็พยายามระมัดระวังแบบที่ไม่ทำให้ตัวเองอึดอัด ท้ายที่สุดเขาจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีกเลย
“กูเคยถามเกรย์เรื่องครอบครัวเจ้านายพี่ยุนิดหน่อยเพราะเขารู้จักคนกว้างขวาง” ประมุขพูดถึงเรื่องที่ตัวเองเพิ่งคุยกับคนรักมาแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ สีหน้าดูจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “เกรย์บอกว่าตอนนี้ลูกชายของครอบครัวนั้นเข้ามาจัดการทุกอย่างแทนพ่อหมดแล้ว... กูอาจจะไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของมึงกับพี่ยุมากนัก แต่ถ้ามีอะไรให้ช่วยรีบบอกกูนะ ห้ามเกรงใจเด็ดขาด”
“รู้แล้ว” ฮ่องเต้ตอบรับคำพูดของน้องชายยิ้มๆ เข้าใจดีว่าประมุขคงเป็นห่วงเขาเหมือนที่เขาเคยห่วงตอนอีกฝ่ายมีปัญหานั่นแหละ “กูไม่ฝืนทำอะไรเกินตัวหรอก ตอนนี้ก็แค่...ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
“ถ้าเป็นแบบนี้ไปได้ตลอดก็คงดี”
“นั่นสินะ”
สองพี่น้องมองหน้ากันเงียบๆ สุดท้ายคนเป็นน้องก็ถอนหายใจออกมาแล้วเปลี่ยนหัวข้อไปพูดคุยเรื่องอื่นแทน ด้วยรู้ดีว่าขืนยังคุยเรื่องนี้ต่อไป คงไม่ใช่แค่ตัวเขาที่คิดมากห่วงพี่อยู่คนเดียว
“กูเปลี่ยนใจละ ไม่นอนห้องนี้ดีกว่า จะไปนอนเบียดมึงตกเตียง”
“ทำไมต้องไปนอนเบียดกู”
“ไม่มีเหตุผล” ประมุขยักไหล่ พูดจบก็จัดการลากพาพี่ชายเดินออกนอกห้องแล้วขึ้นบันไดไปยังชั้นสามทันที แต่มีหรือที่ฮ่องเต้จะไม่รู้ว่าน้องชายกำลังคิดอะไร
...คงกลัวว่าเขาจะเหงาเลยอยากใช้เวลาอยู่เป็นเพื่อนให้มากที่สุด
สองพี่น้องได้กลับมานอนด้วยกันอีกครั้งในรอบหลายปี บรรยากาศรอบกายเต็มไปด้วยความอบอุ่น ผ้าม่านที่ประตูระเบียงบริเวณปลายเตียงถูกเปิดออกกว้างเพื่อให้รู้สึกเหมือนกำลังนอนชมวิวอยู่โดยไม่ต้องลุกไปไหน ประมุขชื่นชอบการออกแบบที่คิดมาเป็นอย่างดีมากจนอดไม่ได้ต้องแอบกดส่งข้อความพร้อมรูปภาพไปให้คนรัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากกลับบ้านไปแล้วมีห้องเช่นนี้ถูกเนรมิตขึ้นมาในพริบตา ต้นเหตุเกิดจากใคร
ฮ่องเต้ที่เห็นน้องชายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ได้แต่ส่ายหน้าหน่าย ตัดสินใจวางหนังสือที่อ่านลงแล้วส่งข้อความไปหาคนที่อยู่ห่างไกลบ้าง แต่เหมือนว่าทางนั้นจะยังไม่ว่างจึงไม่ได้ตอบกลับในทันทีเหมือนปกติ
หากไม่ใช่เพราะพี่ยุบอกกันเอาไว้ก่อนตั้งแต่เมื่อสองวันที่แล้วว่าช่วงนี้อาจไม่ว่างเท่าไรนัก ฮ่องเต้คงเป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำอะไรแน่ ทุกๆ วันถึงจะพูดคุยกันไม่ได้มาก แต่เขาก็ยังขยันส่งข้อความเตือนเรื่องการดูแลตัวเองไปให้ตลอด และไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว พี่ยุก็จะตอบกลับมาด้วยคำพูดเดียวกันทุกครั้ง
พวกเขาต่างเป็นห่วงซึ่งกันและกัน ต่อให้ไม่ได้พบหน้าก็ยังแสดงความรู้สึกผ่านทางการพิมพ์หรือคำพูดอยู่เสมอ ทำให้หัวใจยังคงอบอุ่นและมีเรี่ยวแรงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปโดยไม่ต้องพยายามฝืนทนต่อสถานการณ์ที่พบเจอเลยสักนิด
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ก็ทำได้เป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเขาก็เคยลองผิดลองถูก พบเจอเวลาที่มีความขัดแย้งมาหลายรอบ แต่เมื่อผ่านมันมาได้ทั้งที่มือยังกอบกุมกันไว้ ความสัมพันธ์ที่มีจึงหนักแน่นยิ่งกว่าใครๆ
ทันทีที่เข้าใจก็ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นอีกเลย
“เต้ มึงกับพี่ยุเคยทะเลาะกันบ้างไหม”
“ทำไมจู่ๆ ก็ถาม” ฮ่องเต้วางโทรศัพท์ลงแล้วหันไปมองน้องชายด้วยความสังสัย
“อยากรู้เฉยๆ พอดีกูไม่เคยทะเลาะกับเกรย์ เลยสงสัยว่าคู่อื่นที่ต้องอยู่ห่างไกลเขาเป็นยังไงกันบ้าง”
“ไม่เคยทะเลาะ มีแต่น้อยใจเขาอยู่ฝ่ายเดียวแล้วมางอแงกับกูอะนะ” คนเป็นพี่มองเด็กขี้อวดด้วยความรำคาญ ยิ่งเห็นตาใสแป๋วของน้องชายที่พยายามทำตัวเป็นเด็กอย่างตั้งใจก็ยิ่งหงุดหงิดจนต้องผลักหัวทุยๆ นั่นไปหนึ่งที ทำเอาประมุขหัวเราะลั่นอารมณ์ดีที่กวนประสาทพี่ชายได้
“ตอบมาซะดีๆ กูอยากรู้จริงๆ นะเนี่ยว่ามึงกับพี่ยุเคยทะเลาะกันไหม ปกติดูใจเย็นกันทั้งคู่เลย”
“จะเรียกว่าทะเลาะก็คงไม่ถูกเท่าไร เพราะพี่ยุไม่เคยใจร้อนให้กูเห็นเลยสักครั้ง” ฮ่องเต้ยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากโดยเฉพาะตอนแรกๆ ที่เริ่มคบหากัน พวกเขามีความขัดแย้งก็จริง แต่ไม่เคยนำไปสู่การทะเลาะเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะคนคนนั้นยังคงใจเย็นและอ่อนโยนกับเขาอยู่เสมอ “กูเคยเก็บสะสมความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้มากมาย พอถึงจุดหนึ่งมันเลยระเบิดออกมา... ถ้าจำไม่ผิดคงสองครั้ง”
สำหรับครั้งแรกเกิดขึ้นตอนที่พวกเขาคบกันใหม่ๆ ฮ่องเต้ยังคงจำได้ดีว่าเขาเป็นกังวลขนาดไหน ถึงจะคิดเอาไว้และรู้สึกอยู่ตลอดว่าเชื่อใจพายุ ทว่าความคาดหวังและความผิดหวังที่เคยประสบมาทำให้เขาห้ามตัวเองไม่ได้ เผลอคิดอยู่ทุกวันว่าถ้าคนรักไม่กลับมาหรือขาดการติดต่อไปจะทำยังไง เนื่องจากตัวเขาแทบจะทุ่มเทให้หมดทุกอย่างแล้ว ไม่ได้เหลือเผื่อใจเอาไว้เลย
เพราะไม่อยากให้ตัวเองดูไม่ดีเขาจึงไม่ได้แสดงออกให้ใครรู้ เก็บเอาความกังวลเหล่านั้นไว้กับตัวจนสะสมกลายเป็นก้อนใหญ่ เมื่อได้พบหน้าและมีเรื่องไม่พอใจเพียงนิดก็ระบายมันออกมาจนหมด
นั่นเป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ร้องไห้ออกมาในรอบหลายปี เขามั่นใจมากว่าคำพูดร้ายกาจในเวลานั้นคงทำให้คนฟังหลายคนโมโหได้ไม่ยาก แต่พี่ยุกลับดึงร่างเขาเข้าไปกอดเอาไว้แน่น กระซิบว่าขอโทษและปลอบประโลมกันนานนับชั่วโมง ไม่สนใจแม้เขาจะพูดจาไม่ดีออกไปอีกหลายคำ
‘ผมไม่อยากรอแล้ว’
แม้ในเวลานั้นฮ่องเต้จะมีอารมณ์อ่อนไหวมาก แต่คำพูดที่เอ่ยออกไปล้วนผ่านการกลั่นกรองมาอย่างรอบคอบ เขาเจ็บปวดที่ตัวเองต้องเฝ้ารอ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยคำว่าเลิก ริมฝีปากก็ถูกปิดผนึกเอาไว้อย่างอ่อนโยน ครู่หนึ่งฮ่องเต้สัมผัสได้ถึงความเสียใจของคนรัก จูบแรกของพวกเขาเกิดขึ้นพร้อมความรู้สึกรวดร้าว
‘อย่าร้องไห้เลย พี่เข้าใจทุกอย่างแล้ว... ขอบคุณที่อดทนมานานขนาดนี้’
ทั้งที่พี่ยุบอกว่าเข้าใจแล้วยังมอบรอยยิ้มให้กัน แต่ฮ่องเต้กลับรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากปล่อยมือเลยสักนิด พี่ยุก็แค่...ให้เกียรติและรักเขามากจริงๆ มากจนยอมปล่อยมือเมื่อเห็นเขาเจ็บปวด
ฮ่องเต้ไม่ได้หยุดร้องไห้ตามที่คนรักบอก หากเขากลับร้องไห้หนักขึ้นและโอบกอดคนข้างกายเอาไว้แน่น พร่ำบอกว่าขอโทษย้ำๆ ซ้ำๆ แล้วก็ขอบคุณที่ห้ามกันเอาไว้ก่อนจะได้พูดคำว่าเลิกออกไป ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าตัวเองไม่อาจขาดคนคนนี้ได้อีกแล้ว หลังจากสงบลงได้พวกเขาจึงพูดคุยกันอย่างจริงจัง
...และพี่ยุก็ใช้เวลาตลอดหลายปีที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาเป็นของจริง การรอคอยของพวกเขาจะต้องคุ้มค่าอย่างแน่นอน
“คิดดูแล้วตอนนั้นกูก็แค่กลัวจะโดนทิ้งนั่นแหละ” ฮ่องเต้ยักไหล่ยอมรับความเป็นจริงง่ายๆ “ถึงจะเคยคิดว่าตัวเองเชื่อใจพี่ยุ มั่นใจว่ายังไงก็ไม่ทิ้งกันไปแน่ๆ แต่พอเอาเข้าจริงก็กลายเป็นกังวล อารมณ์ผสมปนมั่วซั่ม คิดมากคิดเยอะจนกลัวไปหมด ถ้าไม่ใช่พี่ยุคงทะเลาะกันใหญ่โตไปแล้ว”
เพราะเป็นพี่ยุที่ใจดีกับเขายิ่งกว่าใคร ผลเลยจบลงด้วยความเข้าใจที่มากกว่าเก่า ทั้งยังไม่เหลือบาดแผลเอาไว้เลยสักนิด
“ไม่น่าเชื่อว่ามึงจะเป็นฝ่ายคิดมาก” ประมุขที่ไม่คุ้นชินกับพี่ชายในรูปแบบจากเรื่องเล่าเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ “อยากย้อนเวลาไปถ่ายคลิปเลยว่ะ”
“จะถ่ายไปเพื่ออะไร”
“ถ่ายไว้แซวมึงไง... แล้วอีกครั้งล่ะ มึงบอกว่าเคยระเบิดอารมณ์ออกมาสองครั้งใช่ไหม”
“ไม่บอก”
“ไรอะ”
ฮ่องเต้ดันหน้าน้องชายให้หันไปอีกทางด้วยความหมั่นไส้ หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่าจะออกไปนั่งเล่นข้างนอก ให้นอนก่อนได้เลย แน่นอนว่าประมุขไม่มีทางยอมหลับก่อน แต่เพราะมีสายเรียกเข้าจากคนที่อยู่ห่างไกลพอดี จากที่จะตามออกไปป่วนพี่ชายจึงกลายเป็นล้มกายลงนอนคลุมโปงเพื่อพูดคุยกับคนรักแทน
พอเห็นน้องชายที่เป็นแบบนั้น ฮ่องเต้ก็ได้แต่ส่ายหน้าหน่าย แต่นอกเหนือจากความหมั่นไส้ล้วนแล้วแต่เป็นความดีใจ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังดีใจทุกครั้งที่เห็นว่าประมุขมีความสุขกับความรักที่เฝ้ารอมานาน และเกรย์ก็ยังคงทะนุถนอมน้องชายของเขาเป็นอย่างดี
นอกเหนือจากคนรักก็มีแค่ครอบครัวเท่านั้นที่เขาใส่ใจยิ่งกว่าตัวเอง
ฮ่องเต้เดินออกไปนั่งเล่นนอกระเบียง พื้นที่บริเวณนี้อยู่นอกประตูห้องนอนก็จริง แต่กลับมีกระจกกั้นเอาไว้อีกชั้น เป็นหนึ่งในความใส่ใจของพายุที่กลัวคนรักจะโดนยุงกัด จึงขอให้ช่างทำกระจกขึ้นมาอีกชั้นและออกแบบให้เปิดปิดเพื่อรับลมจากภายนอกได้เมื่อต้องการ
คนที่อยากรับลมจุดยาไล่ยุงและไม่ลืมหยิบครีมมาทาตามที่ถูกย้ำนักหนา เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วจึงเปิดกระจกออกแล้วสูดลมหายใจเข้าจนสุดเพื่อรับลมเย็นอย่างเต็มที่ บรรยากาศที่นี่ยังคงทำให้สดชื่นสบายใจเหมือนอย่างทุกครั้ง เสียดายก็แต่ไม่มีคนรู้ใจยืนอยู่ข้างกัน ความสุขเลยถูกลดทอนลงไปหลายส่วน
คิดถึงคนที่อยู่ห่างไกลได้ไม่เท่าไร โทรศัพท์ที่หยิบติดมือมาด้วยก็สั่นไม่หยุด ฮ่องเต้ก้มลงมองหน้าจออย่างประหลาดใจ เมื่อพบว่าเป็นใครที่โทรเข้ามาก็ยกยิ้มกว้างแล้วกดรับอย่างรวดเร็ว
“พี่ยุ”
[เสียงสดใสแบบนี้คงยังไม่นอนใช่ไหม]
“ยังครับ เพิ่งเดินออกมานอกระเบียงนี่เอง พอดีมุขมาป่วนก็เลยต้องหนีออกมานั่งเล่นข้างนอก” ฮ่องเต้หัวเราะในลำคอเมื่อหันไปมองคนที่อยู่ในห้องแล้วพบว่าทางนั้นกำลังกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงราวกับเป็นเจ้าของ
[น้องมาอยู่ด้วยก็ดีแล้ว เต้จะได้ไม่เหงา]
“อยู่ด้วยได้ไม่กี่วันก็ต้องไปแล้ว ขืนอยู่นานเกรย์คงตามมาลากตัวกลับแน่ๆ”
[ถ้าน้องกลับไปแล้วเต้จะเหงาหรือเปล่า]
“ไม่หรอกครับ ที่นี่มีอะไรทำตั้งเยอะแยะ ผมยังไม่ได้ปลูกต้นไม้เลย”
[…อยากมาหาพี่ไหม]
“พี่ยุ?” ฮ่องเต้เรียกคนรักเสียงเบา แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง แต่เมื่อผนวกรวมกับคำพูดที่ไม่คาดคิด เขาก็มั่นใจในทันทีว่าคำถามเมื่อครู่ไม่ได้เป็นการถามเล่นๆ แบบไม่คิดอะไร
[พี่ล้อเล่น]
“ผมเพิ่งรู้ว่าพี่ยุล้อเล่นเป็นด้วย”
[…]
“อยากเปิดกล้องไหมครับ” ก่อนจะได้รับคำตอบฮ่องเต้ก็รีบดักทางเอาไว้ทันที “ห้ามโกหกนะ เราสัญญากันไว้แล้ว”
แว่วเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมาจากปลายสาย คล้ายจะบอกกลายๆ ว่าฮ่องเต้รู้จักตัวเองดีมากจริงๆ สุดท้ายเสียงที่ดูอ่อนแรงลงเล็กน้อยเพราะไม่ได้พยายามทำให้ดูเป็นปกติก็เอ่ยคำพูดที่ตรงกับความรู้สึกที่แท้จริงออกมาตามคาด
[พี่ไม่อยากให้เต้เห็นตอนนี้ ขอโทษนะ]
“ไม่เป็นไร ผมเปิดให้พี่ยุดูคนเดียวก็ได้” ฮ่องเต้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกันนั้นก็เปลี่ยนไปเปิดวีดีโอคอลเพื่อใช้พูดคุยกันแทน แม้สิ่งที่ตัวเองเห็นจะมีเพียงภาพหน้าจอสีดำ แต่เขาก็ยังส่งยิ้มไปให้คนที่อยู่อีกฝั่ง หวังว่าตัวเองจะช่วยให้คนรักรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง
[เปิดกล้องมาก็ยิ้มกว้างเลยเหรอ]
“ต้องยิ้มสิ เพราะผมรู้ว่าพี่ยุอยากเห็น”
[ถือว่ารู้ดี] พายุหัวเราะในลำคอ เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกในด้านลบที่เคยมีจางหายไปกว่าครึ่ง และมันก็ทำให้ฮ่องเต้ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ปกติพี่ยุไม่เคยเป็นแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าทางนั้นต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง ลำพังแค่การถามว่าอยากไปหาไหมก็มากพอจะบอกได้แล้วว่าคนรักกำลังต้องการอะไร ถ้าไม่หนักหนาจริงๆ มีหรือจะพูดออกมา ทั้งที่ตัวเองคอยย้ำอยู่ตลอดเรื่องที่ไม่อยากให้เขาไปที่นั่นเพราะมันอันตราย
[ไม่ถามเหรอ]
“หืม”
[เต้ไม่ถามเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น]
“ยังไม่ถามตอนนี้ครับ” ฮ่องเต้ส่ายหน้ายิ้มๆ “สิ่งที่ผมอยากทำตอนนี้คือช่วยให้พี่ยุรู้สึกดีขึ้น ในเมื่อพี่ยุไม่อยากพูดเราก็จะไม่พูดถึงมัน”
เพราะว่าเข้าใจและรู้จักกันเป็นอย่างดี ฮ่องเต้จึงมั่นใจว่าหากอยากเล่าพี่ยุคงพูดออกมาตั้งแต่แรกแล้ว ขนาดกล้องยังหลีกเลี่ยงไม่อยากเปิด แสดงว่าช่วงเวลานี้สิ่งที่อยากทำไม่ใช่การระบายหรือบอกความรู้สึก สิ่งที่เขาทำได้จึงเป็นการช่วยให้พี่ยุรู้สึกดีขึ้น ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
[ขอบคุณ]
“ผมรับคำขอบคุณเอาไว้ด้วยความเต็มใจเลยแล้วกัน”
พอได้ยินคำพูดหยอกล้อรื่นเริงจากเขา คนฟังก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้กว้างขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งดวงตาก็อ่อนโยนกว่าเก่าอย่างเห็นได้ชัด
ฮ่องเต้อาจจะไม่ใช่คนพูดเก่งถ้าเทียบกับน้องชาย แต่เมื่อคู่สนทนาคือพี่ยุที่พูดไม่เก่งยิ่งกว่า ทั้งยังยิ่งพูดไม่เก่งมากเข้าไปใหญ่เมื่ออยู่ในช่วงอารมณ์ไม่ปกติ เขาก็กลายเป็นคนพูดมากขึ้นมาในทันที มากชนิดที่หากประมุขมาเห็นเข้าคงเบิกตาโตรีบกดอัดคลิปแทบไม่ทัน
ทันทีที่พวกเขาเข้าใจตรงกันว่าการพูดคุยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร บรรยากาศอบอุ่นนุ่มนวลก็แพร่กระจายไปทั่วบริเวณ ฮ่องเต้เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้คนรักฟังด้วยน้ำเสียงสดใส พอถามว่าอยู่ในห้องนอนใช่ไหมและได้รับคำตอบว่าใช่ก็บอกให้ล้มตัวลงนอน หากอยากหลับก็หลับไปได้เลย ส่วนตัวเขาก็กลายเป็นนักเล่านิทาน แม้เรื่องราวที่เล่าจะเรียบง่ายไม่มีอะไร หากกลับทำให้คนฟังผ่อนคลายสบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ผลสุดท้ายจึงหลับไปโดยไม่รู้ตัว
“พี่ยุ?” คนที่กำลังเล่าเรื่องราวที่ตัวเองได้พบเจอมาตลอดอาทิตย์เรียกชื่อคนรักด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ ยังคงถือสายคาอยู่อย่างนั้นแม้จะไม่มีคำตอบใดๆ ส่งกลับมา จนมั่นใจว่าพายุหลับไปแล้วจริงๆ เขาจึงกระซิบบอกฝันดีเบาๆ
ฮ่องเต้วางสายพร้อมรอยยิ้มที่ค่อยๆ จางหายไป สีหน้าที่ดูราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ตอนเดินกลับเข้าห้องนอนทำให้ประมุขต้องพักการพูดคุยโทรศัพท์แล้วหันมามองอย่างประหลาดใจ กระทั่งเห็นพี่ชายหยิบโน้ตบุ๊กส่วนตัวขึ้นมากดเปิด เขาจึงอดไม่ได้ต้องเอ่ยถามในที่สุด
“มึงทำไรอะ”
คนฟังกดเข้าหน้าเว็บที่ต้องการ ไม่เสียเวลาพิจารณารายละเอียดใดๆ ก็กดจ่ายเงินในรายการที่เลือกทันที พร้อมกันนั้นก็ตอบคำถามของน้องชายด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งไปด้วย
“จองตั๋วเครื่องบิน”
“หา…”
“พรุ่งนี้กูจะไปหาพี่ยุ”
ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้ไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเอง แต่เพราะเขารู้ดีว่าเวลาอยู่ที่นั่นมักจะมีคนคอยตามดูแลอยู่ตลอด อีกทั้งยังมีพี่ยุซึ่งไม่มีทางปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปแน่ๆ เรื่องพวกนั้นจึงไม่ได้น่าเป็นห่วงมากเท่าความรู้สึกของใครอีกคน... คนที่ไม่ว่าจะเจ็บปวดขนาดไหนก็ต้องอยู่เพียงลำพัง
ฮ่องเต้ต้องการไปยืนอยู่ตรงนั้น... คอยกอบกุมมือใหญ่ที่แสนอบอุ่นนั่นไว้และข้ามผ่านทุกเรื่องราวไปพร้อมอีกฝ่าย ย้ำเตือนคำพูดที่ครั้งหนึ่งเคยบอกออกไปทว่ายังไม่มีโอกาสได้ทำ
‘จากไปนี้ผมจะเป็นคนดูแลพี่ยุเอง’
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทิ้ง มุข เลย5555